แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

ชื่อกระทู้: ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี [สั่งพิมพ์]

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-11-20 22:16     ชื่อกระทู้: ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

T.jpg



ธรรมโอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี



ข้าพเจ้าได้คัดลอกหนังสือธรรมะ เทศน์โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี จากหนังสือ "โต พรหมรังษี" รวบรวมโดย เกหลง พานิช ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้รวบรวมได้รวบรวมมาจากพระธรรมเทศนา ซึ่งดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ทรงเสด็จมาเทศน์โปรดสัตว์ในอดีตไว้ที่สำนักปู่สวรรค์


โดยผ่านร่างของมนุษย์ผู้เคยมีกรรมพัวพันและชาตินี้ครองชีวิตอย่างสะอาดดั่งผู้ทรงศีลที่ดี (อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ฉายาว่า "อริยวังโสภิกขุ" และบำเพ็ญอยู่อย่างสงบในป่า ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘) มีเนื้อหาหนังสือทั้งหมด ๘ เล่ม รวม ๑๔๔ ตอน


คุณเกหลง พานิช ผู้รวบรวมเห็นว่า คำสอนเหล่านี้ไม่ควรเก็บไว้รับรู้เฉพาะกลุ่มสานุศิษย์เท่านั้น เห็นว่าเป็นธรรมะที่ทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับโลกาภิวัตน์เช่นนี้ จึงได้รวบรวมให้โครงการธรรมไมตรีดำเนินการจัดพิมพ์ขึ้นมาเผยแพร่ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเผยแพร่ธรรมะสู่ประชาชนทั่วประเทศให้มีโอกาสศึกษาธรรม เพื่อยกระดับจิตของตนให้สูงขึ้น ให้มีเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงของชาติ


ท่านเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน ผู้รวบรวมใคร่ขอร้องท่านผู้อ่าน จงอ่านอย่างใจเป็นกลางก่อนที่จะลงความเห็น เชื่อหรือไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักกาลามสูตรไว้ให้พิจารณา เราควรใช้หลักนั้นให้เป็นประโยชน์


ขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ จงประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์ มีความสุขความเจริญ ขอให้ดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด



กาลามสูตร

ว่าด้วยข้อควรสงสัย ๑๐ ประการ คือ


๑.  ควรสงสัยในความรู้ซึ่งมีมาแต่โบราณ
๒.  ควรสงสัยในความรู้ที่ได้จากผู้อื่น
๓.  ควรสงสัยในความรู้ที่เล่าลือบอกกล่าวต่อๆ กันมา
๔.  ควรสงสัยในข่าวที่แม้จะได้มาจากผู้ที่เคยเชื่อถือมาก่อน
๕.  ควรสงสัยในความรู้จากครูบาอาจารย์ของเราเอง
๖.  ควรสงสัยในความรู้จากตำรา
๗.  ควรสงสัยในความรู้แม้ของตัวเอง ที่ได้มาจากการเดาหรือคาดคะเน
๘.  ควรสงสัยในความรู้แม้ของตนเอง ที่ได้มาจากการเก็งความจริง
๙.  ควรสงสัยในความรู้แม้ของตนเอง ที่ได้มาจากการคิดพิจารณาจากพยานหลักฐาน
๑๐. ควรสงสัยในความรู้แม้ที่ตัวแน่แก่ใจเอง

เมื่อท่านปฏิบัติตามนี้ได้แล้ว ท่านจะพบสัจธรรมอันแท้จริงได้


o5.png



ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :         
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด ธรรมะชนะมาร. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ตุลาคม ๒๕๓๙.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มกราคม ๒๕๔๐.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด สำนักโลกวิญญาณ. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑๙ มกราคม ๒๕๔๐.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด สงสารสัตวโลก. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, กรกฎาคม ๒๕๔๐.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด จอมปราชญ์แห่งกรุงสยาม. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มีนาคม ๒๕๔๒.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด ความพิสดารของโลกวิญญาณ. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มีนาคม ๒๕๔๒.

          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด พลังเหนือมนุษย์. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มีนาคม ๒๕๔๒.
          • เกหลง พานิช. โต พรหมรังษี: ชุด กฎแห่งกรรม จำแนกบาปบุญ การดุลกรรม. กรุงเทพฯ: บริษัท สามวิจิตรเพรส จำกัด, ๑ มกราคม ๒๕๕๐.


(แก้ไขข้อมูลล่าสุด : 31 พฤษภาคม 2566)



รูปภาพที่แนบมา: T.jpg (2023-4-28 02:10, 99.58 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MjF8YjkzNjE4ZjR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: o5.png (2023-6-8 09:11, 4.01 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 2
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzMxMjZ8MjkwZjE4MDJ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-11-20 22:19

สารบัญ


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

เล่มที่ ๑  ธรรมะชนะมาร
๑.   ความจริงของการเกิดศาสนา
๒.   ธรรมะสยบมาร
๓.   การเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
๔.   การจะสำเร็จในทางธรรมเกี่ยวกับกรรมเก่าหรือไม่
๕.   พระอรหันต์ในยุคปัจจุบันมีหรือไม่
๖.   เจ้าคุณนรรัตน์
๗.   การทำงานของพระโพธิสัตว์
๘.   พระสงฆ์ควรจะวางตัวอย่างไร
๙.   ธรรมะสำหรับวัยรุ่น อนาคตของชาติ
๑๐.  วิธีเรียนหนังสือให้เก่ง
๑๑.  อธิษฐานบารมีช่วยให้เกิดปัญญา
๑๒.  เตือนเหล่านักเทศน์ธรรมะ
๑๓.  การบวชตามรอยองค์สมณโคดม
๑๔.  บวชเพื่ออะไร
๑๕.  ดูเหมือนว่าเวรกรรมไม่สนองคนชั่ว
๑๖.  คนเกิดมาไม่ครบอาการ ๓๒
๑๗.  มุสาในทางที่ชอบ
๑๘.  พระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว ทำไมต้องชุมนุมเทวดา
๑๙.  ชาตินี้สร้างแต่บุญจะมีโอกาสพลาดไหม
๒๐.  ธรรมชาติเดินไปสู่การสลายของพุทธะ
๒๑.  เมตตาสูตรสยบมาร
๒๒.  สามเมาทิ้งได้ นิพพานมีหวัง
๒๓.  ทำความดีมนุษย์ไม่รู้ เทพพรหมรับรู้
๒๔.  สุนัขมีความซื่อสัตย์
๒๕.  วางระเบียบให้ชีวิต



เล่มที่ ๒  โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ
๑.   โลกวิญญาณตั้งอยู่ที่ไหน
๒.   วิญญาณอิสระ
๓.   อริยทรัพย์
      ………….  รูปก็ดับ นามก็ดับ แล้วเอาอะไรไปเสวยกรรม
      ………….  บัญชีทิพย์
      ………….  วิญญาณไปเกิดได้อย่างไร
      ………….  วิญญาณปฏิสนธิในครรภ์มารดา
      ..…….….  สภาพเด็กเกิดใหม่
๔.   ทำไมจึงเกิดเป็นหญิง

๕.   วิญญาณเข้าสิงร่างมนุษย์                  
      ………….  สภาวะที่วิญญาณเข้าสิง
      ………….  วิญญาณใช้พลังบังคับกายเนื้อ
      ………….  การถอยของวิญญาณ
      ………….  สาเหตุที่วิญญาณเข้าสิงร่างมนุษย์
      ………….  พลังจิตออกทางตา
      ………….  วิชาไสยศาสตร์กับนักพลังจิต
      ………….  วิญญาณกับศูนย์รวมกรรม

๖.   ยมทูตเอาผิดตัว
๗.   กฎของโลกวิญญาณ

๘.   ผีบ้าน ผีเรือน ผีหลอก
๙.   ถ่ายภาพมีวิญญาณปรากฏ
๑๐.  ค้นกายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม



เล่มที่ ๓  สำนักโลกวิญญาณ
๑.   สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ทรงกล่าวถึง พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์
๒.   ทิ้งสังขารสู่พรหมโลก
๓.   ปราชญ์เหนือปราชญ์

๔.   อาณาจักรพระโพธิสัตว์
๕.   เทพพรหมลงมาทำงานจริงหรือ
๖.   สมเด็จโตมีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์
๗.   โลกวิญญาณมาทำงาน
๘.   แดนพรหมโลก

๙.   เทพพรหมผ่านร่างมนุษย์
๑๐.  นิ่งเสียโพธิสัตว์
๑๑.  หลักธรรมะชีวิตประจำวัน
๑๒.  สวดพระคาถาชินปัญชรเพิ่มปุ๋ยใจ



เล่มที่ ๔  สงสารสัตวโลก
๑.   สงสารสัตวโลก
๒.   การเป็นพุทธมามกะ
๓.   เป้าหมายแห่งชีวิต
๔.   หนทางดับทุกข์
๕.   ความสุขอันแท้จริง
๖.   ทำไมสังคมเมืองไทยจึงร้อนนัก
๗.   ความปลอดภัยของสตรีไทย
๘.   แผนการกู้เยาวชนและเศรษฐกิจของชาติ
๙.   เหตุที่เทพพรหมมาทำงาน
๑๐.  การเป็นสื่อมวลชนที่ดี
๑๑.  พระอรหันต์ในสยาม
๑๒.  พระศรีอริยเมตไตรย
๑๓.  กลียุค

๑๔.  ลองของมาก เทวดาอาจลงโทษ
๑๕.  จิตนิ่งเหนือจิต
๑๖.  เทพพรหมทำผิดกฎ
๑๗. ใบโพธิสัตว์



เล่มที่ ๕  จอมปราชญ์แห่งกรุงสยาม
๑.   ปราชญ์แห่งสยาม
๒.   พระบรมสารีริกธาตุจะประชุมพร้อมกันเมื่อปี พ.ศ.๕๐๐๐
๓.   หลักการอยู่ให้อายุยืน
๔.   วิธีอ่านตำราให้จำแม่น
๕.   สร้างพระนอนที่จังหวัดเพชรบุรี
๖.   ชาวคริสต์ใส่บาตรสมเด็จโต
๗.   พระเครื่องของสมเด็จโต
๘.   การปลุกเสกพระเครื่อง
๙.   ห้อยพระเครื่องทำไม
๑๐.  พระสงฆ์ที่บริสุทธิ์ดูยาก
๑๑.  พระจับเงินได้หรือไม่
๑๒.  ทำอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด
๑๓.  การทำงานร่วมกันกับคนหมู่มาก
๑๔.  อย่ายึดชีวิตให้จริงจังมากเกินไป
๑๕.  หลักแห่งการถึงธรรม
๑๖.  สมาธิดีผีไม่กล้าเข้า

๑๗.  สื่อมวลชนที่ดี
๑๘.  ความขัดแย้งของผู้นับถือศาสนา



เล่มที่ ๖  ความพิสดารของโลกวิญญาณ
๑.   มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน
๒.   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับ
๓.   ความลี้ลับของวิญญาณ
๔.   ความพิสดารของโลกสวรรค์
๕.   พระพรหมทำไมมีหลายหน้า
๖.   วิญญาณไม่ยอมเกิด
๗.   สภาวะจิตก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้
๘.   ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า
๙.   ยุคนี้ไม่มีอรหันต์
๑๐.  จะพ้นวัฏฏะได้อย่างไร
๑๑.  นิพพานง่ายๆ มีไหม
๑๒.  อยากไปเที่ยวเมืองนรก
๑๓.  ทำไมจึงเกิดการตายหมู่
๑๔.  ยุคนี้พระศรีอาริย์ลงมาเกิดหรือยัง
๑๕.  ธรรมชาติของจิต
๑๖.  วิธีปลดปล่อยทุกข์

๑๗.  สมเด็จโตห่วงลูกหลาน
๑๘.  สังคมแห่งกิเลสตัณหา ๙๙
๑๙.  พระคาถาชินปัญชร



เล่มที่ ๗  พลังเหนือมนุษย์
๑.   ประวัติพระพุทธสิหิงค์
๒.   การสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ
๓.   อาชีพการขายพระ เช่าพระ บาปหรือไม่
๔.   หลักการปลูกบ้านที่ดี
๕.   สิ่งเป็นมงคลแห่งชีวิต
๖.   เกิดดีก็ต้องตายดี
๗.   หลักสูตรของธรรมะไม่มีอะไรมาก
๘.   อยู่อย่างไม่ให้ผ้าเหลืองร้อน
๙.   พลังเหนือมนุษย์
๑๐.  การปฏิบัติให้จิตเหนือขันธ์
๑๑.  คุณความดีของสมาธิ
๑๒.  การฝึกเตโชกสิณ
๑๓.  การตายระหว่างเป็นจะพ้นทุกข์
๑๔.  ทำอย่างไรให้สังขารเสื่อมช้า
๑๕.  พญานาค ๔ ตระกูล
๑๖.  เหตุใดครุฑกับนาคจึงไม่ถูกกัน
๑๗.  จานบิน
๑๘.  งานของโลกวิญญาณ
๑๙.  พระโพธิสัตว์แห่งยุค



เล่มที่ ๘  กฎแห่งกรรม จำแนกบาปบุญ การดุลกรรม
๑.   บุพกรรมนำเกิด
๒.   ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งความดี
๓.   การเป็นคู่ครองที่ดีจนแก่เฒ่า
๔.   มงคลของชีวิต ๑๐ ประการ
๕.   กระแสแห่งบุญ
๖.   กรรมกับการดุลกรรม
๗.   แผ่เมตตาให้ศัตรูอโหสิกรรม
๘.   การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
๙.   การต่ออายุขัย
๑๐.  กฎแห่งกรรม
๑๑.  การเป็นพระที่ดี
๑๒.  ผู้กล่าวอ้างพระพุทธเจ้ามีบาป
๑๓.  พระไตรปิฎกคือแนวทาง การปฏิบัติคือทางหลุดพ้น
๑๔.  การปฏิบัติตนสู่พุทธะ
๑๕.  วิธีการช่วยบิดามารดาให้พ้นจากนรกอเวจี
๑๖.  วิธีทำบุญโดยไม่ให้พระได้บาป
๑๗.  จำแนกบาป บุญ
๑๘.  ไปรบเวียดนามมีบาปไหม
๑๙.  กรรมที่ทำให้เสียสติ
๒๐.  การแบ่งเพศชายหญิงในโลกวิญญาณ
๒๑.  สรรพสิ่งในโลกนี้เขาสร้างมาเป็นคู่
๒๒.  สัตว์กินสัตว์ควรทำอย่างไร
๒๓.  ตายแล้วไม่สูญ
๒๔.  กรรมบันดาล


IMG_5095.1.png


ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :


เล่มที่ 1


ตอนที่ 1 - 7

http://www.dannipparn.com/thread-326-1-1.html


ตอนที่ 8 - 17

http://www.dannipparn.com/thread-326-2-1.html


ตอนที่ 18 - 25

http://www.dannipparn.com/thread-326-3-1.html

pngegg.5.3.1.png


เล่มที่ 2


ตอนที่ 1

http://www.dannipparn.com/thread-326-3-1.html


ตอนที่ 2 - 10

http://www.dannipparn.com/thread-326-4-1.html

pngegg.5.3.2.png


เล่มที่ 3


ตอนที่ 1 - 10

http://www.dannipparn.com/thread-326-5-1.html


ตอนที่ 11 - 12

http://www.dannipparn.com/thread-326-6-1.html

pngegg.5.3.3.png


เล่มที่ 4


ตอนที่ 1 - 7

http://www.dannipparn.com/thread-326-6-1.html


ตอนที่ 8 - 17

http://www.dannipparn.com/thread-326-7-1.html

p4.png


เล่มที่ 5


ตอนที่ 1 - 9

http://www.dannipparn.com/thread-326-8-1.html


ตอนที่ 10 - 18

http://www.dannipparn.com/thread-326-9-1.html

p5.png


เล่มที่ 6


ตอนที่ 1 - 10

http://www.dannipparn.com/thread-326-10-1.html


ตอนที่ 11 - 19

http://www.dannipparn.com/thread-326-11-1.html

p6.png


เล่มที่ 7


ตอนที่ 1 - 10

http://www.dannipparn.com/thread-326-12-1.html


ตอนที่ 11 - 19

http://www.dannipparn.com/thread-326-13-1.html

p7.png


เล่มที่ 8


ตอนที่ 1 - 10

http://www.dannipparn.com/thread-326-14-1.html


ตอนที่ 11 - 20

http://www.dannipparn.com/thread-326-15-1.html


ตอนที่ 21 - 24

http://www.dannipparn.com/thread-326-16-1.html




รูปภาพที่แนบมา: IMG_5095.1.png (2023-4-28 01:43, 28.17 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MTl8MTM0YjRhZDl8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-9 00:27, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4ODR8MjQ5ZDdhYWN8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-5-9 00:27, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4ODV8NjlmOWE2Nzd8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-5-9 00:27, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4ODZ8NThjOWIwZjV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-5-9 00:27, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4ODd8YzFmMTkxNGJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-5-9 00:27, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4ODh8YmFiOTg2YTJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p6.png (2023-5-9 00:27, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4ODl8YjRiOTdmODZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p7.png (2023-5-9 00:27, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4OTB8MmZhMThhZjd8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 01:33

70.1.jpg



สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

pngegg.5.3.1.png



พระคาถาบูชา  


นะโม โพธิสัตว์โต พรหมรังษี


ชาตะ   


ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก
ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๓๑
เวลาเช้า ๖ นาฬิกา ๓๕ นาที


มรณภาพ   


แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก
ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๑๕
เวลาเที่ยงคืน ๒๔.๐๐ นาฬิกา


สิริรวมชนมายุ  


๘๔ ปี กับ ๖๗ วัน



9.png



สิ่งลี้ลับ สิ่งเหนือความจริง

ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาเนื้อ

และยังมีอีกมากมายที่มนุษย์รู้ไม่ได้

เพราะไม่ถึง

ก็พลอยสำคัญผิดว่าคนอื่นก็ไม่ถึงด้วย


*********


สิ่งใดเราไม่เห็น  เราอย่าเพิ่งเชื่อ
แต่เราต้องเข้าไปค้น
แล้วพิจารณาด้วยเหตุผล  แล้วค่อยเชื่อ
นั่นแหละ  คือสาวกของตถาคต




รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 19:58, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDh8NTY4ZjIzMzV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: 9.png (2023-5-8 19:59, 29.28 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDl8NjU1YjIyZDd8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: 70.1.jpg (2023-5-12 01:00, 185.07 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4OTN8ZjJlM2ZhNDJ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 01:48

1.1.png



ตอนที่ ๑

ความจริงของการเกิดศาสนา



(วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ วันนี้ผู้จัดการหนังสือดำรงศาสนามาที่นี่ครับ หลวงพ่อมีธรรมะอะไรที่จะโปรดครับ บางทีเขาจะได้นำธรรมะนี้ไปลงหนังสือดำรงศาสนาครับ

สมเด็จ : คือในหลักแห่งความจริงของการเกิดศาสนาในโลกนี้ เพราะว่าจิตใจมนุษย์ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม ล้วนแต่เดินไปสู่จุดมุ่งแห่งความหายนะ เพราะความเสื่อมของจิตใจมนุษย์ จึงได้เกิดศาสดาจารย์ต่างๆ ขึ้น เพื่อยกระดับจิตมนุษย์ให้สูงขึ้น ให้เข้าซึ้งถึงสภาพการณ์ของการเกิดเป็นคน

คือในหลักแห่งความจริงของพุทธศาสนาเรานั้น เรายึดมั่นในหลักของกฎแห่งกรรม กฎของอนิจจัง อนัตตา กฎของกรรมวิบากของแต่ละบุคคล สภาวะแห่งการเสวยกรรมวิบากของคนแต่ละคนก็ดี ของอสูรแต่ละคนก็ดี ของพรหมแต่ละองค์ก็ดี ย่อมอยู่ในภาวะแห่งผลของการสืบต่อของกรรมที่ประกอบขึ้นในอดีตกรรม ในปัจจุบันกรรม ต่อเป็นอนาคตกรรม เมื่อภาวะที่ยังอยู่ในวัฏฏะ ยังข้องอยู่ในทางโลก ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ตามภาวะของภพและชาติ

ทีนี้ ในภาวะแห่งการอยู่ของการเป็นคนนั้น ถ้าสภาพดำรงตนอยู่ในสัมมาอาชีพชอบ เมื่อผู้นั้นสิ้นจากโลกมนุษย์ย่อมจะไปเสวยกรรมวิบากในทางสุคติ หรืออาจถึงวิมุตติสุข คือท่านอย่าลืมว่าภาวะแห่งการเป็นคน ขันธ์ซึ่งประกอบขึ้นด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ จะทิ้งอยู่ในโลกนี้ จิตวิญญาณย่อมไปสู่ปรภพ เพื่อเสวยกรรมวิบากแห่งการก่อของตน หากวิญญาณนั้นอยู่ในโลกมนุษย์ตั้งอยู่ในความชั่ว มนุษย์ผู้นั้นย่อมไปเสวยกรรมของตนในกรรมชั่ว

ในภาวะแห่งการรู้การจุติและการเกิดของสัตวโลกนั้น องค์สมณโคดมก็ได้วางหลักแห่งการปฏิบัติไว้ดีแล้ว แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธของกรุงสยามนั้น อยู่ในภาวะที่น่ากลัวก็คือ ผู้ครองศาสนานั้นไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ร่องรอยของพุทธพจน์ และในสภาพการณ์ไม่เข้าซึ้งถึงการเป็นคนก็ดี ไม่เข้าซึ้งถึงการเป็นนักบวชก็ดี ไม่เข้าซึ้งถึงการอยู่รอดของโลกมนุษย์ก็ดี เมื่อผู้ดำเนินการเผยแพร่สัจจะขององค์สมณโคดมยังติดข้องอยู่ในกิเลสของโลกแล้วไซร้ สัจจะแห่งความจริงย่อมถูกปิดด้วยเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่มีตัวโลภครอบงำ

เพราะฉะนั้นในการดำเนินงาน การเผยแพร่สัจจะก็ดี หรือเผยแผ่ธรรมะก็ดี เราควรจะมีแนวและอุดมการณ์ของเราเป็นหลักในการวินิจฉัยเหตุและผล เพราะว่าคำสอนขององค์สมณโคดม หรือว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ความจริงเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติเข้าไป และเราเรียกผู้อื่นมาดูและมาศึกษาได้ นั่นคือ หลักแห่งความจริงของธรรมะ

ทุกวันนี้ วิถีการเผยแผ่ศาสนาของนักบวช ของผู้นำศาสนานั้นไม่ตั้งอยู่ในสัจจะแห่งความจริงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ภาวะนั้นแหล่จึงทำให้ความหายนะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ทุกหย่อมหญ้าอยู่ในทุกวันนี้

ฉะนั้น อาตมาจึงอยากจะให้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นชาวพุทธ ท่านควรจะศึกษา ฝึกในหลักแห่งความจริงของสัจจะ เข้าซึ้งถึงกระแสแห่งวิมุตติ รู้แน่แห่งเอกัคตาจิต แล้วจะเผยแผ่หลักธรรมเข้าสู่หลักแห่งความจริงได้มากกว่านี้



รูปภาพที่แนบมา: 1.1.png (2023-4-28 02:21, 128.17 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MjV8NDVkN2IyZmN8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 02:54

ตอนที่ ๒

ธรรมะสยบมาร


(วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : เจริญพร วันนี้อาตมาจะเทศน์เรื่องเกี่ยวกับหลักแห่งการเข้าซึ้งถึงการเป็นมนุษย์ หลักแห่งการที่จะรู้ว่ากฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนานั้นคืออะไร

ในสภาวการณ์ทั้งหลาย มนุษย์เราติดตัวตน มนุษย์เรายึดอวิชชา มนุษย์เรามักคาดคะเน มนุษย์เราสร้างอุปทาน มนุษย์เหล่านั้นย่อมที่จะไม่เข้าซึ้งถึงจุดแห่งความหลุดพ้นแห่งสังสารวัฏ แห่งกฎแห่งกรรม

ทีนี้ ในพลังทั้งหลาย ปรัชญาแห่งพุทธศาสนานั้น ให้มนุษย์ทั้งหลายว่า หนึ่ง ท่านจงอย่าติดคำนินทา ท่านจงอย่ายินดีต่อคำสรรเสริญ ท่านควรจะวางตนอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาแห่งการใช้จิตนั้นอยู่กลาง ในการวินิจฉัยเหตุผลทั่วไปของสรรพสิ่งแห่งธรรมชาติของอาตมัน

สสาร พลังงานทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยเป็นสิ่งส่งเสริมให้เป็นผล ผลนั้นเกิดขึ้นเพราะมีกรรมแห่งการติดในอดีตสู่ปัจจุบัน จึงนำตนสู่ความหายนะหรือความสำเร็จในอนาคต

ทั้งนี้และทั้งนั้น ท่านทั้งหลาย ท่านต้องวางใจเป็นกลางในการที่จะทำงานเกี่ยวกับพุทธศาสนา ท่านต้องเข้าใจว่า ชีวิตที่ลำบากที่สุดคือชีวิตการเป็นนักพรต นักพรตจะต้องอยู่อย่างอดทน นักพรตจะต้องอยู่อย่างสงบ เพื่อในการรู้กาละแห่งการ นินทา สรรเสริญ กล่าวร้ายของมนุษย์ทั้งหลาย

ท่านทั้งหลาย ถ้าท่านศึกษาในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจนแล้ว ท่านจะเข้าใจว่า องค์สมณโคดมสอนท่านว่าอย่างไร

๑. ท่านจงอย่าเชื่อคำเทศน์ของตถาคต โดยท่านยังไม่ได้ปฏิบัติตามในสิ่งนั้นให้ถึงหลักแห่งสัจจะ


๒. ท่านจงอย่าสร้างอุปทานในสรรพสิ่ง


๓. ท่านจงอย่าเพิ่งคาดคะเนว่าสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ต้องเป็นสิ่งนี้ โดยไม่ได้เข้าไปค้น เข้าไปศึกษา เข้าไปทำ


๔. ท่านจงอย่าเชื่อคำบอกกล่าวของบุคคลที่ท่านเชื่อ ก่อนที่ท่านจะลงความเห็นด้วยความตริตรอง วินิจฉัย


๕. ท่านจะต้องปฏิบัติให้เข้าสู่จุดแห่งความจริง แห่งธรรมชาติอันแท้จริง เมื่อนั้นท่านจึงจะรู้จักตถาคต

สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ทั้งหลายลืมหลักแห่งความจริงที่องค์สมณโคดมสั่งสอนมา บางคนยึดตนเหนือมนุษย์ บางคนถือทิฐิแห่งมโนยิทธิของตนเป็นที่ตั้ง บางคนถูกตัวโลภครอบจนลืม

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงได้เขียนคติไว้ว่า “สามเมาทิ้งได้ นิพพานมีหวัง” คือท่านอย่าเมาโลภ ท่านอย่าเมาโกรธ ท่านอย่าเมาหลง ท่านจงศึกษาคนด้วยการกระทำของเขา ท่านต้องติดตามคนให้ตลอดก่อนที่จะลงความคิดเห็นวินิจฉัยในสิ่งใดๆ โดยการคาดคะเน อย่ามีอุปาทานยึดตนเป็นสรณะ

สรรพสัตว์เกิดขึ้นในโลก เพราะมีกรรมของตนไม่เหมือนกัน เมื่อท่านหวังนิพพาน ท่านต้องทิ้งในการยึดสรรพสิ่ง วางสรรพสิ่ง เมื่อนั้นจะเข้าซึ้งถึงธรรมะแห่งสัจจะอันแท้จริง

ท่านจะเดินทางสู่สวรรค์ ท่านจะต้องมีมหาเมตตาเป็นที่ตั้ง ท่านจะต้องมีสัจจะเป็นสรณะ ท่านจะต้องชำระจิตของท่านให้บริสุทธิ์ นั่นคือทางสวรรค์เปิดรับท่าน

ท่านจะไปนิพพาน ท่านจะต้องอย่ากลัว อย่าหลง อย่าห่วง อย่ายึด เมื่อท่านทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะถึงประตูนิพพาน

เมื่อท่านยังไม่ถึงสิ่งเหล่านี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีศีลเป็นสรณะ ด้วยการอย่าเบียดเบียน กล่าวร้ายป้ายสีเพื่อนมนุษย์ของท่านที่กำลังทำความดี

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงขอเตือนเหล่ามนุษย์ว่า ถ้าท่านถือว่าท่านเป็นพุทธมามกะที่แท้จริง ท่านถือว่าท่านเป็นปัญญาชนที่แท้จริงแล้วไซร้ ท่านจะต้องใช้สมองวินิจฉัยในเหตุผลปัจจัยทั้งหลายที่เกิดขึ้นว่า มันจะต้องมีมูลกำเนิดแห่งที่ก่อจากจุดใด แล้วมันจะเสวยผลในจุดใด


อันนี้ท่านทั้งหลายต้องใช้ความวินิจฉัยอย่างรอบคอบ เมื่อนั้นท่านจะไม่หลงกลเหล่ามนุษย์ที่เรียกว่า ยึดตน

หมายเหตุ ธรรมะสยบมารนี้ ถ้าท่านอ่านทบทวนอย่างพิจารณา มหาพิจารณาแล้ว คงจะพบดวงตาเห็นธรรม


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:00

ตอนที่ ๓

การเป็นชาวพุทธที่แท้จริง


(วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : หลักแห่งความจริงของโลกมีอยู่ว่า ถ้ามนุษย์เราไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งธรรมะ มนุษย์เหล่านั้นก็ยังยึดโทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมนุษย์เหล่านั้นยังยึดโทสะ โมหะ โลภะ แล้วไซร้ มนุษย์เหล่านี้จะต้องตกอยู่ในสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ที่จะสู่แห่งความหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นยาก

เพราะฉะนั้น ท่านอย่าลืม พุทธศาสนา พุทธปรัชญา เกิดขึ้นเพราะว่า องค์สมณโคดมนั้นยึดหลักแห่งความทุกข์ของมนุษย์เป็นสรณะ ในการที่จะขจัดทุกข์ของมนุษย์ จึงได้ทำการค้นในการที่จะหลุดพ้นแห่งวัฏสงสารนั้น แต่ภาวะทั้งหลาย ในขณะนี้ศาสนาพุทธสู่กึ่งพุทธศาสนา มนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่เข้าซึ้ง ถึงแค่เปลือก ก็พยายามที่จะเด่นในวงการศาสนา พกความอิจฉาริษยา

เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย ถ้าท่านประกาศตนที่จะรับใช้งานของโลกวิญญาณแล้วไซร้ ท่านจะต้องมีขันติเป็นสรณะ จะต้องมีปัญญาเป็นแนวทางวินิจฉัยการเคลื่อนไหว ในวิถีการทั้งหลาย ท่านอย่าลืมสงครามเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน สงครามเกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายหนึ่งมีความเบียดเบียน มีตัวโลภเป็นสรณะ จึงเกิดสงครามขึ้น

ในโลกนี้ ถ้ามนุษย์เรารู้จักหันหน้าเข้าปรึกษากัน รู้จักค้นเหตุและปัจจัยแล้วไซร้ สันติสุขย่อมที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ได้ และถ้าทุกคนรู้จักทำสมาธิเป็นสรณะ เพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน คิดมาก โรคประสาทย่อมไม่มีในโลกมนุษย์ การที่ทุกวันนี้โรคประสาทมนุษย์ทวีขึ้น เพราะว่า

๑. ความศิวิไลซ์แห่งวัตถุในโลกมนุษย์เจริญ จิตใจมนุษย์เสื่อม

๒. มนุษย์ค้นไม่พบยาอายุวัฒนะแห่งกายในกาย

คือการฝึกสมาธิเป็นสรณะในการบำบัดความใคร่ก็ดี กามตัณหาก็ดี ความอิจฉาที่ฝังในสันดานก็ดี สิ่งเหล่านี้ เมื่อท่านไม่ใช้สมาธิลับให้คมขึ้นสู่ปัญญาแล้วไซร้ มนุษย์ทั้งหลาย ท่านก็สักแต่ว่า ท่านเป็นชาวพุทธ แต่ท่านไม่ได้เดินตามพุทธะเลย

การเดินตามพุทธะนั้น คือ


๑. ท่านจะต้องวางตนให้เหนือสรรพสิ่ง ที่จะเข้ามากระทบท่านในอายตนะทั้งหลาย


๒. ท่านจะต้องพยายามภาวนาในเมตตาสูตรให้เข้มแข็ง


๓. ท่านจะต้องพยายามบ่มสมาธิให้แน่น

เมื่อนั้นท่านจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง

เจริญพร


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:14

ตอนที่ ๔

การจะสำเร็จในทางธรรมเกี่ยวกับกรรมเก่าหรือไม่


(วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : อยากจะเรียนถามว่า ผู้ที่พยายามปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไม่สำเร็จได้ดวงตาเห็นธรรม จะเกี่ยวด้วยกรรมเก่าหรือไม่

สมเด็จ : คือในปัญหาธรรมะข้อนี้ เราจะต้องแยกแยะให้เป็นหลักของวิชาเป็นขั้นๆ

จุดที่หนึ่ง ท่านต้องรู้จักคำว่า การเป็นชาวพุทธนั้นคืออย่างไร
การเป็นชาวพุทธนั้น ไม่ใช่การยึดมั่นในวัตถุ
การเป็นชาวพุทธนั้น ไม่ใช่อยู่ที่พิธีรีตอง


การเป็นชาวพุทธก็คือว่า พุทธะคือผู้รู้ รู้แจ้งแทงตลอดในกุศล อกุศล รู้ฌาน รู้อรหันต์ รู้ความจริง รู้การเป็นคนว่าอยู่อย่างไร สภาวะระหว่างเป็นคนต้องใช้กรรมตามวาระ กุศลส่งวิบากเกิดเป็นคน

ทีนี้ ในภาวการณ์แห่งการเป็นมนุษย์นั้นแล จุดสำคัญในการปฏิบัติคือว่า ถ้าเรายังเป็นชาวพุทธปุถุชน ชาวพุทธก็ต้องแยกออกไปว่า พุทธโสดาปัตติมรรค พุทธอนาคามี พุทธอรหันต์ พุทธเข้าสู่พุทธะ


เพราะฉะนั้น ระหว่างที่เราเป็นชาวพุทธปุถุชนนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีสัมมาอาชีวะแห่งการเลี้ยงชีพชอบ ทีนี้ในสัมมาแห่งการเลี้ยงชีพชอบนี้แล อำนาจแห่งสมาธิย่อมไม่สงบ เพราะว่าต้องใช้สมองในด้านประสาทแห่งการนึกและคิด แห่งการดำรงตนเพื่ออยู่รอดของคำว่าเกียรติและชื่อเสียงในโลกมนุษย์ที่สมมติ

ทีนี้ผู้จะเข้าซึ้งถึงดวงตาแห่งการเห็นฌาน เห็นญาณนั้น

จุดแรกก็คือว่า ท่านละได้หรือไม่ เป็นจุดสำคัญ ท่านยังยึดว่า ท่านจะต้องเป็นมหาเศรษฐีหรือไม่ ท่านยังยึดว่า ท่านจะต้องเป็นผู้มีเกียรติหรือไม่ ท่านยังยึดว่า ท่านนี้เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์หรือไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านยังทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้วไซร้ ไม่มีทาง

อาตมากล้าพูดว่า การที่จะถึงฌาน ญาณ นั้น ผู้นั้นจะต้องละในสักกายทิฐิแห่งความยึดตน เมื่อละในสักกายทิฐินี้ได้ การเข้าสู่ถึงอำนาจฌานญาณนั้นไม่ขึ้นกับกุศลและอกุศลในอดีตชาติ ขึ้นอยู่กับปัจจุบันชาติ ว่าตนนั้นมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แห่งความแน่วแน่ในการอุตสาหะปฏิบัติธรรมหรือไม่

ทีนี้ เข้าสู่ในปัญหาประเด็นว่าจะเห็นธรรมขั้นไหน ถ้าผู้ที่สำเร็จในโสดาปัตติมรรค ผู้ที่จะสำเร็จเป็นอนาคามี ผู้ที่จะสำเร็จอรหันต์ แต่ยุคนี้ทำยาก พวกเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคำว่ากรรมวิบากในอดีตส่งผลปัจจุบันนี้ว่าจะถึงหรือไม่

เพราะฉะนั้น คำถามนี้อาตมาขอตอบว่า ถ้าท่านจะเอาแต่อำนาจแห่งฌานญาณ ของปฐมฌาน หรือตติยฌานแล้ว อยู่ที่ท่านมีความอุตสาหะวิริยะในการปฏิบัติ ในการละจากการครองเรือนหรือไม่

ถ้าพูดในเรื่อง คำว่าสำเร็จเป็น โสดาปัตติมรรค อนาคามีและอรหันต์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยกฎของกุศลและอกุศลในอดีตชาติเข้ามาพัวพันในปัจจุบันชาติ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:17

ตอนที่ ๕

พระอรหันต์ในยุคปัจจุบันมีหรือไม่



สานุศิษย์ : ผมสงสัยว่าในยุคปัจจุบันนี้ ยังมีผู้ที่สำเร็จเป็นอรหันต์เช่นเดียวกับในสมัยพุทธกาลบ้างหรือเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครสำเร็จเป็นอรหันต์

สมเด็จ : ในขณะนี้อรหันต์เขาไม่มาเดินอยู่ในเมืองหลวง อรหันต์เขาไม่มายุ่งในหมู่คณะ และในอันนี้อาตมาได้ตอบไว้นานแล้วว่า อรหันต์ในยุคนี้มีอยู่เพียง ๕ องค์ ปัจจุบันเหลือแค่ ๓ องค์ และก็อยู่ในป่าลึกที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าไปไม่ได้


เพราะว่า กระแสในการแห่งการเป็นอรหันต์นั้น ถ้ามาใช้การปฏิบัติในปัจจุบันนี่ เขาหาว่าผู้นี้คือคนบ้า เพราะฉะนั้น ในการถึงกระแสอรหันต์ ก็คือว่า ผู้ที่สำเร็จอรหันต์ ความทุจริตประจำใจไม่มีในมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม วจีกรรมพร้อมที่จะเป็นผลต่อมวลมนุษย์ ยินดีที่จะแสดงธรรมเพื่อความหลุดพ้นของสัตวโลก

สานุศิษย์ : สำหรับความนึกคิด ความรู้ของวิญญูชนนี่ จะสามารถทราบได้ไหมว่าองค์ไหน หรือว่าท่านผู้ใดเป็นอรหันต์ มีวิธีสังเกตประการใด

สมเด็จ : ถ้าไม่มีอำนาจฌานญาณแล้วไม่ต้องพูดถึง ไอ้คำว่าวิญญูชนนี่ อย่าใช้กับไอ้โตหน่อยเลย สมัยนี้มึงเรียนดีกรีสองเล่ม มึงก็บอกว่า มึงเป็นวิญญูชน เป็นปัญญาชน ไอ้สิบห้าดีกรี สามสิบสองดีกรีก็ใหญ่แล้ว


ปัญญาชน ก็คือ ต้องมีอำนาจกระแสจิต มีเจโตปริยญาณ จึงสามารถหยั่งรู้กระแสอรหันต์

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:19

N1.JPG


ตอนที่ ๖

เจ้าคุณนรรัตน์



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ มีคนสงสัยว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์แห่งวัดเทพศิรินทร์ ที่ท่านสิ้นไปแล้วนั้น ขณะนี้ท่านไปแดนอรหันต์หรือไปแดนไหน

สมเด็จ : คือในสภาพการณ์ มนุษย์ไม่เข้าใจ อะไรเรียกว่าอรหันต์ อะไรเรียกว่าโพธิสัตว์ อะไรเรียกว่าอริยบุคคล อะไรเรียกว่าพรหม อะไรเรียกเทพ เขาเรียกว่า ตนทำไม่ถึง ทุกอย่างก็ว่าเป็นไปไม่ได้

ในภาวะที่คนมีชื่อเสียงในอดีต หรือว่าคนที่มีเกียรติ มีตำแหน่งเป็นอะไรที่มนุษย์สมมติขึ้นในสังคม พอมาบวช มาปฏิบัติ คนก็สนใจ แต่ถ้าเป็นเด็กชาวนาหรือว่าเด็กสับปะรังเคคิดที่จะทำความดี คนไม่สนใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมกลียุคเป็นเช่นนี้

ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ได้ทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์แล้วก็ไปอยู่พรหมโลก ในขณะนี้อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วก็พบกับอาตมาบ่อย เรียกว่าในพรหมโลก เป็นเวลาตั้งนานแล้วในศตวรรษนี้ยังไม่เคยได้ต้อนรับพรหมสักองค์หนึ่งจากโลกมนุษย์เลย ก็มีท่านเจ้าคุณนรรัตน์นี่แหละ เขาก็พบอาตมาบ่อย ก็เลยพยายามเตือนอาตมา ห้ามอาตมา บอกว่า

“ท่านโต ท่านนี้พ้นแล้ว ท่านก็เป็นนักปราชญ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่มีใครเปรียบท่านได้ สมัยที่ฉันยังมีสังขารอยู่ ฉันไม่ได้มาพบท่านที่มาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์นี้ แต่ฉันก็ได้อ่านในบทความและการทำงานของท่านที่ทำอยู่ แต่ว่าตามหลักแล้ว สัตวโลกปัจจุบันนี้เป็นการยากที่จะโปรดได้


ฉันนี้ สมัยที่ยังมีขันธ์และเป็นข้าเก่าของรัชกาลที่ ๖ มีตำแหน่งเป็นพระยา คนนับหน้าถือตา พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันทั้งพระราชินีก็นับถือฉัน เหตุไฉน ฉันจึงปิดประตูไม่พบมนุษย์เล่า ก็เพราะว่ามนุษย์ในยุคนี้ เลวยิ่งกว่าหมา ท่านโต ท่านพ้นขี้แล้ว ทำไมจึงไปยุ่งกับขี้อีกเล่า” นี่คือคำพูดของพระนรรัตน์ ที่พูดกับอาตมาแทบทุกครั้งที่เจอหน้า

ทีนี้ อาตมาถือว่า ในการมาทำงานครั้งนี้ ขรัวโตเป็นคนที่เชื่อมั่นในความสามารถของตน จึงได้มาทำงานในครั้งนี้ แต่ว่ามนุษย์จะร่วมมือกับอาตมา จะทำงานจริงหรือไม่ และมนุษย์บางคนก็ถือทิฐิ ท่านต้องเข้าใจว่า ในภาวะเช่นนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นว่าสำนักปู่สวรรค์ทำความดี เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันมีตัวอิจฉา มีตัวโลภ มีตัวโกรธ กลัวคนอื่นเด่นกว่าตน สิ่งเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในสันดานมนุษย์ในยุคนี้

เพราะฉะนั้น ท่านที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ หรือว่าท่านที่เป็นผู้ที่ห่มผ้าเหลืองแล้ว ในภาวะเช่นนี้ ท่านควรเจริญในด้านเมตตา เจริญในด้านสติ เจริญในด้านวิปัสสนากรรมฐานให้แข็งแกร่ง เพื่อต้อนรับกับเหตุการณ์ในโลกมนุษย์


ซึ่งอาตมาทำอะไร เขาเรียกว่า สมเด็จโตเป็นคนเปิดเผย แต่ขณะนี้โลกมนุษย์เขาไม่ส่งเสริมคนทำความดี เพราะอยู่ในภาวะที่อธรรมครองโลก ไม่ใช่ธรรมครองโลก ทีนี้ธรรมะจะครองโลกได้อย่างไร ก็ต้องใช้ความสุขุมและใช้ปัญญาเข้าใจไหม



รูปภาพที่แนบมา: N1.JPG (2023-4-28 11:22, 98.87 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDJ8M2JkOTQyY2V8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:22

ตอนที่ ๗

การทำงานของพระโพธิสัตว์



คุณประเสริฐ สุทธิพิมพ์ : กระผมได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อสมเด็จมาแล้ว โดยมากอ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์ครับ วันนี้ผมได้มาพบ ผมอยากจะถามปัญหาหลวงพ่อสักหน่อยครับ คือว่าการเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นอรหันต์นี้ เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือในสภาวการณ์การเป็นอรหันต์ก็ดี การเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี นิพพานก็ดี สิ่งเหล่านี้ สามคำนี้ พูดง่าย แต่ทำยาก การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น จะต้องมีกระแสแห่งความเมตตา เขาเรียกว่า มีมหาเมตตา และมหาวิริยะ อารมณ์ของพระโพธิสัตว์ ทุกวิถีทางที่จะทำอย่างไรให้สัตวโลกพ้นทุกข์ อารมณ์ของพระโพธิสัตว์นั้น มีความพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยโปรดสัตว์

อาตมาบอกแล้วว่า สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ในกลางกลียุคเช่นนี้ ก็ต้องการที่จะมาระงับความร้อนในโลกมนุษย์โดยการไม่ต้องใช้อาวุธ แต่จะทำไปถึงจุดหมายปลายทางได้ขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับมนุษย์ต่อมนุษย์ และขึ้นอยู่กับลูกมือ ว่ามีความเข้มแข็งหรือไม่

คือ หนึ่ง การทำงานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าท่านยังมีความอาย ท่านก็จงอย่าทำ แต่ถ้าท่านจะทำ ท่านก็ต้องไม่มีความอาย และต้องพิจารณาแล้วว่า สิ่งนี้สมควรที่จะทำ คือการทำงานสิ่งใดก็แล้วแต่ในโลกนี้ ย่อมที่จะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้เกลียดชังเป็นธรรมดาของโลก ตั้งแต่เปิดโลกแล้ว

ถ้าท่านมีจิตแห่งความเมตตาเป็นสรณะ และมีความยึดมั่นในคติ ๔ ประการ ที่อาตมาเตือนแล้วเตือนอีกว่า เรามีขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา แล้วท่านไม่ต้องกลัว

ถ้าท่านเชื่อว่าเทวดามีจริง เทพพรหมมีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เขาย่อมคุ้มครองท่าน ถ้าท่านทำงานด้วยมีอุดมการณ์ ๔ ประการ คือ ขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะโลกขณะนี้ สังฆมณฑลก็ดี พุทธจักร อาณาจักรก็ดี ไม่มีคนกล้าทำงานอย่างจริงจัง กลัวอำนาจ กลัวอิทธิพล เมื่อท่านยังกลัวอำนาจอิทธิพลแล้วไซร้ ท่านย่อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมไม่ได้ สังคมมนุษย์ก็ไม่มีการที่จะหยุดใช้อาวุธ

ผู้ที่ได้เป็นผู้นำ ก็เพราะคนยอมให้นำ จึงเป็นผู้นำได้ ถ้าคนไม่ให้นำ จะเป็นผู้นำได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าคิด เรามีความบริสุทธิ์ต่อสัตวโลก เราต้องกล้าเดินเข้าไปหา ไม่ว่าจะเป็นผู้นำฝ่ายใด

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ทุกอย่างอาตมาจะเป็นผู้บุกเอง แต่ยังขาดปัจจัย ขาดมนุษย์ที่จะช่วยร่วมมือ แล้วกาลเวลาก็ไม่คอยท่า วัน เวลา นาที ชั่วโมง ผ่านไปแล้ว ท่านจะเอาเงินล้านซื้อกลับมาไม่ได้แม้แต่หนึ่งนาที เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว ฉะนั้น ก็จะดูว่ามนุษย์จะมีความเสียสละขนาดไหน เพื่อช่วยมนุษย์อีกเป็นล้าน

สิ่งเหล่านี้ ถ้าท่านยังห่วงสมบัติ ท่านก็จะไม่มีสมบัติครอง ท่านห่วงที่ดิน ท่านก็จะไม่มีที่ดินอยู่ แล้วประเทศไทย หรือว่าสยามนี้เป็นเอกราช ไม่เคยตกเป็นทาสใคร ไม่เคยถูกแบ่งแยก แต่ถ้ามาถูกแบ่งแยกต้องตกเป็นทาสในยุคของท่านแล้ว อาตมาขอถามว่า ท่านจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษของท่านได้หรือ สิ่งเหล่านี้ การเสียสละนิดๆ หน่อยๆ ท่านมองข้าม หวง ยึด ก็ขอให้ยึดไปได้ตลอดเถิด

เจริญพร


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:25

ตอนที่ ๘

พระสงฆ์ควรจะวางตัวอย่างไร



สานุศิษย์ : ข่าวหนังสือพิมพ์สมัยนี้ ชอบลงข่าวเกี่ยวกับความเสื่อมเสียของวงการพระสงฆ์นั้น ในยุคนี้พระสงฆ์ควรจะวางตัวอย่างไรครับ จึงจะเหมาะสม

สมเด็จ : ในเรื่องเหล่านี้ ถ้าภิกษุสงฆ์ทุกองค์ปฏิบัติตามวินัย ก็จะไม่มีปัญหา

พระสงฆ์ เมื่อเรื่องภัตตาหารไม่ต้องห่วงแล้ว พระสงฆ์ยังต้องการอะไรอีก และในการวางตัวควรหลีกเลี่ยงการคุยกับสตรี ถ้าจำเป็นต้องคุย ก็อย่ามองหน้า

ในยุคโลกาภิวัตน์เช่นนี้ พระสงฆ์จะทำอย่างไรเล่า ที่จะอยู่ได้อย่างสันโดษ สงบ สันติ

ในการนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงวางหลักการให้ไว้ว่า พระสงฆ์ไม่ควรไปในที่ที่เขาไม่ได้นิมนต์ และไม่ควรไปในสถานที่ ๕ แห่ง สถานที่ห้าแห่งนั้นคือ

๑. สถานที่หญิงแพศยา อย่างในสมัยนี้ก็มีสถานที่เริงรมย์ต่างๆ เช่น ผับ บาร์ ฯลฯ


๒. สถานที่ของหญิงหม้าย

๓. สถานที่อยู่ของสาวแก่


๔. สถานที่อยู่ของพวกบัณเฑาะก์ หรือพวกกะเทย


๕. ที่พักของภิกษุณี
ในสมัยนี้ก็เป็นที่พักของแม่ชี

สถานที่เหล่านี้ถ้าภิกษุสงฆ์ไป แม้แต่พระอรหันต์ก็จะถูกนินทา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ในสมัยนี้ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับพระสงฆ์เกิดขึ้น เราก็อย่าไปหวั่นไหวว่า พระพุทธศาสนาเสื่อมแล้ว

เราต้องคิดว่า ขณะนี้เมืองไทยมีพระสงฆ์ตั้งสองแสนกว่ารูป แล้วพระทำผิดเพียงไม่กี่รูป ไม่ใช่ว่าจะเสียไปทั้งหมด พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอีกมาก อันนี้เราต้องรู้จักใช้ปัญญา แยกแยะวินิจฉัย

ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ครั้งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านเป็นอรหันต์แล้ว ได้เดินทางไปทางภูเขาหิมาลัยผ่านเข้ามาทางลุมพินีวัน ทางเนปาล ขณะนั้นอากาศหนาวจัด จำเป็นต้องหาที่พักแรมก็เข้าไปสถานที่พักแห่งหนึ่ง


ถ้าในสมัยนี้ก็เรียกว่าโรงแรม แต่เผอิญไม่มีห้องพักว่างเลย เต็มหมด เจ้าของโรงแรมนั้นเป็นผู้หญิง เป็นหญิงหม้าย ก็บอกว่า “พระคุณเจ้า ถ้าไม่รังเกียจก็เชิญเข้ามาพักในห้องเดียวกับฉัน” ท่านพระสารีบุตรก็เข้าไปพักในห้องหญิงนั้น แต่อยู่กันคนละเตียง

หลังจากนั้น ท่านพระสารีบุตรกลับไปวิหารเชตวัน ก็ไปเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติวินัยออกมาว่า ห้ามภิกษุสงฆ์อยู่กับสตรีในที่ลับ พระสารีบุตรถามว่า ทำไมพระองค์จึงทรงบัญญัติวินัยนี้

พระพุทธองค์ทรงตอบว่า ฉันนี้เล็งเห็นการณ์ไกลในอนาคต เธอนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้าในอนาคต ถ้าเกิดเป็นพระปุถุชนเล่า แล้วไปขังอยู่ในห้องเดียวกับสตรี อะไรจะเกิดขึ้น

ฉะนั้น วินัยย่อมตามหลังพระทำผิด เหมือนกฎหมายตามหลังโจร ฉันใดก็ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุสงฆ์ดำเนินตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ตามแนวนี้แล้ว ภิกษุสงฆ์นั้นก็สามารถที่จะครองตนเป็นสมณะได้ตลอดไป แต่ถ้าภิกษุสงฆ์ไม่ดำเนินตามหลักนี้แล้ว ภิกษุสงฆ์นั้นก็ย่อมเกิดปัญหาขึ้นได้


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:31

ตอนที่ ๙

ธรรมะสำหรับวัยรุ่น อนาคตของชาติ



คุณประพันธ์ อุธะนุต :
ผมอยากจะถามว่า วัยรุ่นจะต้องปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้ถึงซึ่งพระพุทธพจน์ที่ว่า “ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม”

สมเด็จ :
คือธรรมชาติได้แบ่งมนุษย์เป็น ๓ วัย ตอนที่หนึ่ง คือ ตอนวัยศึกษา ตอนเด็กนั้นอย่าไปว่า เพราะว่าตอนวิญญาณปฏิสนธินั่นต้องว่าเพลงยาวกันแล้ว เอาแค่สามตอนในการเกิดเป็นคน

ตอนที่หนึ่ง คือตอนวัยศึกษา ระหว่างแห่งวัยศึกษานี้แหละ เราจะต้องพยายามควบคุมตัวเองว่า เรานี้อยู่ในสถานที่ในการเรียนนี้ เรียนเพื่ออะไร เรียนเพื่ออนาคตแห่งตอนที่สอง เพื่อในการครองคู่ นี่ว่าตามหลักของโลกียะ

ภาวการณ์นี้แหล่ เราจะทำยังไง เราควรพยายามศึกษาในขอบในเขต ในประเพณี เมื่อเราเป็นนักศึกษาแล้วไซร้ เราควรวินิจฉัยใช้สมองในการอ่านตำราว่าสิ่งใดควรเป็นสรณะ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินงาน ตำราใดควรจะอ่านแล้ววาง ตำราสิ่งใดเป็นการปลุกกามารมณ์ให้เราไปทางชั่ว เราก็อย่าไปยุ่งกับมัน

สิ่งสำคัญ เราจะต้องควบคุมสติของเราว่า อย่าเชื่อ อย่าคล้อยตามโลก อย่าเชื่อตามคน อย่าเอนตามลม

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะพร้อมว่า คนเป็นบัณฑิตเราเข้าใกล้ คนพาลเราห่างไกลแล้วไซร้ เราก็จะเป็นเด็กที่ดีขึ้นมา ในอนาคตกาลชาติของสยามก็จะมีแต่คนดี

ทีนี้ เราจะต้องตั้งมั่นว่า การศึกษานี้เพื่อเป็นหลักในการดำรงชีพ เพื่อสัมมาอาชีวะในการครองเรือน นั่นคือในวัยการครองเรือน สภาวการณ์แห่งวัยครองเรือนนี้แหล่ เพื่อในการที่จะว่าตามสัตวโลก เพื่อต้องการให้มีผู้สืบสกุลต่อ แล้ววัยสุดท้าย ก็คือวัยนักพรต นั่นคือหาความสงบทางจิต

หลักของการเป็นวัยรุ่นในยุคปัจจุบันนี้ ถ้าเข้าซึ้งในหลักแห่งการว่า เราได้เรียนนี้ พ่อแม่ทุกคนอาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อส่งเสริมให้เราเห็นอนาคตของเรา ให้ในการครองเรือนของเราดี แล้วเราจะได้เป็นที่ชื่นใจของบิดามารดา ญาติโยมโหตุ ไม่ใช่ส่งให้เราไปเป็นคนผลาญ เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กทุกคนมีคติเตือนตนแค่นี้ ก็ย่อมที่จะไม่หลงไปตามแสงสีแห่งศิวิไลซ์ แห่งความโง่เขลาที่เป็นสิ่งจอมปลอม โกหกว่านั่นคือความสุข

เพราะว่ามนุษย์ที่สร้างมนุษย์เหล่านี้ขึ้นมานี้ เป็นมนุษย์เหล่าปีศาจหรือเหล่าอสูรกายที่บำเพ็ญเป็นกัปๆ กัลป์ๆ ได้ขึ้นมาจากนรกโลก เพื่อมาเสวยกรรมแห่งการเป็นมนุษย์ในยุคนี้ ทีนี้ เขาเหล่านี้ไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งความจริงของความสุขอันแท้จริง ก็ได้วางหลักในวิถีการสร้างสิ่งที่เรียกว่า กลัวตาย พยายามสร้างสิ่งจอมปลอมขึ้นมาว่า นี่แหละคือความสุข เพื่ออำพรางความจริงของสัจจะ

เพราะฉะนั้น ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ถ้าเหล่าผู้นำในวงการศึกษาคล้อยตามภาวะแห่งความศิวิไลซ์ ไม่พยายามเอาหลักแห่งศีลแห่งธรรมะเข้าครอบงำในสถาบัน ในสำนัก ในหลักของผู้ที่ศึกษา เยาวชนของชาติก็ย่อมไม่มีศีลธรรมประจำใจ เมื่อมนุษย์ไม่มีศีลธรรมประจำใจ อารมณ์สัตว์ก็เข้าครอบงำ เมื่ออารมณ์สัตว์เข้าครอบงำ ความฉิบหาย ความหายนะ ก็เข้าสู่คนๆ นั้น


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:34

ตอนที่ ๑๐

วิธีเรียนหนังสือให้เก่ง


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ ลูกอยากทราบว่า มีวิธีอย่างไรทำให้เรียนเก่ง

สมเด็จ : คือการที่จะให้เรียนเก่ง การที่จะให้ทำอะไรเก่งนั้น ท่านต้องปลูกในความฉันทะของตนให้เกิดขึ้นเป็นสรณะ ในระหว่างการที่จะท่องตำรานั้น จะต้องวางหมดทุกสิ่งสรรพสิ่ง ในการนัดหมาย นัดแนะ การไปไหนกับเพื่อนฝูงหรือการนัดแนะในการที่จะไปเที่ยวไหนกับแม่หญิงหรือพ่อชายทั้งหลายก็ดี

เพราะฉะนั้น จุดสำคัญทั้งหลายก็คือ การที่จะให้กระแสแห่งตำราเข้าสู่สมองได้ ก็ต่อเมื่อระหว่างอ่านตำรานั้น ท่านจะต้องไม่มีอุปสรรคในการตะขิดตะขวงใจในสิ่งใดๆ เมื่อนั้นท่านจะเรียนดีและคล่องดี คือต้องปลูกความฉันทะในตำรานั้นๆ แล้วก็จะต้องวางในการนัดแนะผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องทิ้งหมดทั้งความสุข ความทุกข์ จดจ่อสมาธิอยู่ในตำรานั้น เมื่อนั้นท่านจะเป็นนักอ่านที่ชาญฉลาด และจะเป็นผู้ที่ปรีชาได้

แต่ถ้าท่านคิดว่า ตามเรื่องตามราว ข้าจะอ่านเมื่อไหร่ก็อ่าน ข้าจะตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่น พอใจก็อ่าน ไม่พอใจก็ถีบตำราเสีย เมื่อนั้นท่านก็ย่อมที่จะเป็นนักศึกษาที่ดีไม่ได้ เขาเรียกว่า ชีวิตนี้ท่านจะต้องอยู่ด้วยความมีระเบียบ ต้องมีการควบคุมตัวเอง


เมื่อนั้นท่านจะดำเนินสู่จุดหมายปลายทาง ไปถึงจุดแห่งความสำเร็จไม่มากก็น้อย เพราะว่าเราจะกำหนดชะตาชีวิตของเรา ตามอุปทานแห่งมโนยิทธิของเราไม่ได้ เพราะว่าทุกคนต้องเสวยกรรม


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:38

ตอนที่ ๑๑

อธิษฐานบารมีช่วยให้เกิดปัญญา


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : ขอประทานบารมีหลวงพ่อ ขอประทานให้เกิดปัญญาครับ  

สมเด็จ : การทำให้เกิดปัญญามีหลักก็คือ พยายามทำสมาธิ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสรณะ ถ้าสมาธิฟุ้งซ่านก็ดี หรือกระแสจิตไม่รวมก็ดี อันนี้ต้องใช้อธิษฐานบารมี การใช้อธิษฐานบารมีก็คือว่า จงอธิษฐานระหว่างก่อนนั่งสมาธิว่า

“เมื่อในกรรมดีที่ข้านี้เคยสร้างในอดีตชาติ ขอให้จงนำผลนั้นมาส่งในปัจจุบันชาติ เมื่อในกรรมดีที่ข้านี้จะเสวยในอนาคตชาติ ขอให้กรรมนั้นจงมาสนองช่วยให้ข้าหลุดพ้นในปัจจุบันชาติ”

นี่คือการใช้อธิษฐานบารมีช่วย แล้วพยายามใช้หลักความเมตตาเข้าข่ม เมื่อนั้นสติย่อมจะไม่เผอเรอ เขาเรียกว่ามีสมาธิ การมีสมาธิย่อมมีปัญญา ทำอะไรย่อมสุขุม ผู้ที่ทำอะไรฟุ้งซ่าน ผู้ที่ทำอะไรเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ผู้นั้นคือไม่มีสมาธิ หลงตน ยึดตน


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:39

ตอนที่ ๑๒

เตือนเหล่านักเทศน์ธรรมะ


(วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : การเผยแผ่ธรรมะ การที่จะไปสอนอะไรก็แล้วแต่ อาตมาอยากจะขอเตือนท่านนักเทศน์ยุคนี้ว่า

ขณะนี้สิ่งที่เราสอน เราสอนตามทฤษฎี ตามตำราที่เราอ่านมา จะเป็นมหากี่ประโยคก็เรื่องของเรา แต่เราควรสอนว่า สิ่งนี้เราว่าตามตำรานี้ แล้วก็เรายังไม่ได้ทำ ทีนี้จะจริงหรือไม่จริง ถึงไม่ถึง ก็ขอให้ท่านวินิจฉัยเอง อย่าพยายามสอนแบบที่บางคนชอบตู่พระพุทธองค์ คือว่าพระพุทธเจ้ามีรับสั่งว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้ามีรับสั่งว่าอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้คือมนุษย์ผู้นั้นไม่ได้ทำ

ถ้าว่าตามหลักในสังคมขณะนี้ สังคมแห่งการเป็นครู ศาสนาพุทธล้วนแต่คัมภีร์เปล่า ถ้าไม่ล้วนแต่คัมภีร์เปล่า ในเรื่องอำนาจฌานญาณก็จะต้องมีคนฝึกได้ ปรากฏให้คนเห็นได้

เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร ท่านก็จะต้องทดลองทำในสิ่งนั้น ถ้าว่าตามหลักแล้ว ก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ สิ่งที่พระองค์จะเทศน์ออกมานั้น สิ่งนั้นพระองค์จะต้องทดลองทำได้แล้วจึงพูด แต่ว่านักสอนยุคนี้ไม่ได้ตามรอยตถาคตเช่นนั้น ก็คือว่า จำ ท่อง แบบนกแก้วนกขุนทอง แล้วก็มาพูด แล้วก็ไม่ยอมทำ

ฉะนั้น สภาวะเช่นนี้ ศาสนาพุทธจึงเพียงเป็นปรัชญาแขนงหนึ่ง ที่เขาเรียนไว้เพื่อการโต้เถียงกัน ไม่ได้เรียนไว้เพื่อปฏิบัติถึงธรรม จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด น่าสังเวช จึงทำให้ในหลายๆ อย่างในวิชาของพระพุทธองค์ ไม่สามารถปรากฏในยุคปัจจุบัน

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ขอมอบให้พวกนักบวชไปพิจารณา ว่าจะทำอย่างไร จึงจะให้พระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์เป็นอมตะอย่างจริงจัง ไม่ใช่ตายด้านแบบปัจจุบัน


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:41

ตอนที่ ๑๓

การบวชตามรอยองค์สมณโคดม


(วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



สานุศิษย์ : พระบวชแล้วควรสึกหรือไม่ครับ

สมเด็จ : คือในสภาพการณ์ เราต้องเข้าซึ้งถึงก่อนว่า องค์สมณโคดมบวชเพื่ออะไร

องค์สมณโคดมบวชนั้น ได้เข้าซึ้งถ่องแท้ถึงวิถีการของการเป็นสัตวโลก ถึงการเสวยกรรมวิบากของการเป็นมนุษย์ การเป็นสัตว์ การเป็นอะไรก็ดี ล้วนแต่เป็นสิ่งอนิจจังไม่เที่ยง เคลื่อนไปสู่ความสลายของกรรมนั้นๆ เมื่อภาวการณ์ถ่องแท้ในหลักแห่งความจริง จึงได้เกิดการเรียกว่ารู้ทันของอารมณ์ จึงได้สละเพศแห่งการจะเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต มาสู่การเป็นพระธรรมราชา

ฉะนั้น พระบรมศาสดาจารย์แห่งยุค ไม่เคยบัญญัติว่าบวชแล้วสึก ถ้าบวชแล้วสึกแล้วไซร้ อรหันต์ย่อมไม่เกิดขึ้น พระอริยเจ้าย่อมไม่มีสืบต่อจนถึงยุคปัจจุบันนี้

เพราะฉะนั้น การที่เอาชายผ้าเหลืองมาเป็นกฎของประเพณี ซึ่งว่าตามหลักของความจริงของกรรมวิบากแล้ว ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะอะไร เพราะก่อนที่จะบวชนั้น ท่านต้องพิจารณาดีแล้ว ถ่องแท้แล้วถึงการอยู่ครองเรือน ถ่องแท้แล้วถึงการมีห่วง ว่าตนนั้นจะสละจากบ่วง พูดง่ายๆ โลกกับธรรมเดินไปคู่ โลกพยายามสร้างสิ่งที่ไกลจากความจริง แต่ธรรมพยายามสอนให้รับรู้ความจริง ให้เข้าไปหาความจริง แต่ทุกวันนี้ การบวชกลายเป็นหลักของการบวชตามประเพณี

ท่านอย่าลืม ท่านบวชแล้วสึก เสียเวลาทั้งผู้บวช และผู้ที่ต้องไปเป็นสักขีพยานในการนั้นๆ และเป็นการเสียเศรษฐกิจ บาตรซื้อมาใช้ไม่เท่าไหร่ก็ทิ้ง บาตรทิ้งเป็นร้อยๆ ซื้อจีวรมาห่มยังไม่ทันอุ่น จีวรนั้นทิ้ง ถ้าว่าตามกฎของความประหยัดแล้ว ถือว่าไม่ตั้งตนอยู่ในความประหยัดของทางโลก ของของโลกสลายอยู่กับโลก เราก็ต้องรักษาให้โลก

การห่มผ้าเหลือง บางคนห่มเพียงให้เขารู้ว่าฉันเป็นพระเท่านั้น จิตใจไม่ได้เป็นพระเลย ก็ย่อมนำความเสื่อมมาสู่เหล่าสาวกที่ชื่อว่าพระสงฆ์

อาตมาสมัยมีสังขารอยู่ อาตมาก็เคยปรารภเรื่องนี้กับเหล่าผู้นำศาสนาในยุคนั้นว่า

เราควรจะจัดในระบบการบวชใจก่อน คือท่านจะบวชกี่วันนั้น ท่านไม่ต้องไปโกนหัวหรอก ท่านมานั่งเรียนในหลักของการสวดมนต์ ท่านมาฝึกจิตของท่านให้สงบ อาตมาคิดว่ามีอานิสงส์กว่า

ทีนี้ ในหลักอันนี้ ตั้งแต่ในสมัยนั้นถึงสมัยนี้ คนเขาก็ไม่ยอมเอา และอีกอย่างหนึ่ง ผู้นำศาสนาทั้งหลายมักจะถือการบวชนี้ เป็นการหาปัจจัยเข้าวัด พูดง่ายๆ เอาผ้าเหลืองเป็นการหาปัจจัยเข้าบำรุงวัด หรือบำรุงผู้นำศาสนานั้นๆ

คือในสภาพความจริงแล้ว ถ้าเราจะบวชแบบองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เราจะต้องบวชตามรอยองค์สมณโคดมที่วางไว้ ในหลักการปฏิบัติให้ถึงจุดแห่งการที่ว่า

ผู้ใดถึงธรรม    ผู้นั้นถึงตถาคต
ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต


แต่หลักพุทธพจน์อันนี้ เวลานี้ถูกเหล่าผู้นำทั้งหลาย ตั้งแต่สมัยอาตมามีสังขารอยู่ก็คือ พยายามหลอกชาวบ้านให้บวชเพื่อไปสวรรค์ บวชเพื่อส่งบุญให้บิดามารดา บวชเพื่อว่าผ่านการบวชแล้วสาวจะได้รักหรือว่าบวชเพื่อเบียดสาว เพื่อหาสีกาเป็นภรรยา ซึ่งเป็นวิถีการไม่ตรงตามเจตนาแห่งความต้องการของเหล่าอรหันต์ก็ดี ของเหล่าผู้สำเร็จก็ดี ของเหล่าพระพุทธเจ้าก็ดี เข้าใจไหม


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:43

ตอนที่ ๑๔

บวชเพื่ออะไร



สานุศิษย์ : จะถามเรื่องบวชค่ะ เรื่องการบวชชีนี่จะต้องปฏิบัติอย่างไร

สมเด็จ : คือการบวชนี่ ถ้าเราบวชด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ทั้งกายและใจแล้วไซร้ ย่อมที่จะถึงในเรื่องของความสุข ถ้าเราบวชแล้วเรียกว่า บวชแต่กาย ใจไม่บวช อย่าไปบวชดีกว่า ทำลายผ้าเหลือง พระทุกวันนี้น่ะ เขาว่าศีล ๒๒๗ เอ็งไปเชื่อมัน ศีลและสัตย์ในพระสงฆ์ในยุคนี้หายาก

ในสภาวการณ์บวชนี้ เขาเรียกว่า บวชเพื่ออะไร บวชในการเพื่อให้ชำระจิต ถ้าเราจะฝึกตามแนวพุทธพจน์ขององค์สมณโคดมก็จะเห็นว่า เรานี้รู้ว่าโลกนี้เป็นสิ่งร้อน โลกนี้เป็นสิ่งเทียม ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของปลอม เราต้องการความสุขอันแท้จริง ความสุขอันแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ความสุขอันแท้จริงนั้นอยู่ที่กายในกาย กายในกายอันนี้แหล่ที่องค์สมณโคดมเรียกว่า “พุทธะแห่งกายใจ”


สภาวการณ์เขาเรียกว่า ท่านจะพบตัวท่าน ท่านจะรู้จักตัวท่าน เมื่อท่านค้นพบตัวอาตมัน อาตมันตัวนี้หมายความว่า สิ่งนี้อธิบายด้วยภาษาไม่ได้ ในขณะที่องค์สมณโคดมจุติมาในดินแดนชมพูทวีป ในขณะนั้นชมพูทวีปเต็มไปด้วยเหล่าลัทธิฮินดู เหล่าลัทธิพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์อยู่ในศาสนาแห่งความเสื่อมที่ไม่มีระเบียบวินัย แบ่งเป็นหมู่ เป็นคณะ

องค์สมณโคดมก็ได้ทำการศึกษาในเหล่านี้ กับอาฬารดาบสและอุทกดาบส เพื่อจะศึกษาว่า สิ่งที่จะหลุดพ้นนั้นคืออะไร สิ่งที่พบในการศึกษากับอาจารย์นั้น แค่ได้ฌานชั้นสูง ทีนี้ในฌานชั้นสูงนี้ ไม่ใช่บรมสัทธรรมแห่งการหลุดพ้น เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมจึงหาวิธีการในการทำตนฝึกใหม่ เพื่อชำระจิตให้อยู่ในภาวะแห่งการรู้ในความบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ทีนี้ ในการบวชนี้ ถ้าเราบวชอย่างรู้แนวทางและปฏิบัติจิต การบวชนั้นก็เป็นการดี ถ้าบวชอย่างไม่รู้แนวทาง บวชตามชาวบ้าน บวชเพื่อให้เขาเรียกเป็นเจ้าคุณ บวชเพื่อศาสนา บวชเพื่อที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ ชิงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส หรือบวชเพื่อที่จะเป็นหัวหน้าชีก็ดี อย่าไปบวชดีกว่า

สานุศิษย์ : ถ้าเราทำจิตให้แน่วแน่ก็เหมือนกับการบวชใช่ไหมคะ

สมเด็จ : ถ้าเราปฏิบัติจิตดี มนุษย์จำเอาไว้ ถ้าไม่มีศีลก็ต้องมีสัตย์ ไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสัตย์ หมายังดีกว่า เพราะฉะนั้น การบวชนี้เป็นการสมมติในการห่มผ้าเหลือง เพื่อให้เห็นว่า นี่เป็นกรอบแห่งการเป็นพระเท่านั้น หรือว่าเป็นกรอบแห่งการเป็นชีเท่านั้น ถ้าใจมันไม่บวชแล้ว ห่มผ้าแล้วมันก็ไม่ดี ถ้าท่านบวชใจ ท่านก็จะถึงธรรมอันแท้จริง เมื่อท่านควบคุมสติสัมปชัญญะของท่านอยู่

ทีนี้ ในการบวชก็เพื่อว่าเอาผ้ากาสาวพัสตร์เป็นการสมมติเป็นชีเป็นสงฆ์ เพื่อคุมตัวให้มีสติไม่คล้อยไปตามทางโลกเท่านั้นเอง เพราะว่าถ้าอยู่ในเพศฆราวาสแล้ว อารมณ์หลงกายเนื้อพาไปในสิ่งต่างๆ ได้ โดยไม่มีสิ่งเตือนใจ

ฉะนั้น ในการบวชนี้ก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ เพื่อบังคับตนว่า เรานี้เป็นนักพรต ทีนี้เราจะเป็นนักพรตอย่างไม่มีความหวังในเรื่องของทางโลกแบบทุกวันนี้แล้ว เราก็เป็นนักพรตแบบบวชใจดีกว่าบวชกาย

สานุศิษย์ : ดิฉันก็ให้สัจจะกับพระไว้แล้ว คือใจเราพร้อมแล้ว แต่ภาระก็ยังมี แต่ก็จะทำตามสัจจะ เพราะใจเราสมัครไว้แล้ว

สมเด็จ : เราก็บวชตามสัจจะซิ อาตมาก็บอกแล้วว่า มนุษย์เราถ้าไม่มีศีล ก็ต้องมีสัตย์ ถ้าไม่มีทั้งศีลไม่มีทั้งสัตย์ หมายังดีกว่า


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:46

ตอนที่ ๑๕

ดูเหมือนว่าเวรกรรมไม่สนองคนชั่ว



(วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : เกล้ากระผมอยากทราบว่า คนชั่ว ทำไมผลกรรมไม่สนองทันตาเห็น

สมเด็จ : คือว่าหลักปัจจัตตังของธรรมชาติ เรียกว่ามนุษย์นี่ เกิดเป็นคนเพราะมีภพชาติแห่งการสืบต่อ ต่อเนื่องถี่ยิบยิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิ้น การที่เราเห็นขณะนั้นว่า ทำไมเขาทำชั่วแล้วเขาเสวยกรรมดี เพราะอะไร เพราะว่ากุศลในอดีตเขาส่งอยู่ปัจจุบัน ทีนี้ คนเราทุกวันนี้มันดูกันแค่เปลือกนอก ไม่ได้ดูให้ถึงเปลือกภายใน

ถ้าท่านดูเปลือกภายในแล้วไซร้ ท่านจะต้องอยู่ใกล้ เมื่อถึงวาระบุคคลที่สร้างความชั่ว ในขณะก่อนที่จิตวิญญาณของเขาก่อนที่จะหลุดจากร่างแห่งการเป็นมนุษย์นี้แหล่ ขณะนั้นอารมณ์แห่งความหวาดหวั่นของการที่จะพบเหล่าวิญญาณ ยมทูต เทวทูต พรหมทูต มาผจญนั้น


ขณะนั้นถ้าทำความชั่วมาก เช่น ฆ่าคนมามาก ก็จะมีวิญญาณหลอกหลอนของเหล่าทหารที่เขาสั่งฆ่านั้น จะมาหลอกหลอนเขาในขณะนั้น คือว่าเราไม่ได้ดูตอนตาย เราดูตอนเป็นเท่านั้น เราก็เชื่อว่าคนๆ นั้น สร้างความชั่วแล้วมีความดี

ทีนี้ กฎของโลกวิญญาณ เขาทรงไว้ด้วยความยุติธรรมของธรรมชาติ ธรรมชาติในวัฏฏะนี้ เขาส่งผลถี่ยิบตามภาวะกรรม ถ้ากรรมในอดีตเขาสร้างมาดี ภาวะในปัจจุบันนี้ เขาหลงงมงายไปกับสิ่งชั่ว แต่ว่าทำไมจึงมีดีอยู่นั้น ก็เพราะว่า


กุศลในอดีตเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น เคยเป็นหมู หมา แมว อะไรก็แล้วแต่ ค่อยๆ วิวัฒนาการมาเป็นคน จำศีลภาวนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ภูมินี้ เพื่อบำเพ็ญตนสืบต่อไปสู่เทวโลกหรือพรหมโลก แห่งเทวภูมิ พรหมภูมิ นั้นๆ

ทีนี้ เรียกว่า ขึ้นมาถึงโลกมนุษย์นี้ เขาถือว่าโลกมนุษย์นี้เป็นโลกสื่อกลางของโลกวิญญาณ โลกมนุษย์นี้เป็นโลกที่สกปรกที่สุด ผู้ที่จะชนะอารมณ์แห่งนรกสวรรค์ ๓๓ ชั้น แล้วไซร้ ต้องสามารถขึ้นมาเอาความสำเร็จญาณฌานในโลกมนุษย์นี้


ถ้าผู้นั้นสามารถบำเพ็ญถึงเทวโลก พรหมโลก บำเพ็ญขึ้นสู่ในการเป็นพระพรหมสุทธาวาส เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้นั้นจะได้รับการสรรเสริญว่า เป็นผู้มีภาวะแห่งสติสัมปชัญญะพร้อมเสมอ ที่ไม่คล้อยตามโลก นั่นคือหลักแห่งความจริงในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เราจะว่าคนทำชั่วแล้วได้ดีเสมอไปนั้น เป็นสิ่งที่ไม่จริง เพราะเราไม่ได้ติดตามคนชั่วถึงวาระแห่งมรณกาล แห่งการทิ้งสังขารของเขา เข้าใจไหม คือดูแค่เห็นว่าเขาแต่งตัวโก้ๆ หรือว่าดูแค่นั้น มันต้องดูตอนเวลามันจะตาย จะปรากฏสัญชาตญาณแห่งความจริงในขณะนั้น



โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:48

ตอนที่ ๑๖

คนเกิดมาไม่ครบอาการ ๓๒



สานุศิษย์ : บางคนเกิดมาได้รับความไม่เสมอภาคทางธรรมชาติ ร่างกาย จิตใจ ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ

สมเด็จ : อันนี้เพราะว่ากรรมวิบากในอดีต มันมีสองอย่าง เจตนากรรมกับไม่เจตนากรรม เจตนากรรมก็คือหมายความว่า เมื่อเกิดมาเป็นคนยากจนเข็ญใจ สัมมาอาชีวะตนไม่ดีเพียงพอ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาเลี้ยงชีพในทางทุจริตก็ดี หาเลี้ยงชีพในการฆ่าสัตว์ก็ดี เช่น ผู้ที่ขายหมู ขายนานไปก็จะมีเงินเพียงพอที่จะเลิกอาชีพนี้ ไม่เลิก เพราะว่าอาชีพทำกำไรดี กินจนพุงพลุ้ยอะไรก็ว่ากันไป

ทีนี้ พลังนั้นแหละ กรรมที่เขาสร้าง ท่านอย่าลืม หมูบางตัวเป็นพรหมที่ผิดกฎในพรหมโลกต้องลงมาเกิด ปลาไหลบางตัวเคยเป็นเทพพรหม เพราะอะไร เพราะเขาเหล่านี้ถือว่า การเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าสติคุมอารมณ์แห่งอายตนะไม่เพียงพอ จะกลับสู่โลกวิญญาณยาก


เพราะฉะนั้น ถ้ามติที่ประชุมว่าฉันมีกรรมอย่างนี้ ต้องไปใช้กรรมชนิดนี้ คือ โลกวิญญาณเขามีมติว่า แล้วแต่ผู้ที่จะเสวยกรรมมีเจตนาจะไปเสวยกรรมในลักษณะไหน ในเมื่อเป็นพรหม เป็นเทพชั้นสูง ย่อมรู้กาลเทศะในการรับผิดชอบตน ก็มาเกิดในสิ่งเหล่านี้

ถ้าเราเกิดไปฆ่าสัตว์เหล่านี้เข้าด้วยเจตนา เจตนากรรมนั้น ถ้าสัตว์นั้นมีพลังแห่งความอาฆาต อันนี้เขาจะตามสนองในอีกทุกๆ ชาติ จนกว่าพลังแห่งการจองเวรจองกรรมจะสลาย

ความแน่วแน่แห่งการอาฆาตจองเวรอันนี้ เมื่อกรรมถึงวาระ จะทำให้มนุษย์ผู้นี้มีอาการ ๓๒ ไม่ครบถ้วน เพราะในกรรมวิบากที่เรียกว่า วิญญาณอาฆาต



โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:50

ตอนที่ ๑๗

มุสาในทางที่ชอบ



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ สมมติว่าเรารับศีลห้าแล้ว เราเกิดเผลอไปทำให้ศีลขาดไป ถือร้ายแรงหรือเปล่าครับ  

สมเด็จ : อันนี้ขาดในหลักของคำว่า ไม่มีสติสัมปชัญญะพร้อม

ทีนี้ ก็ต้องดูว่า กรรมแห่งความเผลอนั้นเป็นกรรมอะไร ถ้าเผลออย่างธรรมดา เขาเรียกว่า กรรมนั้นเป็นกรรมบาง ก็เป็นการอโหสิกรรมไปในตัว แต่ถ้ากรรมนั้นหนัก เกิดไปรับศีลออกจากโบสถ์ ถ้าเป็นผู้ชายก็บอกว่า เฮ้ย ไปกินเหล้ากันโว้ย อันนี้ไม่ใช่เรียกเผลอ หรือว่ารับศีลออกมาแล้วเกิดไปฆ่าสัตว์ หรือว่าไปฆ่าคนตาย ภาวะนี้เขาถือว่าเป็นกรรมหนัก เพราะฉะนั้น อันนี้จะให้รู้ว่าผิดขนาดไหน ต้องดูในภาวะนั้นๆ ว่า กระทำอะไรเป็นกรรมในความเผลอ


สานุศิษย์ : มิได้ครับ สมเด็จพ่อ คือสมมติว่า เรารับศีลออกมาแล้วนี่ เราจำเป็นต้องพูดเท็จบางอย่าง คือเราไม่อยากให้คนนั้นเสียใจ อันนี้เราจะผิดศีลหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : อันนี้ถ้าว่าตามหลักของอาตมาแล้ว ไม่ผิดศีล เพราะอะไรเล่า คำว่า มุสาวาจา นี้ คือมุสาในสิ่งที่เป็นสิ่งร้ายต่อคนอื่น เป็นสิ่งร้ายต่อส่วนรวม และร้ายต่อตัวเอง ทีนี้ ในการมุสาเพื่อให้คนอื่นดีกันแล้ว เขาถือว่ามุสาในทางที่ชอบ ไม่ผิด

สมมติว่า คนหนึ่งด่าอีกคนหนึ่งให้เราฟัง เราเจอไอ้คนนี้ สมมติว่าเราเป็นคนกลาง เราเป็นทูต ไอ้คนนี้มาถามว่า ไอ้นั่นเขาว่าอย่างไร เราบอกว่าไอ้นั่นเขาชม มันก็ไม่มีเรื่องไป ถ้าเราไปใส่ไฟบอกว่า เขาด่ามึง ก็ต้องออกไปท้าตีต่อยกัน นี่ก็ผิดนะ

เพราะฉะนั้น ในหลักแห่งความมุสานั้น คือว่ามุสานั้น ถ้ามุสาในสิ่งที่ชอบ เพื่อความสันติของส่วนรวม เพื่อความสันติของตัวเอง เรียกว่าไม่ใช่การสันติเอาตัวรอด แล้วคนอื่นฉิบหายนั้นไม่ได้ เมื่อมุสาแล้ว ส่วนรวมก็ไม่เสีย ส่วนตัวก็ไม่ตาย อันนี้ถือว่า ไม่ผิดศีล



โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 03:53

ตอนที่ ๑๘

พระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว ทำไมต้องชุมนุมเทวดา



อาจารย์ชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์จำลูกศิษย์ได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : มาอีกแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ นกแก้ว : มาอีกแล้ว (หัวเราะ) แหม น้อยใจเจ้าค่ะ พอลูกสาวมา ไม่มองหน้าลูกศิษย์เชียว ขอตัดพ้อต่อว่าหน่อยเถอะ

สมเด็จ : แล้วมึงเป็นอาจารย์สอนธรรมะยังไงวะ

อาจารย์ชุบชีพ : โธ่ ก็ดิฉันบอกแล้วว่า ยังไม่ใช่พระอรหันต์นี่เจ้าคะ น้อยใจเจ้าค่ะ ไม่อิจฉาหรอก อาจารย์คุณหญิงระเบียบก็เป็นอาจารย์ดิฉัน แต่แหม พอลูกสาวมา คุยกับลูกสาว ไม่มองหน้าลูกศิษย์ สมเด็จอาจารย์เจ้าขา วันนี้จะเรียนถามเจ้าค่ะ อย่าดุนะเจ้าคะ

อาจารย์ชุบชีพ : เรียนถามอย่างนี้เจ้าค่ะ ถามธรรมะก่อนนะเจ้าคะ เวลาทำบุญกันนี่เจ้าค่ะ มีการสวดพระปริตร เอาเทวดามาเกี่ยวข้องทำไมเจ้าคะ ต้องเชิญเทวดามาทำไมเจ้าคะ เรานับถือพระพุทธเจ้าสูงสุดแล้ว ยิ่งใหญ่แล้ว ต้องเชิญเทวดาทำไมเจ้าคะ ขึ้น สัคเค กาเม น่ะ เชิญมาทำไมเจ้าคะ

สมเด็จ : ปัญหานี้น่าคิดนะ

อาจารย์ชุบชีพ : นั่นซิ ก็ในคำสอนก็สอนให้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ แล้วเวลาจะทำบุญทำทาน ต้องไปเชิญเทวดา ชุมนุมเทวดา เทวดาไม่ได้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า เอามาทำไมเจ้าคะ

สมเด็จ : เอ็งเทศน์จบหรือยัง ตาอาตมาเทศน์บ้าง...

คือในปัญหาที่เรื่องการชุมนุมเทพ หรือการชุมนุมพรหม ในการที่จะให้มารับทราบ ในหลักการในเรื่องการสร้างบุญกุศลนี้ ท่านต้องศึกษาให้เข้าซึ้งถึงจุดแห่งความจริงของศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการที่เราเคารพในหลักการแห่งองค์สมณโคดม ผู้ซึ่งถือว่าเป็นผู้ประเสริฐสุดยอดแห่งบรมศาสดาของศาสนานั้น

ในการทำบุญทำทานนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มารับทราบในเรื่องของบุญทาน เพราะว่าผู้ที่เป็นพุทธะแห่งยุคก็ดี ผู้ที่เป็นอรหันต์ก็ดี เขาเรียกว่า สิ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลส ในการที่จะเกี่ยวข้องกับทางโลก

ทีนี้ ในภาวการณ์ในเรื่องที่จะให้ชุมนุมเทวดานั้น จุดมุ่งหมายก็คือว่า ท่านเชื่อว่า ท่านตายแล้วจะต้องไปเสวยกรรมในปรภพหรือไม่ ในการที่จะต้องไปเสวยกรรมในปรภพนั้นแหล่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหลักแห่งการว่า ให้มีพยานในการทำความดี เพื่อที่จะได้ไปคิด บวก ลบ คูณ หาร ในการทำความชั่วความดีของท่านในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ในการที่ให้ชุมนุมเทวดานี้ ท่านศึกษาในพระไตรปิฎก ท่านจะเห็นว่า เทพพรหมจะต้องเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในการที่พระพุทธเจ้าจะออกโปรดสัตว์ เทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ในครั้งแรกก็ดี ในการตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ดี เพราะว่ามารกับพรหมกับเทพนี้ เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องมารโลก เทวโลก พรหมโลกนี้ เขาเรียกว่า โลกของวิญญาณนี่มีก่อนยุคพุทธกาล

เพราะฉะนั้น ในการที่ให้ชุมนุมเทวดานี้ก็คือ ให้มาเป็นสักขีพยานในการทำความดีของมนุษย์แต่ละคน เพื่อป่าวร้องในการอนุโมทนาเข้าสู่ในบัญชีทิพย์แห่งห้องเก็บกรรมของแต่ละคน เพราะทุกคนจะต้องมีห้องเก็บกรรมของตนอยู่ในโลกวิญญาณ เขาเรียก ศูนย์รวมกรรม


เพราะฉะนั้น ในขณะกระแสคลื่นแห่งการทำความดี ที่ให้ชุมนุมเทวดานี้ เพื่อให้เทวดามาเป็นสักขีพยานในความดี เพื่อให้เข้าสู่ในบัญชีทิพย์ เมื่อถึงคราวตายจากโลกมนุษย์นี้ ไปเสวยกรรมวิบากนั้น จะได้คิดบัญชีนั้นได้ถูกต้องถ่องแท้

เขาเรียกว่า ดุลกรรมแห่งบัญชีชั่วกับบัญชีดีนั้นมากน้อยเท่าใด ฉะนั้น ถ้าเราทำบุญ เราเชิญพระพุทธเจ้ามาเป็นประธานในการสร้างกุศลของเรา พระพุทธเจ้าย่อมไม่มาเป็นสิ่งแน่นอน เพราะว่าพระพุทธเจ้าแห่งยุคไม่ข้องกับโลกแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ : อ้อ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ เราเคารพพระพุทธเจ้าว่าสูงสุดแล้ว แต่ก็ต้องชุมนุมเทวดาก็เพื่อเป็นพยานในการที่ปฏิบัติความดี เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ

ทีนี้ ยังสงสัยต่อไปอีกว่า เวลาที่ทำกรรมฐานนะเจ้าคะ พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ตนนี่ให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง แต่ทำไมอนุสติ ๑๐ น่ะ จึงมีเทวดาเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้เอาเทวดามาเป็นอารมณ์ จะไม่ค้านกับคำสอนหรือเจ้าคะ ที่ว่าให้ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง คือที่ปฏิบัตินี่ ตัวก็ต้องของตัวเองซิ เอาพยาน เอาเทวดามาเกี่ยวข้องทำไม เทวดาจะช่วยอะไรได้ ก็พระพุทธเจ้าสอนแล้วนี่ว่า ตนของตนเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ก็ต้องปฏิบัติด้วยตนซิเจ้าคะ


สมเด็จ : คือในปัญหาอันนี้ มันเข้าสู่ในหลักแห่งวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อสู่จุดแห่งความหลุดพ้น ทีนี้ ในการที่ใช้อนุสติ ๑๐ นี้ เพราะเหตุใดเล่า เพราะว่าจิตของมนุษย์นี้ เมื่อปฏิสนธิแห่งพืชพันธุ์ในการเป็นมนุษย์ในการสืบต่อในด้านของสังคม ในการสืบต่อในด้านเกี่ยวพันกับมนุษย์ย่อมมีความฟุ้งซ่านของกระแสจิตไม่เท่ากัน

กระแสจิตไม่เหมือนกัน เขาเรียก นานาจิตตัง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน การที่ตนแหล่เป็นที่พึ่งแห่งตน ก็คือว่า ตนจะต้องกำจัดตนให้เหนือตน ทีนี้ในการกำจัดตนให้เหนือตนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีอุบายแห่งการกระทำ

ทีนี้ ถ้ากระแสจิตของตนไม่แข็งแกร่ง ไม่ซาบซึ้งในเรื่องของความหลุดพ้น เขาเรียกมีโมหจริตแห่งความติดความสวย อย่างมึงยังต้องใส่สายสร้อย

อาจารย์ชุบชีพ : (หัวเราะ) ก็ดิฉันยังเป็นปุถุชนนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : เพราะฉะนั้น ในเมื่อภาวการณ์แห่งการติดความสวยนี้ เมื่อรู้กระแสจิตอันนี้ ขั้นแรกที่จะรวบรวมกระแสจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านจนเกินไปก็คือ เอาเทวานุสติเป็นสรณะ เพราะว่าเทพบุตร เทพธิดาในกายทิพย์นี้ย่อมมีความงามเหนือมนุษย์ ให้เข้าสู่ในจุดหลง เพื่อรวมให้จิตนิ่ง

อันนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติในเรื่องเอาเทวตานุสติเข้ามาสู่ในการปฏิบัติวิปัสสนา นี่คือ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ยุคต่อมา ต่อเติมแต่งเสริม เอ้า ตอบแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ

เดี๋ยวหลวงพ่อเจ้าคะ อ้า ประทานโทษ เดี๋ยว เรียกผิด ต้องเรียกสมเด็จอาจารย์ ที่ว่าดิฉันยังแต่งตัวใส่สายสร้อย ดิฉันแต่งเพื่อบำรุงหัวใจเจ้าค่ะ คือว่าแต่งสวยงามแล้วสบายใจ

สมเด็จ : ก็เพราะว่ายังมีตัวโมหจริต คือในเรื่องความสวยความงาม เพราะฉะนั้น อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ยุคต่อมา เขาก็อนุโลมตามโมหจริตของมนุษย์

อาจารย์ชุบชีพ : ถึงได้มีเทวานุสติเข้ามาแทรก เอาละเจ้าค่ะ เป็นอันว่า ไม่ข้องใจแล้ว มีอีกเจ้าค่ะ เกี่ยวกับเทวดาอีกนั่นแหละ

สมเด็จ : ว่ามา

pngegg.5.3.1.png



รุกขเทวดา


อาจารย์ชุบชีพ : เทวดานี่รักพระพุทธเจ้า แล้วเทวดานี่ต้องมีเทวธรรม ต้องมีใจเป็นกุศลธรรม ดิฉันอยากจะเรียนถามสมเด็จอาจารย์ว่า ทำไมเทวดาพวกนี้ชอบรังแกคนโน้น คนนี้ คนนั้น ให้วุ่นวายไปหมด ไปแกล้งเขาต่างๆ นานา เขาต้องมีเครื่องเซ่น เครื่องสังเวยมาละก็ชอบอกชอบใจ บางทีก็กินเครื่องเสวยเขาเปล่าๆ ช่วยอะไรไม่ได้

แม้ที่สุดสมัยพุทธกาล ที่พระไปทำวิปัสสนากรรมฐานที่ในป่าน่ะ เทวดาก็มาแกล้ง เรื่องอะไรเจ้าคะ เทวดานี่มีคุณธรรมสูง ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับมนุษย์เขาเป็นนักเป็นหนา มันเรื่องอะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : วันนี้ฟังอาจารย์พระสูตรบรรยายหน่อย

คือว่าในเรื่องเทวดานี้ ไม่งั้นทำไมจึงมีว่“รุกขเทวดา” เพราะว่า เทวดาเหล่านี้ไร้ศีลธรรม เทวดาบางจำพวกเลวยิ่งกว่ามนุษย์ ซึ่งเราศึกษาอยู่ ก็พวกเทพ เขาเรียกว่า เทพชั้นจาตุมหาราชิกาเหล่านี้ หรือว่าเทพที่ข้องอยู่ในกามคุณ เสพกามเป็นสรณะ

ทีนี้ เทพเหล่านี้ ทางโลกวิญญาณเขาถือว่าเป็นเทพชั้นต่ำ เมื่อเทพชั้นต่ำถูกการตักเตือนในโลกวิญญาณ ไม่ปฏิบัติตาม ก็รุออกจากเทวโลก เขาจึงตั้งชื่อว่าเป็น “รุกขเทวดา” ก็คือ เทวดาที่ถูกไล่ออกจากแผ่นดินของเทพ รุออกมา เขาเรียกว่า รุออกจากบ้านไป


เพราะฉะนั้น ในพวกนี้ส่วนมากก็คือพวกที่ไม่มีศีลธรรม ทีนี้ในการที่ไม่มีศีลธรรม ทำไมเทวโลกจึงไม่จัดการ นี่ต้องเข้าสู่ปัญหาธรรม เพราะเหตุใด ทำไมเทวโลกจึงไม่จัดการ การที่จะไปเสวยกรรมแห่งการเป็นเทพบุตรก็ดี การที่จะเสวยกรรมแห่งการเป็นเทพธิดาก็ดี การที่จะไปเสวยกรรมแห่งการเป็นเทพแห่งสมมติ ในการเป็นเจ้าที่เจ้าทางก็ดี

เขาเหล่านี้ส่วนมากล้วนแต่มีกุศลวิบากในการส่งเสริมตน เมื่อมีกุศลวิบากในการส่งเสริมตนในการไปเสวยทิพยอำนาจ เขาเรียกว่า ทิพยกุศล นั้น กุศลอันนี้ยังไม่หมดอายุแห่งการเป็นเทพ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเนรเทศออกจากเทวโลก

เมื่อเนรเทศออกจากเทวโลกแล้วไซร้ เทวดาบางองค์เกิดมีความสำนึกผิด ก็จะบำเพ็ญตนเข้าสู่เทวโลกอีก การจะบำเพ็ญตนเข้าสู่เทวโลกได้ก็โดยการขออาศัยชื่อ เพื่อสร้างบารมี การจะบำเพ็ญตนเข้าสู่เทวโลกได้โดยการขออาศัยชื่อ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ หรือว่าเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบารมี แต่พวกนี้เขาก็ยังมีศีลธรรม ก่อนที่เขาจะยืมใช้ชื่อ เขาจะขออนุญาตก่อน

เช่น เขาจะมาขอยืมใช้ชื่ออาตมา บอกว่า ท่านโต บัดนี้ข้าน้อยรู้ซึ้งในการทำผิด ข้าน้อยจะกลับตนสู่เทวโลก ทีนี้ การจะกลับตนสู่เทวโลกนี้ จำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญตามกฎของเทวะ กฎของเทวะก็คือ มาสร้างบารมีในโลกมนุษย์

ถ้าบอกว่า ข้าน้อยนี้ชื่อนายเปี๊ยกมา ย่อมไม่มีใครรู้จัก ข้าน้อยนี้จะขอยืมชื่อท่านโต เพื่อในการสร้างบารมีได้ไหม อาตมาก็บอกเจริญพร แม้แต่มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน อาตมายังคิดจะช่วย แล้วผู้ที่จะทำความดีนั้น อาตมาส่งเสริม เพราะฉะนั้น อาตมาอนุญาตให้ใช้ชื่อได้

ทีนี้ มันมีในสันดานแห่งการเป็นเทพนั้นหยาบ มาถึงก็ หลวงพ่อโตมาโว้ย ต้องกินหมากอย่างดี ต้องเอาน้ำเมืองนอก น้ำเมืองในกินไม่ได้ ก็ล่อกันไปใหญ่ ล่อกันสักพักหนึ่ง ทีนี้เหลิง พวกนี้เขาเรียกว่า เทวดาเหลิงอำนาจ พอเหลิง กุศลที่สร้างจากการเป็นเทพก็หมดสิ้นจากเทวโลก


ทีนี้เทวทูตเขาจัดการละ เขาก็ส่งเทวทูตมาตามวิญญาณนี้ เพื่อไปใช้กรรม วิญญาณเทพบางตนมีฤทธิ์เดชมาก เมื่อมีฤทธิ์เดชมาก เทวทูตจะจับฉับพลันในการดึงวิญญาณนั้นเข้าสู่เทวโลก ก็ต้องส่งเทวทูตเป็นหลายๆ องค์ รวมกันขับไล่ เพื่อที่จะให้จนมุม

วิญญาณเทวดาบางองค์ก็หนีๆๆ หนีจนมุมเหมือนกัน ขณะนั้นเห็นท้องหมู ท้องหมา ท้องแมว ท้องไก่ ท้องเป็ด กำลังปฏิสนธิฟักเป็นตัวตน ก็มุดเข้าไปเกิดเป็นไก่ เป็นหมา เป็นแมว นี่คือ การหนีจากเทวโลกกลับกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่คือเรื่องพิสดารของเทวดา

pngegg.5.3.2.png



เทวดามิจฉาทิฐิ


อาจารย์ชุบชีพ :
นั่นนะซิ เลยมาเข้ารอย โห้ดิฉันเรียนถามสมเด็จอาจารย์อีกแล้วละเจ้าค่ะ คือดิฉันประหลาดใจ คนที่มีคุณธรรมสูง เขาก็เรียกว่า เทวดา คือเรียกว่า เทพโดยสมมติ ดิฉันอยากจะทราบว่า เทวดาที่เกะกะเกเรนี้ มาเกิดเป็นเทวดาได้อย่างไรเจ้าคะ ชาติก่อนเขาเป็นใคร ทำไมจึงมาปฏิสนธิเป็นเทวดาที่เกเรอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ

สมเด็จ :
เพราะว่า เดิมทีเขาจะต้องวิวัฒนาการมาจากการเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย มาสู่การเป็นมนุษย์ แล้วจากการเป็นมนุษย์นี้ บำเพ็ญกุศลมากก็ไปสู่เทวโลก หรือพรหมโลก

ทีนี้พวกที่ยังเป็นเทพที่มีกายหยาบ พรหมที่ยังมีกายหยาบ ก็เหลิงระเริงในอำนาจแห่งกุศลนั้นจนลืมตน ลืมตนก็กลายเป็นว่าเหลิงไป เหลิงตนก็นำความฉิบหายเข้าสู่เขา เมื่อเขาถูกขับออกมาจากเทวโลกแล้ว อำนาจแห่งโมหกิเลสนั้นยังครอบงำ เลยกลายเป็นเทวดาเกิดความแค้นขึ้นมา ก็คือรังควานถ่ายความแค้นนี้สู่มนุษย์

เพราะฉะนั้น ก็เปรียบเสมือนหนึ่งมนุษย์ที่มีทิฐิมานะในอกุศลทิฐิ คล้ายๆ ว่า ฉันนี่แหละจะเอาชนะ ไม่ชนะก็เกิดความแค้นเป็นปองร้าย เดิมที เริ่มแรกเขาจะต้องบำเพ็ญจากการเป็นมนุษย์ที่มีจิตบริสุทธิ์ ทีนี้กระแสจิตของเทพ ของพรหมที่ไม่ได้บำเพ็ญสู่ในชั้นสูง หรือว่าเข้าสู่อาสวักขยญาณแล้วไซร้ ย่อมมีการสูงขึ้นตกลง เสมือนหนึ่งมนุษย์เรียกว่า กระแสจิตเปลี่ยนทุกวินาที

แบบเราซึ่งกำลังเป็นมนุษย์ในขณะนี้ บางทีตื่นเช้า ก็คือว่าจะไปโน่นดี วันนี้บางทีก็คือว่า จะมาหาอาจารย์สมเด็จที่นี่ดีไหม อีกใจหนึ่งก็ว่า เอ๊ะ ไม่ดี เราไปเที่ยวดีไหม แต่งตัวให้มันงามๆ หน่อย อีกใจหนึ่งว่า ไม่เอา ไม่ไปดีกว่าวะ นี่เขาเรียกว่า ค้านกันอยู่ในใจ

อาจารย์ชุบชีพ : คือว่าสองฝ่ายโต้ตอบกันอย่างนี้ แล้วแต่ฝ่ายต่ำฝ่ายสูง ใครจะสูงกว่ากัน ถ้ากุศลจิตสูง กุศลฉุดมาหาสมเด็จอาจารย์ได้

สมเด็จ : ก็อยู่ขณะนั้น เรามีสติควบคุมอายตนะมากเพียงพอหรือไม่ เสมือนหนึ่ง เทวดามีสติควบคุมรู้สำนึกผิดหรือไม่


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 04:36, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Mjd8ZTBhNzM2MzR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 04:41, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Mjh8ODljY2RjM2Z8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 04:42

ตอนที่ ๑๙

ชาตินี้สร้างแต่บุญจะมีโอกาสพลาดไหม



อาจารย์ชุบชีพ : อ้า สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ ไม่ทราบว่าจะยกตัวอย่างใคร ดิฉันขอเรียนถาม เอาตัวดิฉันนี่เป็นตัวอย่าง ก็อย่างดิฉันนี่ เกิดมาชาตินี้ ไม่ได้สร้างบาปอะไรมากมาย ดิฉันก็เจียมตัวว่า ดิฉันเป็นลูกกำพร้า ก็คงพรากลูกนกฉกลูกกา ชาตินี้ดิฉันไม่ได้ทำบาปมากหรอก สร้างแต่บุญๆ อย่างนี้


อยากจะเรียนถามว่า เราอาจจะพลาดได้ไหมเจ้าคะ สร้างแต่กุศลอย่างนี้น่ะ เมื่อครั้งมรณกาล เราอาจจะพลาดได้ไหม คือหมายความว่า ดิฉันก็สร้างกุศลอยู่เสมอๆ แต่ว่าถ้าคนเราจะต้องปฏิบัติธรรมขั้นอริยบุคคลเบื้องต่ำ ก็คือโสดา จึงไม่ไปสู่อบาย เป็นหวังได้ ก็ดิฉันนี้ไม่มีหวังจะเป็นโสดา ดิฉันก็เชื่อว่า ดิฉันไม่สามารถปฏิบัติได้ แต่ดิฉันเห็นว่า เทวดาเกะกะนี่ เขาเป็นยังไง เขาถึงตายไปเป็นเทวดา อย่างคุณชุบชีพนี่ จะเป็นเทวดาได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือว่า กุศลนี่ บำเพ็ญแล้วก็หมั่นสร้างอันนี้ ต้องสิ้นจากโลกมนุษย์แล้ว เขาไปคิดกันในโลกทิพย์ ในโลกวิญญาณ แล้วจะรู้ว่ากุศลเรามากขนาดไหน ก็ไปเป็นเทพธิดา ไปเป็นนางฟ้า เพราะฉะนั้น อันนี้อยู่ที่กุศลของเราที่สร้างให้ตลอดถึงตอนเวลาแห่งการมรณภาพ แล้วขณะนั้นกระแสจิตวิญญาณจะพุ่งตรงไหน ตอนนั้นแหละ จะรู้ด้วยตน

pngegg.5.3.1.png



กรรมของตนตามล่า อดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต


อาจารย์ชุบชีพ : ที่สมเด็จอาจารย์พูดน่ะ ดิฉันเข้าใจค่ะอย่างนั้นน่ะ แต่ดิฉันจะทราบได้อย่างไร มรณกาลนี่ ชาตินี้ดิฉันไม่ได้ทำบาป ทำบุญเสมอ เผยแผ่ธรรมะ คือให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง แต่ทีนี้อดีตชาติ ดิฉันไม่ทราบว่าทำกรรมอะไรไว้น่ะซิเจ้าคะ กลัวเดี๋ยวจะพลาดตกกระไดลงดิ่งไปอบาย

สมเด็จ : ทีนี้ก็ไปสู่ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่า กุศลในปัจจุบันชาตินี้ ถ้าเรามีความดี ก็ไปสู่ในการเป็นเทพก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ เมื่อถึงคราวมรณกาล

ทีนี้ พูดถึงในเรื่องของกุศลวิบาก กุศลวิบากนี้ ถ้าเราอยู่ในเทวโลกบำเพ็ญๆๆ เพื่อจะไปสู่การเป็นพรหมชั้นสูง เพื่อที่จะไปสู่การเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เพื่อที่จะไปสู่การเป็นพรหมสุทธาวาส เพื่อที่ไปเป็นโสดาปัตติมรรค อริยบุคคลในโลกวิญญาณ อนาคามี เข้าสู่แดนอรหันต์ ในขณะบำเพ็ญอยู่นั้น เราสร้างแต่ความดี ตั้งแต่ชาตินี้ถึงเทวโลก เราก็ยังบำเพ็ญความดี ทีนี้เขาเรียกว่า กรรมของตนตามล่าอดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต

ทีนี้ ในภาวการณ์นั้นแหล่ พรหมบางองค์ ทำไมต้องลงมาเกิดเป็นปลาไหล พรหมบางองค์ ทำไมต้องลงมาเกิดเป็นช้าง แล้วก็พรหมบางองค์ ทำไมต้องมาเสวยวิบากในโลกมนุษย์ก่อน แล้วจึงจะเข้าสู่จุดแห่งความปรารถนาของตน เพราะว่า กุศลในอดีตนี้ยังตามไม่ทัน

โลกวิญญาณเขาถือแค่สามชาติ อดีตชาติก่อนเกิดเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันเข้าสู่อนาคตชาติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราตายจากโลกมนุษย์ในปัจจุบันชาติ กุศลอันนี้ เขาจะคิดแค่อดีตชาติที่หนึ่ง ที่ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไร ชุบชีพ หรืออะไรน่ะ แล้วก็จะขึ้นไปเทวโลก เขาก็จะคิดบัญชีนี้ ขณะนี้จะเสวยทิพย์ในชาติแห่งอดีตถึงปัจจุบัน บวกแล้วมีความดีเท่านี้

pngegg.5.3.2.png



การเสวยกรรมวิบาก


ทีนี้ ระหว่างที่เราเสวยความดีนั้นแหละ แล้วเรากำลังทำความดีอยู่นั้น อดีตชาติเป็นสิบๆ ชาติ เป็นร้อยๆ ชาติ กรรมอันนั้นตามมา ตามมาถึงระหว่างการเสวยทิพย์อยู่ในเทวโลก เขาจะยื่นหมายแห่งกรรมวิบากอันนี้มาว่า บัดนี้ กรรมอันนี้เจ้าหนี้ทวงมาแล้ว

ในเทวโลกชั้นที่ ๖ เขาจะมีศาลาลูกขุน นี่เล่าเรื่องเทวดาหน่อย ศาลาลูกขุนจะมีการไกล่เกลี่ยว่า บัดนี้ วิญญาณนี้กำลังประกอบความดีอยู่ในเทวโลกขณะนี้ และต้องการที่จะเอากุศล พูดง่ายๆ ปัจจัยนี้ใช้ให้ในครั้งนี้เป็นเท่านี้ ท่านจะอโหสิกรรมให้หรือไม่

ถ้าวิญญาณหรือว่ากรรมวิบาก เจ้ากรรมนายเวรในอดีตไม่ยอมอโหสิกรรม เราจำเป็นที่จะต้องจุติลงมาสู่มนุษยโลก หรือว่าไปสู่ภูมิใดภูมิหนึ่งอีก เมื่อเข้าสู่มนุษยโลก ก็ต้องเข้าสู่หลักแห่งวัฏฏะอีก เมื่อตกอยู่ในวัฏฏะบำเพ็ญดี ก็ใช้ในชาตินี้ แล้วขึ้นไปสู่เทวโลกอีก

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมวิบากแห่งการเสวยของแต่ละบุคคล ที่นี้เป็นสำนักของโลกวิญญาณ รู้เรื่องรายละเอียดของการถี่ยิบของกรรมมาก ฉะนั้นจึงไม่พูดเลี่ยง แบบบางคนมาหาหลวงปู่ บอกถามตั้งนาน ท่านพูดสองคำ ความถี่ยิบของกรรมนั้น กระแสกรรมของแต่ละคนนั้น เป็นเรื่องละเอียดมาก เรื่องเฉพาะคนๆ เดียวจะให้อธิบายหมด ห้องนี้ทั้งห้องยังไม่พอเก็บเป็นตำรา

เพราะฉะนั้น นี่คือชี้จุดว่ากรรมวิบากมันเป็นอย่างนี้ ขณะที่เราขึ้นไปเทวโลกเสวยกรรมอยู่ อดีตชาติก่อนเป็นมนุษย์นี้ กรรมนั้นดีปัจจุบันนี้สิ้นจากโลกมนุษย์ไปสู่เทวดา กรรมนั้นก็ยังดี แต่เกิดมีอกุศลกรรมในอดีตหลายชาติตามมา เขาจะยื่นมาเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเป็นวิบากของกรรมแต่ละคนต่างกรรมต่างวาระต่างคนต่างเหตุผล เพราะฉะนั้น จะรู้แน่ก็เมื่ออยู่เทวโลก อยู่พรหมโลก อยู่โลกวิญญาณแล้ว

อาจารย์ชุบชีพ : นี่แหละเจ้าค่ะ พวกที่ไม่ได้เรียนพุทธศาสนา เขามาฟังแล้ว เข้าไม่เชื่อหรอก ทำดีตั้งเป็นก่ายเป็นกอง แล้วก็ต้องไปสู่นรกสู่อบาย ทำผิดนิดเดียว เขาไม่รู้ถึงอดีตชาติ ตั้งร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โน้น ว่าไอ้กรรมนั้นมันหนุนส่งขึ้นมา เอาละเจ้าค่ะสมเด็จอาจารย์เจ้าคะ ในพระพุทธศาสนานี้ มันไม่ได้ปฏิบัติกันง่ายๆ เลยนะเจ้าคะ

สมเด็จ :
มันเป็นเรื่องละเอียด


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 04:43, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MzB8MWQ4NDQ4Yzh8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 04:43, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MzF8OGFjY2FjZWV8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 04:46

ตอนที่ ๒๐

ธรรมชาติเดินไปสู่การสลายของพุทธะ



อาจารย์ชุบชีพ :
สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ สมมติว่าการปฏิบัตินี่ เราจะจ้องอริยะละ นี่กลายเป็นโลภะไปแล้ว เพ่งๆ ไปแล้วมันไม่ทันใจ โมหะ มันเกิดอีกแล้ว ทีนี้ พอไปเห็นอะไร ไปติดนิมิตเข้ามา มันก็หลง ไอ้โมหะมันก็เข้ามากิน มันสลับซับซ้อน อย่างนี้มันจะไปถึงได้อย่างไรเจ้าคะ อริยมรรค อริยผล นี่น่ะ

สมเด็จ : อริยมรรค อริยผล ถึงได้ ต่อเมื่อท่านไม่หลงมรรค ไม่หลงผล ไม่ยึดไม่ยึดผล ก็คือว่า

วันหนึ่งตื่นเช้าขึ้นมานี่ ข้านี้ยังไม่ตาย ข้านี้ยังไม่ตาย สิ่งที่ดีข้าต้องทำ สมาธิข้าต้องนั่ง พยายามให้จิตนิ่ง

หลักแห่งพระพุทธศาสนามีจุดอยู่ว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ในพระวิหารเชตวัน พระอานนท์เถระได้เข้าทูลถามองค์โคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าน้อยนี้เป็นพุทธอุปัฏฐาก ตามรอยยุคลบาทอยู่ทุกเมื่อ เหตุไฉน ข้าน้อยฝึกในด้านฌานญาณจึงไม่ได้ ในการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ฌานไม่เกิด ปัญญาไม่ขึ้น เพราะเหตุใดเล่า”

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เอนกายอยู่ ณ ใต้ต้นรัง ก็ได้ตอบว่า

“อานนท์เอ๋ย การฟังธรรมให้ถึงธรรม ตั้งมั่นธรรม จิตจดจ่อจนไม่จดจ่อคือจดจ่อ จิตเพ่งจนไม่เพ่งคือเพ่ง การรู้จนไม่รู้คือรู้ เพราะฉะนั้น อานนท์ เจ้าอย่าหลง อย่ายึด อย่าจดจ่อ อย่าถึง ไปในธรรม”

คือ การหวังตั้งปณิธานให้ถึงเร็ว ย่อมไม่ถึง วางจิตเฉยๆ ให้นิ่งๆ จิตนี้ยิ้ม เอกัคตาจิตขึ้นสู่ธรรม ประภัสสรแห่งธรรมเกิดขึ้นเอง ปัญญาวิมุตติอาศัยธรรมแห่งอาสวะ อาสวะเกิดขึ้นต้องอาศัยฌาน ฌานเกิดขึ้นต้องอาศัยการนั่ง การนั่งต้องกระทำด้วยความว่าง


หมายความว่า ถ้าเราไปยึดมันก็ไม่ถึง ถ้าเราไม่ยึดอาจจะถึงโดยเราไม่รู้ตัว เพราะว่าอันนี้ เขาเรียกว่า ทำไปเรื่อยๆ เคลื่อนคล้อยตามธรรม ธรรมชาติเดินไปสู่การสลายของพุทธะ ถึงพุทธะ ทิ้งพุทธะ วางให้นิ่งถึงปัญญาหยั่งรู้สรรพสัตว์ เข้าใจไหม

อาจารย์ชุบชีพ : เข้าใจเจ้าค่ะ คือได้กับตัวดิฉันเจ้าค่ะ ดิฉันเคยปฏิบัติ ดิฉันเข้าใจแล้วที่สมเด็จอาจารย์พูดนี่ เข้าใจ หมายความว่า ไม่ให้มุ่งหวัง ถ้ามุ่งหวังแล้วมันจะไม่เจอ คือหมายความว่า มันมีทางอยู่ก็ให้เดินตามทาง ถึงเมื่อไหร่ แล้วแต่เหตุและปัจจัย

ดิฉันเคยปฏิบัติ สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ ดิฉันเป็นลูกศิษย์วัดมหาธาตุ ดิฉันปฏิบัติวันนั้น ดิฉันนั่งได้ ๔ ชั่วโมง แหมรู้สึกแจ่มใส ลืมตาก็มองไม่เห็นคุณชุบชีพเจ้าค่ะ มันมีแต่นาม รูปไม่มี แหมแจ่มใสจริงๆ แจ่มใสมากมายทีเดียว พอออกแล้วก็ปีติเหลือเกิน ไม่ต้องกินไม่ต้องนอน มันมีปีติ ไม่ง่วง ดิฉันก็เลยมานึกว่า อ้อ คือหมายความว่า เรานี่ไม่หวังนี่ มันได้ แล้วพอมาหวังที่จะเอาอย่างนั้นอีก ทำแทบตาย ไม่เจอเลย

แล้วดิฉันก็เลยนึกเอาเอง วิจารณ์ในใจว่า แหม ที่พวกนั้นเขาคุยกันนะที่เขาว่า เขาได้มรรค ผล นิพพาน มันอย่างนี้เองนะ มาจับเอาตรงนี้เอง ดิฉันว่า โธ่ อย่างนี้ก็เข้าใจผิด หมิ่นพระปัญญาคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาหลายแสน หลายล้านชาติ จึงได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน นี่นั่ง ๔ ชั่วโมง บรรลุนิพพาน นี่หมิ่นพระปัญญาคุณพระพุทธเจ้าใช่ไหม สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ

สมเด็จ : เพราะว่าในขณะนั้น เขาเรียกว่า กระแสจิต ธาตุทั้ง ๔ เพียงแต่นิ่ง เมื่อกระแสจิตแห่งธาตุทั้ง ๔ นิ่ง อายตนะภายในจิตวิญญาณรวมกันได้ มันเกิดปีติเอง ยังไม่ถึงนิพพานหรอก

อาจารย์ชุบชีพ : นั่นซิเจ้าคะ ดิฉันได้สติว่า แหมพวกนี้หลงว่าไปนิพพานไปสวรรค์กัน

สมเด็จอาจารย์เจ้าคะ เป็นอันว่าพอใจดิฉันแล้ว สรุปลงก็คือว่า ไม่ให้ยึด ไม่ให้เกาะ ไม่ให้ถือมั่น ปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ มันได้เอง ชาตินี้ไม่ได้ ชาติโน้นๆๆๆ ไปก็ได้เอง

สมเด็จ : เมื่อคราวองค์สมณโคดมจะทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์ อานนท์ได้ยืนเกาะ ร้องไห้ พระพุทธองค์ได้มีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า

“อานนท์เอ๋ย ถ้าเจ้าติดตถาคต เจ้าไม่ถึงตถาคต อานนท์เอ๋ย เจ้าจะเศร้าโศกเพื่ออะไรเล่า การเป็นนักพรตสิ้นแล้วซึ่งความร้องไห้ การเป็นนักพรตสิ้นแล้วซึ่งความหัวเราะ เพราะฉะนั้น อานนท์ เจ้าจงเร่งจิตเข้า เร่งจิตเข้า นั่นแหละ วาระนั้นจะถึงธรรม”


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 04:49

ตอนที่ ๒๑

เมตตาสูตรสยบมาร



(วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



ม.ล.โอภาส ชุมสาย : ลูกมีปัญหาถามนิดหนึ่งเพคะ ขณะที่ลูกปฏิบัติพระกรรมฐานถวายพระพุทธเจ้า มีวิญญาณแม่นางตะเคียนมากวนอยู่ตลอดเวลา ลูกร้องไห้อยู่ในพระกรรมฐาน เพราะทำไม่ได้ เพราะเขาเอามือแหย่มาเรื่อย ลูกก็ร้องไห้บอกว่า วิญญาณสถิตยุติธรรมไม่มีแล้วหรือในโลกนี้ อยู่ที่ไหน คนจะปฏิบัติพระกรรมฐานถวายพระพุทธเจ้าก็มาแกล้งอยู่อย่างนี้

พอลูกเอนกายลงนอนก็มาแกล้ง เพื่อจะให้ปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ครบ ๗ วัน ตามที่ลูกได้ตั้งใจไว้ ลูกก็ได้พยายามทำไปเรื่อย ร้องไห้ไปเรื่อย ก็ปรากฏว่าวิญญาณเทพองค์หนึ่ง ปรากฏร่างที่หัวเตียงนอน ท่านบอกว่า “ปฏิบัติไปเถอะ” ตั้งแต่ตอนนั้นก็ปฏิบัติได้อีก ๑ วัน ก็ครบเพคะ ลูกอยากทราบว่า วิญญาณของผู้ที่ชื่อเทพเทวาเป็นใครเพคะที่มาช่วย

สมเด็จ : คือในการบำเพ็ญนั้น การปฏิบัติจิตนี้ยิ่งมีมารผจญเป็นสิ่งธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้ามารผจญเราในกายในกายนี้ ถ้าท่านชาญฉลาด ท่านไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมาช่วย ท่านจงปฏิบัติด้วยการแผ่เมตตา ในกระแสแห่งเมตตาจิตนี้แหล่ ที่จะช่วยให้ผู้ที่รังควานเรานั้นได้สยบลง ในหลักของเมตตาสูตร เขาเรียกว่า เมตตาธรรมนั้นสามารถทำให้คนชั่วเลิกชั่วได้

ทีนี้ ในภาวะที่ไม่เข้าซึ้งถึงในสัจจะอันนี้ ก็ได้ทำการเรียกร้องเทพเทพารักษ์ให้มาช่วย เทพารักษ์องค์ที่มาช่วยเรานี้ เป็นเทพประจำทิศบูรพา ซึ่งส่วนมากเป็นการที่จะคอยช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองมนุษย์ที่จะปฏิบัติในทางดี ในทางจิต เพื่อจะได้ไปสู่ในทางดี


เพราะฉะนั้น ในการแห่งการที่เราปฏิบัตินี้ ในภาวการณ์เขาเรียกว่า คือ มีผู้แกล้งก็คือมาร ในเรื่องของกายในกาย มีผู้ส่งเสริมก็คือมีเทพมาช่วย อันนี้ก็ถือว่า เรียกว่าดวงเรานี้ ในภาวะเขาเรียกว่า มีเทพอุปถัมภ์ เจ้าก็เป็นหมอดูใช่ไหมล่ะ มาสอบกับอาตมาหน่อย อาตมานี่หมอดูเก่าวัดระฆังฯ

ม.ล.โอภาส ชุมสาย : ลูกขอมอบตัวเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระคุณเจ้า ลูกก็ต้องขอให้พระคุณเจ้าช่วยประทานสรรพวิทยาให้ลูกดูหมอได้แม่นๆ เพคะ

สมเด็จ : ทีนี้ ในการดูหมอ ตำราหลักการในโหราศาสตร์นั้น ในการวิบากของฟ้า ของดวงดาวนพเคราะห์ก็ดีนั้น หรือของดวงดาวแห่งจักรวาลนั้น เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบกระแสคลื่นในการสู่พลังของมนุษย์ เพราะฉะนั้น โหราศาสตร์ที่เขาทำนายกัน เชื่อได้อย่างมากที่สุดไม่เกิน ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ครึ่งต่อครึ่ง

ส่วนมากวิถีการแห่งการครองตนในการเป็นอยู่ จะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมของตนวิบาก เพราะฉะนั้น ในการทำนายในเรื่องสำคัญนั้น คือ เรื่องคอขาดบาดตายนั้น ควรทำนายโดยการแบ่งรับแบ่งสู้ ตามบทอาชีพหมอ (ที่ประชุมหัวเราะ)

ม.ล.โอภาส : ลูกรู้สึกว่าเป็นพระคุณอย่างสูง แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะทูลถามสมเด็จท่านแล้ว เอาไว้ให้ผู้อื่นได้กราบถามบ้าง ขอกราบลาพระคุณเจ้าเท่านี้


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 04:51

ตอนที่ ๒๒

สามเมาทิ้งได้ นิพพานมีหวัง


(วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ คำที่เขียนอยู่บนหน้าพระตำหนัก ที่เขียนว่า “สามเมาทิ้งได้ นิพพานมีหวัง” กระผมขอกราบถามว่า “สามเมา” นี่ หมายถึงอะไรครับ

สมเด็จ : มนุษย์เราเมาลาภ ก็ย่อมเสื่อมลาภ มนุษย์เราเมาโกรธ ก็จะต้องเกิดเหตุ เมาหลงก็ต้องพินาศ เพราะฉะนั้น โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายใน ๓ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มีในตัวท่าน ถ้าท่านตกอยู่ในห้วงของจุดใดจุดหนึ่ง ท่านก็ย่อมที่จะไม่มีทางหลุดพ้นสู่การที่จะเรียกว่า “รู้” ในความบริสุทธิ์ของสัจจะ แห่งความละทิฐิของอัตตา

สิ่งเหล่านี้ก็คือว่า ถ้าท่านหลงอยู่ในสามเมา เขาเรียกว่า พญามารภายในกาย ท่านตามไม่ทัน คือ โลภ โกรธ หลง


โลภ โกรธ หลง นี้ พร้อมที่จะทำลายท่าน เมื่อสติท่านเผลอ เมื่อนั้นเขาย่อมแทรกเข้าไปในตัวท่านโดยท่านไม่รู้ ท่านไม่ทันเตรียมพร้อม คือเรียกว่า ท่านมีช่องว่างเมื่อไหร่ เขาก็จะแทรกตอนนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจะละไม่ให้โลภ โกรธ หลง นี้ ครอบท่านได้ ท่านก็จะต้องพยายามใช้ในการทำสมาธิภาวนา

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 04:53

ตอนที่ ๒๓

ทำความดีมนุษย์ไม่รู้ เทพพรหมรับรู้


(วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์ลัดดา : หลวงพ่อสมเด็จเจ้าคะ คุณพ่อของลูกเสียเมื่อวานนี้ ลูกอยากจะขอบารมีว่า กุศลทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกบำเพ็ญ ให้ส่งไปถึงพ่อด้วยเจ้าค่ะ

สมเด็จ : คือกุศลทั้งหลายเราก็สร้าง ทีนี้ในสภาวการณ์ทั้งหลาย การเสียใจเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ภาวะของมนุษย์จำเป็นที่จะต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามวาระ ในการตายนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่า คนเราสังขารและอายุถึงคราวหมดตามกรรมวิบาก

มนุษย์เรามีกรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราก็เรียกว่า เมื่อเรามีอุดมการณ์ที่จะทำงานช่วยส่วนรวม เราก็ตั้งเข็มทิศในการที่จะทำงานเพื่อมนุษย์ต่อไป ในการทำงานศาสนาให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษา กุศลทั้งหลายนั้น จะช่วยวิญญาณผู้ตายให้สู่สุคติ

คนเรานั้น “ทำความดี” ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการยกย่องจากคนว่า เราทำความดี มนุษย์หมู่หนึ่งอาจจะไม่เข้าใจในความดีของเรา แต่เทพพรหมย่อมรับรู้ในการกระทำของมนุษย์ที่มีเจตนาที่จะสร้างกุศล

ขอให้ท่านทั้งหลายยึดมั่นในกฎแห่งกรรมเป็นสรณะ แล้วท่านย่อมที่จะไม่ต้องทุกข์ มนุษย์เราเมื่อถึงวาระแห่งการสิ้นนั้นแหล่ การเสียใจก็ดี การอะไรก็ดี ย่อมที่จะช่วยให้วิญญาณนั้นกลับคืนสู่การเป็นมนุษย์ไม่ได้


เราควรตั้งจิตตั้งใจอธิษฐานบารมีที่เราสร้างนั้น เพื่อช่วยให้วิญญาณนั้นอยู่สุขในปรภพ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรกระทำ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 04:55

ตอนที่ ๒๔

สุนัขมีความซื่อสัตย์


(วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : ในคัมภีร์กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ในบรรดาวิหกทั้งหลาย นกกานี่เลวที่สุด และในบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งหลาย สุนัขเลวที่สุด สำหรับในบรรดาพืชทั้งหลาย ละหุ่งนี่เลวที่สุด อันนี้หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือนี่ เป็นการอุปมาอุปมัยของเหล่าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ในยุคต่อมา ที่จะแบ่งในพวก ในหมู่คณะ ในกลุ่มของตน เพราะฉะนั้น ถ้าให้อาตมาพูดแล้ว อาตมาว่า หมานี่ดีกว่าคน เพราะอะไรเล่า เพราะว่าสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ที่มีความทรงจำในทางระบบประสาทดีกว่ามนุษย์ เรียกว่าสอนจำง่ายกว่ามนุษย์

ทีนี้ ในการที่เขาแบ่งนี้ เขาเรียกว่า อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ที่เขียนต่อเติมในคัมภีร์นั้น เกิดความอุปาทานยกตนเหนือกว่าเขา ก็ย่อมลงความเห็นในสิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งเลว

ทุกอย่างในโลกนี้ ในวงการแห่งคำว่า “เลว” เขาก็มีความดีของเขาอยู่ในความเลว สภาพการณ์ในพืชพันธุ์ทั้งหลายก็ไม่ได้มีความเลวในความจริงของตน

เพราะในหลักแห่งคัมภีร์บางคัมภีร์ก็ต่อเติมจนเรียกว่า เลอะ แบบภาษาชาวบ้านว่า อ่านแล้วไม่รู้จะเอาหลักไหนเป็นสรณะ จนเวลานี้บางคนที่ไม่ยึดหลักแห่งเหตุผลแห่งความจริง ก็จะอุ้มตำรา เกาะอย่างไม่ยอมถอย

นั่นคือเหล่าพวกเขาเรียกว่า นักปราชญ์ในยุคปัจจุบัน เรียนศาสนาพุทธเพื่อพูด เพื่อแย้ง เพื่อโต้ ไม่ใช่เรียนพุทธศาสนาเพื่อทำ เพื่อปฏิบัติให้หลุดพ้น ซึ่งมีอยู่ในวงการพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้มากมายนัก

พระเชาวน์ : ธรรมะตอนนี้เป็นการแต่งขึ้นในตอนหลัง อย่างนั้นหรือครับ

สมเด็จ : ยุคหลัง

พระเชาวน์ : ไม่ใช่พระพุทธเจ้ากล่าวเอง

สมเด็จ : พระพุทธองค์นี้ เมื่อเป็นองค์สมณโคดม มีแต่จะพูดเรื่องว่า จะทำอย่างไรจึงให้มนุษย์พ้นทุกข์ ทำอย่างไรจึงให้สัตวโลกมีสุข เพราะฉะนั้น ย่อมไม่มีเวลา หรือไม่มีสมาธิที่จะมาแยกแยะในเรื่องเรียกว่า ชี้คนนั้นไม่ดี ชี้คนนี้ไม่ดี

ถ้าองค์สมณโคดมยังมีอกุศลอารมณ์นี้ประจำใจแล้วไซร้ ถ้าท่านศึกษามาในคัมภีร์ย่อมทราบว่า เทวทัตนั้นทุกวิถีทางที่จะทำลายองค์สมณโคดม เหตุไฉน องค์สมณโคดมจึงไม่ลงความเห็นว่า เทวทัตนี้เป็นนักบวชที่เลวเล่า

พระเชาวน์ : ในที่นั้นกล่าวไว้ว่า ในบรรดาพืชทั้งหลาย ต้นละหุ่งเลวที่สุดนี่ ต้นละหุ่งเลวอย่างไรครับ

สมเด็จ : อาตมาไม่ใช่ผู้แต่งในเรื่องต้นละหุ่ง เพราะฉะนั้น ไม่รู้ว่ามันเลวอย่างไร

ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อครับ ต้นละหุ่งนี่ในทางวิทยาศาสตร์มันไม่ใช่ของเลว เป็นของดีนะครับ ใครว่าของเลว ตำราไหนว่า

พระเชาวน์ : อันนี้ในคัมภีร์เขียนไว้เลย แต่สำหรับที่ว่า สุนัขเลวนี่ เขาก็ให้ความเห็นกันว่า สุนัขนี่ถึงจะเลี้ยงให้อิ่มอย่างไร มันก็ชอบกินขี้

สมเด็จ : นั่นคือสัญชาตญาณของสุนัขที่เขาเกิดมา สิ่งนี้ที่เขากินลงไปได้ เพื่อความอยู่รอดของเขา เพราะฉะนั้น อาตมาว่า สุนัขน่ะมันยังดีกว่าเอ็ง เพราะว่าเอ็งลองสอนให้มันนอนตรงนั้น มันก็นอนตรงนั้น ไอ้มึง บอกมึงว่า ตรงนี้อย่าไป มึงก็ยังไป

ดร.คลุ้ม : ขอสนับสนุนหลวงพ่อครับ หมานี่ไม่ใช่ของเลว หมานี่ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อเจ้านายดีกว่าคนอีกครับ คนนี่เลวกว่าหมาแยะครับ

สมเด็จ : ถ้าท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ ท่านศึกษาในหลักความจริงของศาสนา ท่านศึกษาในประวัติศาสตร์ของการปกครองแล้ว

พระราชาไม่เคยตายเพราะหมา พระราชาตายเพราะอำมาตย์ พระราชาตายเพราะเหล่าปุโรหิต พระราชาตายเพราะเหล่านางสนมกำนัล พระราชาตายเพราะเหล่าข้าหลวงภายใน พระราชาไม่เคยตายเพราะสุนัขเลย สุนัขมีแต่ความซื่อสัตย์ที่จะป้องกันพระราชาไม่ให้ถูกผู้อื่นทำลาย

เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่า ถ้าคุณธรรมแห่งความซื่อสัตย์กตัญญูกตเวทีแล้ว หมาหรือสุนัขนี้ มีความกตัญญูกตเวทีต่อสัตวโลกมากกว่ามนุษย์ หมานั้น ถ้าสังเกตดีๆ ถ้านายกลุ้มใจ หมาจะพลอยกลุ้มใจไปด้วย ถ้านายดีใจ หมาจะรู้สึกดีใจตาม ฉะนั้น อันนี้เป็นกฎธรรมดาของสัตว์ที่มีความกตัญญู


แต่ถ้าเลี้ยงคนแล้ว เลี้ยงให้อิ่มยังไง ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า กินในบ้านแล้วก็ขี้บนหลังคา ถ้าผู้ที่เป็นอำมาตย์ หรือว่าเสนาบดีในยุคนั้น สมัยแผ่นดินจีนเขาเรียกว่า พวกขันที พวกนี้พอเลี้ยงอิ่มก็คิดกบฏทำลายพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งมีอยู่ทุกหัวระแหงในราชบัลลังก์ต่างๆ แม้แต่ในขณะนี้

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:01

ตอนที่ ๒๕

วางระเบียบให้ชีวิต


(วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๑)



สมเด็จ : การทำงานนั้น เราจะต้องมีหลักเกณฑ์ ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้เยอะแล้วว่า ในสภาพการณ์เราจะติดต่ออะไร กับใคร บุคคลอะไร เราควรจะมีการวางระเบียบแห่งการติดต่อ เพราะว่าการครองตนอยู่วันหนึ่ง เวลานั้นแสนจะมีค่า เวลาผ่านพ้นไป ย่อมซื้อกลับมาไม่ได้

ฉะนั้น เราต้องยึดถือว่า เราเกิดเป็นคนนั้น เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม เมื่อเรายังมีลมหายใจ ยังพูดกันได้ เคลื่อนไหวได้ วิญญาณยังไม่ได้ออกจากร่างนั้น เราควรทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกและต่อมวลมนุษย์ และการเป็นมนุษย์นั้น ถ้าไม่มีเข็มทิศ ไม่มีระเบียบ มนุษย์ผู้นั้นย่อมเดินไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จของชีวิตไม่ได้

เพราะฉะนั้น การเป็นอยู่ของการเป็นคน เราควรจะต้องมีระเบียบและมีจุดแห่งการดำเนิน เขาเรียกว่า สร้างอุดมการณ์ไว้ได้ แต่อย่าหลงอุดมการณ์ อุดมการณ์เป็นแต่เพียงแนวทางแห่งการปฏิบัติของสัจจะ ให้ตัวเราเดินไปสู่บั้นปลายแห่งความสำเร็จ และการเป็นอยู่นั้น เราจะต้องรู้จักวางระเบียบของกาลเวลาว่า วันหนึ่งเราจะนอนกี่ชั่วโมง จะตื่นกี่โมง จะทำอะไรกี่ชั่วโมง และระเบียบนี้ เราจะต้องรักษาระเบียบ เขาเรียก สัจจะแห่งการตั้งปณิธาน

อย่างเช่น อาตมาอยู่วัดระฆังฯ นั้น อาตมาตื่นตีห้า ตื่นมาก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ สองโมงเช้า อาตมาต้องเขียนในหลักแห่งธรรมะ สามโมงเช้า ต้องเล่นกับหมาสักพักหนึ่งก่อน ให้สมองมันปลอดโปร่ง สี่โมงเช้า ปั้นพระ ห้าโมง จำวัด ตอนบ่าย ใครนิมนต์เทศน์ ไปทั้งนั้น ถ้าไม่ขัดกับในวัง เพราะในวังเขามีระเบียบของวังออกมาในการนิมนต์

สำหรับรัชกาลที่ ๔ ในยุคนั้น ก็ได้วางระเบียบของตัวเองว่า ท่านโตตื่นตีห้า ฉันก็ต้องตื่นตีห้า ตีห้า หัดพละ ตีหก นวดกาย ตีเจ็ด เสวย แปดโมงเช้า อยู่ห้องทรงพระอักษรรับทราบเหตุการณ์ต่างๆ สิบเอ็ดโมง ออกบัลลังก์ เที่ยงพัก บ่ายสองโมง ประชุมฉุกเฉินตามภาวะ

เพราะฉะนั้น การทำอะไร เราต้องมีระเบียบและมีแบบแผน เขาเรียกว่า มีเข็มทิศแห่งการอยู่ ทุกอย่างมันย่อมสำเร็จ อย่าทำอย่างไม่มีระเบียบ หรือทำอย่างสักแต่ว่าทำ

และการเป็นผู้นำคนนั้น ต้องรู้หลักแห่งการใช้คน แล้วการทำงานใหญ่ต้องจำเอาไว้ว่า เราคนเดียวนั้นทำไม่ได้ดอก คำว่า “สังคม” มันต้องรวมหมู่คณะ เดิน ทำ วิ่ง บางอย่างเราควรจะวางให้ใครไปทำ ก็ควรจะวางเสีย เขาเรียกรู้จักใช้คนเป็น แล้วมันก็อยู่อย่างสบาย คนไม่รู้จักใช้คน ใช้ไม่เป็น เขาเรียกว่า คนนั้นมีกรรม ตั้งแต่ล้างชามจนถึงปูที่นอนต้องทำเอง

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:03

9.png



ทำดีได้ดีมีที่ไหน   ทำชั่วได้ดีมีถมไป
โลกวิญญาณเขาทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเสมอ


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



ทำดีย่อมได้ดี
ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
ท่านจะไปนรกหรือสวรรค์
จะรู้ต่อเมื่อไปพบกันที่โลกวิญญาณ




รูปภาพที่แนบมา: 9.png (2023-4-28 05:04, 31.56 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MzJ8Zjc4YzI5ODR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png (2023-4-28 11:27, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDR8YmYwMTAwNzN8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:11

2.png


ตอนที่ ๑

โลกวิญญาณตั้งอยู่ที่ไหน


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์ลัดดา : พรหมโลก เทวโลก นรกโลก ตั้งอยู่ที่ไหนคะ

สมเด็จ : ในเรื่องนี้อาตมาเทศน์ไว้เยอะแล้ว โลกวิญญาณกับโลกมนุษย์กั้นกันแค่กระดาษแก้วทิพย์ใส ภาวะจะถึงโลกวิญญาณ ท่านย่อมต้องทิ้งในโลกมนุษย์ คือ กายในกายของท่านบริสุทธิ์

จักรวาลมนุษย์นี้ สิ้นสุดที่ดาวราหู เลยจากราหู คือยมโลก เลยจากยมโลก ก็คือเทวโลก เลยจากเทวโลก ก็คือพรหมโลก

ทุกวันนี้ มนุษย์อวดตนเก่ง กำลังที่จะหาทางไป อาตมาขอบอกว่า ให้ไปถึงเมืองนาคในมหาสมุทรอินเดียก่อน ก่อนที่จะไปอยู่ในโลกพระจันทร์ ปราสาทของนาคตั้งอยู่ในดินแดนมหาสมุทร มนุษย์ยังไม่กล้าไปถึงเลย แล้วจะไปถึงโลกวิญญาณ โลกวิญญาณนั้น ท่านไม่สามารถไปด้วยวัตถุหรอก ท่านจะต้องไปด้วยกายในกาย ท่านจะต้องปฏิบัติตนให้เหนือกาย นี่คือ หลักธรรมะขั้นสูง อธิบายไปก็ฟังไม่เข้าใจ

คือ ในหลักของการสอนขององค์สมณโคดมก็คือว่า สัจจะคือความจริง ความจริงของธรรมะ ตนปฏิบัติถึงได้ เรียกผู้อื่นมาดูได้ แล้วปฏิบัติตามได้ แต่ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธกลายเป็นมนุษย์ตั้งเป็นนักปราชญ์แขนงหนึ่ง เรียนเพื่อเถียง เรียนเพื่อคุย ไม่ใช้เรียนเพื่อทำ จึงทำให้ยุคปัจจุบันที่คนเสื่อมลง

ศีลธรรมนั้นไม่เสื่อม ศาสนานั้นไม่เสื่อม สัจจะย่อมมี แต่มนุษย์ไม่ค้น เรียนแต่พวกทฤษฎี แล้วก็เอาแต่พูด ไม่พยายามปฏิบัติ กลายเป็นว่ามีวิชาประดับโลก ไม่ใช่วิชาพ้นทุกข์

องค์สมณโคดมเข้าค้นสัจจะอันนี้ ก็คือรู้หลักแห่งความทุกข์ ค้นหาเหตุแห่งการมาของทุกข์ เพื่อดับทุกข์ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ใช่ศึกษาในหลักของพุทธศาสนาในรูปนี้ เขาศึกษาเพื่อว่า ฉันนี้ก็รู้ แล้วก็เถียงกัน

เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่า รู้สึกเบื่อในการลงมาในโลกมนุษย์ แล้วการทำงานของมนุษย์ในยุคนี้ เขาเรียกว่า ทำแบบไม่มีโครงการ ไม่มีแผนงาน ไม่มีวินิจฉัย ทำแบบขอไปที ซึ่งเป็นภาวะแห่งยุคกลียุคใกล้ระเบิดขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนว่า ผู้มีศีลธรรมเท่านั้น ผู้มีมนุษยธรรมเท่านั้นที่จะอยู่รอด

เจริญพร



รูปภาพที่แนบมา: 2.png (2023-4-28 05:12, 128.9 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MzR8ZTE1MDY0YTB8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:17

ตอนที่ ๒

วิญญาณอิสระ


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : อยากทราบว่า วิญญาณอิสระ นี่เป็นวิญญาณชนิดไหนครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือในเรื่องของวิญญาณนี้ ในการตายของมนุษย์นั้น อาตมาได้เทศน์ไว้ทีนี้แยะแล้วว่า มีตายเทียม ตายเพราะอสูรฆ่า ตายเพราะอายุขัยยังไม่ถึง และตายเพราะถึงอายุขัย (ตายแท้)

เรื่องของคำว่า ตายเทียม นี้ อยู่ในภาวการณ์ บางคนเป็นการป่วยเจ็บปวดของกายเนื้อ สภาวการณ์แห่งวิญญาณในกายทิพย์นี้ไม่สามารถที่จะรั้งอยู่ในกายเนื้อนี้ สายใยแห่งการติดเชื่อมของวิญญาณกับกายเนื้อได้ผลักหลุดในผู้นั้น


เช่น บางคนเกิดอุบัติเหตุ มีการเจ็บปวดขนาดหนัก ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ภาวการณ์นั้นแลเขาเรียก พลังแห่งจิตไม่เพียงพอ ไม่ได้ฝึก แล้วถูกในการครอบงำของกิเลสของวัตถุ เมื่อนั้นวิญญาณนั้นจะหลุดจากร่างโดยฉับพลัน เขาเรียกว่า ตายอย่างไม่ถึงเวลา

ทีนี้ ในภาวการณ์นี้แล วิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ถูกยมโลก เทวโลก พรหมโลกรับไป ถ้าท่านเชื่อว่า ตายแล้วไม่สูญ เมื่อตายแล้วไม่สูญแล้วไซร้ จะต้องมีโลกอีกโลกหนึ่งรับทราบในการเคลื่อนไหวของวิญญาณแต่ละพวก แต่ละกลุ่ม แต่ละเหล่า แต่ละชั้น

ถ้าคนที่ตายอย่างถึงอายุขัยแล้ว (ตายแท้) แต่ยังไม่มีการที่จะหลุดไปสู่ในการเป็นเทพ ไปเป็นพรหมก็ดี เขาเรียกว่า เป็นวิญญาณปุตุ ถ้าเป็นวิญญาณปุตุแล้วไซร้ เขาเหล่านี้ระหว่างตายนั้นจะมีพวกยมทูต หรือว่าพวกเจ้าหน้าที่ เจ้าทาง เจ้าเขา เจ้าป่า ที่ได้รับมอบหมายจากผู้รับผิดชอบในหน่วยนั้นให้มารับวิญญาณนั้นๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่ตายอย่างถึงอายุขัยแห่งความสิ้นจากโลกมนุษย์แล้ว ก่อนตาย ถ้าผู้นั้นมีบุญหรือว่าเคยสร้างกุศลมา อาจจะรู้ตัวภายใน ๓ วัน เขาก็จะพูดในกิจต่างๆ ให้ลูกหลานรับทราบ ถ้าผู้นั้นมีบุญน้อย ก็จะรู้ล่วงหน้าสำหรับตัวเขา ๑ วัน เขาอาจจะบางครั้งในการมองหน้าญาติ มิตร ลูก หลาน อย่างเวทนา ก่อนที่จะตายแต่พูดไม่ได้ เพราะว่าขณะนั้น กระแสจิตถูกการบังคับของผู้ที่จะมารับวิญญาณไปชำระตามกฎในวัฏสงสาร ในยมโลก

ทีนี้ วิญญาณอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า วิญญาณจำพวกตายเทียม พวกนี้เป็นวิญญาณอิสระ "วิญญาณอิสระ" หมายความว่า เมื่อตายจากโลกมนุษย์นี้ วิญญาณจะไปทุกหนทุกแห่งตามแต่วาระของจิต วิญญาณแห่งกายทิพย์นั้น จะเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ของเขา ในสภาวการณ์แห่งการดีก็ไปสู่ในที่ดี ถ้าในสภาวการณ์แห่งการเลวก็ไปสู่ที่เลว หรือไม่วิญญาณเหล่านี้ก็จะไปถูกการควบคุมของเทพพรหม ของพระภูมิเจ้าที่หรืออะไร เขาเอาเป็นลูกมือรับใช้ในระหว่างวิญญาณอิสระ

มีวิญญาณจำพวกหนึ่ง ที่ระหว่างโคจรในการเที่ยวไปตามพิภพแห่งวิญญาณอิสระนี้แหล่ เขาไปเจอคนที่มีกรรมพัวพัน เขาอาจจะเข้าไปปฏิสนธิมาเกิด เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า บางคนพอเลี้ยงลูกเริ่มจะโตก็ต้องมาตายเสีย อันนี้เพราะว่า เมื่อวิญญาณนี้ถึงอายุขัยตามกฎโลกวิญญาณแล้ว เขาจะส่งบัญชีทิพย์อันนี้ให้กับทูตผู้รับผิดชอบมารับวิญญาณนี้ พวกยมทูตเหล่านี้ เขาจะมีทิพยจักษุอันหนึ่ง คือสามารถสอดส่องว่า วิญญาณอิสระนี้ขณะนี้อยู่ที่ไหน จะไปนำมาในรูปอย่างไร

ยังมีอีกพวกหนึ่ง ที่เคยฝึกฌานญาณ แล้วก็ตายอย่างไม่ถึงเวลา เขาเรียกว่า ตายเทียม เมื่อไปอยู่โลกวิญญาณ พวกนี้ชอบมาหากินกับมนุษย์ บางครั้งก็มาอ้างชื่อว่าเป็นอาตมามา เพื่อมารับการเซ่นไหว้ ทีนี้ เมื่อเขายังไม่ถึงกฎแห่งการตายแท้ของอายุขัยแล้วไซร้ แม้แต่ยมบาลก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะว่าโลกวิญญาณเขาเคารพในเกียรติ ในกฎ ในวินัย อย่างเคร่งครัด ไม่มีการที่จะล่วงล้ำแผนงานของใคร และมีความเคารพในอาวุโส และเคารพในระเบียบแห่งอายุขัยของผู้นั้นที่ยังไม่ถึงเวลาแห่งการตาย

เพราะฉะนั้น ระหว่างวิญญาณนี้เป็นอิสระ ก็สามารถที่จะคิด ทำอะไรก็ได้ และถ้าวิญญาณนั้นมีฌาน มีญาณ จะทำผิดแบบแผน ผิดกฎของโลกวิญญาณได้เสมอ เขายังไม่มีการลงโทษในขณะนั้น เพราะเขาถือว่า อายุขัยแห่งความสิ้นสุดในการเป็นมนุษย์ของเขายังไม่หมดตามอายุขัยแห่งบัญชีที่บันทึกไว้ ฉะนั้น วิญญาณเหล่านี้จึงเรียกว่า วิญญาณอิสระ ตามคำเรียกศัพท์ของโลกวิญญาณนั่นแหละ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:25

ตอนที่ ๓

อริยทรัพย์


(วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์ชุบชีพ นกแก้ว : ลูกอยากจะเรียนถามเรื่อง อริยทรัพย์กับทรัพย์สินเงินทอง มันต่างกันที่ตรงไหน ทรัพย์สมบัติต่างๆ ทำไมไม่เรียก "อริยทรัพย์" และอริยทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่ง ต่างกันอย่างไร จึงเรียก "อริยทรัพย์"

สมเด็จ : เจริญพร คือในคำว่า “อริยทรัพย์” นั้น

อริยทรัพย์ หมายถึง อริยทรัพย์ที่เป็นสิ่งยั่งยืน และเป็นสิ่งที่เรียกว่า ปัจจัตตังแห่งการอยู่รอดของนามธรรม จึงถือว่าเป็นอริยทรัพย์

ส่วนทรัพย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทรัพย์นี้เขาถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาด้วยสามกรรมที่ใหญ่ เรียกว่า สามพญามารที่แฝงอยู่ในกาย การที่ได้มาในเครื่องต่างๆ แห่งการใช้ก็ดี แห่งการกินก็ดี แห่งการอยู่ก็ดี


สิ่งเหล่านี้ที่ท่านได้ในทรัพย์ ในด้านของคำว่า วัตถุ นี้ ท่านได้ด้วยโทสจริต ได้ด้วยโมหจริต ได้ด้วยโลภจริต เพราะฉะนั้น ทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยที่ไม่มีความคงทนอยู่รอดของการเสวยสุขแห่งด้านนามธรรม

อาจารย์ชุบชีพ : ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เอาติดตัวไปได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เอาติดตัวไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะอะไรเล่า เพราะว่าท่านตาย ท่านก็เอาเงินไปสักอีแปะหนึ่งไม่ได้ เมื่อท่านมีอยู่ ท่านหวง ท่านก็ไม่สบายใจ เพราะฉะนั้น ทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์ที่ท่านสร้างขึ้นมาด้วยความทุกข์ใจ และทำให้เกิดความระแวง ทำให้จิตของท่านในด้านฝ่ายนามธรรมนี้ไม่ปรกติสุข

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ห่วง หลง อยู่ในวัตถุสมบัติ คนเหล่านี้เขาเรียกว่า เป็นคนที่ถูกกิเลสครอบงำ จนไม่ลืมหูลืมตา พิจารณาถึงวาระสุดท้ายแห่งการตายว่า ภาวะถึงเวลานั้นท่านตายไป สิ่งที่ท่านหวง สมบัติที่ท่านห่วง ทรัพย์ที่ท่านเก็บ สิ่งเหล่านี้ ท่านนำเอาติดตัวไปปรภพได้หรือไม่

อาตมาขอตอบว่า ไม่ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถึงวาระแห่งการตายถึงอายุขัยของท่านแล้วไซร้ ภาวะนั้น ถ้าท่านมีกุศลหรือได้สร้างบุญไว้ อันนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ อันนี้ขอให้ท่านนำไปพิจารณาเอาเอง ก็คือว่า ท่านจะมียมทูต เทวทูต พรหมทูต มารับตัวท่านไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง คือ โลกวิญญาณ


pngegg.5.3.1.png



รูปก็ดับ นามก็ดับ แล้วเอาอะไรไปเสวยกรรม


สมเด็จ : ทีนี้ ในระหว่างที่ท่านตายนั้นแหล่ จิตวิญญาณท่านไปเสวยกรรม อันนี้หมายความว่า เป็นการอธิบายให้เข้าใจ คำว่า รูปและนาม นี้ ต้องเข้าใจว่า นามนั้น วิญญาณธาตุนั้นแหล่จะดับพร้อมกับขันธ์ ขันธ์แห่งสมมติของดิน น้ำ ลม ไฟ แต่วิญญาณทิพย์นี้ย่อมไม่ดับ เพราะฉะนั้น การเสวยกรรมของทางพุทธศาสนา ก็คือ การเสวยกรรมของวิญญาณทิพย์ วิญญาณทิพย์จึงเป็นการไม่แน่นอน คือ เคลื่อนไปสู่การเกิดตามภพตามชาติตามสังสารวัฏ

เมื่อท่านตายใหม่ๆ สมมติว่า ระหว่างยมทูตมารับท่านอยู่นั้น ท่านบอกว่า เดี๋ยวก่อน ขอให้ฉันดูสมบัติของฉันก่อน ท่านดูแล้วท่านก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่ซากศพของท่านเอง ถ้าคนเป็นไม่จับศพท่านใส่โลงแล้วไซร้ ศพของท่านก็ต้องปล่อยให้เน่าเปื่อยตามภาวะ ตามกรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านสร้างวัตถุทรัพย์ไว้มากๆ แล้วไม่รู้จักแบ่งก่อนตาย ก็เท่ากับท่านไม่ได้สร้างโลงของท่านเอาไว้

ถ้าเกิดลูกหลานของท่าน มีตัวโลภครอบงำกันมาก ถ้าท่านตายปุ๊บ เขาจะบอกว่า คนตายช่างมัน สมบัตินำมาแบ่งกันก่อนดีกว่า นี่คือเรื่องของจิตใจมนุษย์ ที่มีตัวโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่เรียกว่า วัตถุและทรัพย์ ทรัพย์ที่ท่านเห็นด้วยตาเนื้อนี้ ท่านย่อมเอาไปไม่ได้แม้แต่อีแปะหนึ่ง เมื่อท่านตาย

pngegg.5.3.2.png



บัญชีทิพย์


อาจารย์ชุบชีพ : ทีนี้ สงสัยที่หลวงพ่อว่า วิญญาณทิพย์ไม่ดับ ได้แก่อะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : วิญญาณทิพย์นี้ก็คือ จิตวิญญาณแฝงอยู่ในกายเนื้อ อันนี้ต้องอธิบายถึงการเกิดดับ ท่านเชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ นรกสวรรค์มีจริง ก็ฟังแล้วไปคิด ถ้าท่านไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริง ท่านฟังแล้วก็ถือว่าสมเด็จโตมาเล่านิยายให้ฟังก็แล้วกัน

คือ ระหว่างที่ท่านเป็นมนุษย์นั้นแหล่ ท่านย่อมที่จะมีกรรมพัวพันกับมนุษย์ ระหว่างการเป็นคนอยู่ทั่วๆ ไป ก็จะทำทั้งกุศลและอกุศลบวกลบอยู่ในนั้น โดยไม่สามารถที่จะแยกแยะออกมาให้รู้ว่า อะไรเรียกว่า กุศล อะไรเรียกว่า อกุศล ตั้งแต่เกิดจนตาย

แต่ว่าในโลกอีกโลกหนึ่ง ท่านเชื่อหรือไม่ว่า มีเทวดามากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร เขาจะจดบัญชีในการเป็นคนของท่านไว้อย่างละเอียดลออ เรียก บัญชีทิพย์ แล้วไปบวกลบคูณหารในโลกวิญญาณ

ทีนี้ พลังแห่งการไปบวกลบคูณหารในโลกวิญญาณ ก็คือ การเสวยกุศลกับอกุศล และเมื่อท่านเสวยกุศลและอกุศล หรือว่าเสวยทุกข์และสุขในโลกอีกโลกหนึ่งแล้วไซร้ เมื่อหมดทั้งกุศลและอกุศลแล้ว วาระนั้น วิญญาณของท่านก็จะเป็นวิญญาณอิสระ

pngegg.5.3.3.png



วิญญาณไปเกิดได้อย่างไร


สมเด็จ : ภาวะแห่งวิญญาณอิสระนี้แหล่ เมื่อท่านยังเป็นวิญญาณปุตุ ท่านก็จะหาที่เกิด โดยท่านจะเริ่มจากการคิดขึ้นมาก่อน ก็เปรียบเสมือนหนึ่งว่า ท่านอยู่นรก ก็คือถูกขังอยู่ในคุก ระหว่างท่านออกจากคุกนั้นแหล่ ท่านจะคิดว่า เรามาติดอยู่ในคุก ๑๐ ปีแล้ว ขณะนี้จะไปหาใครก่อน อันนี้เปรียบง่ายๆ คือ วิญญาณเมื่อเสวยในภพแห่งกรรมวิบากของตนที่สร้างในชาติหนึ่งแล้ว ก็จะไปหาที่เกิด ก็จะเกิดคิดถึงใครขึ้นมา

ภาวะแห่งการคิดถึงใครขึ้นมานี้ วิญญาณนี้เคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู เคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าลม ก็จะไป ระหว่างไปนั้น ปัจจัยจะต้องให้ผลประกอบกรรม ก็คือร่วมประเวณี ภาวะแห่งการร่วมประเวณีนี้ วิญญาณที่จะปฏิสนธิ ตามหลักกายวิภาคของนักวิทยาศาสตร์ หรือว่าของนักชีวะเขา ก็คือว่า หญิงไข่สุก อสุจิชายผสม นี่เล่าตามภาวะแห่งการนั่งตรวจ หรือว่าการศึกษาในโลกวิญญาณ นี่เป็นเรื่องธรรมะ อย่าคิดอกุศล

p4.png



วิญญาณปฏิสนธิในครรภ์มารดา


ภาวะในขณะนั้น ที่หญิงชายร่วมประกอบกรรมนี้แหล่ จะทำให้วิญญาณนี้ เห็นเป็นแสงสีศิวิไลซ์ น่าดูน่าชม แสงสีที่วิญญาณเห็นว่าน่าดูน่าชมนั้น จะมีอำนาจลึกลับ สามารถมีกระแสดึงดูดจิตวิญญาณนั้นเข้าปฏิสนธิสู่ในครรภ์ทันที

ในขณะที่ดูดจิตวิญญาณของท่านเข้าปฏิสนธิในครรภ์นั้น ขณะนั้น หญิงไข่สุก อสุจิชายผสมฉับพลัน ร่วมเป็นปัจจัยให้วิญญาณเข้าร่วมปฏิสนธิ ในขณะนั้นเรียกว่า เป็นอณูปรมาณูของจิตวิญญาณและของกรรมของกายเนื้อของมนุษย์

p5.png



สภาพเด็กเกิดใหม่


ทีนี้ เมื่อท่านเกิดในภพภูมิมนุษย์ วิญญาณเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดาแล้ว คล้ายๆ กับท่านถูกห่อหุ้มอยู่ในที่มืด พอคลอดออกจากครรภ์มารดา ก็จะร้อง อ๊า ๆ ๆ ก็เปรียบเสมือนหนึ่งคนที่เป็นลมขนาดหนัก หรือเกิดช็อกขนาดหนักจนไม่รู้สึกตัว เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาจะลืมเรื่องที่เขาทำไป

ท่านจะสังเกตเด็กเกิดใหม่ๆ นั้นแหล่ เขาจะมีอารมณ์อันหนึ่ง นึกว่า เอ เรานี่ทำอะไร ก็นึกไม่ออก เปรียบเสมือนคนที่เป็นลมลงไป หรือเกิดช็อกกะทันหัน พอเริ่มมีสติ ก็จะรู้สึกว่า เอ ขณะนี้เราเกิดเป็นอะไรไป ทำไมจึงมานอนอยู่ที่นี่


ถ้าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือความสะเทือนขนาดหนักของประสาท จนเลือนลางในเรื่องเดิม เมื่อเกิดในปัจจุบันภพ ความทับถมในปัจจุบันภพทำให้ลืมในอดีตชาติ ในระหว่างนั้น ก็จะถูกการปรุงแต่งในปัจจุบันชาติ ถ้าเกิดเป็นแขก ก็จะถูกการปรุงแต่งในปัจจุบันให้พูดภาษาแขก

เพราะสิ่งปรุงแต่งเข้าไปทับถมอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในการกระทำของมนุษย์ทับถม จึงต้องขัดเกลาในด้านนามธรรม ค้นหาอริยทรัพย์ นี่คือคำอธิบายที่พอจะให้เข้าใจในเรื่อง วิญญาณทิพย์


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 05:28, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MzV8ZDRlNmRlZDh8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 05:28, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3MzZ8NWZhZmI1MGZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 05:28, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Mzd8ZTY2ODQ4Y2V8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-4-28 05:30, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Mzh8ZTU5OTI5OGR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-4-28 05:30, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Mzl8MTAyNTA1ODV8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:34

ตอนที่ ๔

ทำไมจึงเกิดเป็นหญิง


(วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๕)



คุณบุญยง ว่องวานิช : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมขอถามปัญหา อาจจะเป็นปัญหาปากคอก แต่ว่าเป็นปัญหาสามัญที่คนมักจะถาม ก็คือเพราะเหตุใด เพศหญิงจึงด้อยกว่าเพศชายครับ แล้วทำกรรมอะไร จึงเกิดเป็นหญิงครับ

สมเด็จ : คือภาวะแห่งการที่จะเกิดเป็นหญิงนั้น อยู่ในสภาพการณ์แห่งความวิบาก และที่ผู้หญิงเกิดความอ่อนแอกว่าผู้ชาย ก็เพราะว่าสภาพอาการ ๓๒ นั้น เขาบอกว่า ผู้หญิงนั้นขาดโครงกระดูกหนึ่งอัน เหลือ ๓๑ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า เขาอุปมาอุปไมยทั่วไป

การที่เกิดเป็นสตรีนั้น ก็คือว่า ผู้นั้นจะต้องมีหลักแห่งการเขาเรียกว่า อยู่ที่เจตนาจิตและอยู่ที่วิบากกรรมที่ตนสร้างมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า ระหว่างเป็นชาย สภาวะแห่งการเป็นชาย ชาติที่เป็นชายนั้น ไม่มีศีลธรรม ชอบหลอกลูกสาวชาวบ้านมาเป็นเมีย แล้วก็ทิ้ง

ภาวะกรรมวิบากนี้ ก็อาจจะส่งผลไปสู่ในอนาคตของการเกิดอีกชาติหนึ่งเป็นหญิง เรียกว่า จากเจตนาของการแช่งของผู้หญิง ผู้ชายคนนี้ พอลงจากตีนบันได ก็โสดทั้งนั้น พอได้เราแล้ว ก็ทิ้งเราอย่างกับหมูกับหมา ไม่เห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิง นี่คือเรียกว่า เจตนากรรมของฝ่ายที่สาปแช่ง ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นหญิง

ทีนี้ อีกกรณีหนึ่ง ผู้ชายบางคนก็อาจจะอยากเกิดเป็นผู้หญิง นี่คือเจตนาแห่งจิตวิญญาณระหว่างการเป็นคน ก็อาจจะส่งผลไปสู่การเกิดเป็นผู้หญิง

pngegg.5.3.1.png



วิญญาณมาเกิดตามหลักวิทยาศาสตร์


สมเด็จ : ที่อธิบายอย่างนี้ ท่านนักวิทยาศาสตร์ก็อาจจะค้าน ก็ย้อนเข้าหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือว่า อยู่ที่ภาวะกรรมของผู้ที่จะเป็นบิดามารดา มีกรรมพัวพันกับเราขนาดไหน เพราะคนเราจะเกิดมาได้ ต้องอาศัยจิตวิญญาณของบิดามารดา เขาเรียกว่า อยู่ที่บิดา แล้วก็ถ่ายเข้ามารดา หลังจากที่เราเสวยกรรมในปรภพ จบสิ้นการใช้กรรมนั้นๆ แล้ว จิตวิญญาณเราจะเป็นอิสระ

ขณะจิตวิญญาณเราเป็นอิสระนั้นแหล่ เราก็จะเกิดความนึกคิดขึ้นมาในมโนภาพ อาจจะคิดถึงผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ ที่มีกรรมพัวพันกับเรา เขาเรียกว่า วิญญาณเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู ขณะจิตที่คิดปุ๊บนี่ จิตวิญญาณของท่าน กายทิพย์ของท่านจะเคลื่อนไปสู่บ้านนั้นทันที

ถ้าในขณะนั้น บ้านนั้น หญิงชายกำลังร่วมประเวณีกัน ภาวะแห่งกรรมวิบากที่ท่านมีความเกี่ยวข้องกับชายหญิงผู้นั้น ท่านจะเห็นเป็นแสงสีที่น่าดู แสงนั้นก็จะมีพลังเสมือนหนึ่งแม่เหล็ก จะดูดวิญญาณท่านปฏิสนธิในครรภ์มารดาทันที


ขณะนั้นทางวิทยาศาสตร์ก็คือว่า หญิงไข่สุก ตัวอสุจิของชายเข้าผสม ถ้าขณะนั้นเป็นไข่ตัวเมีย จิตวิญญาณก็ปฏิสนธิเข้าสู่ไข่ตัวเมียด้วยการผสมของเชื้อตัวเมียแห่งอสุจิ ท่านก็จะฟักตัวเป็นพืชพันธุ์ปัจจุบันชาติแห่งการเป็นหญิง

ทีนี้ ท่านอาจจะบอกว่า เอ๊ะ สมเด็จโตทำไมเก่งนัก สมเด็จโตเคยมีเมีย สมเด็จโตบวชตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ จนกระทั่งตาย ไม่มีเมียนะจ๊ะ ที่เทศน์ได้อย่างนี้เพราะว่า ใช้ในหลักของการเข้าฌานตรวจการเกิดดับของสัตว์ จึงรู้ละเอียดเช่นนี้แหล่


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 05:35, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDB8YjBhZTIzYmJ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:37

ตอนที่ ๕

วิญญาณเข้าสิงร่างมนุษย์


(วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อครับ เมื่อเร็วๆ นี้ มีหนังสือพิมพ์ลงเรื่องเกี่ยวกับผีผู้หญิงจีนที่หัวขาด ที่ศรีราชา แล้วก็ได้ความว่า ตายมา ๑๕ ปีแล้ว แต่ก่อนนี้ ทำไมจึงไม่แสดงปาฏิหาริย์ เพิ่งมาแสดงปาฏิหาริย์เร็วๆ นี้ เป็นเพราะอะไรครับ

สมเด็จ : ที่ไหน

ศ.ดร.คลุ้ม : ที่ศรีราชาครับ คือผู้หญิงคนหนึ่ง ประวัติที่เขานำมาเล่าให้ฟัง ตอนที่ผีเข้าสิงว่า ผู้หญิงคนนี้ไปเยี่ยมสามี มีคนบอกว่า ผู้หญิงจีนอายุ ๓๐ ปี ถูกรถสิบล้อทับ ขาขาด คอขาด หัวกระเด็นไปติดต่ออยู่บนต้นไม้

แล้วผู้หญิงคนนี้ เขากำลังเดินไปเยี่ยมสามีที่โรงพยาบาล ขณะเดินผ่านต้นไม้ เห็นผู้หญิงอยู่บนต้นไม้ยิ้มให้ด้วย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงคนนั้น พอเดินไปถึงโรงพยาบาล ก็มีอาการผิดแปลกไปจากคนธรรมดา

หมอตรวจอาการแล้วบอกว่า ต้องตายแน่ หัวใจเต้นช้าเหลือเกิน หมออีกคนตรวจพบว่า หัวใจเป็นปกติ แล้วเขาไม่ลืมตาเลย หมอถามว่า ลืมตาไม่ได้หรือ คนไข้บอกว่า ไม่ได้หรอก ขืนลืมตา เดี๋ยวหมอจะตกใจ มีหมอคนหนึ่งขืนไปเปิดตาคนไข้ดู แล้วก็ตกใจไม่สบายไปหลายวัน อันนี้เพราะอะไรครับ แล้วผีได้บอกว่า ตอนที่ยิ้มให้แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในกระเป๋าผู้หญิงคนนั้น จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : เรื่องมันเป็นว่า เป็นการพัวพันในอดีตชาติของมนุษย์คนนี้กับผีเปรตตนนั้น คือหมายความว่า เขาตายในขณะจิตที่อยู่ในภาวะที่มีห่วง และตายอย่างไม่ถึงอายุขัย ภาวะแห่งการตายไม่ถึงอายุขัยนี้แหล่ จึงทำให้เขามีพะวงสิ่งหนึ่งที่จะคอยพบกับผู้ที่มีกรรมพัวพัน พูดง่ายๆ ก็คือว่า ผู้หญิงคนที่ถูกเขาสิงนี้ ในอดีตชาติเคยเป็นลูกเขามาก่อน ภาวะแห่งการที่ในอดีตชาติเคยเป็นลูกเขามานี้แหล่

อันนี้จะต้องอธิบายถึงความเป็นอยู่ของวิญญาณ ความเป็นอยู่ของวิญญาณนั้น ถ้าวิญญาณนั้นตายโดยไม่ถึงอายุขัย แล้วเป็นวิญญาณปุตุ ปุตุ ในที่นี้หมายถึง วิญญาณที่ไม่ได้บำเพ็ญในด้านนามธรรม ในด้านอำนาจฌานญาณ ภาวะถ้าตายอย่างไม่ถึงอายุขัยแล้ว เขาจะถือว่าเป็นวิญญาณอิสระ พลังแห่งการเป็นวิญญาณอิสระนั่นแหล่ จะมีพลังแห่งการหยั่งรู้ของตนขึ้นมา ก็พยายามนั่งนึก แต่แยกแยะคำว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคตไม่ได้

ก็คือหมายความว่า นั่งแยกแยะเหตุการณ์ว่า คนนั้นเคยเป็นลูกเรานี่ คนนี้เคยเป็นพี่เรานี่ เคยเป็นอะไร คือสามัญสำนึกแห่งธรรมชาติของจิตวิญญาณโผล่ขึ้นมา พลังอันนี้เมื่อคิด เมื่อมีความยึด ก็อยู่คอยวาระที่จะว่า พบลูกของตนคนหนึ่งที่จะต้องผ่านมาทางนี้ และภาวะนั้นก็คือว่า ผู้หญิงผู้นั้นกำลังอยู่ในชะตาไม่ดี เขาก็ได้เข้าในผู้หญิงนั้น

pngegg.5.3.1.png



สภาวะที่วิญญาณเข้าสิง


สมเด็จ : สภาวะแห่งการเข้าในผู้หญิงนั้น ที่เขาบอกว่า เข้าไปในกระเป๋านั้น เป็นการพูดโวหารตลกของผีหัวขาดนั้น

การที่วิญญาณจะตามมานั้น ว่าตามหลักก็คือว่า มนุษย์นี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยธาตุแห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ภาวะแห่งธาตุดินน้ำลมไฟแล้วไซร้ วิญญาณสิงสถิตพร้อมด้วยการกระจายอยู่ในวิญญาณธาตุ พลังแห่งการกระจายอยู่ในวิญญาณธาตุ ก็คือว่า กายทิพย์ของท่านนี่ จะอยู่ตรงนี้ (หลวงพ่อสมเด็จชี้ตรงบริเวณท้ายทอย)

จิตวิญญาณท่าน ถ้ารวมได้ จะอยู่ตรงนี้ (ชี้ตรงหน้าผากระหว่างหัวคิ้วทั้งสอง) คือ พลังแห่งการใช้งาน เพราะฉะนั้น คนโบราณเขาจะถือว่า กลางค่ำกลางคืนจะเดินไปไหน ห้ามผูกอะไรบนหน้าผาก ผีมันจะไม่เห็นแสงคน มันจะเข้ามาชนกับคน

เพราะฉะนั้น วิญญาณนี้จะมาในลักษณะนั่งท้ายทอยมา คือ พลังของกายทิพย์กับกายทิพย์จะสัมผัสกันที่ท้ายทอย ก็ตามมาตามมา ก็ค่อยๆ แทรกซึมเบียดกายทิพย์ของวิญญาณหญิงคนนี้ จนสามารถแผ่เข้าไปในวิญญาณธาตุ พลังอันนี้เขาเรียกว่า อำนาจจิตของวิญญาณย่อมมี คือ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า พวกโอปปาติกะ หรือพวกคนปุถุชน เมื่อตายไปก็เป็นวิญญาณปุตุ ก็มีพลังจิตที่จะมาบีบรัดกายทิพย์ของมนุษย์ที่เป็นๆ ที่ไม่มีสมาธิได้


pngegg.5.3.2.png



วิญญาณใช้พลังบังคับกายเนื้อ


สมเด็จ : เมื่อพลังอันนั้นแผ่ซ่านเข้าในกายได้เรียบร้อยแล้วไซร้ ย่อมสามารถใช้อำนาจนี้บังคับประสาทในกายเนื้อ ทำให้หัวใจเต้นช้าก็ได้ ทำให้หัวใจเต้นเร็วก็ได้ อันนี้อยู่ที่พลังแห่งการบีบรัดของการแทรกซึมของการเข้าไปในกายเนื้อนี้แล้ว เรียกว่า วงการแพทย์หรือพวกนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพวกอาจารย์ชีวะ เขาก็งง

อย่างขณะนี้ อาตมาใช้ร่างมนุษย์คนนี้อยู่ ท่านจะเอาอะไรมาลองวัดหัวใจ รับรองให้หมอสักร้อยคนชั้นดอกเตอร์ดีกรีพ่วงท้ายมากๆ ด้วย จะจับว่าคนนี้ จะมีโรคก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีโรคก็ไม่เชิง คืออาตมาสามารถจะให้หัวใจเขาเต้นนาทีละ ๓๐๐ ครั้งก็ได้ อยู่ๆ ลองวัดอีกที หัวใจไม่เต้นเลยก็ได้ อันนี้หมายถึงว่า ใช้พลังบีบรัด สามารถแทรกเข้าไปในกายเนื้อของมนุษย์ แล้วพลังอันนี้จะแผ่ไปทั่วร่างมนุษย์นี้อย่างฉับพลันเร็วยิ่งกว่าอะไร พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ก็คือว่า เร็วยิ่งกว่าน้ำกับน้ำ
เจอกันกลืนทันที

pngegg.5.3.3.png



การถอยของวิญญาณ


สมเด็จ : ทีนี้ เวลาจะออกนี้ก็รวมตัว คือถอยของพลังธาตุ ท่านอย่าลืม วิญญาณที่ถูกจับทรงก็ดี วิญญาณที่ถูกผีอำก็ดี วิญญาณเจ้าของร่าง เขาจะไม่อยู่ห่างจากกายเนื้อ วิญญาณของเขาจะพยายามเบียดเข้ามา มีช่องว่างก็จะพยายามเบียดเข้ามาในกายเนื้อ เปรียบเสมือนหนึ่งผู้ที่คิดทำลายประเทศ คอยแทรกซึม ถ้าไม่มีช่องว่าง เขาจะไม่แทรกเข้าไป ถ้ามีรูที่ไหนเขาเข้าแทรกที่นั่น

สมมติเวลาถอย วิญญาณทิพย์ถอยจากปลายเท้าขึ้นมาจุดนี้ (จุดกลางตัว) วิญญาณของคนๆ นั้น ก็จะมาถึงตรงนี้ทันที (จุดกลางตัว) เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่า อาตมาตอนกลับจะนอน วิญญาณทิพย์เคลื่อนจากเท้าจะมาตรงนี้ วิญญาณของร่างทรง เขาจะซึมเข้ามาทางเท้าทันที คือวิญญาณของคนที่ยังไม่ตายหรือไม่ถึงอายุขัย ยังมีสังขาร จะหวงร่างมาก ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือว่า แมวห่วงบ้านมากกว่าห่วงคน หมาห่วงเจ้าของมากกว่าห่วงบ้าน ฉันใดก็ฉันนั้น


p4.png



สาเหตุที่วิญญาณเข้าสิงร่างมนุษย์


สมเด็จ : ถ้าคนนั้น ยังไม่มีการแตกสลายของขันธ์กายเนื้อ และตายอย่างไม่ถึงอายุขัย หรือว่าวิญญาณของบุคคลที่ถูกผีสิงก็ดี ถูกเทวดาเข้าก็ดี วิญญาณเขาจะพยายามทุกวิถีทางที่เข้าร่างกายเนื้อ นี่คือความละเอียดของวิญญาณ จึงขอสรุปว่า ที่เขาเข้าผู้หญิงคนนี้ เพราะ

๑. ผู้หญิงคนนี้กำลังดวงมืด

๒. ในอดีตชาติเคยเป็นลูกของผีคนนี้ คือมีความพัวพันกันมาในอดีตชาติ จึงมาเข้าร่างได้

๓. ผีตนนี้จะถึงวาระเกิด จะมาขอส่วนบุญ

นี่คือวินิจฉัยให้ละเอียดไปเลย ทีนี้คนไม่เข้าใจ เขาจะบอกว่า สมเด็จโตนี่เลอะ ถามคำเดียวว่า เมืองจีนอยู่ที่ไหน ไปคุยเรื่องอเมริกาก่อน คือคนเราไม่เข้าใจ เราพยายามจะอธิบายธรรมะให้คนเข้าใจ มันก็ทิฐิว่า ข้านี้เก่ง เจ้าถามมาคำ ข้าตอบไปคำ ข้าคืออาจารย์

อาจารย์ที่จะเป็นอาจารย์ที่ดีนั้น เขาจะต้องแยกแยะชี้แจงให้ลูกศิษย์หายสงสัย โดยไม่ต้องตั้งคำถามบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์อย่างสมเด็จโตนี้ ไม่หากินกับมนุษย์ ไม่เหมือนพวกนักแต่งตำรา ต้องขยักไว้ก่อน หรือไม่เหมือนนักแต่งนิยาย อ่านต่อฉบับหน้า เพื่อเอาสตางค์ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้อธิบายให้กระจ่างเลยว่า ที่หมอวัดแล้ววินิจฉัยว่า จะตายหรืออะไรนั่นน่ะ เป็นเพราะอะไร

p5.png



พลังจิตออกทางตา


สมเด็จ : ทีนี้ ในเรื่องของประสาทตา ก็คือหมายความว่า เมื่อวิญญาณของผีผู้หญิงเข้ามาจุดนี้ (เข้าสิง) ได้แล้ว ก็ใช้พลังทิพย์อันนี้กระจายกายทิพย์ไปในวิญญาณธาตุทั่วกายเนื้อ จึงสามารถทำให้ประสาทตาคนนี้แข็งได้ ท่านจะดูว่า เวลาพระพรหมชินนะท่านมา นัยน์ตาแข็งเหมือนตาเหยี่ยวจริงๆ อันนี้อยู่ที่การแผ่พลังของวิญญาณที่เข้านั้น มีพลังขนาดไหน พอจะเข้าใจไหม

ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : เข้าใจครับ แล้วเหตุผลที่คนที่ถูกผีสิงนี้ เขาหลับตาทำไม เมื่อหมอเขาบอกให้ลืมตา เขาจึงบอกว่า ลืมตาไม่ได้ เดี๋ยวจะกลัว แล้วก็มีหมออีกคนหนึ่งที่ว่า อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ก็ไปเปิดตาเขาโดยพลการ หมอก็เลยตกใจ ตกใจแล้วไม่สบายไปตั้งสามวัน นี่เป็นเพราะอะไรครับ

สมเด็จ :
อันนี้ที่เขาไม่ลืมตา เพราะว่าผีเปรตหรือพวกอสุรกายที่เข้านั้นน่ะ ถ้าเขาลืมตา ตาเขาจะแข็งทื่อ แข็งทื่ออย่างน่ากลัวมาก ก็เรียกว่า เป็นผีที่มีคุณธรรมนิดหน่อย คือกลัวคนอื่นจะตกใจ ก็บอกว่า เจ้านี้อย่าบังคับข้าลืมตาเลย

ทีนี้ หมอคนนั้นก็อยากลองดี ด้วยความไม่เชื่อ จะดูตาเขา ขณะที่ไปเปิดตาเขานี่ ถูกพลังจิตของผีหัวขาดพุ่งออกมาทางสายตา พลังอันนี้ก็เรียกว่า เข้าทำลายในกระแสจิตวิญญาณของหมอผู้นั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดปฏิกิริยาในกายเนื้อขึ้น ก็คือถูกอำนาจจิตสะกด หรือถูกอำนาจจิตทำลาย ท่านจะดูพวกที่สักของก็ดี พวกที่สักน้ำมันอะไรก็ดี พอพระพรหมชินนะเดินผ่านไป มันจะขึ้นมาเต้น มีปฏิกิริยาทันที

นี่เพราะพลังอำนาจจิตที่เหนือกว่า ใช้พลังอันนี้ทำลายกระแสขณะที่เขาเปิดตา เรียกว่า เมื่อเปิดตาเขาขึ้นมา เขาจ้องอย่างตาถลนใหญ่ขึ้นมา ด้วยอำนาจจิตของเขา หมอจึงตกใจในขณะนั้น


p6.png



วิชาไสยศาสตร์กับนักพลังจิต


สมเด็จ : คือวิญญาณนั้น เขาใช้พลังที่เรียกว่า “สายดำ”

ว่าตามหลักของโยคี เขามีทั้งพวกสายขาวและสายดำ เรียนวิชาสายดำ ก็เรียกว่าใช้ทำลาย วิชานี้ถ้าภาษาชาวบ้าน เราก็เรียกว่า ไสยศาสตร์ คือใช้พลังจิตบีบรัดวิญญาณฝ่ายตรงข้าม


เหมือนกับพวกโยคีภูเขาหิมาลัยที่ฝึกถึงขั้นสูงสุดของเขาจริงๆ นั้น หากเขาไม่กลัวบาป เขากล้าพนันว่า คนนั้นที่เจ้าเห็นอยู่นี่ ฉันสามารถทำให้ตายได้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง ถ้าข้าทำให้เขาตายได้ เจ้าจะให้ข้าเท่าไหร่ ถ้าคนกล้าพนัน

ขอเพียงแต่ให้เขาสามารถจ้องตาคนนั้นเพียงครั้งเดียว พวกที่มีพลังจิตสูง เขาสามารถใช้อำนาจจิตตัดกายทิพย์ของผู้นั้นออกมาได้ เพราะมันเป็นเรื่องของความลี้ลับ มันเป็นความมหัศจรรย์ของจิต ความลี้ลับของวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก

เพราะฉะนั้น ในการที่หมอป่วย ก็เพราะถูกพลังกายทิพย์ของวิญญาณผีที่ไปเปิดตาเขาโดยพลการ กลั่นแกล้งเอา คือเรียกว่า อวดดี พยายามอยากจะดูตาฉัน นึกว่าตาฉันน่าพิศวาสมากนักหรือ


p7.png



วิญญาณกับศูนย์รวมกรรม


ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : สำหรับรายนี้ก็หมายความว่า ถ้าผีผู้หญิงนี้ ได้รับส่วนกุศลที่ผู้หญิงที่ถูกสิงแผ่กุศลไปให้เขาแล้ว ถึงเวลาเขาก็จะไปเกิด เมื่อถึงเวลานั้น วิญญาณนี้ก็จะออกไปเอง โดยไม่ต้องทำพิธีไล่ ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ไม่ต้อง เขาจะออกไปเอง แล้วเขาจะเดินทางไปศูนย์รวมกรรมเอง ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดมาก ถ้าวิญญาณที่ทำผิดมาก เขาจะพยายามหนี เมื่อยมบาลเปิดบัญชีขึ้นมา เขาก็จะส่งยมทูต เทวทูต หรือพรหมทูต มาตามหา ว่าเวลานี้ วิญญาณนี้อยู่ที่ไหน รีบจัดการไปเอามา

ทีนี้ วิญญาณที่ตายยังไม่ถึงอายุขัยนี้ เขาก็จะรู้อยู่ในสภาพวิญญาณแล้ว เขาจะรู้ในขณะนั้นว่า บัดนี้ถึงอายุขัยแล้ว ต้องไปเสวยกรรม เขาก็อาจจะไปศูนย์รวมกรรมเอง นี่คือเรื่องง่ายๆ

ถ้าวิญญาณนั้นดี ไม่ใช่เป็นวิญญาณเกเร ก็ไม่ต้องไปขับไล่หรอก เราทำกุศลให้ เมื่อถึงเวลา ผีนั้นก็จะไปเสวยกรรมวิบากที่เขาสร้างมา

ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : อย่างนี้เป็นวิญญาณอิสระ ตามที่หลวงพ่อเคยเทศน์ให้ฟังใช่ไหมครับ ผมเข้าใจแล้วครับ



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 05:38, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDF8ZDQxOWY1MTZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 05:38, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDJ8ZDQwMWVlNjl8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 05:39, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDN8Y2JkNzI4OTV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-4-28 05:44, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDR8OGMyMGU3ZmZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-4-28 05:45, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDV8OWJmZDQwZGN8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p6.png (2023-4-28 05:47, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDZ8N2QyZDczZjB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p7.png (2023-4-28 05:47, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDd8NTZiMmE0YTR8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 05:52

ตอนที่ ๖

ยมทูตเอาผิดตัว


(วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณภูเบศร์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ มีคนเฒ่าคนแก่เคยเล่าให้ฟังว่า คนตายบางครั้ง ยมทูตเอาตัวผิดไป แล้วเอามาคืน อย่างนี้มีจริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : รื่องตายนี่ อาตมาเทศน์ไว้เยอะแยะแล้ว ถ้าท่านตายอย่างถึงอายุขัย ก่อนตาย ๓ วัน ท่านจะรู้สึกมีอะไรแปลกๆ มันจะรู้สึกแปลกๆ ทำอะไรแปลกๆ บางทีพูดคนเดียว บางทีหัวเราะคนเดียว บางทีบอก มีใครมาชวนโน่นชวนนี่ นั่นแสดงว่า กายทิพย์ของท่านกำลังจะรวมตัวสู่ปรภพ นี่พูดถึงเรื่อง ตายถึงอายุขัย คือในขณะนั้นจะมีกระแสติดต่อของพวกยมทูต เทวทูต พรหมทูต มาพร้อมที่จะมาคอยวิบากกรรมของท่าน

สำหรับในเรื่องที่ว่า ยมทูตเอาตัวผิดนี้ มีบางครั้งเหมือนกัน คือชื่อเหมือนกัน สมมติว่าให้ไปจับนายแดงท่าพระจันทร์ ยมทูตมาถึงท่าช้างก็มีนายแดง เจ้าที่ท่าช้างก็บอกว่า นี่ ท่านยมทูต วันนี้ฉันได้สินบนหัวหมูมาตัวหนึ่ง เหล้าโรงสองขวด ท่านมาเมากันก่อนเถอะ แล้วค่อยไปจับ พวกรุกขเทวดา พวกยมทูตที่ชอบกินก็มี ก็กินจนเมา เลยขี้เกียจเดินไปถึงท่าพระจันทร์ จับนายแดงท่าช้างไปก็แล้วกัน เพราะนั่นก็แดง นี่ก็แดง


พอไปถึง ยมบาลก็บอกว่า ให้ไปเอาแดงท่าพระจันทร์ ทำไมเอาแดงท่าช้างมา นี่รีบเอาไปส่งเสียก่อนที่กายเนื้อเขาจะเน่า ในกรณีนี้ มนุษย์ที่ถูกจับไปนั้น อาจจะมีบุญ บางครั้งอาจจะมีบาป เรียกว่า สร้างบาปมาก แต่มีกุศลในอดีตที่หนุนให้ดีขึ้นมา ก็ให้ไปดูการลงโทษของยมโลก กลับมาแล้ว จะได้กลับตัวเป็นคนดี

pngegg.5.3.1.png



เจ๊กโกหน้าวัดระฆังตายแล้วฟื้น


สมเด็จ : ครั้งหนึ่ง สมัยอาตมามีสังขารอยู่วัดระฆังฯ หน้าวัดมีเจ๊กโกคนหนึ่ง เป็นชาวไหหลำ เขาก็ท่องแต่ว่า “ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน” พระเณรเดินผ่าน เขาจะไม่ใส่บาตร

อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันสาร์ทจีน เขากำลังกินไก่อยู่ดีๆ ก็ตายไปฉับพลัน เรียกว่า เป็นโรคท้องจุกตาย แต่ตายไป ๒๔ ชั่วโมง กลับมาใหม่ ฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ พอตื่นเช้ามาใส่บาตรเรื่อย ชาวบ้านก็ไปถามว่า เจ๊กโกเอ็งบอกว่า ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ เอ็งตื่นเช้าทำบุญเรื่อย

เขาบอกว่า “ทำบุญไม่เสียเปล่าหรอก” เพราะตอนกูตายไปแล้ว ยมบาลบอกว่า ของมึงไม่มี มีโน่นกระดาษเงินกระดาษทองที่มึงเผามานั้นแน่ะ ไปกินซิ จะกินยังไง ไฟมันร้อนอย่างนั้น หิวน้ำก็หิว ยมบาลก็ไล่กลับมา บอกว่า “มึงไม่เคยทำบุญ กลับไปทำบุญใหม่”

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า บังเอิญ บางขณะบางที ผู้นั้นมีกุศลที่จะช่วยให้เขาไปสู่ปรภพในทางที่ดี ก็อาจจะถูกจับผิดตัว เรียกว่า ไม่เสมอไป บางคนก็อาจจะเรียกว่า ตายอย่างไม่ถึงเวลาตายก็มี นี่หมายความว่า สายใยแห่งการติดของกายทิพย์กับกายเนื้อยังไม่ได้ตัดขาดจากกัน


ถ้าสายใยแห่งกายทิพย์กับกายเนื้อนี้ตัดขาดแล้วไซร้ ก็คือว่า พลังแห่งในกายท่านมีธาตุทั้งสี่ประชุมพร้อม ถ้าสายใยแห่งธาตุไฟขาดสะบั้น ร่างกายท่านจะเน่าเปื่อยทันที มีอะไรอีกไหม



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 05:53, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDh8ZGQ4NzA1ZWF8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 06:02

ตอนที่ ๗

กฎของโลกวิญญาณ


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อคะ เมื่อสองปีที่แล้ว คุณแม่ของลูกเป็นโรคความดันโลหิตสูง แล้วก็เส้นโลหิตแตกตาย แล้วพวกลูกๆ ได้รับคุณพ่อมาอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณพ่อบอกว่า ไม่อยากอยู่กับลูกคนไหน อยากจะไปอยู่กับคุณแม่ พออยู่กันได้ ๒๓ วัน คุณพ่อก็เป็นลมตาย ลูกอยากทราบว่า คุณพ่อกับคุณแม่ได้ไปอยู่ด้วยกันหรือเปล่า

สมเด็จ :
คือว่า ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านควรอย่ายึดใครเป็นสรณะ การเกิดเป็นบิดา มารดา บุตร หลาน นั้น สืบเนื่องจากอดีตกรรมส่งผลในการพัวพันในอดีตชาติมาทันในปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้น ผู้ที่สิ้นไปแล้ว ย่อมที่จะต้องไปเสวยกรรมวิบากกรรมของตน ท่านอย่านึกว่า การเป็นสามีภรรยาอยู่ในปัจจุบันชาติ ตายไปแล้ว วิญญาณจะไปเป็นสามีภรรยากันอย่างเก่า นั่นคือ พวกหลง

พวกที่ติดต่อแค่เหล่าพวกอมรมนุษย์ แล้วก็อวดดีขึ้นมา อย่าลืมในกฎของโลกมนุษย์ ถ้าท่านถึงจุดของนรกโลก ยมโลก เทวโลกแล้ว ท่านจะไม่มีความรู้จักของการพัวพันกับบิดามารดา ทุกคนเสวยอยู่ในกรรมวิบากของตน

ทีนี้ในการเรียกว่า เมื่อเรามีความกตัญญูต่อบิดามารดาที่มีกรรมพัวพันส่งผลให้เราเกิดเป็นคนนั้น เราก็ควรจะทำในวิถีการในการทำการใดๆ ด้วยความเมตตากรุณา ส่งผลให้กุศลนั้นถึงเขาในปรภพ เมื่อนั้นเขาก็สุข เราก็สุข ท่านอย่าลืม การหลั่งน้ำตา แสดงถึงบุคคลนั่นไม่ใช่บุคคลที่จะเป็นผู้นำคน ผู้นำไม่มีคำว่าหลั่งน้ำตา มีแต่หลั่งน้ำเลือด

การที่เราจะไปรู้ถึงการเป็นอยู่ของความทุกข์ ความสุขของวิญญาณที่มีความเกี่ยวข้องกับเรานั้น เป็นสิ่งที่ว่า ถ้ารู้ดี เราก็แค่เบิกบาน รู้ว่าไม่ดี เราก็เกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอาตมา อาตมาถือว่า เรามีความกตัญญูกตเวที เราก็สร้างกุศลวิบากส่งผลไป เขาก็ได้รับก็สบาย เราอยู่โลกมนุษย์ก็สบายไปด้วย


สานุศิษย์ : ลูกขอถามอีกข้อหนึ่งค่ะ วิญญาณคุณพ่อคุณแม่จะกระวนกระวายไหม ถ้าหากทราบความเป็นอยู่ของลูกๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีความสุขเท่าที่ควร

สมเด็จ : ถ้าวิญญาณนั้นยังไม่เสวยกรรมวิบาก ก็จะเกิดความกระวนกระวาย แล้วเกิดอุปาทานขึ้น แต่ถ้าวิญญาณนั้นอยู่ระหว่างการเสวยกรรมวิบากแล้วไซร้ วิญญาณนั้นจะตัดขาดจากการเป็นพ่อแม่ลูกระหว่างวิญญาณกับมนุษย์

มีอะไรอีกไหม ไม่มีอาตมาก็จะกลับ
โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 06:04

ตอนที่ ๘

ผีบ้าน ผีเรือน ผีหลอก


(วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมมีความสงสัยเรื่อง เทพหรือพรหมทั้งหลาย ที่แบ่งวิญญาณออกไปอยู่ตรงโน้นตรงนี้ ไปประจำตรงโน้นตรงนี้ ได้จริงหรือไม่ครับ

สมเด็จ : คือในภาวะแห่งการแบ่งภาคนี้ สภาพการณ์ในโลกมนุษย์ไม่เข้าใจ อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แล้ว เมื่อภาวะผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นย่อมเสวยกรรมวิบากนั้น

ทีนี้ ตามโบสถ์ก็ดี ตามเจดีย์ก็ดี ตามอะไรก็ดี ก็ย่อมมีเทวดารักษา แล้วแต่ต่างกรรมต่างวาระในสถานที่นั้น เขาเรียกว่า บ้านก็ย่อมมีผีเรือน ผีเรือนนี้จัดอยู่ในเทวดาชั้นต่ำ อยู่ใกล้มนุษย์ เรียกว่า พวกอมรมนุษย์

อมรมนุษย์เหล่านี้ เกิดขึ้นได้ ก็จากเหล่ามนุษย์ที่ตายจากโลกมนุษย์ โดยเรียกว่า ไม่ได้สร้างทั้งบุญและไม่ได้สร้างทั้งบาป เมื่อไม่ได้สร้างทั้งบุญไม่ได้สร้างทั้งบาปแล้ว เมื่อพ้นจากการวินิจฉัยของศูนย์รวมกรรม พวกนี้ย่อมอยู่เป็นวิญญาณอิสระ

ภาวะแห่งวิญญาณอิสระนี้แหล่ จะปฏิบัติตนขึ้นสู่พรหมโลกก็ได้ ขึ้นสู่พรหมสุทธาวาส ขึ้นสู่อรูปพรหมก็ได้ อันนี้ต้องอยู่ที่วิญญาณนั้น เมื่ออยู่ในโลกวิญญาณแห่งการเป็นอมรมนุษย์นั้น จะมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในการปฏิบัติของกายทิพย์หรือไม่

สานุศิษย์ : ทำไมผีจึงต้องมาหลอกมนุษย์ด้วยครับ

สมเด็จ : ในสภาวะวิญญาณนั้น บางครั้งที่เขาเรียกว่า ผีหลอกนั้น ก็คือวิญญาณนั้นข้องอยู่ในอกุศลอารมณ์ เมื่อข้องอยู่ในอกุศลอารมณ์แล้วไซร้ ก็มีตัวอยากเกิดขึ้นมาได้ เมื่อมีตัวอยากเกิดขึ้นมา ก็ย่อมที่จะหาวิธีการที่จะสัมผัสกับมนุษย์ในทางโลก

อันนี้บางครั้ง เขาสามารถรวมพลังของกายทิพย์ให้เปล่งรัศมี กลายเป็นกายเนื้อได้ชั่ววินาที นี่คือเหล่าวิญญาณที่ยังมีกายหยาบ แต่ถ้าวิญญาณที่ไม่มีกายแล้ว ย่อมไม่มีกระแสแห่งการรวม

และในการเคลื่อนไหวของวิญญาณนั้น เร็วยิ่งกว่าปรอท เรียกว่า หนึ่งวินาทีย่อมถึงพรหมโลก หนึ่งวินาทีย่อมถึงเทวโลก เพราะว่าเคลื่อนไหวด้วยทิพยวิญญาณ ทิพยจักษุ

อันนี้จะเข้าซึ้งจะเข้าใจต่อเมื่อ เราเจริญรอยตามองค์สมณโคดม ซึ่งได้วางหลักแห่งวิปัสสนากรรมฐาน ปฏิบัติไปตามขั้นตอนของฌานญาณ เมื่อท่านปฏิบัติถึงจตุตถฌานสี่แล้วไซร้ ท่านย่อมเข้าใจซึ้งถึงความเป็นอยู่ของเทพพรหม

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 06:06

ตอนที่ ๙

ถ่ายภาพมีวิญญาณปรากฏ


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์ลัดดา : การที่ถ่ายรูปแล้วมีวิญญาณปรากฏ เป็นไปได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือในภาวะตอนนั้น วิญญาณบังเอิญรวมตัวของพลัง เขาเรียกว่าเจตนาของกายทิพย์ คือวิญญาณที่มาปรากฏร่างให้มนุษย์เห็นได้ ให้มนุษย์ถ่ายภาพได้นั้น เขาเรียกว่า เป็นวิญญาณที่ยังมีกายทิพย์ และยังมีกายหยาบ

ถ้าจะอธิบายเรื่องของวิญญาณแล้ว เป็นสิ่งละเอียดมาก หลังจากมนุษย์ตายแล้ว ธาตุทั้งสี่สลายจากการเป็นคน จิตวิญญาณหลุดลอยออก ภาวะแห่งวิญญาณนั้น จะมีกายทิพย์อยู่ในกายหยาบ ถ้าวิญญาณนั้น มีการฝึกในด้านของสมาธิวิปัสสนามาบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้น

บางครั้งบางคราว ย่อมสามารถที่จะรวมพลังเปล่งรัศมีของตน เขาเรียกว่า หลอกตาคน ก็คือ รวมพลังแห่งจิตบังคับประสาทจิตของฝ่ายตรงข้ามให้มาเห็นตัวตนของตน คือเรียกว่า พลังของเทพเจ้าบังคับมนุษย์ นี่คือเหล่าเทพที่ใกล้มนุษย์ พวกรุกขเทวดาชอบแสดง

อาจารย์ลัดดา : ลูกศิษย์ของลูกที่ไปทำปริญญาตรีนี่ ลูกก็พยายามหนุนแกว่า ให้พยายามเอาวิชาฟิสิกส์มาทำยังไง ให้วิญญาณมาปรากฏในสายตามนุษย์ ถ้าเป็นไปได้ อาจจะได้รางวัลโนเบล เป็นรางวัลของประเทศสวีเดนที่เขาตั้งไว้ ลูกก็พยายามเหลือเกินให้แกทำเป็นผลสำเร็จ

สมเด็จ : มันต้องอยู่กับตัวเขาปฏิบัติแข็งหรือไม่ ทีนี้ มนุษย์เราในยุคนี้ เขาเรียกว่า ไม่มองตน พยายามมองคนอื่น ตัวปฏิบัติไม่ถึง ก็ชอบโทษโน่นโทษนี่ คือในภาวะในหลักแห่งการดูเทพพรหมนั้น ในหลักแห่งการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน องค์สมณโคดมได้เข้าป่า เพื่อค้นในหลักแห่งสัจจะของรู้อันบริสุทธิ์นี้ขึ้นมา

ก็คือ ท่านปฏิบัติจิตอยู่ในเอกัคตาจิต ภาวะแห่งเอกัคตาจิตนั้นแหละ รวมพลังของจิตวิญญาณให้นิ่ง จิตวิญญาณนี้นิ่ง สามารถพุ่งจากกายเนื้อออกไป เขาเรียกว่า ตายระหว่างเป็นและเป็นระหว่างตาย ก็คือพุ่งจากกายเนื้อออกไป จิตวิญญาณจะรวมกันพุ่งไปอยู่ในรูปหนึ่งเห็นกายเนื้อ เมื่อพลังแห่งรักษาจิตวิญญาณนี้ได้แล้ว รวมองค์ฌานรัศมีได้แล้ว ย่อมที่จะรู้การจุติของเทพพรหม ก็คือสามารถไปพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ได้

ในหลักแห่งความจริง ในหลักแห่งโลกุตระนี้ ผู้ปฏิบัติจะต้องแข็งหนึ่ง จะต้องไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ประจำหนึ่ง จะต้องสิ้นแล้วแห่งกิเลสแห่งความอยากหนึ่ง จะต้องเลิกข้องกับมนุษย์หนึ่ง จะต้องรักษาอารมณ์หนึ่ง นี้ถึงจะถึงจุดแห่งการรู้

เพราะฉะนั้น ในการทำ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อให้มนุษย์สรรเสริญ ย่อมไม่มีทางได้ ทำงานเมื่อมีตัวอยากครอบงำ ย่อมถึงกระแสแห่งวิมุตติไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

อาจารย์ลัดดา : ในกรณีของคุณพิสิทธิ์นี่ อาจจะต้องมีตัวอยาก คือเขาอยากติดต่อกับหัวหน้าผี คงไม่เป็นไรกระมังคะ

สมเด็จ : คือเวลานี้ อาตมาย้อนเขา เขาก็นิ่ง เขาเข้าใจว่า เขาถึงจตุตถฌาน อาตมาถามเขาว่า จตุตถฌานนี่ ท้องมึงหมุนหรือยัง เขาก็เลยรู้ว่า เขาอยู่ในอุปาทาน ไม่ใช่จตุตถฌาน

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 06:09

ตอนที่ ๑๐

ค้นกายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม


(วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณขีด พูลประภัส : เกล้ากระผมมีปัญหาที่จะถามหลวงพ่อสมเด็จ กระผมข้องใจในข้อธรรมที่หลวงพ่อได้เทศน์ไว้ ให้ค้นกายในกาย ให้ค้นจิตในจิต ให้ค้นธรรมในธรรม ให้ค้นวิญญาณในวิญญาณ หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือในหลักการที่จะค้นใน ๓ คำนี้ เขาเรียกว่า เป็นภาวะแห่งธรรมารมณ์ ภาวะแห่งธรรมารมณ์นี้ หมายความว่า มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ค้นตน ในการค้นตนนั้น ก็ย่อมที่จะทำให้ท่านปลงสังขารในกาย สิ่งที่ท่านเห็นว่า สวยงามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่หลอกหลอน สมมติของการหุ้มห่อของผิวพรรณ หุ้มเนื้อ กระดูก เส้นเอ็นในกาย

เมื่อท่านมา ค้นกายในกายแล้วไซร้ ท่านจะรู้สึกว่า มนุษย์เรานี้ กายในนั้น ก็คือปฏิกูลบำรุงปฏิกูลให้ขันธ์นี้อยู่ เพื่อใช้กรรมตามวาระ คือเข้าสู่หลักแห่งปลงกรรมฐานนั่นเอง ในการเล่นอสุภะเป็นอารมณ์

ทีนี้ ในด้านของคำว่า “ค้นจิตในจิต” นั้นก็คือ ท่านอย่าลืมพลังแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ แห่งธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่ในจิต เมื่อท่านสามารถปฏิบัติธรรมในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน จนสู่ในการรู้แจ้งแห่งฌานญาณนี้แล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านก็จะรู้จิตในจิตเป็นอย่างไร

ส่วนในภาวะของคำว่า “ค้นวิญญาณในวิญญาณ” นั้นก็เพราะว่า มนุษย์เราทั้งหลายประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับวิญญาณธาตุส่วนหนึ่ง แต่วิญญาณในวิญญาณ คือวิญญาณทิพย์อีกส่วนหนึ่ง ที่ซ้อนเร้นอยู่ในวิญญาณธาตุ ท่านจะค้นพบสิ่งเหล่านี้ได้ต่อเมื่อ ท่านประกอบในจิตแห่งการสำเร็จในด้านคำว่า ฌานญาณ เมื่อนั้นท่านย่อมจะตีในหลักคำ ๓ ประการนี้ได้อย่างถ่องแท้

ถ้าท่านไม่ปฏิบัติในหลักสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อค้นกายในกาย ค้นจิตในจิต ค้นวิญญาณในวิญญาณ แล้วไซร้ ท่านย่อมไม่มีทางรู้ เพราะว่าธรรมารมณ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า ไม่สามารถที่จะแสดงออกเป็นอารมณ์แห่งการพูดได้ จะต้องทำถึงจุด แล้วจะรู้นั้นเป็นอย่างไร


ดังสภาวะ เช่น ท่านศึกษาในพระธรรม ท่านจะเห็นว่า คนเขาถามว่า การเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ตอบ จะนั่งนิ่ง พูดว่า ท่านจงทำอารมณ์แห่งการนิ่งถึงตถาคต เมื่อนั้นจึงจะรู้ว่าตถาคตเป็นอย่างไร เพราะว่าในด้านแห่งนามธรรมนี้ เป็นด้านที่ละเอียด เรียกว่าจะพูดเป็นภาษาแห่งสมมติบัญญัตินี้ยาก จะต้องค้นเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง ถึงเอง รู้เอง สิ่งเหล่านี้แล จึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับในยุคศิวิไลซ์นี้

มนุษย์เรานั้น ถ้าหลงอยู่ในกิเลสตัณหาทางโลก ไม่มาพิจารณาว่า การเกิดเป็นคนนั้น จะมีสังขารแห่งอายุอยู่ได้กี่พรรษา จากนั้นท่านก็ต้องตายจากโลกมนุษย์ แล้วไปใช้กรรมในปรภพ ระหว่างเป็นมนุษย์ ท่านจะปฏิบัติตนให้เขาสรรเสริญ หรือว่าจะให้เขาด่า เมื่อท่านตาย

ในชีวิตความเป็นอยู่ของท่าน ท่านจะต้องตั้งเข็มทิศให้ถูกทาง มนุษย์เรานี้ ถ้าเกิดมา ไม่พยายามค้นรู้จักตัวตน มนุษย์ผู้นั้นก็ไม่สามารถที่จะทิ้งในหลักแห่งความโลภะ โทสะ โมหะ ได้ เมื่อท่านไม่สามารถทิ้งในหลักดังกล่าวได้แล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านก็ไม่รู้จักกายในกาย นี่เป็นธรรมารมณ์แห่งธรรมะที่เป็นลูกโซ่ ที่จะแยกแยะชี้แจงให้รู้ด้วยปากเปล่านั้น ยากเต็มทน

เจริญพร

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 06:13

9.png



" โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว "



" ทุกหนแห่ง  มีสิ่งลี้ลับอัศจรรย์ของวิญญาณอยู่มาก

แต่มนุษย์ไม่ได้ศึกษา  ไม่ได้ค้นคว้า  ไม่ได้ปฏิบัติจิต

แล้วก็มีบางพวก  ตนเองปฏิบัติไม่ถึง

ก็สำคัญผิดว่า  ผู้อื่นก็ไม่ถึงด้วย

จึงด่วนลงความเห็นว่า

สิ่งนี้ไม่จริง  สิ่งนั้นไม่จริง "



" ท่านจะเข้าถึงโลกวิญญาณได้

ขอให้ท่านปฏิบัติตนตามขั้นตอน

คือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา "


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png




รูปภาพที่แนบมา: 9.png (2023-4-28 06:13, 31.56 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NDl8NWFhNjlmNTB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png (2023-4-28 11:28, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDV8OGJjNDQ3Mzh8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 06:23

3.png



ตอนที่ ๑

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ทรงกล่าวถึง

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์



IMG_6520.2.jpg




กำเนิดสำนักปู่สวรรค์


(วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘)



อังคารที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๘ วันนี้เป็นวันทำพิธีตั้งสำนัก โดยใช้ชื่อสำนักว่า “สำนักปู่สวรรค์” ซึ่งเป็นชื่อที่องค์หลวงปู่ทวด ตั้งขึ้นตามมติของสามโลก

สำนักนี้ตั้งขึ้น เพื่อรับสถานการณ์ของโลกซึ่งกำลังย่างเข้าสู่กลียุค เพื่อช่วยมนุษยโลก โปรดสัตว์ รักษาผู้เจ็บป่วยด้วยโรคาพยาธิทุกชนิด เป็นการเจริญรอยตามพุทธพจน์ดำรัสว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” และเพื่อเป็นที่เผยแผ่สัจธรรมอันประเสริฐและแท้จริง เจริญรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

pngegg.5.3.1.png



พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยาม


(วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒)



มื่อภาวการณ์นั้นแหล่ เกิดความยุ่งเหยิงในการทั้งหลาย องค์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม ที่มนุษย์สมมติตั้งเป็นฉายา ถ้าว่าตามหลักแห่งการนามจริง ก็คือ พระภิกษุปูคูรูปาจารย์แห่งสมัยนั้น ในการเป็นสังฆราชในราชวงศ์ของเจ้าอู่ทอง ณ กรุงศรีอโยธยา

ได้ตั้งสัจอธิษฐานให้ทั้ง ๓ โลก เข้าใจว่า หลังจากยุคแห่งศรีอริยเมตไตรยจุติมาในโลกมนุษย์ เพื่อสืบต่อศาสนาขององค์สมณโคดมแล้วไซร้

ผู้ที่ปรารถนาแห่งการเป็นพุทธะแห่งยุค สืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรย ก็คือ พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามได้อธิษฐานก่อนคนอื่น

ในภาวการณ์เช่นนี้ ในการที่จะสร้างอาณาจักรแห่งการเป็นพุทธะสืบต่อแล้ว การจะเป็นเจ้ากรุงครองเมือง จำเป็นที่จะต้องมีประชาชนให้ปกครอง ถึงจะได้เป็นเจ้า ถ้าอยู่คนเดียวแล้วจะไปเป็นเจ้าอะไร เมื่อภาวการณ์นี่แหล่ จึงว่า สภาวการณ์เช่นนี้ ควรจะทำ ก็ได้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น โดยการ

หนึ่ง เพื่อบำบัดทุกข์ในด้านของกายและใจในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้


สอง เพื่อหาสาวกแห่งการสืบต่อแห่งการที่จะเป็นผู้นำศาสนาของยุคสืบต่อศรีอริยเมตไตรย

เพราะฉะนั้น ก็ได้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น โดยการบรรจุเทพพรหมทั้งหลายที่จะมาร่วมมาปฏิบัติในที่นี้ ก็คือมาในรูปของการที่ว่า ผู้ถวายตัวเป็นศิษย์จะได้เทวดาในปัจจุบันชาติไปคุ้มครองหนึ่งองค์ อนาคตชาติยุคศรีอริยเมตไตรย อาจจะมาเกิดในยุคนั้นด้วยกัน ยุคสืบต่อศรีอริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์แห่งกรุงสยามผู้นั้นก็จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ต้องจำเอาไว้ว่า ในยุคแห่งศาสดายุคนั้น ไม่ใช่เกิดในกรุงสยาม

ทีนี้ภาวการณ์ทั้งหลาย ในหลักแห่งความจริง อาตมานี้เป็นผู้ที่เรียกว่า แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่มีสังขารถึงเวลานี้เหลือแต่จิตวิญญาณที่อยู่ในรูปพรหมชั้นที่ ๑๖ ตาม
หลักอาตมาจะเข้าอรูปพรหมแล้ว แต่อาตมายังไม่เข้า เพราะยังมีกิเลสที่ห่วงในเหล่ามนุษยชาติทั้งหลายที่มีกรรมหนาอยู่และห่วงใยสายใยแห่งการครองเมืองของอาตมาด้วย

ภาวการณ์อันนี้แหล่ อาตมาจึงได้อาสาเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ โดยรับอาสาเป็นผู้เทศน์ธรรมะในการเพื่อขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ แต่ในการมาสำนักนี้แล้ว เทศน์ไปมากแล้ว หาคนปฏิบัติจริงในยุคนี้ยากเต็มทน พอจะเข้าใจไหม มีอะไรอีกไหม

pngegg.5.3.2.png



ประธานดูแลโลกมนุษย์


(วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



เวลานี้เขาเรียกว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการติดต่อถึงจดหมายแห่งห้องรวมกรรมของพรหมโลก เทวโลก นรกโลก ก็มีหลวงปู่ทวดแห่งกรุงสยาม ในขณะซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อาวุธโสที่กำลังเตรียมตนเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อพระศรีอริยเมตไตรย ได้ตั้งความปรารถนาแห่งความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคมาเป็นกัปๆ กัลป์ๆ


ในขณะนี้ ได้รับคัดเลือกจากแดนโพธิสัตว์ ซึ่งมีพระโพธิสัตว์สิบหมื่นแปดพันสี่ร้อยสามสิบองค์ในขณะนี้ ให้เป็นประธานดูแลความทุกข์สุขในโลกมนุษย์ในยุคกลียุคแห่งยุคกลางนี้ ยุคปลายจะเปลี่ยน แล้วก็เป็นการเตรียมตนแห่งการเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค

เพราะฉะนั้น โลกวิญญาณมีกฎ มีระเบียบของการอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่งที่มนุษย์ไม่ศึกษา ไม่ค้น ไม่ปฏิบัติ แล้วมักจะปฏิเสธว่าไม่จริง เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเสมือนหนึ่งคนที่ไม่ยอมเข้าไปดูว่า ในโรงงานที่เขาทำน้ำตาลนั้น มีน้ำตาลอยู่อย่างไร อยู่ข้างนอกแล้วก็วิจารณ์แต่เรื่องน้ำตาล ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนสันดานมนุษย์ในยุคนี้

pngegg.5.3.3.png



พระโพธิสัตว์แห่งยุค


(วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



ทำไมอาตมาจึงใช้คำว่า พระโพธิสัตว์แห่งยุค เพราะว่าในขณะนี้ พระโพธิสัตว์ที่มาเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์มากที่สุด ก็คือ หลวงปู่ทวด ซึ่งขณะนี้ได้รับเป็นผู้ดูแลความทุกข์สุขของมนุษย์ในยุคแห่งกลียุคกลางนี้


พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรยนั้น มีแต่กำลังเตรียมฌานญาณในการที่จะจุติมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลที่จะถึง หลังจากพุทธศาสนาของศากยราชโคตมะสิ้นสุด

p4.png



งานปรับปรุงศาสนา


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



งานของอาตมานี้ อย่าลืม หลวงปู่ก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่มาแค่รักษาโรค มาแค่เทศน์เท่านั้น การรักษาโรคนั้น พรหมธรรมดา เทพธรรมดา เขาก็รักษาโรคได้ ซึ่งท่านก็รู้เห็นมีกันอยู่มากมาย แต่การมานี้ มีหลักในการทำงาน คือ มาเพื่อปรับปรุงพระศาสนาให้ดีขึ้น เพื่อให้มนุษย์เข้าถึงซึ้งในแก่นของศาสนา ไม่ใช่เพียงกระพี้ของศาสนาในทุกวันนี้

....สมองอย่างอาตมาก็ดี สมองอย่างหลวงปู่ก็ดี ล้วนแต่เคยกู้ความอยู่รอดของประเทศมาแล้วทั้งนั้น ยุคอโยธยาหลวงปู่ได้ช่วยแก่ปริศนาธรรมที่ประเทศลังกาเอามา เพื่อจะมายึดครอง

p5.png



งานเพื่ออนาคต


(วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



งานของสำนักปู่สวรรค์นั้น ไม่ใช่งานเพื่อปัจจุบัน งานของสำนักปู่สวรรค์เป็นงานเพื่ออนาคต คือเมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๓,๐๐๐ ปี มนุษย์ในยุคนั้นจะมาศึกษาเรื่องสำนักปู่สวรรค์กัน เพราะฉะนั้น ให้ทำเป็นหลักฐานทิ้งร่องรอยเอาไว้กระจายให้ทั่ว เพื่ออนุชนรุ่นหลังที่จะค้นคว้าศึกษาจะได้ง่าย นี่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องการ

ข้อความเหล่านี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิเสรีภาพของท่าน



รูปภาพที่แนบมา: 3.png (2023-4-28 06:24, 128.38 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTF8MDEyZDM0OWR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 06:25, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTJ8MzlmZjNhNjh8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 06:25, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTN8NjNjNGNkODN8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 06:25, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTR8MjAxNTAxMDR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-4-28 06:37, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTV8YjQ4ZDEyMmV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-4-28 06:37, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTZ8NTg5ZmQ0NjV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: IMG_6520.2.jpg (2023-5-11 10:29, 295.27 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4OTF8MzcyMmYwM2J8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:18

ตอนที่ ๒

ทิ้งสังขารสู่พรหมโลก


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : เสด็จพ่อ เวลาอยู่บนสวรรค์ เป็นสมณะหรือเป็นเทวดา หรือเป็นเทพ

สมเด็จ : คือในการบำเพ็ญตนอยู่ในพรหมโลกขณะนี้ กระแสถ้าว่าตามหลักแล้ว เขาเรียกว่า รูปพรหม ทีนี้อนุสัยแห่งความมีอยู่ในฉันทะแห่งการครองตนเป็นเพศสมณะ ยังติดแฝงอยู่ในอนุสัยแห่งสันดานของจิตวิญญาณนั้น

ในการบำเพ็ญในโลกวิญญาณนั้น เขามีวิถีการว่า ผู้ทิ้งร่างจากโลกมนุษย์ในขณะจิตที่ขึ้นมาสู่พรหมโลก หรือในขณะจิตที่ขึ้นมาสู่เทวโลก ระหว่างนั้นกำลังเสวยกุศลอะไรในภาวะที่มาเป็นเทพ กำลังขึ้นจากโลกมนุษย์มาสู่โลกวิญญาณนั้นมาในกระแสฌานอะไร เป็นพรหมอะไร และระหว่างเป็นพรหมนั้น อย่าลืม เป็นพรหมก็บำเพ็ญในโลกวิญญาณได้ โลกวิญญาณเขามีที่จะให้บำเพ็ญซอยเข้าไป

อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า ในการที่จะซอยเข้าไปในการเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ในการที่จะบำเพ็ญจากพรหมไปสู่แดนอรหันต์ ในการที่จะปรารถนาพุทธภูมิ หรือสู่แนวพระโพธิสัตว์ เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล นั่นคือภาวการณ์และความฉันทะของผู้สำเร็จองค์นั้นๆ หรือว่าวิญญาณนั้นๆ ที่ขึ้นมา และอยู่ในวิบากอะไรขนาดไหน มีกุศลในอดีตส่งเพียงพอหรือไม่ ที่จะบำเพ็ญไปสู่ในจุดในแนวนั้นได้ ตามความปรารถนาในฉันทะของจิต

คุณหญิงระเบียบ : ห่มผ้ากาสาวพัสตร์หรือเปล่าคะ ในพรหมโลก

สมเด็จ : ในพรหมโลกนั้น จะครองก็ได้ ไม่ครองก็ได้ เพราะว่าเขาครองด้วยอำนาจทิพย์ เวลานี้จะครองชุดกาสาวพัสตร์ ใช้กระแสจิตเนรมิตก็ขึ้นสู่ผ้ากาสาวพัสตร์ ในขณะที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์นั้นรู้สึกร้อน ขรัวโตนี้อยากจะครองชุดวันเกิดขึ้นมา ก็ละเลยมันไป

คุณหญิงระเบียบ : มีเพศหรือเปล่าคะ

สมเด็จ : ในเพศนั้น ถ้าอยู่ในเทวโลกชั้นที่ ๑-๕ ยังมีการแบ่งเพศของกิเลสจากของเทพ ถ้าอยู่ในพรหมโลก เลยพรหมชั้นที่ ๖ ไปแล้ว จะไม่มีการแบ่งเพศในขณะนั้น เพราะว่าพรหมเพิ่งขึ้นสู่การเป็นรูปพรหม ที่เลยจากรูปพรหมชั้นที่ ๖ ไปนั้น อยู่ในภาวะที่เป็นพรหมละลายกิเลสชั้นหยาบลงไปได้มากเพียงพอ แต่ไม่หมด เจออาจารย์อภิธรรมต้องอมภูมิหน่อย

คุณหญิงระเบียบ : อยากจะเรียนถามว่า สมเด็จพ่อได้ฌานมีองค์เท่าไหร่ องค์ฌานน่ะ

สมเด็จ : ในภาวะฌานนั้น ท่านจะเอาฌานไหน ตติยฌาน ๓ จตุตถฌาน ๔ แล้วไปในด้านอภิญญา ในหลักแห่งความจริง ก็คือว่า ได้ฌาน แต่ไม่ยึดฌาน ไม่ติดฌาน และไม่อวดฌาน เพราะว่าซักแบบนี้ เขาเรียกว่า ซักแบบทนายความเอาจนมุม จะเข้าในกฎผิดพระวินัย บอกว่า ฉันนี่แหละเป็นผู้วิเศษเว้ย

คุณหญิงระเบียบ : ไม่ได้ซักแบบนั้นเจ้าค่ะ ถามเพื่อจะให้ทราบว่า เสด็จพ่อได้ฌานอะไร มีองค์เท่าไหร่

สมเด็จ : ได้องค์ฌาน ในตติยฌาน ขึ้นสู่อภิญญา ๔ ภาวการณ์บำเพ็ญในจุดเพื่อสิ้นอาสวกิเลส ที่แฝงอยู่ในกายในกาย

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ ความสุขมีไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : ภาวะแห่งความสุขนั้น ท่านถึงตติยฌาน จิตของท่านย่อมนิ่งสุข ยิ้มผ่องใสอยู่ในองค์ฌานนั้น สภาพการณ์ถ้าวันไหนองค์ฌานท่านไม่รักษาให้แข็งแกร่ง เกิดตกลงมา ภาวะแห่งความอยากมันก็จะเกิด แล้วไปๆ มาๆ มันก็อยากจะกินหมากขึ้นมาอีก

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:20

ตอนที่ ๓

ปราชญ์เหนือปราชญ์


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



อยากจะเป็นอาจารย์ต้องเลิกติดหมาก



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : การกินหมากนี่ เสด็จพ่อว่า ผิดศีลหรือผิดธรรมในวินัยบทไหนเจ้าคะ (คุณหญิงระเบียบ เป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม ท่านติดการกินหมาก)

สมเด็จ : ในวินัยเขาเรียกว่า การเป็นพระสงฆ์ต้องอย่าติด การเป็นนักพรตต้องอย่าหลง การเป็นอาจารย์ต้องทำให้เขาดู เพราะอะไรเล่า เพราะว่าถ้าในด้านของคำว่า สัมมาอาชีวะ ในเรื่องของคำว่า เอกสิทธิ์หรือเสรีภาพแล้ว มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความคิด มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความเดิน มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพแห่งความเคี้ยวนะ กูจะเคี้ยวแบบไหนก็ได้ นี่ว่าตามหลักของคำว่า เสรีภาพแห่งการเป็นมนุษย์

ทีนี้ในหลักของคำว่า ศีล นั้น ศีลเป็นบันไดขั้นต้นที่จะให้คนเราทำในกรรมดี คือละเว้นในสิ่งที่คิด เพราะฉะนั้นในการติดหมากนี้ก็ไม่พ้นในศีล ๕ ก็คือว่า ยังมีการติดในสิ่งที่สมมติว่าเป็นสิ่งขมหวาน เป็นสิ่งที่เคี้ยวแล้วมันจะอร่อย นี่คือพลังแห่งความอยู่ในศีล ไม่ได้อยู่ในธรรม คือ สภาพของธรรมแล้ว ถ้ากรรมวิบากของกุศลธรรมอยู่ในกระแสจิตของการกระทำในความดี อกุศลธรรมอยู่ในกระแสจิตของการกระทำในความชั่ว

เพราะว่า ถ้าจะให้อธิบายในหลักของคำว่า เสรีภาพของการเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ผิด แต่ถ้าใช้หลักคำว่า ศีลแล้ว ก็คือว่ายังมีการติดในสิ่งสมมติในความเคี้ยว เคี้ยวเพื่ออะไร

คุณหญิงระเบียบ : ในมโนทุจริต วจีทุจริต หรือกายทุจริตเจ้าคะ

สมเด็จ : อันนี้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ๓ กรรมพร้อมเป็นองค์กรรม

คุณหญิงระเบียบ : กินหมากนี่อยู่ในกรรมไหน

สมเด็จ : อันนี้อยู่ในภาวการณ์ที่เรียกว่า ถ้าในหลักของทุจริตแล้ว ไม่มีทุจริต แต่มีความอยากทุจริตของกรรมน้อยๆ อันนี้เขาเรียกว่า กรรมบาง ทีนี้กรรมบางจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องประกอบด้วยองค์กรรม ๓ คือ

เกิดจากมโนกรรม มโนกรรมแห่งจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่น เกิดความอยาก เมื่อความอยากเกิดขึ้นมา ก็เกิดความอยากจะได้ จึงหลุดออกมาทางวจีกรรม ถ้าเอ็ง ก็จะบอกว่า “แม่อีหนูเอ๊ย เอ็งเอาหมากมาให้กูกินคำซิวะ” นี่ออกมาทางวจีกรรม คือมันต้องคิดก่อน ถึงจะมาวจีกรรม เมื่อวจีกรรม มาถึงก็ตำใหญ่ๆ ก็กลายเป็นกายกรรม ตำเสร็จก็ยัดเข้าปาก เคี้ยวอุบๆ นี่เข้าสู่กายกรรม เพราะฉะนั้น องค์กรรมที่จะครบ ต้องเกิดจากมโนกรรม

คุณหญิงระเบียบ : ที่ลูกถามนี่ หมายถึงกรรมที่เป็นทุจริตนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : กรรมอันนี้ ถ้าเข้าสู่ในหลักการปฏิบัติในทางละ ก็เรียกว่าเป็นทุจริตกรรม ทุจริตกรรมในหลักของคำว่า ยังอยากสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นสิ่งสมมติ ไม่สมควรที่จะติด เพราะอะไรเล่า เพราะว่าของของโลก เราต้องรักษาให้โลกเขา ปัจจัยเขาหามาด้วยหยาดเหงื่อ แต่หามาเสร็จ ลงมาอยู่ในพลูหมาก นี่เขาเรียกว่า ทุจริตต่อโลก สิ่งของโลกที่เราควรจะละได้

คุณหญิงระเบียบ : มโนกรรมมีอะไรเจ้าคะ เสด็จพ่อว่า ลูกมีมโนกรรม แล้วออกมาเป็นวจีกรรม กายกรรม มโนกรรมนี่อะไรเจ้าคะ

สมเด็จ : มโนกรรมนี่ คือว่า ทุกอย่างจะต้องเกิดจากการสำนึกของอายตนะภายใน คือต้องมีความคิด มีความอยากขึ้นในมโนยิทธิของตน แบบในการบำเพ็ญฌานก็ต้องตั้งมโนของจิต ให้อยู่ในหลักแห่งการที่จะเอาอะไรเป็นสรณะ จะเอาพุทโธเป็นสรณะ จะเอาธัมโมเป็นสรณะ ต้องตั้งสติของมโนแห่งความยึดขึ้น เพราะฉะนั้น มโนอันนี้หมายความว่า มโนจากอนุสัย เขาเรียกว่า ธรรมชาติของจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่นในความเคยชินให้แล่นขึ้นสู่ทางสมอง ให้คิดอยากจะเคี้ยวหมาก

คุณหญิงระเบียบ : ไม่มีในกายกรรม ๓ นี่ เสด็จพ่อ วจีกรรม ๔ ก็ไม่มี มโนกรรม ๓ ก็ไม่เข้า แล้วจะมาว่าอะไรลูก

สมเด็จ : ทำไมจะไม่เข้า คือ ถ้าไม่คิดแล้วมันย่อมไม่มีอยาก เมื่อมีอยากก็ย่อมมีการพูด เมื่อพูดก็ย่อมมีการตำ เมื่อตำแล้วก็ย่อมมีการเคี้ยว อย่างนี้ไม่เข้าสู่หลักแห่งองค์กรรม ก็เจริญพร พระเจ้าค่ะ ช่วยอธิบายหน่อย

คุณหญิงระเบียบ : ผู้ที่หมดอยาก ได้แก่บุคคลชนิดใดเจ้าคะ

สมเด็จ : ผู้ที่มีหลักแห่งความหมดอยากในกิเลสแห่งความสิ้นแล้ว ต้องสำเร็จอนาคามิมรรคอย่างต่ำ ขึ้นถึงอรหัตผล แต่ถ้ายังเป็นโสดาปัตติมรรคแล้ว ยังมีความอยาก ยังมีความอยากเสพกามเป็นบางครั้งบางคราว

คุณหญิงระเบียบ : ทีนี้ เสด็จพ่อจะให้ลูกหมดความอยาก จะไม่ให้ลูกมีความอยากหมาก ลูกก็ถามแล้วว่า คนที่ไม่มีความอยากน่ะ ได้แก่ใคร แล้วเสด็จพ่อจะตั้งให้ลูกเป็นอะไรเพคะ

สมเด็จ : ก็พยายามฝึกซิ มนุษย์เราทุกคนนี่ เกิดมาเพราะกรรมในอดีต

บัดนี้ เป็นเวลามหาอุดมมงคล ที่ทายกทายิกา เหล่าสีกามนุษย์ได้มารวมพร้อมกันในทีนี้ เพื่อฟังในหลักธรรมของคำว่า “ละ” มนุษย์เรานั้น เกิดจากกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาวะกรรมของตนนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำ อดีตกรรมส่งผลมาให้ปัจจุบันกรรม ปัจจุบันกรรมนำผลสู่อนาคตกาล จะทำอย่างไรเล่า จะให้เราสิ้นจากอาสวะ เพื่อหลุดพ้นในกฎแห่งวัฏฏะในกรรม

ทีนี้ มาถามว่าจะตั้งให้เป็นอะไรนั้น มนุษย์เรานั้นต้องมีความหวังเป็นสรณะ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะตั้งในความปรารถนา หวังพระนิพพานเป็นจุดแรกของมนุษย์ในการเป็นคน

คุณหญิงระเบียบ : ลูกทูลถามเสด็จพ่อเมื่อกี้ เสด็จพ่อว่า ลูกมาถามเพื่ออวดให้ใครๆ เห็นว่าเก่ง ก็แสดงว่า เสด็จพ่อรังเกียจ แล้วทีหลังลูกจะไม่ถาม เพราะพอถามแล้ว จะกลายเป็นอวดเก่งไป ลูกจะไม่ถามเสด็จพ่ออีก

สมเด็จ : คือไม่ใช่บอกว่าอวดดี เราถามว่า จะตั้งให้เป็นอะไร เราก็ตั้งความหวังว่า เรานี้จะสำเร็จเป็นอริยมรรค อริยผลแห่งพระนิพพาน นั้นคือความหวัง ทีนี้ ในเรื่องที่จะให้ละเรื่องกินหมากนี้ มันต้องอยู่ที่ตัวเองว่า ตัวเรานี้จะต้องปรับปรุงตัวเราเอง

แบบเสมือนหนึ่ง องค์สมณโคดมว่า “ถ้าท่านไม่บำเพ็ญตน ตถาคตก็ช่วยให้ท่านสำเร็จอรหันต์ไม่ได้ การที่จะสำเร็จถึงพุทธะแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ของกระแสจิตนั้น ต้องอยู่ที่ท่านช่วยตัวท่านเองด้วย ตถาคตมีแต่แผนผังให้ท่าน ตถาคตทิ้งเรือให้ท่าน”

ทุกวันนี้ โลกมนุษย์มีแต่คนพูดแต่เรือองค์สมณโคดม แต่ไม่มีใครกล้ากระโดดลงไปในเรือองค์สมณโคดม ก็ย่อมไม่ถึงฝั่ง ฉันใดก็ฉันนั้น ฉะนั้นในฐานะที่เรียกว่า เมื่ออดีตเคยมีกรรมพัวพันกันมา ปัจจุบันมาเจอกัน พ่ออยู่พรหมโลก ลูกยังเป็นมนุษย์เดินเคี้ยวหมาก มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนให้ว่า

“ลูกเอ๋ย ควรจะยุติเรื่องปริยัติ หันมาปฏิบัติกันดีกว่า เพราะว่าในการปริยัตินี้ พ่อทำมาก่อนแล้ว”

ตัวต้องปรับปรุงตน ให้ตนเหนือตน แล้วจะรู้จักการเป็นคน หลักแห่งความจริง ทำไมหลวงปู่จึงเข้าป่า หนีการเป็นสังฆราชในอโยธยา ถ้าว่าตามหลักแล้ว หลวงปู่ทวดนี้ หรือว่าพระภิกษุปูนั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ในทางไสยศาสตร์หาตัวจับยากในอโยธยา ต่อมาได้ศึกษา ได้ค้นเข้าไปว่า


เมื่อภาวนาการณ์ ครั้งหนึ่งมีการพบกันของเหล่ามุนีในการบำเพ็ญ ได้มีมุนีองค์หนึ่ง ได้ถามมุนีอีกองค์หนึ่งว่า ท่านนี้หรือที่เขาเรียกว่าสำเร็จ เป็นผู้มีฌานญาณแห่งความรู้ในทางธรรม มุนีองค์นั้นได้ตอบคำถามของมุนีฝ่ายตรงข้ามด้วยความนั่งนิ่ง บอกว่า นี่คือคำตอบ

ภาวการณ์อันนี้ องค์หลวงปู่ก็ได้ศึกษา ได้ค้นว่า ในความนิ่งจะต้องมีธรรมชาติอันหนึ่งเหนือความนิ่ง ที่เป็นปัจจัตตัง หรือเรียกว่า อาตมัน ก็ได้ทำการหันเข้าสู่ในจุดแห่งการบำเพ็ญธรรมฌาน จึงได้ในด้านของฌานญาณมาก ได้บำเพ็ญในการที่จะปรารถนาในการเป็นพุทธะแห่งยุค

เวลานี้เอ็งก็สอน กูก็สอน เอ็งก็ไปไม่ถึง กูก็เลยไปไม่ถึงด้วย มันก็ว่ากันไปอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ในหลักแห่งความจริงที่มาเทศน์ในครั้งนี้ มาในฐานะมีหน้าที่ที่เขามอบหมายมา ให้มาช่วยในการทำงาน เพื่อให้ลุล่วงตามเป้าหมายของโลกวิญญาณที่วางไว้

เพราะฉะนั้น เราเป็นอาจารย์สอนธรรมะ ถ้ามีความน้อยใจ มันจะไปถึงธรรมได้อย่างไร

คุณหญิงระเบียบ : ก็น้อยใจไม่เท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะ แต่ว่าถ้าที่ไหนรังเกียจ ไม่ไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นการไม่ให้เขาเกิดกิเลส เราก็หลีกเลี่ยงไปเสีย

สมเด็จ : ความรังเกียจย่อมไม่มีอยู่ในจิตของอาตมา ภาวนาการณ์มีแต่สอนให้รู้จักการเป็นตัวตน สภาพการณ์ถ้าท่านติดความรังเกียจ ท่านย่อมไม่ถึงความไม่รังเกียจ ถ้าท่านติดความไม่รังเกียจ ท่านย่อมไม่ถึงความรังเกียจ เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมจึงพยายามสอนว่า “อานนท์ เจ้าจงอย่าติดตถาคตเถิด แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะถึงตถาคต”

pngegg.5.3.1.png



วิญญาณของโลกวิญญาณ



คุณหญิงระเบียบ : ลูกจะถามเรื่องว่า เสด็จพ่อพูดถึงโลกวิญญาณบ่อยๆ โลกวิญญาณน่ะ มีวิญญาณอย่างเดียวหรือเจ้าคะ

สมเด็จ : คือในภาวะคำว่า วิญญาณ นี้ เป็นการครอบงำของจักรวาลพิภพ วิญญาณนั้นเขาแบ่งเป็นกระแสของวิญญาณ แห่งเทพ แห่งพรหมนั้น ละลายในกายหยาบหรือยัง มีกายทิพย์หรือเปล่า ละลายกายทิพย์เหลือแต่จิตวิญญาณหรือเปล่า เพราะมันมีกฎความจริงของธรรมชาติอันหนึ่งเขาเรียกว่า สุญญากาศ

สูญ ในตัวนี้ไม่ใช่สูญเปล่า สูญเขาเรียกว่า สูญของอาตมันแห่งความรวมของกระแสจิตและวิญญาณ สู่ในแนวแห่งความว่างแห่งสรรพ เขาเรียกว่า วิญญาณนั้นห่างกิเลสจากกิเลส สิ้นจากอาสวฌาน รวมตนเป็นสูญอันนั้น เป็นสูญที่พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องย้อนเขาพุทธพจน์แห่งองค์สมณโคดมว่า

“ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต
ผู้ใดถึงธรรม      ผู้นั้นถึงตถาคต”


ถ้าถึงจุดแห่งความรู้บริสุทธิ์นี้ อธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ง่าย และคำว่าวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลออแห่งความถี่ยิบของเขา เรียกว่ายิ่งกว่าน้ำนั้น เป็นภาษาที่พูดไปแล้ว องค์สมณโคดมเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค คงไม่ทิ้งท้ายในพุทธพจน์อันนี้

เพราะฉะนั้น จึงว่าวิญญาณนี้ วิญญาณของโลกวิญญาณ เขามีพรหมโลก เทวโลก ยมโลก นรกโลก ต่างก็เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง วิญญาณเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ มนุษย์จะเกิดก็ต้องอาศัยวิญญาณของตน เขาเรียกว่า วิญญาณอดีตผสมวิญญาณปัจจุบันของการก่อกรรม เพื่อให้ปฏิสนธิกลายเป็นคน

อันนี้ต้องไปฟังที่อาตมาเทศน์ไว้ เรื่องคำว่า ทำไมจึงเกิดมาลืมอดีตชาติ ที่เทศน์ไว้มีแยะ และจะให้ท่านในเรื่องรายละเอียดของเรื่องวิญญาณนี้ ก็ต้องมาศึกษาที่เทศน์ไว้ก่อน แล้วค่อยมาถาม เพราะว่าอาตมานี้มีเวลาจำกัด แล้วก็ไม่มีเวลาที่จะมาเทศน์ย้อนกลับไป ย้อนกลับมา เขาเรียกว่า เทศน์ในปัญหาที่คนไม่ถาม เพื่อทิ้งอนุสรณ์เพื่อคนรุ่นหลัง



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 07:21, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTh8NDRhMDA5NTR8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:29

ตอนที่ ๔

อาณาจักรพระโพธิสัตว์


(วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต : อย่างเสด็จพ่อนี้ จะต้องจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีกไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ความปรารถนาตั้งใจจะเกิดร่วมในการประกาศสัจธรรมยุคเดียวกับพระศรีอริยเมตไตรย

คุณหญิงระเบียบ : เวลานี้ เสด็จพ่อก็อยู่บน คอยลงมาพร้อมกับพระศรีอริยเมตไตรยใช่ไหมคะ

สมเด็จ : เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียด เวลานี้ที่มานี้ ก็เพราะว่า ในขณะนี้โลกมนุษย์อยู่ในยุคแห่งกลียุค ในยุคแห่งกลียุคนี้ จิตใจของสัตวโลกยุคนี้เสื่อม ในภาวะแห่งการเสื่อมนั้นแหล่ โลกวิญญาณเขามีมติให้ตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์

ทีนี้ ในการที่จะตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์นี้ เขาต้องตรวจว่า มีพระโพธิสัตว์อาวุโสองค์ไหนที่ปรารถนาพุทธภูมิ แห่งการที่จะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค สืบต่อพระศรีอริยเมตไตรย ก็ได้ตรวจไปตรวจมาค้นในแดนโพธิสัตว์ ได้พบว่า พระโพธิสัตว์อาวุโสแห่งสยามที่สำเร็จในยุคนั้น ยุคอโยธยา ได้ตั้งความปรารถนาไว้แน่วแน่มาหลายกัปหลายกัลป์ ในการที่จะปรารถนาพุทธภูมิแห่งการสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค

ทีนี้ เมื่อมีตัวตนในการทำงานแล้ว ก็หาร่างที่เป็นมนุษย์ที่มีกรรมพัวพันในอดีตอย่างลึกซึ้งมาใช้งาน ก็ได้ค้นพบเด็กสับปะรังเคคนหนึ่งที่อยู่ในแดนสยาม ภาวการณ์ก็คือว่า เมื่อม้าในแดนมนุษย์ก็มี วิญญาณที่จะทำงานก็มี ก็ควรจะทำงานได้ ณ บัดนั้น

ภาวะแห่งการที่ไม่เคยมาโลกมนุษย์นานๆ ก็เห็นไม่ไหว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงปู่นั้น ตั้งแต่หนีจากการเป็นสังฆราชไปอยู่ป่า อนุสัยแห่งการบำเพ็ญฌานญาณจนนิ่งในปัจจุบันฌาน เพราะฉะนั้นมาก็นิ่งๆ ไม่สนใคร ใครจะว่าอะไรก็ไม่รู้ พูดคำก็ตอบคำ

เทวดาทั้งหลายเขาก็ประชุมกันว่า ถ้าเป็นแบบนั้น สำนักปู่สวรรค์ก็คงจะตั้งในโลกมนุษย์ไม่คงทนถาวร ลองตรวจซิว่า ในโลกวิญญาณมีนักฝอยจอมโม้ขนาดไหน มีไหม ตรวจไปตรวจมาก็เจอว่า อ๋อ ขรัวโตบ้าๆ บอๆ แห่งวัดระฆังฯ นี้ สำเร็จมาอยู่พรหมโลกกับเขาด้วย เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะขอท่านโต ลงมาร่วมงานในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยดึงดูดคนให้ติดเอาไว้บ้าง

เพราะว่า ถ้านิ่งเฉยๆ มนุษย์ในยุคนี้ มันเต็มไปด้วยกิเลส ยังมีความติด ยังมีความอยากสวย ยังมีความอยากกินหมาก ยังมีความอยากจะไปโน่นไปนี่ เพราะฉะนั้น ต้องให้ท่านโตลงมา เขาจะมาไม้ไหน ท่านไปได้ไม้นั้น จึงได้มาทำงานร่วมกันในโลกมนุษย์ เพื่อในการเรียกว่า

หนึ่ง เป็นการช่วยสัตวโลกให้พ้นทุกข์เท่าที่จะช่วยได้

สอง เป็นการเพื่อจูงลูกหลานเหลนที่มีกิเลสน้อยเพียงพอ ที่จะเข้าถึงสัจจะแห่งความจริงว่า “ตายแล้วไม่สูญ”

สาม เพื่อในการสร้างอาณาจักรโพธิสัตว์นี้ให้แผ่ไพศาล เพื่ออนาคตกาลยุคพระศรีอริยเมตไตรย จึงจำเป็นต้องมาในรูปวิญญาณ เพราะว่าจะจุติมาเกิดในรูปของการเป็นมนุษย์นั้น กลัวจะโตในด้านของกายเนื้อนี้ไม่ทันเหตุการณ์แห่งกลียุค


และในยุคนี้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้ว รู้สึกจะบำเพ็ญตนกลับไปสู่โลกวิญญาณนั้นยากเต็มที่ เพราะแสงสีศิวิไลซ์ในโลกมนุษย์ในยุคนี้ ก้าวหน้ายิ่งกว่าในยุคใดๆ สมัยอาตมาอยู่วัดระฆังฯ ในสมัยนั้น พระสงฆ์องค์เจ้าอยู่ในความสงบ แล้วผู้ที่จะมานั้น จะต้องมาด้วยความสงบ ไม่ใช่แบบยุคนี้ อย่างคนที่จะมาบางคน อย่างยายชุบชีพ ยังต้องใส่อะไรก็ไม่รู้เว้ย ไม่รู้จัก เพราะไม่เคยใช้ แต่งให้มันเฉิบนะ

คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์ว่าแต่ดิฉันคนเดียว เขาแต่งกันสวยกว่าดิฉันอีก

สมเด็จ : เพราะฉะนั้น ก็เลยดึงอาตมามา อาตมาก็บอกว่า ยังมีพระพรหมองค์หนึ่ง เป็นพรหมที่มีฤทธิ์เดชมาก ก็คือ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระโมคคัลลาน์ในยุคนั้น บำเพ็ญตนเป็นพรหมเอกเทศในด้านฤทธิ์ บางคนมาในทีนี้อาจสงสัยว่า เหตุไฉนจึงไม่นุ่งห่มในชุดพระสงฆ์ เพราะว่าในการนุ่งห่มในชุดพระสงฆ์นั้นเป็นสิ่งสมมติ การเป็นพระไม่ใช่อยู่ที่ผ้า

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านของการปราบวิญญาณร้ายที่เข้าสิงร่างมนุษย์นั้น ถ้าพรหมมา มาในรูปพระสงฆ์แล้ว เต้นไปเต้นมา เดี๋ยวจีวรหลุดหมดนะ เพราะฉะนั้น เพื่อในความสะดวกของทุกฝ่ายในการมาทำงาน จึงให้บัญญัตินุ่งชุดอะไรก็ได้ เมื่อวิญญาณมาทำงาน เพราะว่าเมื่อเราเป็นพรหมที่บำเพ็ญเพื่อจะให้สิ้นอาสวกิเลสแล้ว ย่อมไม่ติดในเรื่องเนื้อหนังมังสา ในสิ่งสมมติในโลกมนุษย์

นี่ถือแถลงไขในความข้องใจของมนุษย์บางคนที่อยู่ในนี้ ไม่ต้องถามก็เทศน์ลงมาก่อน

คุณชุบชีพ นกแก้ว : ถามอีกนิดเถอะเจ้าค่ะ ลูกศิษย์นั่งอยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมสมเด็จอาจารย์มานั่งค่อนขอดดิฉัน กับอาจารย์คุณหญิงระเบียบนี่ก็ค่อนขอดเพราะกินหมาก คุณชุบชีพก็เรื่องแต่งตัว สมเด็จอาจารย์จะให้ทำอย่างไร ไม่ให้แต่งตัว จะไปไหนๆ ไม่แต่งตัว จะไปได้หรือเจ้าคะ

สมเด็จ : เราก็แต่งพอที่เรียกว่า สมมติให้เป็นการไม่ให้กายเนื้อนี้เป็นที่อุจาดตา เพราะว่าตรวจด้วยกระแสจิตว่า สองหน่อนี้พอมีทางไปมรรคผล จึงต้องกระทุ้งให้ดังๆ หน่อย

เจริญพร


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:34

ตอนที่ ๕

เทพพรหมลงมาทำงานจริงหรือ


(วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระดอกไม้ : กราบนมัสการหลวงปู่สมเด็จครับ เกล้าฯ เป็นศิษย์มาภายหลัง ขอพระเดชพระคุณโปรดให้ความสว่าง คือว่าเวลานี้เกล้าฯ มีข้อสงสัย คือ พระเปรียญเวลานี้มีหลายรูปที่มีความข้องใจอยู่ ในเรื่องวิญญาณก็ตาม เรื่องพรหมก็ตาม พระบางรูปกล่าวว่า ไม่ควรจะเชื่อ

เหตุอะไร ท้าวมหาพรหมหรือผู้ที่ไปเป็นพรหมแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องลงมาในมนุษยโลก แล้วทำไมจะลงมาเข้าทรงคนนั้นเข้าทรงคนนี้ ตัวอย่างเช่น เจ้าไปทรงที่นั่นก็อ้างว่าเป็นท้าวมหาพรหม เจ้ามาทรงกันที่นี้ก็อ้างว่าเป็นท้าวมหาพรหม ท้าวมหาพรหมทรงที่นั่น ทรงที่นี้ แล้วเวลานี้ พระเปรียญก็ใส่ไฟว่าหลอกหลวงเขาบ้าง ลงมาเพื่อหาเครื่องเซ่นกินกันบ้างต่างๆ นานา

เวลานี้เกล้าฯ ก็มีความสงสัย ในตำราธรรมะก็ไม่เคยได้ประสบพบเหมือนกัน ว่าพรหมองค์นั้นจะต้องมาเทศน์โปรดที่นั่น พรหมองค์นี้จะต้องมาโปรดที่นี่ ในตามหลักธรรมะ เกล้าฯ ก็ไม่เคยประสบพบปะ ขอพระเดชพระคุณช่วยโปรดแก้ปัญหาข้อนี้ด้วยครับ

สมเด็จ : เพราะเหล่ามหาเปรียญนั่น เปรียญแต่กระดาษ เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติถึงจุดรู้แจ้งในหลักธรรม ไม่ได้ปฏิบัติถึงจุดในด้านเรื่องของคำว่า ฌานญาณ จึงเที่ยวโจมตีว่าเขา

ทีนี้ ในเรื่องที่ว่าเทพพรหมนี่ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ สภาพการณ์ในการบำเพ็ญนั้น พวกรุกขเทวดาพวกนี้ชอบอ้างชื่อผู้สำเร็จ หรือวีรกษัตริย์ วีรบุรุษ มาหากินกับมนุษย์ พวกที่จะมา เรียกกันง่ายๆ ว่า มาขอส่วนบุญ

พวกผีเปรตอสุรกายที่บำเพ็ญที่ใกล้มนุษย์ พวกเหล่านี้ก็ชอบที่จะมาเสวยของของมนุษย์ เขาเรียกว่า ยังมีกามตัณหาติดอย่างแน่นหนา พวกเหล่านี้ส่วนมากแล้ว เขาจะอ้างชื่อผู้ที่โลกมนุษย์รู้จัก เพราะว่าเขารู้ว่ามาหากินกับมนุษย์แล้วไซร้ ก็คือว่าจะต้องให้คนนั้นรู้จัก

ทีนี้ มนุษย์เราจะต้องเป็นมนุษย์ให้สมกับมนุษย์ ก็คือว่า เราจะต้องใช้สมองพิจารณาว่า บุคคลที่อ้างว่า ชื่อองค์นี้มานั้นจริงหรือไม่ ก็คือต้องศึกษาประวัติดูให้ถ่องแท้ ถึงการอยู่ ถึงการทรงของคนนั้นๆ ถ้าอาตมาไป อาตมาเป็นนักเทศน์ อาตมาจะต้องเทศน์เป็นสรณะ ยึดหลักธรรมะมากกว่าวัตถุ

ทีนี้ ท่านก็อาจจะย้อนว่า เพราะเหตุใดท่านจึงยอมให้เขาใช้ชื่อเล่า ท่านต้องอย่าลืม พรหมต้องมีพรหมวิหาร ๔ ฉันใด การเป็นผู้สำเร็จในโลกวิญญาณย่อมต้องมีเมตตาจิตฉันนั้น เพราะแม้แต่มนุษย์ เรายังจะช่วย

การที่จะมาช่วยครั้งนี้ ในการที่มาตั้งสำนักปู่สวรรค์ในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากกลียุคแห่งการที่จะเกิดขึ้นในแหลมสุวรรณภูมิ แห่งการที่จะเกิดขึ้นในแดนสยาม ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้สร้างราชบัลลังก์จักรี อาตมาจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอาสาลงมาทำงาน


นี่คือ มาอย่างอาตมาบังคับร่าง ไม่ใช่ร่างเชิญอาตมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านต้องจำเอาไว้ว่า ถ้าเทพพรหมชั้นสูงมาแล้วไซร้ แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ต้องการ

เพราะฉะนั้นจะทราบรายละเอียด ก็ต้องไปฟังเรื่องวิญญาณที่อาตมาเทศน์ไว้แยะ และท่านจงจำเอาไว้ว่า ที่มามีการทรงพิเศษหรือว่าห้าบาทสิบบาทก็มานี่ สมเด็จโตไร้ค่าหมดหรือ ห้าบาทสิบบาทจ้างอาตมา อาตมาก็ต้องรีบมา แล้วอาตมาอยู่ในโลกวิญญาณ ยังต้องการใช้เงินอีกหรือ เพราะฉะนั้น เราต้องใช้สมอง การทรงนั้นมีจริง มีจริงในรูปว่า วิญญาณนั้นมาทำงาน

ฉะนั้นอันนี้ จึงให้ท่านใช้สมองแห่งการเป็นมนุษย์พิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักต่างๆ ในโลกมนุษย์นั้น สำนักปู่สวรรค์ เป็นสำนักโลกวิญญาณ จึงไม่ขอวิจารณ์ และอาตมาก็สั่งลูกศิษย์ลูกหาที่นี่ว่า เรามีหน้าที่ให้เขาวิจารณ์ เราไม่มีหน้าที่วิจารณ์เขา


แล้วคนที่มาที่นี่ อาตมาก็บอกแล้วว่า อย่าพึ่งเชื่อ เพราะว่าเชื่ออย่างงมงาย ท่านก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ตถาคต ท่านต้องใช้เหตุและผล และการที่ท่านติดอาจารย์ ท่านย่อมไม่ถึงธรรม

เพราะฉะนั้นจึงว่ามาในที่นี้ ให้ท่านใช้สมองพิจารณา และถ้าอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเทพพรหมทั้งหลาย อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แยะ ไปขอเจ้าหน้าที่เขาเปิดฟัง

พระดอกไม้ : นี่ก็เป็นเหตุของการสงสัยของพวกเปรียญ ที่ได้บอกกับเกล้าฯ มาเช่นนั้น จิตวิญญาณหรือผู้สำเร็จก็ตาม ไปสู่พรหมโลกแล้ว จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนมนุษยโลกได้ยังไง ก็เรียกว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้น เกล้าฯ คิดว่า เขาก็ยังปฏิบัติไปไม่ถึง แต่เขาก็อ้างตำรา

ตำราเล่มนั้นเล่มนี้กล่าว พวกนั้นไม่สมควรที่ควรจะลงมา คือว่ายังเสวยกรรมอยู่บนชั้นพรหมโลก ก็ยังไม่ควรที่จะลงมาอย่างนี้ ความเห็นเขาเป็นอย่างนั้น เขาก็กล่าวให้เกล้าฯ ฟัง เช่นนี้ละครับ พระเดชพระคุณ

สมเด็จ : เพราะว่า เขาไม่ถึงธรรม เขาถึงแต่ตำราที่เขาอ่าน เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยจะเป็นพระที่เข้าถึงสัจจะอันแท้จริง และทุกวันนี้จะหานักเรียนนักสอนที่เข้าถึงธรรมอันแท้จริง ทั้งรู้ถ่องแท้ในตำราและทั้งในด้านปฏิบัตินั้นหายาก

เพราะฉะนั้น เราก็รับฟังแล้วก็พิจารณา ในฐานะที่เราจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เราจะเป็นสาวกตถาคต เราก็ควรจะปฏิบัติให้ถูกแนว เรียกว่า ในการพิจารณาและในการปฏิบัติธรรม ให้สมกับเป็นพระสงฆ์ เขาเรียกว่า อย่าให้ผ้าเหลืองเสียชื่อ

ทุกวันนี้ บางคนอาศัยผ้าเหลืองเพื่อเลี้ยงชีพ บางคนอาศัยผ้าเหลืองเพื่อเรียนวางโครงการออกสู่ทางโลก มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวช พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ท่านต้องอาศัยผ้าเหลืองเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่เคยสอนให้ท่านยึดผ้าเหลืองเพื่อศึกษาวิชา แล้วสึกออกไปประกอบการทางโลก

ทุกคนที่เข้ามาบวชในยุคแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธโคดม แห่งการที่จะเป็นสาวกตถาคต ต้องพิจารณาแล้วว่า เรานี้จะตัดแล้วซึ่งกิเลส เพื่อพยายามสู่ในจุดหมาย

เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นว่าในสังฆมณฑลนี้ อาตมาจึงบอกว่า เป็นการปลงสังเวชที่จะไม่พูดถึง ไม่อยากจะกล่าวถึง หาพระที่จะเป็นพระ มันน้อยเต็มที

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:37

ตอนที่ ๖

สมเด็จโตมีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์


(พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณทองหล่อ บุญประเสริฐ : หลวงพ่อครับ กระผมขอถามหลวงพ่อสักหน่อยว่า กระผมได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองคำ หลวงพ่อทราบไหมครับ ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : อันนี้ไม่ขอวิจารณ์ เพราะสำนักปู่สวรรค์ดำเนินงานโดยโลกวิญญาณ สมเด็จโตมาทำงาน มีหน้าที่ให้เขาด่าและวิจารณ์ สำนักปู่สวรรค์ทุกคนไม่มีหน้าที่วิจารณ์และว่ากล่าวใคร อันนี้อยู่ในการที่เราจะต้องพิจารณาเอง

เพราะว่า อาตมาไม่ใช่เป็นผู้ที่ชอบยกตนข่มท่าน หรือไม่ใช่เทวดาที่มาหากินกับมนุษย์ ที่จะบอกว่า เจ้าจงมานับถือข้า อย่าไปนับถือคนอื่นเลย ถ้าเจ้าไปนับถือคนอื่น ข้าจะหักคอเจ้า อันนี้ก็มี แต่เป็นเทวดาบางองค์นะ

เพราะฉะนั้น อาตมาขอบอกว่า ท่านมาอาตมาก็ไม่ยินดี
ท่านไม่มาอาตมาก็ไม่ยินร้าย ท่านด่าอาตมา อาตมาก็ขออนุโมทนา ฉะนั้นไม่วิจารณ์

คุณทองหล่อ : ถ้าเช่นนั้นเกล้าฯ ขอถามว่า หลวงพ่อรู้จักท่านหรือเปล่า รู้จักใช่ไหมครับ

สมเด็จ : อาตมาคิดว่า อาตมาไม่รู้จักเขาหรอก แต่เขารู้จักอาตมามากกว่า เพราะว่าอาตมาเวลานี้ เป็นครูสอนอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ สอนอยู่รูปพรหมชั้นที่ ๔ มีศาลฟังธรรม พวกเทพพรหม พวกที่เรียกว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เทพเกือบจะทุกชั้นและทุกองค์จะมาฟังธรรมที่อาตมาแสดงในสวรรค์ชั้นที่ ๔ เพราะฉะนั้น เขาอาจจะรู้จักอาตมา แต่อาตมาไม่รู้จักเขา

คุณทองหล่อ : หลวงพ่อครับ แล้วที่เขาทรงหลวงพ่อทวดที่หลังคุรุสภาที่ลาดพร้าว ที่เขาทรงกันนั้น ใช่หลวงพ่อทวดไหมครับ

สมเด็จ : อันนี้ เราดูเอาเอง เทพพรหมชั้นสูงมาย่อมไม่มีการติดรสมนุษย์ แล้วก็ย้ำอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ทวดก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่นางอาย ทำงานแล้วก็ต้องทำงานใหญ่เพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ไม่ขอวิจารณ์

แล้วขอบอกว่า เทวดาที่ใช้ชื่อหากินกับมนุษย์มีมาก อาตมาก็ถือว่ามนุษย์ อาตมายังมาช่วย ทีนี้เทวดาที่ต้องโทษ รู้ผิดกฎโลกวิญญาณ เขาให้เกิด เขาไม่ยอมเกิด เขาจะขอบำเพ็ญ เมื่อมาบำเพ็ญในโลกมนุษย์แล้ว จะพูดว่าเทวดา ก มา มนุษย์ก็ไม่รู้จัก เขาก็เลยขอยืมชื่อสมเด็จโตของอาตมามาใช้


อาตมาก็บอก เออ แต่เจ้าอย่าทำให้ชื่อข้าป่นปี้ก็แล้วกัน แต่ที่นี้ บางองค์ เมื่อลงมาทำงานในโลกมนุษย์ กลับทำป่นปี้ก็มี คือ หลงในกิเลสที่มนุษย์มาครอบให้ จึงเข้าสภาวะบำเพ็ญไปสู่นรกก็มี

อันนี้ อาตมาจึงไม่วิจารณ์ ขอให้ท่านไปพิจารณา คือ ท่านใช้สมองพิจารณาเอาเอง แล้วหลวงปู่ก็เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านย่อมไม่มานั่งหากินกับมนุษย์ และในขณะนี้ กระแสจิตมารวมกันที่สำนักปู่สวรรค์มากที่สุด เมื่อ ๑๐ ปีก่อน อาตมาไปหลายแห่ง หลังจากสำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว อาตมาไม่มีการไปทุกแห่งที่เคยไป ขอแถลงให้ทราบด้วย

คุณทองหล่อ : กระผมขอกราบถามหลวงพ่อว่า องค์ท่านที่กระผมนำไปกราบไหว้บูชาอยู่ที่หิ้งของกระผม ใช่องค์ท่านจริงใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ทุกอย่างอะไรเรียกว่า จริง อะไรเรียกว่า ไม่จริง รูปสมมตินั่นแหละ หน้าตาขรัวโตทั้งนั้น ท่านบูชาด้วยศรัทธา ท่านก็ย่อมถึงอาตมา ถ้าท่านไม่บูชาด้วยศรัทธา นั่นก็เป็นพระอิฐพระปูน

เพราะฉะนั้น อะไรเรียกว่า จริง ไม่จริง ย่อมไม่มีในวัตถุ เพียงแต่ว่าสร้างด้วยถูกเทวบัญญัติ ถูกพรหมบัญญัติหรือไม่ และสำหรับอาตมานั้น สมเด็จพระเครื่องสร้างด้วยสมัยอาตมาหรือไม่เท่านั้นเอง ที่เป็นแง่ของวัตถุ แล้ววัตถุทุกอย่างย่อมเป็นพระ ถ้าท่านศรัทธาก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ ถ้าท่านไม่ศรัทธาก็เศษอิฐเศษปูนเศษเหล็ก

ฉะนั้น อย่าใช้คำว่า จริง หรือไม่จริง เขาเจตนาสร้างรูปสมมติของหลวงปู่ขึ้นมา หลวงปู่ก็ย่อมที่จะรับรู้ว่า รูปสมมติของเราเกิดขึ้นแล้วในโลกมนุษย์ ได้อยู่ที่บ้านนั้นกี่องค์ บ้านนั้นบูชาด้วยความจริงจัง บ้านนั้นเห็นหลวงปู่ชอบกินเหล้าก็มีถวายเหล้า นั่นมันเป็นเรื่องของมนุษย์ที่เขาทำ

แต่จงจำเอาไว้ว่า เทพพรหมชั้นสูงย่อมไม่ติดในรสอาหารของมนุษย์ และถ้าท่านศึกษาให้ดีให้ถ่องแท้ในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านย่อมทราบว่า เทวดาธรรมดามีอาหารทิพย์เสวย มีทิพย์อาสน์นั่ง สมเด็จโต หลวงปู่ทวดมาในโลกมนุษย์ เลวยิ่งกว่าเทวดาอีกหรือ พอมาถึงก็บอกว่า เฮ้ย มึงวันนี้มาหากูนี่ มึงเอาหมากมาให้กูหรือเปล่าวะ มีอะไรมาเซ่นบ้าง ไม่เซ่น กูไม่พูดอะไรกับมึงนะ นี่ให้เราไปพิจารณากันเอง


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงบอกว่า สำนักปู่สวรรค์มีหน้าที่ให้เขาด่า ไม่มีหน้าที่ไปด่าเขา และท่านจงจำเอาไว้ว่า ความจริงย่อมเป็นความจริง ความลับไม่มีในโลกนี้หรอก มีเพียงถูกปกปิดในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ของความจริง และท่านเป็นมนุษย์ก็ต้องใช้สมองที่เขาประทานให้พิจารณาว่า สิ่งไหนควรยึด สิ่งไหนควรวาง เข้าใจไหม

คุณทองหล่อ : เข้าใจขอรับ กระผม

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:39

ตอนที่ ๗

โลกวิญญาณมาทำงาน


(วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : หลวงพ่อสมเด็จครับ เรื่องที่สำนักอี้ ที่สิงคโปร์ เขาส่งผู้แทนมาที่สำนักนี้ หลวงพ่อทราบเรื่องหรือยังครับ

สมเด็จ : เขายังไม่ได้ติดต่ออาตมานี่

ศ.ดร.คลุ้ม : เขามาติดต่อกับเจ้าสำนักแล้ว แต่ไม่ทราบว่า หลวงพ่อทราบเรื่องนี้หรือเปล่าครับ แหล่งที่เขาอยู่ที่สิงคโปร์นั่น เขาก็ทำงานคล้ายแบบเรานี้ จุดประสงค์คือร่วมทำงานกับศาสนาต่างๆ เพื่อความสันติสุขของโลกเหมือนกัน คล้ายๆ กับแนวของเรานี่แหละครับ แล้วสำนักเขารู้สึกจะมีอะไรคล้ายๆ กับเราหลายอย่างครับ

สมเด็จ : เป็นสำนักของวิญญาณพวกเทพ พวกนี้เขาพวกเทพมาทำงาน ฉะนั้น เขาจึงต้องมาประสานกับเรา เวลานี้ พวกวิญญาณเขาจะมาทำงานตามจุดต่างๆ ของโลก แล้วเป็นการเปิดเผยให้มนุษย์รู้ในอนาคต จะได้รู้ว่าในขณะนี้ สังคมของมนุษย์อยู่ในยุคของกลียุค เป็นภาวะที่จะต้องร้อนถึงพระเจ้าและเทพเจ้ามาทำงานกัน เพื่อชี้จุดแห่งความจริงให้มนุษย์รู้ซึ้งในความมีศีลธรรม เพื่อคลายทิฐิแห่งการยึดตน เมื่อนั้นสันติสุขย่อมเกิดขึ้น

ภาวะแห่งความร้อนทั้งหลายเกิดจากมนุษย์ ที่เป็นผู้นำในโลกมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ไม่หันเข้ามาพิจารณาตัวเอง จึงเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทีนี้ ในสภาวการณ์เหล่านี้ เราจะไปโทษเขาเหล่านั้นที่ไม่หันมาศึกษาตัวเองก็ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นไปตามกุศลที่เขาสร้างมา แต่ภาวะแห่งสันดานก็ย่อมจะถึงวาระแห่งการวิบากของเขา ฉันใดก็ฉันนั้น

เสมือนหนึ่งในภาวการณ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูติขึ้นในกรุงกบิลพัสดุ์ นักพยากรณ์ทั้งหลายได้ทำนายว่า กุมารน้อยนี้จะต้องเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระเจ้าสุทโธทนะมีความแน่วแน่ที่จะให้กุมารน้อยเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาจักรพรรดิแห่งชมพูทวีป จึงจัดให้เจ้าชายอยู่อย่างสุข โดยหาพระนางยโสธรามาให้เป็นมเหสี

เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้างปราสาท ๓ ฤดูกาลขึ้น ที่เชิงเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากภูเขาหิมาลัย มีปราสาทฤดูร้อนอยู่ริมแม่น้ำโรหิณี ปราสาทฤดูหนาวสร้างอยู่เชิงเขาหิมาลัย ในฤดูหนาวจะได้ชมหิมะปกคลุมยอดหิมาลัย เป็นแสงประกายแวววาวน่าดู ราวกับจำลองสวรรค์มาอยู่ในปราสาทนั้น ทั้งยังแวดล้อมด้วยเหล่านารีที่คัดเลือกอย่างสวยงามจากเมืองต่างๆ ห้อมล้อม ให้เจ้าชายสิทธัตถะนั้นไม่รู้จักคำว่า เปลี่ยนแปลงและร่วงโรย

แต่ด้วยอนุสัยแห่งการบำเพ็ญมาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น ถึงกาละสัญชาตญาณเดิมที่จะสร้างความดีในการโกยสัตวโลก พระองค์ทรงเหม่อมองไปสู่หุบเขาหิมาลัย ซึ่งในยุคนั้น ชาวชมพูทวีปเชื่อกันอย่างแน่นอนว่า บนยอดเขาหิมาลัยนั้น มีดินแดนแห่งหนึ่ง หุบเขาช่องหนึ่ง ที่เรียกว่า ป่าหิมพานต์ ป่าหิมพานต์นั้นจะต้องเป็นที่สถิตของพระเจ้าและเทพเจ้าชั้นสูง

ภาวะทั้งๆ ที่แวดล้อมด้วยนางสนม แวดล้อมด้วยพระนางยโสธรา เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย พระองค์ก็สามารถนั่งสมาธิในท่ามกลางหมู่นารีได้ ซึ่งสร้างความสังเวชและไม่สมพระทัยให้แก่พระเจ้าสุทโธทนะเป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ภาวะกรรมวิบากของแต่ละคน แต่ละหมู่ แต่ละพวก สร้างมาไม่เหมือนกัน

pngegg.5.3.1.png



เหล่าปีศาจครองเมือง



สมเด็จ : ทีนี้ในภาวะแห่งโลกขณะนี้ คืออยู่ในภาวะแห่งเหล่าปีศาจทั้งหลายขึ้นมาเกิดในจุดต่างๆ แห่งโลกมนุษย์ และลืมสัจจะที่ให้ไว้ว่า จะมาสร้างความดี ด้วยมีสันดานแห่งความชั่ว จึงผุดขึ้นมาในขณะนี้ จึงร้อนถึงพระเจ้าและเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายต้องมาช่วยยับยั้ง

แห่งภาวะที่เรียกว่า ทะเลจะกลายเป็นเลือด ด้วยการถือทิฐิในกลุ่มผู้นำของโลกมนุษย์เพียงไม่กี่คน ที่เรียกว่า รวมกันขึ้นในโลกมนุษย์ว่าเป็นองค์การแห่งศูนย์รวมของชาติมนุษย์ในขณะนี้

เหตุการณ์ทั้งหลายก็อาจจะคลี่คลายสู่ในการที่เรียกว่า ร้อนจากทวีปแห่งแหลมสุวรรณภูมิสู่ทวีปยุโรปตะวันตกก็ได้ แต่ภาวะมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่รู้จักคำว่าพอ เมื่อไม่รู้จักคำว่าพอ ก็ย่อมมีความวุ่นวายต่อไป อย่างไม่มียุติ


เพราะฉะนั้น สำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ คือเพื่อชี้จุดบอดให้มนุษย์ทั้งหลายหยุด แล้วพิจารณาตน เพื่อคลายทิฐิสู่ในการไม่ตกในอบายภูมิมากเกินไป

pngegg.5.3.2.png



อุดมการณ์ช่วยโลกมนุษย์



เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เราต้องช่วยกัน และท่านทั้งหลาย การทำความดีย่อมลำบาก แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงยึดมั่นว่า

ทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อบุคคล

สัตวโลกในภาวะนี้กำลังถูกครอบงำของความศิวิไลซ์ที่สมมติสร้างขึ้นนี้ จึงทำให้เกิดประหัตประหารในสงครามเศรษฐกิจก็ดี สงครามแย่งมนุษย์ก็ดี สงครามค้าอาวุธก็ดี สิ่งเหล่านี้อยู่ในภาวะที่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจถึงกฎแห่งความจริงของอนัตตา หรือกฎแห่งความจริงของธรรมชาติ


เพราะฉะนั้น อาตมาจึงว่า แผนงานของอาตมาที่จะช่วยมนุษย์ในยุคนี้ อาตมาจะพยายามดำเนินงานตามอุดมการณ์ที่อาตมาร่างขึ้นมา แต่ทั้งนี้ ก็ต้องเชิญชวนมนุษย์ที่ปรารถนาสันติสุขแก่มนุษยชาติ เสียสละเวลาร่วมทำงานกันอย่างจริงจัง จึงจะสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จได้

อุดมการณ์ ๑๐ ประการ ของสำนักปู่สวรรค์ มีอุดมการณ์ให้สานุศิษย์ยึดมั่นคือ

๑. ช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจให้ชนทุกชั้น
๒. ประหารกิเลสของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลง
๓. ทำลายความเชื่อที่งมงายหลงเข้าใจผิด
๔. ผดุงความเป็นธรรมของสังคม
๕. เทิดทูนพระมหากษัตริย์และสันติภาพเป็นสรณะ
๖. ส่งเสริมศาสนาให้ดีขึ้นทุกวิถีทาง
๗. ยินดีอุปถัมภ์นักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่หวังพระนิพพาน
๘. ร่วมมือกับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์
๙. ส่งเสริมจริยธรรมและคุณธรรมเข้าสู่จิตใจเยาวชน
๑๐. ยืนยันโลกหน้ามีจริง เพื่อไม่ให้มนุษย์ที่ทำบาปมากขึ้น


อุดมการณ์ดังกล่าวนี้จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยมนุษย์ร่วมกันช่วยดำเนินงาน งานนั้นจึงสำเร็จ

เราทำงานเพื่อความจริง เราทำงานเพื่อความดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวคำสรรเสริญนินทา แต่ขอให้ทุกคนยึดมั่นในหลักการ คือ

๑. มีเมตตาต่อศัตรู
๒. มีความบริสุทธิ์ต่อส่วนรวม
๓. มีสัจจะต่องาน
๔. มีขันติต่อคำสรรเสริญและนินทา


เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะถึงหลักชัยแห่งการที่เรียกว่า อยู่อย่างไม่เสียชาติเกิด และทุกคนที่ร่วมทำงานกับอาตมานี้ ทุกคนย่อมได้กุศล เงินเดือนนั้น อาตมาไม่มีจ้าง อันนี้ต้องไปคิดกันที่โลกวิญญาณ



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 07:47, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NTl8N2M0MTgyMDV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 07:47, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NjB8Y2UxMzdkZjB8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:50

ตอนที่ ๘

แดนพรหมโลก


(วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๓)



DSC00434.jpg



ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ หัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น



อาจารย์บุญชื่น ทองอยู่ : อยากจะขอเรียนถาม เรื่องพระพรหมเจ้าค่ะ คือ ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ ที่ได้ยินชื่อว่า ผู้พิชิตมารทุกทิศนั้น ท่านบำเพ็ญบารมีอะไรมาเจ้าคะ

สมเด็จ :
ในเรื่องของพรหมโลกนี้ มันเป็นเรื่องยาว อาตมาก็ได้เทศน์เอาไว้แล้วว่า เทพพรหมนั้นมีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร แต่พรหมที่มีตบะแข็ง พรหมที่มีอาวุโส พรหมที่มีตำแหน่งในพรหมโลกนั้น มีอยู่ไม่กี่องค์เท่านั้น

ทีนี้ อย่างองค์พระพรหมชินนะนี้ เป็นผู้พร้อมทุกอย่าง คือในสภาวการณ์เขาเรียกว่า เป็นผู้สำเร็จสมัยองค์สมณโคดม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพรหมที่ไม่ขึ้นต่อพรหมโลก เขาเรียกว่า เป็นพรหมเอกเทศในพรหมโลก มีตำแหน่งหัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น เป็นผู้ที่มีบารมีแห่งฌานสมาบัติอันแก่กล้า เขาเรียกว่า เดินไปไหน เทวดาเห็นเป็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่ กายนั้นแสงเหมือนพระอาทิตย์ จิตใจงามเหมือนพระจันทร์ คิ้วโก่งเหมือนคันศร ตางามเหมือนเหยี่ยว ผิวกายละเอียดเหมือนหยกขาว

ในที่ประชุมของพรหมโลกเห็นว่า พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมเกเร พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมที่จะให้มนุษย์ติดสินบน ทรงไว้ด้วยความยุติธรรม และเป็นผู้รอบรู้สรรพสิ่ง เป็นเจ้าพิธีการของโลกวิญญาณ

เมื่อสมัยอาตมามีสังขาร อาตมาจะสร้างพระผงอิทธิเจแปดหมื่นสี่พันองค์ครั้งสุดท้าย อาตมาก็คิดว่า จะทำอย่างไรจะสร้างให้พระขลัง ให้คนเล่าลือว่า พระขรัวโตนี้เหนียว ดีเด่น เมตตามหานิยม ในการปลุกเสกนั้น ท่านอย่าลืมว่า วัตถุนั้นเพียงแต่เป็นวัตถุธรรม วัตถุนั้นจะขลังได้ต่อเมื่อพลังจิตของผู้ปลุกเสกเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ก่อนนี้อาตมาก็คือว่า แค่มีศีลบริสุทธิ์ก็ปลุกเสกได้ขลัง

ต่อเมื่อวันหนึ่ง องค์ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ ได้ปรากฏในนิมิตให้อาตมาเห็น อาตมาก็บอกว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เทพธรรมดา ต้องเป็นพรหมแน่ๆ อาตมาก็ถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านมีอะไรบ้างไหมที่จะสอนขรัวโตนี้ ขรัวโตยินดีได้รับการวิจารณ์ และคำสอนของท่านทั้งหลายที่จะมาสอนให้ขรัวโตหลุดพ้น บรรลุในหลักแห่งอริยสัจสี่อันแท้จริงขององค์สมณโคดม

พระพรหมชินนะ ปัญจะระ ก็ได้แนะวิธีการปลุกเสก วิธีการตั้งให้ถูกทิศเทวบัญญัติ มันยังมีความซ่อนเร้นของความลี้ลับของความอัศจรรย์อยู่เหนือความจริง ถือว่าการปลุกเสกพระนั้น ถ้าตั้งไม่ตรงทิศของเทวบัญญัติแล้วไซร้ เทวดาจะมาน้อย ต่อให้ท่านชุมนุมเทวดาขนาดไหน และสภาวะจิตจะต้องสะอาด

pngegg.5.3.1.png



ตำแหน่งผู้พิชิตมาร



สานุศิษย์ : แล้วที่เห็นองค์พระพรหมชินนะ ปัญจะระ ท่านถือคทา แล้วก็เท้าขวาเหยียบเต่า เท้าซ้ายเหยียบพญานาค อันนี้หมายความกระไรครับ

สมเด็จ : ที่มือขวาที่ถือนั้นเขาเรียกว่า คทาพรหม คทาพรหมอันนี้สร้างในโลกมนุษย์ที่ยังใช้ไม่ได้ คทาพรหมของท่าน ก็คือเป็นจามจุรีทิพย์ของพรหมโลก หัวนั้นมีแสงพุ่งออกมาเป็นรัศมี เท้าขวาเหยียบเต่านั้นหมายความว่า พาหนะประจำตำแหน่ง คือตอนจะออกรบ เขาเรียกว่า จะพิชิตมาร


คือหมายความว่า พรหมโลกเกิดยุ่งก็ดี เทวโลกเกิดยุ่งก็ดี ยมโลกเกิดยุ่งก็ดี อันนี้ต้องไปอ่านกัณฑ์เปิดโลกที่อาตมาเทศน์เอาไว้แล้ว มารโลกเกิดมาหาเรื่องมาก เขาช่วยกันไม่ได้ เขาก็ต้องเชิญองค์พรหมชินนะ

พระพรหมชินนะจะออกศึกไล่ถึงประตูบ้าน เขาก็มีพาหนะ พาหนะเหล่านี้เป็นวิญญาณทิพย์ และเป็นวิญญาณที่จำศีล ที่จะเตรียมตัวเกิดเป็นพระสาวกในยุคพระศรีอริยเมตไตรยด้วย ที่เศียรของพระพรหมชินนะนั้น มีปิ่นเพชร ปิ่นเพชรมีสีทองด้วย แต่ที่นี่เขาทำ เขาเรียกว่า ทำแบบจริงจังไม่ได้

คือเป็นรูปพระพรหมรูปงามละ ที่เรียกว่า เทวดาผู้หญิงหลง พรหมผู้หญิงที่อยู่ชั้นฝึก ยังไม่ถึงชั้นที่ ๕ พรหมชั้นที่ ๖ ก็ยังติดกาเม ก็ยังหลง แต่มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ผู้ใดถูกแม้แต่เท้าพระพรหมชินนะ ผู้นั้นต้องถูกสาปลงมาเกิด เพราะว่าเป็นพรหมที่เกลียดสตรีเพศ


วิมานสร้างด้วยแก้วมรกต ภายในปูด้วยเพชร เป็นถนนในวิมาน นอนบรรทมด้วยสิงห์ ไม่ชอบพูดกับใคร หมดธุระเข้าห้องปิดประตู เขาเรียกว่า ไม่ล่อเพลงยาว ชอบล่อเพลงสั้น

สานุศิษย์ : แล้วพญานาคล่ะครับ ที่ท่านเหยียบพญานาค เหยียบเต่า

สมเด็จ : พญานาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ เขาเรียกว่า ผู้เหยียบสมุทร เต่านั้นถือว่าเป็นสัตว์บก หมายความว่า ทั้งบกทั้งน้ำอยู่ในตีนข้า

pngegg.5.3.2.png



ผู้นำพรหมโลก



สานุศิษย์ : อยากทราบว่า ท้าวมหาพรหมนั้น มีทั้งหมดกี่องค์ด้วยกันครับ

สมเด็จ : ท้าวมหาพรหมของโลกวิญญาณนั้น มีหลายองค์ คือ

๑. ท้าวจตุรพรหม
๒. ท้าวอัปราพรหม
๓. ท้าวมหาพรหมสามวิจิตร
๔. ท้าวมหาพรหมสามภพ


นี่คือ ผู้รับบัญญัติ เขาเรียกว่า เป็นผู้นำพรหมโลก แล้วต่อมา มีท้าวมหาพรหมประกาศิต ท้าวมหาพรหมอีกตั้งเยอะแยะ
ท้าวมหาพรหมสามวิจิตรเพิ่งมาโลกมนุษย์ ครั้งนี้ก็มาปลุกเสกตะกรุดของสำนักปู่สวรรค์ แล้วก็มีพระพรหมที่ไม่ขึ้นอยู่กับพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ก็คือ ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ นี้คือ พรหมผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในพรหมโลก และพรหมที่ไม่มีหน้าที่ อาตมาก็บอกไปแล้วว่า มากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

สานุศิษย์ : องค์พระพรหมเมศวร คือใครคะ

สมเด็จ : คืออยู่ในหลักของการบัญญัติของพรหมโลก บรมพรหมเมศวรนี้ ถ้าว่าตามหลักแล้ว เดิมทีเป็นพระพรหมที่ประจำทิศบูรพา ต่อมาคล้อยตามอารมณ์มนุษย์ ก็ต้องปิ๋วจากหน้าที่ เวลานี้ถูกสั่งจำศีลสมาบัติอยู่อีก ๓ กัป ถึงจะให้ออกจากสมาบัติ คือคล้อยตามอารมณ์มนุษย์มากเกินไป จึงไม่นับอยู่ในพรหมโลกเวลานี้

เพราะฉะนั้น ท้าวมหาพรหมชินนะ ปัญจะระ จึงเป็นพรหมที่ฉลาด เรียกว่า กูไม่พูดกับมึงดีที่สุด เพราะว่ามนุษย์นี่ มันจะเอาแต่ได้อย่างเดียว มันไม่ยอมรับรู้กฎแห่งกรรม มันไม่รับรู้หลักแห่งความจริง

สานุศิษย์ : ที่เรียกว่า องค์ตรีเนตรบรมครูนั่น คือใคร

สมเด็จ : ตรีเนตรนั่น มันแค่เทวทูต เชื่อมต่อระหว่างพรหมโลกกับเทวโลก เราจะปฏิบัติจิต เราก็อย่าไปวุ่นวายเรื่องพรหมให้มาก วุ่นมาก เดี๋ยวมันจะบ้า เราควรจะฝึกพลังของเราให้มาก แล้วใช้พลังของเรานั้นศึกษา และเราต้องตั้งตนอยู่ในศีลแห่งความบริสุทธิ์ เมื่อตั้งตนอยู่ในศีลบริสุทธิ์แล้ว พลังแห่งการประทานของเทพพรหมย่อมให้มาเอง โดยไม่ต้องไปอ้อนวอน

สานุศิษย์ : อยากทราบว่า วิญญาณเมื่อดับไปนี้ จะปฏิบัติการสิ่งใดครับ จึงจะได้ไปเป็นเทพพรหม ไปเป็นพรหม

สมเด็จ : อันนี้อยู่ที่ว่า ระหว่างที่อยู่ในโลกมนุษย์นั้น เขามีกรรมแห่งกุศล อกุศลขนาดไหน ถ้ามีอกุศลน้อยก็ไปอยู่ในเทวโลก ไปอยู่เทวโลกบำเพ็ญได้ดีก็ไปอยู่พรหมโลก แต่จะผ่านพรหมโลกต้องผ่านอาตมาอบรมก่อน จึงจะขึ้นสู่พรหมโลก แล้วพรหมโลกยังแบ่งออกเป็นรูปพรหม ๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น กึ่งพรหมกึ่งเทวะ พรหมลูกฟัก แล้วก็พรหมสุทธาวาส มันมีเรื่องอีกเยอะแยะ อธิบายเป็นวันๆ ก็อธิบายไม่จบหรอก แค่เรื่องพรหมโลก

ฉะนั้น เวลานี้มา ก็เอาแค่ว่า เวลานี้เรามีทุกข์อะไร เราจะขจัดทุกข์ใจนั้นอย่างไร เราจะช่วยมนุษย์ได้ในรูปใด เราอย่าไปรู้เรื่องเขา เรียกว่า อยู่บ้านตัวเอง แล้วชอบไปรู้เรื่องบ้านของคนอื่น

สานุศิษย์ : คืออยากรู้ เพราะว่าได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามาครับ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรสนใจบ้าง

สมเด็จ : อันนี้ บำเพ็ญจิตให้ถึงเอกัคตาจิต แล้วจะรู้สรรพสิ่งในสิ่งนี้ ดีกว่าที่คนเขาจะมาเล่าให้ฟังอีก

สานุศิษย์ : วันนี้จะถามหลวงพ่อไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ ให้โอกาสแก่สานุศิษย์คนอื่นต่อไป



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 07:52, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NjF8NjAwN2ZmMjB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 07:52, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NjJ8NDM5MTU4NjZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: DSC00434.jpg (2023-5-12 01:31, 99.34 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4OTh8NDNlYTZmNTh8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 07:54

ตอนที่ ๙

เทพพรหมผ่านร่างมนุษย์


(วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เหลี่ยว : ลูกขอกราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกมีความสงสัย เรื่องการเข้าทรงครับ และคนทรงนี่ จะต้องมีบุญมีบาป หรือว่ามีอุปนิสัยอย่างไรครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือ ผู้ที่จะเป็นร่างทรงของวิญญาณของพวกรุกขเทวดา พวกผีเปรต อสุรกาย เหล่านี้ เรียกว่า ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกรรมวิบากในอกุศลที่ตนสร้างมา จึงได้ถูกการจองล้างจองผลาญของเหล่าวิญญาณที่ยังไม่เข้าซึ้งถึงธรรม ส่วนการที่จะเป็นร่างทรงของผู้สำเร็จเทพพรหมชั้นสูงนั้น คือ

๑. บุคคลนั้นจะต้องมีกรรมพัวพันกับวิญญาณนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติเป็นหลายชาติ

๒. บุคคลนั้นจะต้องมีศีลธรรม และมีคุณธรรมประจำใจ

๓. จะต้องเป็นผู้ที่เทพพรหมนั้นๆ ต้องการมาทำงานด้วย จึงจะเป็นสื่อในการที่จะให้เทพพรหมลงมาทำงานในโลกมนุษย์ได้

ถ้าพูดถึงว่า มีบุญหรือมีบาปนั้น ท่านจงดูเอาเอง อย่างร่างทรงที่อาตมายืมร่างมาทำงานนี้ เขาบอกว่า เขามีกรรม จึงต้องมาให้อาตมาใช้งาน ทั้งวันจะต้องขลุกอยู่แต่ในห้อง บางครั้งจะต้องไปอยู่ในป่า แล้วก็กิน ๒ มื้อ

แล้วในเรื่องการเล่นการทรงนั้น อาตมาอยากจะเตือนว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเล่นเลย สมมติท่านพยายามส่งกระแสจิตถึงเทพพรหมชั้นสูงที่เขาไม่ได้อยากมาทำงาน และถ้าระหว่างนั้น เขากำลังเข้าฌานอยู่ ท่านก็ย่อมมีบาปในการที่จะให้เทพพรหมนั้นมาประทับท่าน

การเข้าทรงนั้น ไม่ใช่จะทรงได้ทุกองค์ ขึ้นอยู่กับว่า วิญญาณนั้นกับท่านมีความพัวพันกันหรือไม่ กระแสจิตท่านปฏิบัติสะอาดเพียงพอหรือไม่ ที่จะให้เทพพรหมเข้าสิงสถิตอยู่ในร่างท่าน นี่เป็นความจริงของคำว่า ความสัมพันธ์แบบลูกโซ่ในกฎแห่งสังสารวัฏ ไม่ใช่พอคิดจะทรง องค์นี้เข้าแล้ว เดี๋ยวไม่เอาละ องค์นี้ไม่ชอบ ทรงสมเด็จโตนี่ มาทีไรชอบด่า หาองค์ที่พูดดีๆ พูดเพราะๆ มาดีกว่า ก็กลายเป็นว่า เทพพรหมเป็นเครื่องเล่นของท่านน่ะซิ

สิ่งเหล่านี้อาตมาขอบอกว่า ถ้าท่านจะเล่นกับวิญญาณ ท่านต้องคิดให้ดีก่อนว่า ท่านพร้อมที่จะให้วิญญาณใช้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลี้ลับ ท่านจะต้องถามตัวท่านว่า ท่านพร้อมเสมอหรือยัง ที่จะทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถ้าอย่างเทพพรหมชั้นสูงนั้น เขาต้องเกี่ยวพันกับท่าน เขาถึงจะมา ไม่ใช่ท่านคิดจะเชิญให้มาก็มา อย่างเวลานี้มีเยอะแยะ ท่านลองไปดูซิ เชิญสมเด็จโต ๒ บาทก็มา บุหรี่มวนหนึ่งก็มา หมากคำหนึ่งก็มา สมเด็จนี้ไม่มีค่าเลยหรือ

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ท่านต้องพิจารณา ถ้าเทพพรหมชั้นสูงมาในโลกมนุษย์นั้น ตลอดเวลาจะเป็นเวลากี่โมงกี่ยาม นานแค่ไหนก็แล้วแต่ แม้แต่น้ำหยดเดียวของมนุษย์ก็ไม่ต้องการ และจะมีพลังแห่งสติสัมปชัญญะพร้อมอยู่เสมอ ที่จะรับทราบเรื่องราวจากท่านที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระแสจิต


เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลี้ลับ ท่านจะต้องปฏิบัติเองให้ถึงอัปปนาสมาธิ เข้าสู่ในกระแสฌานญาณแล้วนั่นแหล่ ท่านจึงจะมาคุยถึงเรื่องเทวดา พรหม ค่อยรู้เรื่องหน่อย ในสภาวการณ์ของสังคมในกลียุคนี้ ถ้าท่านไม่หมั่นทำสมาธิให้จิตสงบแล้ว อาตมากล้าบอกว่า สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ในไม่ช้าจะเกิดจิตไม่ดี เกิดเป็นโรคประสาทกันเยอะแยะ

ฉะนั้น ท่านควรสงบจิตให้นิ่งเสียบ้าง ท่านจะไม่ถูกโรคประสาทกิน ทั้งนี้และทั้งนั้น อาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากแล้ว ถ้าท่านทำจริง ขอให้ท่านตีอริยสัจสี่ให้แตกกระจายจริงๆ ให้ถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างถ่องแท้แล้ว ท่านย่อมถึงธรรม ย่อมรู้ธรรมชาติ ย่อมรู้ศาสนา


คุณชุบชีพ นกแก้ว : สมเด็จอาจารย์เจ้าขา ดิฉันสงสัยเจ้าค่ะ ว่าเทพพรหมเขาก็มีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ทำไมเขาต้องมาเข้าทรงคนโน้นคนนี้ คงเป็นเทพที่ไม่ดีใช่ไหมเจ้าคะ ถ้าเทพที่ดีแล้ว ก็คงไม่ต้องมาขอเข้าใคร

สมเด็จ : คือไม่เสมอไป เทพบางองค์เขาผิด เขารู้ผิดแล้วก็อยากจะประพฤติตนบำเพ็ญเข้าสู่ในทางดี ซึ่งย่อมเป็นที่สรรเสริญของมนุษย์และเทพพรหม เขาก็อาจจะมาขอยืมร่างมนุษย์เพื่อสร้างบารมี โดยการมารักษาโรค เป็นการบำบัดทุกข์ทางกายให้มนุษย์ เพราะในการรักษาโรคธรรมดานั้น เทพธรรมดาเขาก็มีกระแสอำนาจจิตที่จะรักษาได้

ถ้าเทพอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า เทพเห็นแก่กิน ก็ชอบจะมาอาศัยร่างมนุษย์ เพื่อกินของของมนุษย์ตะพึดตะพือ ถ้ามึงมีหัวหมูมา กูก็ให้สามตัวไป นี่คือเทพอีกจำพวกหนึ่ง เป็นพวกรุกขเทวดา ที่ถูกเขารุออกจากเทวโลก เป็นเทพที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่สำนึกในบาปบุญ

และอีกจำพวกหนึ่งคือ เทพพรหมชั้นสูงที่จะมาทำงาน โดยมีอุดมการณ์และมีนโยบาย นั่นก็อีกชนิดหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ยาก เขาจะไม่มาขอเข้าทั่วไปกับทุกคน

คุณชุบชีพ : แล้วร่างทรงของสมเด็จล่ะเจ้าคะ เมื่อกี้สมเด็จบอกว่า มีกรรม แต่ดิฉันว่า กรรมที่ต้องมารับใช้เทพพรหมนี้ ก็ต้องมีกุศลกรรมซิเจ้าคะ มิใช่อกุศลกรรม เพราะเป็นการสร้างบารมี

สมเด็จ : คือว่า ทำในสิ่งที่ดีก็ย่อมเป็นการดีทั้งนั้น แต่ทีนี้ในด้านของคำว่า ในส่วนตัว ในกายเนื้อนั้น เขาก็ร้องขึ้นไปสู่โลกวิญญาณเรื่อยๆ ว่า

กินก็ไม่เป็นเวลา นอนก็ไม่เป็นเวลา นั่งก็ไม่เป็นเวลา แล้วไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองเลย แล้วท่านก็จะทำงานไปเรื่อยๆ แล้งงานนี้มันจะไปได้อย่างไร ซึ่งก็ยังไม่มีลูกมือที่ดีมาร่วมมือ

ก็ด้วยเหตุว่า เรียกว่า เขามีกรรมพัวพันกับอาตมา มีกรรมพัวพันกับหลวงปู่ มีกรรมพัวพันกับท้าวมหาพรหมชินนะในอดีตชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นวิญญาณที่เขาส่งลงมาเกิด เพื่อทำงานในชิ้นนี้ เกี่ยวกับงานของโลกวิญญาณ

แต่สภาวการณ์แห่งการยังเป็นปุถุชน ย่อมมีความน้อยใจ เขาก็ชอบจุดธูปร้องเรียนไปเรื่อยว่า ไหนว่าสมเด็จโตมีเมตตาจิต บอกว่าไม่เบียดเบียนสัตว์ แล้วทำไมมาเบียดเบียนเขาเล่า อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะอาตมาถือว่า อาตมาเบียดเบียนคนหนึ่งคน อาตมาจะช่วยสัตวโลกได้อีกแยะ

คุณชุบชีพ : ถ้าหากว่า คนทรงเขาคิดกลับใหม่ว่า ที่สมเด็จโตมาใช้ร่างนี่ ก็เพราะเป็นคู่บารมีกัน ก็ไม่น่าน้อยใจนี่เจ้าคะ

สมเด็จ : ก็เพราะอารมณ์ของการเป็นเด็ก ย่อมมีการขึ้นลงเป็นธรรมดา เรียกว่า เป็นมนุษย์อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ที่ยังไม่เลยวัยกลางคนนั้น บางครั้งก็เกิดความไม่แน่นอน

คุณประสิทธ์ อ่อนน้อม : ขอกราบนมัสการหลวงปู่ครับ กระผมอยากทราบว่า ตอนที่เทพพรหมจะเข้าร่าง สัมผัสร่างมนุษย์นี่เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : ตอนที่เทพพรหมจะมาใช้ร่างท่านนั้น ในขณะจิตที่ท่านเกิดความจุก เกิดความแน่น หรือเรียกว่า หน้ามืดในขณะนั้นแหล่ กระแสจิตของเทพพรหมนั้นจะเข้าตีกระแสจิตของท่าน คือตีจิตวิญญาณท่านออกไปทางหนึ่ง คือใช้พลังงานของเทพพรหม

อย่างอาตมามาเข้านี่ วิญญาณทิพย์ของร่างทรง จะออกไปอยู่ข้างๆ ของร่างนี้ แล้วเทวดากลุ่มหนึ่งจะล้อมเอาไว้ในบารมี และสายใยแห่งจิตวิญญาณของเขาก็ยังไม่ขาด เรียกว่า สับเปลี่ยนในฉับพลัน เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณู


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 08:22

ตอนที่ ๑๐

นิ่งเสียโพธิสัตว์


(วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณขีด : กระผมได้เคยฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จ ตอนหนึ่งที่กล่าวว่า หลวงปู่ทวดหรือพระภิกษุปู ได้ไปพบพระมุนี ๒ องค์สนทนากัน องค์หนึ่งถามอีกองค์หนึ่งว่า “ท่านนี้หรือ ที่ชื่อว่าเป็นผู้รู้ธรรม” พระมุนีองค์ที่ถูกถามก็นิ่ง แต่อาการนิ่งนั้นแทนคำตอบ เมื่อพระภิกษุปูได้ฟังเช่นนั้น ในสัญชาตญาณของบุรุษอาชาไนย ท่านก็เลยคิดได้ดีทีเดียวว่า “การนิ่ง” จะต้องมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่

เมื่อเป็นเช่นนี้ กระผมฟังแล้วก็มาคิดดูว่า “ความนิ่ง” นี่ น่าจะมีสิ่งซ่อนเร้นอยู่จริงๆ เหมือนกัน เพราะว่าเปรียบอย่างน้ำในภาชนะที่นิ่งก็ย่อมมองเห็นธรรมชาติต่างๆ ถ้าเรามองลงไปในน้ำ แต่ถ้าหากน้ำนั้นสั่นคลอนหรือว่ามีคลื่น เราก็ไม่สามารถที่จะเห็นเงาของธรรมชาตินั้นๆ ได้ เพราะฉะนั้น กระผมจึงคิดว่า การนิ่งของจิตนี่ จะต้องมีธาตุรู้เจือปนอยู่ในความนิ่ง เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

สมเด็จ : เขาเรียกว่า การนิ่งของกระแสจิต จะทำให้ท่านรู้ความบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ นั่นคือ ธาตุทั้ง ๔ เสมออยู่ฌานญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องรู้ เมื่อสำเร็จญาณฌานแล้ว นิ่งของเขานั่นแหละ เขาจะรู้สรรพสิ่งที่จะเข้ามากระทบ

ดั่งเช่น ในพุทธกาลครั้งหนึ่ง มีสาวกขององค์โคตมะ ๒ องค์ องค์หนึ่งสำเร็จอรหันต์ อีกองค์หนึ่งยังไม่สำเร็จอะไร ทั้งสองได้เดินทางจากแคว้นมคธไปแคว้นพาราณสี องค์หนึ่งนั้นเป็นลูกศิษย์ องค์ที่สำเร็จเป็นอาจารย์ ก็ให้องค์ที่เป็นลูกศิษย์ถือบาตร จีวร และสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ โดยให้เดินหลัง


ลูกศิษย์ที่เดินตามหลังนั้น บางกระแสจิตก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เรานี้ควรจะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์สำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อจะโปรดสัตวโลกให้พ้นทุกข์จากไฟอเวจี อาจารย์ที่เดินนำหน้าอยู่ที่นั้น รู้กระแสจิตของลูกศิษย์ด้วยความนิ่ง ก็ได้นำบาตรและสัมภาระที่จำเป็นนั้นมาถือ และให้ลูกศิษย์เดินนำหน้า

ลูกศิษย์เดินนำหน้าไปพักหนึ่ง ก็คิดว่าการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นแสนจะลำบาก แสนจะอดอยาก ไม่เป็นดีกว่า เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ดีกว่า อาจารย์ที่เดินอยู่ข้างหลังก็รู้กระแสจิต ก็ได้เอาบาตร จีวร และสัมภาระให้ลูกศิษย์ถือ แล้วให้เดินตามหลัง ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งลูกศิษย์เกิดความสงสัยว่า เพราะเหตุใด เดี๋ยวให้กระผมเดินนำหน้าท่าน เดี๋ยวให้กระผมเดินตามหลังท่าน เดี๋ยวท่านก็ถือของเอง เดี๋ยวท่านให้กระผมถือ อาจารย์มีเหตุผลอะไรหรือ

อาจารย์ก็ได้อธิบายว่า เมื่อขณะจิตท่านคิดเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ท่านมีความปรารถนาแห่งความแรงกล้าเหนือเรา เราจึงยกย่องท่านให้เดินหน้า เราเป็นคนเดินตาม ถือของแทนท่าน แต่เมื่อท่านได้ย้อนกระแสจิตกลับมาเพื่อสำเร็จเป็นอรหันต์นั้น เราถือว่าท่านก็เท่ากับเรา เราจึงให้ท่านเดินตามหลัง และถือของแทนเรา

เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ผู้ที่สำเร็จด้านกระแสจิตของฌานญาณแล้ว ความนิ่งของเขาแหล่ เป็นการกระทบกระแสจิตของมนุษย์ทั้งหลายที่จะเข้ามาหา เข้ามาพัวพัน ท่านจะเห็นว่า ท่านจะเข้าหาหลวงปู่นั้น หลวงปู่จะไม่พูดมาก แต่รู้ว่าท่านต้องการอะไร จะช่วยเท่าที่จะทำได้

สิ่งเหล่านี้ ท่านทั้งหลาย การพูดมากเป็นการเสียพลังมาก เสียพลังมากก็มีความฟุ้งมาก ฉันใดก็ฉันนั้น

ถ้าจะพูดในด้านปรมัตถธรรมแล้วไซร้ อาตมาคิดว่า ท่านไม่ต้องศึกษาธรรมะอะไรมากมายหรอก นักธรรมตรีท่านอ่านให้จบ แล้วท่านทิ้งตำรานั้น หันมาปฏิบัติจิต ธรรมชาติแห่งความรู้แท้นั้นแหละ จะเข้าซึ้งถึงธรรมะอันแท้จริง แต่ทุกวันนี้ สังคมปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้น สังคมปัจจุบันจะต้องว่า ฉันนี่สำเร็จปรมัตถธรรม โดยมีคนเซ็นรับรอง เขาเรียกว่า มีประกาศนียบัตรรับรองกันเยอะแยะ กลายเป็นว่า ปรมัตถธรรมอยู่ที่กระดาษอวดกัน

คุณขีด : ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอันว่า ในความนิ่งมีธาตุรู้อย่างยิ่ง อย่างที่ผมคิด เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ได้ใช้ธาตุรู้เป็นทางค้นคว้า เพื่อไปสู่มรรคผลใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ทุกอย่างความนิ่งสู่แดนนิพพาน ถ้าท่านไม่นิ่ง ท่านจะยิ่งฟุ้ง ถ้าท่านฟุ้งมาก ท่านย่อมห่างธรรมมาก เพราะการพูดเป็นสมมติบัญญัติ ถ้าท่านยึดสมมติบัญญัติเป็นหลัก ท่านไม่มีทางสำเร็จ คำด่าเป็นสมมติที่จับตัวไม่ได้ คำชมก็เป็นสมมติที่จับตัวตนไม่ได้


เพราะฉะนั้น ผู้รู้เขาจึงใช้กระแสจิต เรียกว่า รู้ด้วยธรรมชาติ นิ่งต่อนิ่ง คุยกันแล้วรู้กันเอง และความนิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ท่านก็ต้องพยายามบ่มในสมาธิวิปัสสนา ให้ถึงจุดแห่งเอกะอย่างจริงจัง แล้วนั่นแหล่ ท่านจะถึงธาตุแท้ความรู้อันบริสุทธิ์

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 08:24

ตอนที่ ๑๑

หลักธรรมะชีวิตประจำวัน


(วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพรชัย สุวรรณชื่น : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เราจะมีหลักปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อละกิเลส ในเรื่องความโลภเห็นแก่ตัว จะปฏิบัติได้ด้วยวิธีใดครับ

สมเด็จ : เจริญพร คือ หลักที่ท่านจะปฏิบัติธรรมไม่ให้ตัวโลภะต่อตัวท่านนั้น

ขั้นแรก ท่านจะต้องถามตัวท่านว่า วันหนึ่ง ท่านต้องการกินข้าวกี่ชาม นี่เป็นจุดแรก

จุดที่ ๒  เมื่อท่านรู้ว่า ท่านต้องการกินข้าวกี่ชามแล้ว ชีวิตของท่าน ฝากอยู่กับสังคมหรือไม่

จุดที่ ๓  เมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ท่านต้องการอะไรมากไปกว่านี้


จุดที่ ๔  สิ่งที่ท่านต้องการ เมื่อมีอยู่แล้ว ท่านรู้จัก “พอ” หรือไม่

เพราะเหตุใดเล่า ก็คือว่ามนุษย์ทุกวันนี้

๑. ไม่พยายามเข้าซึ้งถึงว่า สังขารเรานี้เกิดขึ้นมาได้นั้น เพราะปฏิกูลบำรุงปฏิกูล เพื่อให้ขันธ์นี้อยู่ อยู่เพื่อใช้กรรมตามวาระ ตามภาวะ

๒. ไม่คิดถึงว่า ความตายกำลังก้าวเข้ามาหาเราทุกๆ วินาที ในการสับเปลี่ยนของพระอาทิตย์และพระจันทน์ เพราะว่า วันหนึ่งๆ ผ่านไป ชีวิตท่านแก่ลงไปทุกวัน วันหนึ่งๆ ผ่านไป เด็กโตขึ้นมาทุกวัน เด็กผู้หญิงวันหนึ่งโต ๒ เมล็ดข้าวเปลือก เด็กผู้ชายวันหนึ่งโต ๑ เมล็ดข้าวเปลือก ถูกหรือผิดไม่รู้ ต้องถามศาสตราจารย์ชีววิทยา (ดร.คลุ้ม วัชโรบล)

ทีนี้ ภาวะทั้งหลาย เมื่อท่านกินอิ่ม ท่านมีปัจจัย ๔ พร้อม ท่านเพียงพอในปัจจัย ๔ ที่ท่านมีอยู่หรือไม่

ทีนี้ ในการที่ท่านไม่เพียงพอ เพราะว่า ท่านฝากชีวิตการเป็นอยู่ของท่านไว้กับสังคม โดยไม่ยอมพิจารณาว่า สังขารเรานี้ แท้ที่จริงต้องการเพียงสิ่งปกปิดธรรมดา เมื่อปกปิดแล้ว มันก็อยู่รอดตามภาวะ ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนตามภาวะตามกรรมของมนุษย์พวกที่ทะเยอทะยานในวัตถุนิยมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

เพราะฉะนั้นก็คือว่า การที่จะไม่ให้มีตัวโลภเข้ามา เราจะต้องรู้จักตัว “พอ” คือ พอกิน พออยู่ พอใช้ สามพอย่อมมีสุข

แล้วพิจารณาถึงความตายเป็นสรณะ ว่าโลกไปนั้น ถึงมีเงิน ๑๐ ล้าน เมื่อตายไป อีแปะหนึ่งจะคาบไปหายมบาลก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้น สร้างความดีไว้กับสังคม ตายไปแล้วเหลือแต่ชื่อให้คนวิจารณ์ในรุ่นหลังดีกว่า

ฉะนั้น ถ้าทุกคนใช้หลักอันนี้เป็นสรณะ ในการพิจารณาชีวิตประจำวัน ก็ย่อมที่จะเป็นประตูอันหนึ่งที่จะป้องกันตัวโลภ ที่เข้าตัวท่านได้ พอจะเข้าใจไหม

คุณพรชัย : เข้าใจครับ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 08:41

ตอนที่ ๑๒

สวดพระคาถาชินปัญชรเพิ่มปุ๋ยใจ



ปุ๋ยใจนั้น สำคัญอย่างไร



เหตุที่มนุษย์นั้นวุ่นวาย ก็เพราะมีปุ๋ยกายมากเกินไป ลืมใส่ปุ๋ยใจ เมื่อบำรุงร่างกายมาก ด้านจิตใจไม่ได้บำรุง พูดอย่างสมัยใหม่ว่า มนุษย์พัฒนาแต่ร่างกาย แต่ไม่ได้พัฒนาจิตใจ

หันมาหาปุ๋ยใจให้กับตัวเองบ้าง ด้วยการสวดพระคาถาชินปัญชร ทำจิตให้สงบ ยกระดับจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้น แล้วโลกมนุษย์นี้ จะอยู่กันอย่างสงบ สันติสุข

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 08:43

9.png



ความเพ่งพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้

ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เพ่งพินิจ  

ผู้ใดมีความเพ่งพินิจทั้งปัญญา

ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด
เราจะต้องเอาตนเข้าไปพัวพันกับสิ่งนั้น
และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น
แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น
ค่อยลงความเห็น


png2.png



ผู้ใดเห็นธรรม   ผู้นั้นเห็นตถาคต

ผู้ใดปฏิบัติธรรม   ผู้นั้นรู้เอง




รูปภาพที่แนบมา: 9.png (2023-4-28 08:44, 31.56 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NjN8MzQ3MGNlMzF8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png (2023-4-28 11:34, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDl8YTc4OWI3YWV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png2.png (2023-4-28 11:34, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MTB8MGNkYTIwNDZ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 08:47

4.png



ตอนที่ ๑

สงสารสัตวโลก


(วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : ขอนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครับ กระผมมีเรื่องที่จะถามหลวงพ่อ เรื่องของพุทธทำนายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมจะอ่านใฟ้ฟังนะครับ...


พระพุทธพจน์ทำนาย


(คัดลอกจาก ศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน)

คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึกเขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน

แปลได้ดังนี้

สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตวโลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ใกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ ศิษย์ผู้อันสนิทสนมพากเพียรพยาบาลว่า

ดูกรอานนท์ สัตวโลกทั้งหลายที่เกิดมา ล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลก โลกหมุนไปใกล้ความแตกทำลาย จนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕๐๐๐ ปี

เมื่อโลกไปใกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒๕๐๐) ปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หินถูกสาปให้หลับก็กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมาก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ

แม้ในอากาศก็มีอำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่ง จึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมาจากสัตว์ป่าอำมหิต

ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญตามเดิมวัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และกาสาวพัสตร์ จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๔๘๕ ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ

ราชตระกูลอำมาตย์ ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม มาเคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยม เชื่อถือถ้อยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอ ย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบ ไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อ แต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดจากลูกโคกเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อแสนหนึ่ง มาปล่อยไข้เป็นไฟผลาญ

เมื่อศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) เคยเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียน ข่มเหง อิจฉาพยาบาท และไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมา จะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

“หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิโหคะหะคะเน” ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศีรษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์

ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตวโลกเป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ได้ใกล้ยุคกึ่งยุคสลาย


เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้นระยะ ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไป เพราะพวกมิจฉาทิฐิจะต้องดับสิ้นไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุง บำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะต้องอยู่คู่บ้านเมืองต่อไป

การงานของมนุษย์ จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง จะเกิดภายในความอุปถัมภ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมา ในระยะนี้เป็น “ยุคศรีวิไล” พระมหาเถระโพธิสัตว์จะเกิดในสมัยของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี

เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ระหว่างปีจอ ปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยง แม้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ ยังสัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันผู้มีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่ง ยำเกรงบิดามารดา รู้จักคุณท่านผู้มีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นะโมสัพพะราชา ขัตติโย อิติ ปาระมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคะตา อิติ โพธิ มะนุปปัตโต อิติปิโส จะ เต นะโม

รู้แล้วอย่าประมาท ให้ท่องบ่นภาวนารักษาศีล


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี : เรื่องพุทธทำนายนี้ ผู้ที่จะศึกษารู้ในเรื่องนี้ จะศึกษามาจากในด้านพระสูตร

ทีนี้ ในการทำนายในครั้งนี้ ไม่ใช่ที่ราชคฤห์ ไม่ใช่เชตวัน แต่การทำนายครั้งนี้ อยู่ใกล้ ณ เมืองกุสินารา ฉะนั้นก็ค้านกับตำราปัจจุบัน ก็คือ เมื่อองค์สมณโคดมได้เดินทางมาถึงใกล้เมืองกุสินารา ในภาวการณ์ที่จะปรินิพพานในกรุงกุสินารานั้น เพราะได้ฉันอาหาร ณ บ้านนายจุนทะ หลังจากฉันอาหารแล้ว ก็เกิดอาการปั่นป่วน ก็ได้บอกกับพระอานนท์ว่า

อานนท์ เรานี้จะไม่พ้นในการทิ้งสังขารแล้ว เวลาแห่งการปรินิพพานของเราใกล้มาแล้ว อานนท์ เราจะเร่งรีบเดินทาง เพื่อให้ถึงชานเมืองกุสินารา จะได้เข้าไปประกาศให้เหล่ากษัตริย์ในแคว้นนั้น ให้เตรียมการที่จะทำการเผาผลาญสรีระของเรา เมื่อเราปรินิพพานแล้ว

ในกาลครั้งนั้น พระอานนท์ยังไม่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ยังติดในรส ติดในรูป ติดในเสียงองค์สมณโคดมอยู่ ก็ร้องห่มร้องไห้ว่า ถ้าพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว อะไรจะเป็นตัวแทนของพระองค์เล่า

องค์สมณโคดมก็บอกว่า พระธรรมที่ตถาคตแสดงมาทั่วแคว้นนั้นแล จะเป็นครูที่ดีของเรา พระอานนท์นั้นยังไม่คลายโศก ท่านก็เดินไปร้องไห้ไป


องค์สมณโคดมจึงตรัสว่า อานนท์เอ๋ย การโศกาเป็นผู้แพ้จึงหลั่งน้ำพระเนตร พสุธาไม่ช่วยเจ้า การหลุดพ้นอยู่ที่ตนปฏิบัติให้ถึงซึ้งในจิต ไม่ใช่ร้อง ตถาคตไม่มีกลับ” นี่คือวิธีการของนักปราชญ์นักแสดงพุทธพจน์ เขาเรียกว่า หลักปรัชญา ย่อมที่จะไม่ต้องแสดงถึงในความแจ่มแจ้งแห่งอรรถาธิบายแบบนิยาย

การศึกษาธรรมะให้แท้จริง พระกัสสปะจะบอกว่า “สาวกข้าทั้งหลาย เจ้าจงดูเบื้องหน้าข้านั้นแหละพระโพธิสัตว์” ก็คือ ภูเขา

ภูเขานั้นนิ่ง นี่คือการสอนธรรมะในยุคนั้น


ทีนี้ ในพลังทั้งหลาย องค์สมณโคดมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะเร่งให้อานนท์รีบๆ เข้าฌานญาณ เพื่อจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ในขณะนั้น ก็ได้กล่าวพุทธพจน์ว่า “หลังจากตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานนั้น หลังจากนั้น ความปั่นป่วนในโลกมนุษย์ก็จะเกิดขึ้น พุทธศาสนาจะบินเหนือจากชมพูทวีป หลังจากตถาคตสิ้นไปแล้ว ๑๐๐ ปี” ก็เป็นความจริงในยุคนั้น

ทำไมองค์สมณโคดมจึงสามารถพยาการณ์ล่วงหน้า รู้แจ้งแทงตลอดเป็นเวลาพันๆ ปี ก็เพราะว่า องค์สมณโคดมนั้น เป็นผู้ที่เรียกว่า เป็นพุทธะแห่งยุค พุทธะแห่งยุคย่อมสะสมเจโตปริยญาณอย่างแข็งแกร่ง เจโตปริยญาณขององค์สมณโคดมนั้น เหนือกว่าอรหันต์ ๓ เท่า จึงสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้เป็นพันๆ ปี


pngegg.5.3.1.png




ยุค ๑๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : เมื่อองค์สมณโคดมทิ้งขันธ์จากโลกมนุษย์สู่โลกวิญญาณแล้วนั้น หลังจากนั้น ๑๐๐ ปี ศาสนาพุทธได้แตกแยกออกเป็น ๓๒ นิกาย ความปั่นป่วนไม่รู้จะเชื่ออะไรเป็นหลัก ก็เกิดขึ้นในชมพูทวีปในยุคนั้น จนพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐ ปี ค่อยมาเกิดการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอีกครั้ง หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เจริญขึ้นในขณะนั้น

pngegg.5.3.2.png




ยุค ๒๐๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “ศาสนาตถาคตดำเนินไปสิ้นสุดสมัยพระเจ้าอโศก ศาสนาของตถาคตจะสิ้นสูญจากชมพูทวีปไปเจริญสู่ตะวันออก” คือเดินทางเข้ามาเจริญในแคว้นธิเบตมาทางสุวรรณภูมิ ผ่านทางแหลมมลายู

ทำไมศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป แต่หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปไม่ถึง ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธทำไมต้องสูญสลายจากอินเดียเล่า ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย และเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองในยุคก่อนพุทธกาล

เหตุไฉน จึงทำให้ชาวชมพูทวีปไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาพุทธ หลังจากพุทธกาลล่วงเลยไปแล้ว ๒๐๐๐ ปี ศาสนาพุทธกลับมาโผล่ขึ้นทางลังกา พม่า ขอม สยาม จีน และธิเบต ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นวิบากกรรมของเขา เรียกว่า ถึงภาวะแห่งความวิบากในจุดหนึ่ง มันจำเป็นต้องปล่อยตามภาวะกรรมนั้นๆ

pngegg.5.3.3.png




ยุค ๒๕๐๐ ปี หลังพุทธกาล


สมเด็จ : พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้อีกว่า “เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๐๐ ปี จิตใจของมนุษย์จะเสื่อมจากศีลธรรมประจำใจ ในขณะนั้น ก็จะเกิดกลียุคทั่วพิภพไปจนกว่าพุทธกาลจะถึง ๓๐๐๐ ปี ในระหว่างที่เกิดกลียุคนั้น ก็จะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง มาช่วยผดุงศาสนา เมื่อหลังพุทธกาล ๒๕๐๐ ปีไปแล้ว”

พระโพธิสัตว์องค์นั้น ในขณะนี้มนุษย์ให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) แห่งกรุงสยาม แต่ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่ทันการ เพราะต้องใช้เวลาแห่งการเติบโตของกายเนื้อ มติโลกวิญญาณจึงได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะดำเนินการในการผดุงศาสนาขึ้น

เรื่องนี้ ถ้าท่านเป็นนักศาสนาแท้จริงแล้ว ท่านจะเข้าใจว่า พวกคริสตัง คริสเตียน เขาจะมีคัมภีร์ไบเบิล ในคัมภีร์ตอนหนึ่ง มีคำพยากรณ์ว่า เมื่อระยะหนึ่งแห่งคริสตกาลล่วงไปแล้ว อาตมาคิดว่าคงมีระบุว่า จะมีสำนักหนึ่งเกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งพระเจ้าลงมาทำงาน และถ้าท่านค้นคว้าเข้าไปในตำราอิสลาม ในคัมภีร์อัลกุรอาน ก็จะมีการพยากรณ์ถึงการที่พระเจ้ามาทำงานในพื้นภาคนี้

ทีนี้ ในภาวะนั้นก็เรียกว่า สัตวโลกทั้งหลายอยู่ในสภาพการณ์ที่จะต้องรับกรรมวิบากตามพุทธทำนาย หลายเรื่องที่อาตมาไม่อยากจะเทศน์มาก แล้วในการที่เขาพยากรณ์ที่อ่านมาเมื่อตะกี้นี้ บางตอนก็เป็นอรรถกถาจารย์ขยายความต่อเติมให้ดีขึ้น


เพราะฉะนั้น ในพุทธทำนายก็คือว่า เมื่อเลยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว จิตใจของมนุษย์จะเสื่อม คนดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน คนไร้สัตย์มีอำนาจ คนมีสัตย์ต้องอยู่ป่า

ในภาวะเหตุการณ์ทั้งหลายที่ท่านเห็นอยู่นี้ ก็กำลังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ อาตมาก็มาทำงาน เพื่อที่จะช่วยผดุงเกี่ยวกับงานนี้ ซึ่งงานที่สำนักปู่สวรรค์จะทำนั้น เป็นงานระดับโลก ระดับประเทศ ไม่ใช่ระดับชาวบ้าน


ถ้าระดับชาวบ้านก็แค่มารักษาโรค แค่มาเทศน์ธรรมดา เวลานี้เขาก็เทศน์กันเยอะแยะ อาจารย์เยอะแยะ อาจารย์มากกว่าขอทานในยุคนี้ และการมารักษาโรคธรรมดาแค่นี้ เทวดาสักองค์หนึ่งก็ลงมารักษาได้ ไม่ต้องถึงขั้นขรัวโตลงมาทำงานหรอก ไม่ต้องถึงขั้นพระโพธิสัตว์ลงมาทำงานหรอก

p6.png




โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญ


สมเด็จ : ส่วนในเรื่องที่ว่า โลกมนุษย์จะเกิดไฟเผาผลาญนั้น ก็ในขณะนี้ มนุษย์ได้สร้างสิ่งที่ไปดวงจันทร์ คือโลกเรานี้ มันมีแกนของโลก แล้วการที่ท่านสร้างในเหล็กทั้งหลาย (ยานอวกาศ) ที่ยิงไปสู่ดวงจันทร์นั้น มันเป็นการกระทบกระเทือนระหว่างรัศมีของนภากาศ ทำลายเมฆหมอกฝนที่จะตกต้องตามฤดูกาล

และตอนที่ (ยานอวกาศ) จะกลับมาสู่โลก ชนผิดทางก็เหล็กสลาย ชนถูกทางก็เกิดการกระเทือน เมื่อกระเทือนมากๆ แกนของโลกมันก็ไม่มั่นคง ก็เรียกว่า มนุษย์ขณะนี้กำลังสร้างวัตถุ เพื่อทำลายมนุษย์กันเอง

มนุษย์ทั้งหลาย ท่านอย่าโง่เลย วัตถุที่ท่านสร้างยิงออกไปนอกโลกนั่นน่ะ ท่านจะทำอย่างไร ก็ไม่มีทางถึงในจุดที่ท่านต้องการ สู้ท่านหันกลับมาค้นจิตในจิต ค้นกายในกายดีกว่า สมาธิอำนาจฌาน จะทำให้ท่านเรียกว่า ลัดนิ้วมือเดียว เที่ยวทั่วพิภพจักรวาลได้

แค่ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงนรกโลกได้
ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงพรหมโลก
ขณะจิต ท่านสามารถไปเที่ยวถึงดาวพระอังคาร ดาวพระศุกร์ พระจันทร์


p5.png




ทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์


สมเด็จ : แม้ท่านสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ไปในที่นั้นได้ ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้ในที่นั้นให้เป็นประโยชน์ เพราะว่า

๑. อากาศบนดวงจันทร์กับอากาศบนโลกมนุษย์ไม่เหมือนกัน

๒. บนดวงจันทร์มีทะเลเพลิง ท่านยังไม่ได้เข้าไป เกิดวันไหนท่านกะว่าตรงนั้นเป็นน้ำ เมื่อนั้นแหละ ท่านจะส่งสิ่งวัตถุ ส่งมนุษย์เข้าไปเผาผลาญในทะเลเพลิงบนโลกพระจันทร์

สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมานั้น ท่านต้องใช้ปัจจัยเท่าไหร่ ท่านต้องใช้เหล็กกล้าชั้นหนึ่งของโลกมนุษย์ ท่านต้องใช้ใยสังเคราะห์ชั้นหนึ่งมาเป็นเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ที่จะไป ท่านจะต้องลงทุนเป็นพันๆ ล้าน แต่ไปถึง ท่านยังไม่มีความสำเร็จในการที่จะจัดตั้งสถานีอยู่บนนั้นได้โดยเร็ว เพราะว่า ดวงจันทร์นั้นอาศัยการโคจรของจักรวาลนี้ แต่ว่าได้รับรังสีรัศมีของอีกจักรวาลหนึ่ง

อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วว่า จักรวาลทั่วพิภพนี้ ไม่ใช่ว่ามีดวงอาทิตย์ดวงเดียว จักรวาลที่ท่านค้นพบนี้ เป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบของสิ่งธรรมชาติในพิภพ ดวงอาทิตย์ในพิภพมีอยู่ ๓๔ ดวง และในการดึงดูดของกระแสคลื่นของดวงดาว อยู่ในภาวะต้องอาศัยแกนแม่เหล็กไหลในการยึดตน เพื่อโคจรตามภาวะในนภากาศ


เพราะเหตุนี้ ถ้าท่านพยายามสร้างสิ่งเหล่านี้มากๆ ยิงไปดวงจันทร์มากๆ ภายใน ๓ ปีนี้ ความสั่นสะเทือนก็จะทำให้เกิดความแห้งแล้งในพิภพ ไม่ถึง ๒๐ ปี ความอดอยากก็จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ภาวะที่มนุษย์จะกินมนุษย์ก็จะเกิดเร็วเข้า

ฉะนั้น สิ่งทั้งหลาย เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์มาเข้าใจ รู้ถึงว่าจักรวาลนี้ ยังมีสิ่งลี้ลับเหนือท่าน ท่านจะไปเที่ยวที่ดาวอังคาร ท่านไม่ต้องไปด้วยวัตถุ ท่านไปด้วยจิตวิญญาณได้ โดยท่านหันกลับมาศึกษากรรมฐานวิปัสสนาตามแนวของโคตมะซิ

p4.png




ทำงานเพื่ออนาคต ปี พ.ศ.๓๐๐๐


สมเด็จ : ฉะนั้น ในเหตุการณ์ทั้งหลาย คำพยากรณ์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ฆ่ามนุษย์เป็นปัจจัยอันหนึ่ง

พระพุทธองค์มีเจโตปริยญาณเหนือกว่าสรรพวิญญาณในโลกมนุษย์ จึงสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ทั้งหลายเป็นเวลาพันๆ ปี แล้วเรื่องศาสนาพุทธนี้เป็นเรื่องใหญ่ คือ

หลังจากพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๑๗๐๐ ปี การปฏิบัติตามแนวอันแท้จริงขององค์โคตมะมีน้อยมาก จึงไม่มีการเหาะเหินเดินอากาศของมนุษย์เกิดขึ้น คือไม่มีผู้ปฏิบัติให้ถูกหลักของกรรมฐานวิปัสสนา พอมาถึงอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ยุคนี้ ยิ่งร้ายใหญ่ อ่านตำรา ๒ เล่ม ก็ประกาศตนเป็นอาจารย์ แล้วก็เที่ยวค้านในสิ่งลี้ลับ สิ่งมหัศจรรย์ที่ตัวเองทำไม่ได้

อาจารย์สอนวิปัสสนาขณะนี้ ไปดูแล้วท่านจะสังเวช ก็คือว่า ให้ลูกศิษย์นั่งตามนี้นะ ต้องว่าตามนี้นะ เดี๋ยวอาจารย์ไปดูดยาก่อน ให้ลูกศิษย์นั่งไป อาจารย์ไปเคี้ยวหมากก่อน นี่คืออาจารย์ที่สอนวิปัสสนาในยุคนี้

ฉะนั้น การจะปฏิบัติถึงขั้นเอกัคตาจิต ถึงขั้นฌานญาณ เหาะเหินเดินอากาศ จึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะว่าตัวผู้สอนก็ไม่ถึง ตัวผู้เรียนก็ไม่ถึง เล่นวิปัสสนึก เวลานี้ก็นึกกันจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ในการมาทำงานของอาตมา อาตมาก็บอกแล้วว่า ขรัวโตถ้าจะทำงาน งานเล็กไม่ทำ ต้องทำงานใหญ่ และในการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ ก็ไม่ใช่ทำงานเพื่อยุคปัจจุบัน สำนักปู่สวรรค์ทำงานเพื่อยุคอีกยุคหนึ่ง เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้น สำนักปู่สวรรค์จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในกลุ่มชนในยุคนั้นได้ศึกษา

คุณจิ้นตง : แล้วเรื่องคาถานี่เล่าครับ ที่ว่าทุกๆ บ้านจะต้องเขียนติดไว้แล้วท่องบ่นจะพ้นภัย เป็นจริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ :  คาถานี้เป็นอรรถาธิบาย เป็นการสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยของผู้มีศีล เพราะฉะนั้น ถ้าคาถานี้ติดอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วผู้นั้นไม่เป็นอะไร เอ็งก็ติดคาถาแล้วไปเที่ยวปล้นคน ดูซิว่าจะเป็นอะไรไหม

คุณจิ้นตง : เขาให้สวดทุกวันด้วยครับ สวดทุกเช้า

สมเด็จ : เพราะว่าในการสวด การสาธยายมนต์นั้น เป็นการพูดถึงพุทธพจน์ พูดถึงในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เป็นมงคล เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณ ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็เป็นการเตือนใจ เป็นการให้เรามีเมตตา เป็นการให้เราประพฤติปฏิบัติจิตให้ถ่องแท้ ให้เข้าซึ้งถึงธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คาถาทั้งหลาย ถ้าแปลอรรถพยัญชนะออกมาแล้ว ก็เป็นธรรมล้วนๆ นั่นเอง ไม่มีอะไรมาก อยู่ที่ท่านปฏิบัติเอง

แบบบางคนบอกว่า คาถาชินปัญชรของอาตมาสวดแล้วดี เพราะว่าบารมีของผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ เป็นอริยบุคคลมาคุ้มครองเรา ไม่แน่เสมอไป คือ สิ่งสำคัญ ท่านต้องปฏิบัติดีด้วย ไม่ใช่สวดคาถาชินปัญชรแล้วรวย ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไร กินอิ่มแล้วนอนลูบพุง แล้วสวดคาถาชินปัญชร ดูซิว่าจะรวยไหม

ทุกอย่างมันอยู่ที่กรรม การกระทำ สิ่งแวดล้อม ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากมายแล้วว่า มนุษย์นั้นก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ด้วย วาสนาเก่ามี ๑ ดวงขึ้น ๑ จังหวะให้ ๑

ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เทพพรหมก็อนุโมทนา ดลจิตดลใจให้ท่านมีสติปัญญา ปฏิบัติตนในสิ่งที่ชอบ มีสมองที่แจ่มใสในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง เมื่อนั้นการสัมมาอาชีวะของท่านก็ดีขึ้นได้



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 08:50, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NjV8ZDk1MzQwNzB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 08:50, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NjZ8YzZiMjIwMGJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 08:50, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Njd8NTBiN2ZhYTl8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-4-28 08:52, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Njh8NmY3MmZjMzJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p6.png (2023-4-28 08:52, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Njl8MTY5NjQ0ZWZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-4-28 08:52, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NzB8NzM1N2FmYzB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: 4.png (2023-5-12 12:09, 126.29 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4OTl8YTI5YjMyNDJ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:04

ตอนที่ ๒

การเป็นพุทธมามกะ


(วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณจิ้นตง แซ่เลี่ยว : หลวงพ่อโตครับ การที่นับถือศาสนาพุทธ จะให้รู้ซึ้งถึงธรรมนั้น จะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

สมเด็จ : จะรู้ซึ้งถึงธรรม ท่านจะต้องประกาศตนเองเป็นพุทธมามกะใช่ไหม

คุณจิ้นตง : ใช่ครับ

สมเด็จ : ท่านประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ท่านจะต้องศึกษาให้รู้แจ้งในศีลบริสุทธิ์ แล้วท่านต้องปฏิบัติตามในธรรม ในศีล สมาธิ ปัญญา ให้แข็งแกร่งให้ถ่องแท้ ก็คือท่านต้องถามตัวเองว่า

เวลานี้ท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริงหรืออย่างไร
ท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านมีความโกรธมากขนาดไหน
ท่านมีความพยาบาทมนุษย์ด้วยกันหรือไม่
ท่านมีความโลภขนาดไหน


หลักของพระพุทธศาสนาก็คือ พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่อย่างสันโดษ กินง่ายนอนง่าย เจรจาง่าย ไม่มีการพยาบาท รู้จักอภัยทานเป็นหลัก คนนั้นๆ ก็คือ พุทธมามกะที่แท้จริง

ถ้าคนนั้นไม่มีหลักอย่างนี้แล้ว ก็อย่าอวดตนว่าเป็นพุทธมามกะ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้คนมีความพยาบาท ความพยาบาททำให้โลกวุ่นวายทุกวันนี้ ก็เพราะตัวพยาบาทกับตัวโลภ จึงทำให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์ คือผู้ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ที่ไม่มีอำนาจ สั่งมนุษย์ผู้ที่ไม่มีอำนาจทำลายมนุษย์ฝ่ายตรงกันข้าม

สิ่งเหล่านี้ก็คือว่า ท่านจะเป็นพุทธมามกะ

๑. ท่านจะต้องรู้จักสันโดษ


๒. ท่านจะต้องรู้จักช่างมัน


๓. ท่านจะต้องรู้จักมีเมตตา


สามประการนี้ถ่องแท้ ท่านจะเป็นพุทธมามกะที่แท้จริง

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:06

ตอนที่ ๓

เป้าหมายแห่งชีวิต



สมเด็จ : ท่านทั้งหลาย การดำเนินชีวิตนั้น

ชีวิตคนเราเกิดมาในโลกมนุษย์นี้สั้นนัก เราเกิดมาเพื่อมาใช้กรรม ต่างคนต่างมีกรรม ต่างคนต่างมาเสวยกรรม แล้วมีกรรมพัวพัน จึงได้มานั่งอยู่ด้วยกัน

ฉะนั้น เราจะทำยังไงว่า กาลเวลาที่สั้นนัก ที่มาอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตเราอยู่อย่างมีความสุข


ความสุข นั้น ก็ได้บอกกับท่านทั้งหลายแล้วว่า ความสุขอยู่ที่ใจ ความสุขไม่ใช่อยู่ที่โลกภายนอก เราจะทำยังไงที่จะทำให้ใจของเราสะอาด สงบ สันติ นี่คือสิ่งสำคัญ

การจะมีความสุขไม่ใช่มีเงินร้อยล้าน พันล้าน
การจะมีความสุขไม่ใช่มีบ้านใหญ่โตรโหฐาน
การจะมีความสุขไม่ใช่จะมีเครื่องแต่งตัวดีๆ


สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติ และขณะนี้ เราติดสิ่งสมมติบัญญัติทั้งสิ้น

ท่านต้องวางเป้าหมายแห่งชีวิตไว้ ก่อนอื่น ท่านต้องถามตัวท่านก่อนว่า ชีวิตท่านต้องการอะไรเป็นเป้าหมายแรกก่อน ถ้าท่านบอก ชีวิตต้องการมีความสุข ท่านก็ต้องตั้งคำถามว่า เราจะทำยังไงให้ปลดภาระสังคมให้เบาบางลง แล้วเราก็จะมีความสุข แต่ถ้าชีวิตยังอยากจะเป็นใหญ่ อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี อยากไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตท่านก็จะมีแต่ความทุกข์

ท่านจะมีชีวิตที่สุขที่สุด นั่นคือท่านจะต้องมีหลักปฏิบัติ คือ

หนึ่ง เราอย่าไปคิดเหมือนเขา คือเราอย่าไปมองคนอื่นที่ฐานะสูงกว่าเรา ให้มองคนที่ฐานะต่ำกว่าเขา


สอง ชีวิตมนุษย์นั้นอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย ตายแล้วเหลือแต่ความดีและความชั่ว ให้อนุชนรุ่นหลังสรรเสริญและนินทาเท่านั้น

ชีวิตคนเรา ก็ได้บอกกับท่านหลายๆ ครั้งแล้วว่า ไม่ต้องคิดมาก วาสนาเก่าท่านมี ดวงขึ้น จังหวะให้ มันสำเร็จของมันเอง นี่คือชีวิต และทุกๆ ชีวิตเหมือนกัน มันมีทางเดินของมันเอง ตามวิบากกรรมของมันเอง

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปคิดมาก สิ่งที่ผ่านไปนั้น ดีก็ดี ชั่วก็ชั่ว ไม่สามารถกลับคืนได้ ชีวิตตั้งต้นกันใหม่ สิ่งที่แล้วมา เราต้องทิ้งไป เขาเรียก

อดีต คือ ความฝัน
ปัจจุบัน คือ การต่อสู้
อนาคต คือ ความหวัง แต่อย่าหลง


ถ้าท่านใช้คตินี้แล้ว ท่านจะดำเนินชีวิตไปได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าท่านดิ้นรนอะไรมากมาย ในบางสิ่งที่ไม่สมควรคิด ไปคิดจนฟุ้งซ่านอะไรอย่างงี้ มันจะไม่มีความสุข

เขาถึงได้บอกว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่กายพร้อมกับใจ ตนทำดีย่อมมีสุข ตนทำชั่วย่อมมีทุกข์

เจริญพร



โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:09

ตอนที่ ๔

หนทางดับทุกข์


(วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณประยูร ศุภเกียรติ : หลวงพ่อสมเด็จเจ้าคะ เวลานี้คนมีทุกข์กันมากค่ะ อยากให้หลวงพ่อช่วยบอกว่า วิธีที่จะทำให้คนมีทุกข์น้อยลงหรือหมดทุกข์นี่ จะทำอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : ทุกข์เกิดจากอะไร ท่านต้องถามตัวท่านเองก่อน ทุกข์มีหน้าตาไหม ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะเรามีอุปทานในการยึด เมื่อมีอุปาทานในการยึด ก็ย่อมทุกข์ ท่านทิ้งอุปาทานในการยึดซิ

ทั่วโลกจะไม่มีทุกข์เกิดขึ้นได้ ก็คือว่า ชนกลุ่มต่างๆ ให้ยึดหลักมรณสติ พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เมื่อชนกลุ่มต่างๆ พิจารณาความตายเป็นอารมณ์แล้วไซร้ เมื่อนั้นย่อมลดทิฐิมานะแห่งความยึดตน

เมื่อลดทิฐิมานะแห่งความยึดตนแล้วไซร้ อุปกิเลสแห่งความคิดในโลภ โกรธ หลง ย่อมขัดเกลาจากจิตได้เบาบางลง เมื่อขัดเกลาจากจิตได้เบาบางลงแล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะลดทุกข์ได้

เหล่าผู้นำที่มีอำนาจอยู่ อย่าบูชาอำนาจเหนือความตาย ชนชั้นที่เรียกว่าพอจะเป็นเศรษฐีอยู่ อย่าบูชาเงินเป็นพระเจ้า ชนชั้นกลาง อย่าดิ้นรนเทียบคนอื่น คนชั้นต่ำ อย่ายึดมั่น ข้าวสามกำมือข้าก็รอด รับรองไม่มีทุกข์


ทีนี้ มีทุกข์ก็เพราะว่า เช่น อีหนูก็บอกว่า ชุดไทยเดิมนี่สั้นๆ ไม่มีสตางค์ก็ต้องขอแม่ตัดให้ได้ นี่ทุกข์เพราะการแต่งตัว ไอ้หนุ่มบอกว่า ยุคนี้ยุคกัญชาก้าวหน้า ต้องขโมยเงินแม่ไปสูบกัญชา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะว่าสังคมครูปัจจุบันมีครูที่เป็นตัวอย่างไม่ดี เพราะว่าเด็กที่เข้าสู่ในการเรียน ต้องอบรมแห่งการเรียนรู้ชีวิตการเป็นคน ครูคือบิดามารดาคนที่ ๒ ของอนุชาที่จะขึ้นเป็นผู้นำประเทศชาติ ครูสอนศีลธรรมสอนเขาว่า สุราเมระยะ กินเหล้าไม่ดี แต่ครูคนสอนพอออกจากห้อง เมาเป็นระยะๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ว่าผู้สอนทำไม่ได้ แล้วจะให้ผู้รับการสอนทำได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น จึงทำให้คนไม่เข้าซึ้งถึงศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระองค์จะต้องทำได้ พระองค์จะสอนตติยฌาน จตุตถฌาน พระองค์จะต้องทำได้ก่อน แต่อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ในยุคนี้ หญ้าปากคอกตัวเอง ยังละไม่ได้ สอนไปถึงนิพพานแน่ะ นิพพานไปอย่างงี้ๆ เดี๋ยวมึงรอก่อน กูเคี้ยวหมากหน่อยก่อน สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นสิ่งที่ว่า ตู่พระพุทธเจ้าทั้งนั้น

ทีนี้ ท่านจะทำให้คนไม่มีทุกข์ ก็คือว่า ท่านจะต้องมาช่วยกันประกาศให้ผู้นำทั่วโลก อย่าบูชาอำนาจเหนือชีวิต อย่าบูชาเงินตราเหนือคุณธรรม เมื่อท่านทั้งหลายทำลายอัตตาทิฐิสองจุดนี้ได้แล้ว สันติสุขในโลกมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้

ถ้ามนุษย์มีอุปาทานแห่งมรณสติว่า บ้านที่เราโกง ไม้ที่เราโกงลากออกมา ขายเป็นเงินได้เท่าไหร่ กินเป็นขี้ มันก็ตาย เราตายไป สิ่งเหล่านี้เอาไปไม่ได้หรอก ครูที่เป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์สอนให้คนอย่าอิจฉากัน ครูก็ต้องอย่าอิจฉากันให้ลูกศิษย์เห็น คือเรียกว่า แม่พิมพ์เบี้ยว ลูกพิมพ์มันก็เลี้ยวตามไปเป็นของธรรมดา

เพราะฉะนั้น ในภาวะแห่งการที่จะระงับทุกข์นั้น เป็นสายใยแห่งลูกโซ่ของสังคมทั่วโลก ก็ขอยืนยันว่า ทำลายอำนาจ ทำลายอุปทานแห่งเงินตรา ทำลายความเย่อหยิ่งของสันดานคนได้ และให้มีมรณสติ รับรองไม่มีทุกข์


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:10

ตอนที่ ๕

ความสุขอันแท้จริง


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสุขอันแท้จริงก็คือ ท่านต้องวางอุปาทานในสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้รู้ทันอายตนะแห่งความเคลื่อนไหวของธรรมชาติ ให้ตามทันและยิ้มรับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้น

คือ ท่านอย่ายึดชีวิตให้จริงจังนัก ถ้าท่านยึดจริงจังเกินไป ท่านก็มีความกระวนกระวายมาก จิตท่านไม่สงบ ภาวะแห่งจิตท่านไม่สงบ จะทำให้ท่านเกิดความทุรนทุราย เมื่อท่านเกิดความทุรนทุราย ประสาทท่านตึงเครียด ปัญญาย่อมไม่มีทางเกิด

เพราะฉะนั้น ในทางที่จะทำให้ท่านมีปัญญาเกิด ก็คือ ท่านจงรับทราบว่า ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เพราะท่านมีกรรมของท่านเป็นปัจจัยแห่งสมุฏฐาน ที่ทำให้ท่านเกิดมา เพื่อใช้กรรมนั้นๆ ตามวิบากของกุศลและอกุศล


ท่านวางจิตให้นิ่ง อย่ามีอุปทานในความจริงจังกับชีวิตของการเป็นคน ยิ้มต้อนรับทั้งทุกข์และสุข ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่เอาคนอื่นมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบตัวเรา จิตท่านย่อมมีความสงบ

ภาวะจิตสงบนี้แหละ จะทำให้ท่านมีสมาธิ ภาวะแห่งสมาธินี้ จะทำให้ท่านเกิดปัญญาในการพิจารณาว่า การเป็นคนนั้น ท่านกอบโกยวัตถุ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เรามีโอกาสที่จะสร้างงานให้กับสังคม เรามีโอกาสที่โปรดสัตว์ที่ยึดอยู่ในอัตตาทิฐิ ให้ช่วยกันระงับความฟุ้ง เมื่อท่านเข้าถึงภาวะอันนี้ ท่านย่อมเข้าซึ้งถึงคำว่าศาสนาเป็นอย่างไร ความสุขอันแท้จริงอยู่ที่ไหน


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:22

ตอนที่ ๖

ทำไมสังคมเมืองไทยจึงร้อนนัก


(วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



อาจารย์เกหลง พานิช : หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองไทยนี่ร้อนเหลือเกินเจ้าคะ ได้ยินแต่ข่าวสยอง จะมีทางผ่อนคลายได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ : คือเรื่องมันร้อนอยู่ มันเป็นภาวะกรรมวิบากหลายๆ อย่าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งก็คือว่า สังคมในยุคปัจจุบันนี้ เป็นสังคมที่สักแต่ว่าเป็นพุทธสาวก

ถ้าท่านเป็นพุทธสาวกที่ดี ท่านจะต้องเดินตามพุทธพจน์ แต่สังคมทุกวันนี้ ล้วนแต่ว่าข้านี้คือชาวพุทธ ล้วนแต่ตู่พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าให้กล้าสู้ความจริง ต้องทำจริง สังคมปัจจุบันนี้ ไม่กล้าสู้ความจริง คือท่านกลัวอำนาจ ยกย่องคนชั่วเป็นใหญ่ ภาวะแห่งคนชั่วเขาใหญ่ได้ เพราะสังคมยอมรับ ถ้าทุกคนในสังคมไม่กลัวอำนาจ มนุษย์หมู่มากไม่กลัวอิทธิพล คนชั่วย่อมเด่นอยู่ในสังคมไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

หลักแห่งความจริงของโลกมนุษย์นั้น ก็คือว่า ถ้าวัตถุเจริญมาก จิตใจมนุษย์ย่อมเสื่อมมาก นี่คือ กฎแห่งความจริงของธรรมชาติ

ภาวะแห่งสังคมนั้น ถ้าจะปรับปรุงก็คือว่า ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านต้องมีความจริงจัง มีความหยั่งรู้ศักดิ์ศรีของการเป็นครู ไม่ยอมเป็นเครื่องมือของคนชั่ว เป็นจุดที่หนึ่ง เขาเรียกว่า เมื่อพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ดี ก็พิมพ์ถูกพิมพ์ได้ดี พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ไม่ดี ลูกพิมพ์ก็ออกมาไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

pngegg.5.3.1.png



การผ่าตัดสังคม


สมเด็จ : ภาวะแห่งสังคมในยุคนี้ เป็นการที่จะต้องผ่าตัด ให้กล้าสู้กับความจริง เช่น สุรา ในศีล ๕ ห้ามไว้ เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่สังคมยอมรับสุราเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ครูสอนศีลธรรมว่า สุราเมากินไม่ได้ แต่ครูเมาเป็นระยะๆ ได้ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ครูสอนเขาว่า อย่ากินเหล้า แต่ครูไม่กินเหล้าที่ร้านกาแฟได้ แล้วใครจะเชื่อใคร

สิ่งเหล่านี้ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สิ่งใดที่ตถาคตจะสอนท่านนั้น ตถาคตจะต้องเรียนแล้วทำได้ ตถาคตจึงสอน


ฉะนั้น ในขณะนี้ ศาสนาไม่รู้ว่าจะเรียกว่าศาสนาอะไร ถือเป็นเพียงปรัชญาอันหนึ่งที่ข้าเรียนไว้สำหรับเถียง สำหรับคุย จึงเป็นสิ่งที่จะต้องปรับปรุงขนาดหนัก แต่ว่าจะปรับปรุงไปได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่จะร่วมมือกัน ช่วยมนุษย์ด้วยกัน

อาตมานั้นพร้อมเสมอที่จะทำงานเพื่อมนุษย์ แต่อาตมาไม่มีขันธ์ ท่านมีขันธ์ ท่านมีขันธ์เดิน ถ้าท่านไม่เดิน อาตมาก็ย่อมทำอะไรไม่ได้ เพราะอาตมามีแต่วิญญาณมีแต่สมอง และสมองขรัวโตที่พิสดารไม่เหมือนใคร

ถ้าจะปรับปรุงสังคมให้เลิกร้อนนั้น ทุกคนจะต้องมีเมตตาต่อกัน ทุกคนจะต้องมีความสุจริตใจต่อกัน อย่าสวมหน้ากากเข้าหากันในสังคม ทุกคนต้องยอมรับหลักอริยธรรมที่ดี ทุกคนต้องกล้าพูดความจริงในสังคม

ไม่ใช่ผู้มีอำนาจพูดอะไรเป็นถูกหมด การที่คนอัปรีย์พวกนี้เหลิง ก็เพราะท่านไปสนับสนุนเขาเองต่างหาก แล้วท่านจะไปโทษใครเล่า

pngegg.5.3.2.png



การทำงานเพื่อส่วนรวม


สมเด็จ : อาตมาจึงบอกว่า ขรัวโตนี้ไม่กลัวมนุษย์หน้าไหนที่จะเอาอย่างไร เพราะว่า เราต้องยึดหลัก ๔ ประการ ที่อาตมาให้กับทุกคนที่จะทำงานเพื่อสังคม ก็คือว่า

๑. ท่านต้องมีขันติในงานที่ทำ
๒. ท่านต้องมีสัจจะต่องานที่จะทำ
๓. ท่านต้องมีความบริสุทธิ์ในงานที่ทำนั้น
๔. ท่านต้องมีความเมตตาต่อผู้ที่ร่วมทำงาน


ท่านมีหลัก ๔ ประการนี้แล้วไซร้ ท่านจะทำงานใหญ่ได้สำเร็จ และการเป็นนักทำงานใหญ่ ต้องถือปรัชญาว่า

ภูเขาสูง             ตระหง่าน      อยู่เหนือเมฆ
ไม่หวั่นไหว         ต่อลมฟ้า      คะนองลั่น
เป็นนักปราชญ์    ต้องไม่ติด    ในสรรเสริญ แลนินทา
อุดมการณ์          เพื่อคนอื่น     สัจจะ ต้องยึดมั่น

แล้วทำงานใหญ่ได้

แต่ทุกวันนี้ หานักเสียสละที่ว่าคิดถึงเรื่องคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเองนั้นน้อยเต็มทีในสังคมยุคปัจจุบัน แล้วก็นักสังคมสงเคราะห์ปัจจุบันนี้ ล้วนแล้วแต่จะเอาหน้า ไม่ใช่สงเคราะห์กันจริงจัง มันจึงวุ่น ล้วนแต่พวกทำงานเอาหน้าประจบสอพลอ แล้วมันไม่ร้อนตอนนี้ เมื่อไหร่มันจะร้อนล่ะ ยิ่งพูดมากไป เดี๋ยวเทวดาเขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร ด่าคนทุกที

อาจารย์เกหลง : ที่หลวงพ่อเทศน์น่ะ ดิฉันเห็นด้วยทุกประการเจ้าค่ะ ที่หลวงพ่อว่า ต้องครูดี ดิฉันก็นึกถึง คุณโกมล คีมทอง ที่ทำท่าจะเป็นครูดี แต่แกก็ถูกยิงตาย คุณโกมลได้มีโอกาสเข้าเฝ้าหลวงพ่อหรือเปล่าเจ้าคะ

สมเด็จ : ยัง เพราะถ้าอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว การจะพบอาตมาก็ยากเหมือนกัน อย่างมาที่นี่ อาตมาก็ไม่มีเวลาให้ใครพบพิเศษหรอก เพราะขรัวโตไม่ใช่มาหากินกับมนุษย์ อาตมาอยู่พรหมโลก อาตมาเป็นครูที่จะต้องสอนพวกพรหม

พรหมโลกชั้นที่ ๔ มีศาลาฟังธรรม ศาลาฟังธรรมนี้แหล่ เป็นที่เตรียมของพวกผู้ที่จะไปเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า ไปเป็นพรหมสุทธาวาสก็ดี ไปเป็นพระอริยบุคคลก็ดี ต้องศึกษาในศาลาฟังธรรม และอาตมาก็ได้รับเลือกเป็นครูคนหนึ่ง สอนอยู่ในที่นั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเทวดา พวกพรหมที่ยังติดอยู่ในกิเลสมาก ยังอยากจะเสวยอาหารของมนุษย์แล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะไม่ได้พบอาตมามาก นอกจากอาตมาจะไปพบเขาเอง แต่อาตมาหมู่นี้ชอบไปเที่ยวยมโลก ไปคุยกับนโปเลียน พวกนี้ เพื่อไปศึกษานโยบายการทำงานที่พวกเขาสมัยเป็นผู้นำทำกันอย่างไร

เพราะว่าขณะนี้ อาตมากำลังทำงานใหญ่ เพื่อที่จะกู้ความอยู่รอดของสยาม จึงจำเป็นต้องศึกษากุศโลบาย นโยบายเพโทบายของพวกนี้ ที่เคยครองโลกมาแล้ว

ฉะนั้น อาตมาจึงว่า อยู่โลกวิญญาณเวลานี้ จึงได้เปรียบอยู่หน่อย แต่นรกขุมลึกๆ เขาไม่ให้เข้าไป เขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร เอาไปเปิดเผยในโลกมนุษย์หมด


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 09:24, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NzF8MDA5OGIxMWV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 09:24, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NzJ8NmY5YjY5ZWF8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:28

ตอนที่ ๗

ความปลอดภัยของสตรีไทย


(วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพิมพ์พรรณ พนมพรพานิช :  กราบหลวงพ่อสมเด็จ ลูกขอถามเรื่องเกี่ยวกับสังคมสมัยนี้ เพราะพฤติการณ์ของสังคมสมัยนี้ นับวันจะเลวร้ายลงทุกที ความปลอดภัยของผู้หญิงก็มีน้อยลง อยากถามว่า เพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขอย่างไร

สมเด็จ : เจริญพร คือว่าสังคมมนุษย์นั้น ในสภาพ ท่านต้องเข้าใจว่า เมื่อวัตถุเจริญมาก จิตใจของมนุษย์ย่อมเสื่อม ตามภาวะของแสงสีแห่งความศิวิไลซ์นั้นๆ

ทีนี้ ในปัญหาที่ว่า ความปลอดภัยของสตรีนั้นจะแก้ไขได้อย่างไร ใครจะเป็นผู้ประกันความปลอดภัยของท่าน อาตมาอยากจะชี้แจ้งว่า ความปลอดภัยของท่านนั้น ขึ้นอยู่กับตัวของท่านเอง ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตนให้สูงในภาวะที่ดี ในเรื่องการเป็นกุลสตรีที่ดีแห่งสยามของเรา

ทุกวันนี้สังคมเสื่อม เพราะว่าเราไม่มองอดีต มักแค่มองปัจจุบัน อดีตในยุคที่เราตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี หรือยุคกรุงอโยธยาเป็นราชธานีนั้น เราต้องตามใครกันบ้าง ทำไมสังคมในยุคนั้น เราจึงอยู่ได้

ปัจจุบันนี้ สังคมแห่งความเคลื่อนไหวของคำว่า คมนาคมเร็วขึ้น ทำให้การสัมพันธ์ของมนุษย์นี้แคบเข้าไป พื้นภาคตะวันตกซึ่งเป็นพื้นภาคที่มีอารยธรรมที่ป่าเถื่อน ก็เพราะว่าเพิ่งฟื้นฟูการเป็นคนขึ้นมา ท่านก็ไปหลงว่า นั่นคือ อารยธรรมแห่งความศิวิไลซ์


pngegg.5.3.1.png




ประเพณีไทยกับกุลสตรี


สมเด็จ : สมัยเมื่ออาตมามีสังขารอยู่ อันนี้เท็จจริงอย่างไรก็ไม่รู้ มีนิทานเรื่องหนึ่งว่า

เจ้ากรุงจีนได้เชิญเจ้ากรุงอังกฤษไปเยี่ยมในประเทศจีน เจ้ากรุงอังกฤษในขณะนั้นนุ่งแต่ใบไม้ แต่อาณาประชาราษฎร์แห่งจีนนุ่งเสื้อผ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ในเรื่องอารยธรรมการแต่งตัวเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ท่านรู้ว่า ประเทศไหนเจริญก่อน อาตมาว่า เอเชียเรานี้แล เจริญก่อน

เมื่อพื้นภาคเอเชียเราเจริญก่อนแล้วไซร้ เหตุไฉน ท่านที่เป็นสตรีที่อยู่ในปัจจุบันที่เรียกว่า มีการศึกษาดี ทำไมไม่เอาตัวอย่างที่ดีของเราเล่า ถ้าท่านลองนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อราชปะแตน ดูซิว่าจะมีใครลากท่านไปไหม แต่ท่านมัวแต่ไปเชื่อวัฒนธรรมป่าเถื่อนที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วท่านถือว่าเป็นวัฒนธรรมอันดี

วัฒนธรรมไทยของเราในยุคอโยธยา ยุครัตนโกสินทร์นั้น กุลบุตร กุลสตรีล้วนแต่เรียกว่า ต้องนุ่งห่มอย่างดี


ประเพณีเดิมของไทยในยุคนั้น เมื่อชาติตะวันตกยังไม่ได้เข้ามาแผ่อาณาจักรในแหลมสุวรรณภูมิ พูดแค่ง่ายๆ ถ้ามีงานวัด สตรีในยุคนั้นเดินในงาน จะไม่มีใคร ผู้ชายคนไหนเดินเข้าไปใกล้ ถ้าเผลอไปแตะถูกผ้าม่วงของสตรี เขาจะต้องขอโทษขอโพยอย่างขนาดหนัก การลวนลามไม่มีเกิดขึ้น

เพราะอะไรเล่า เพราะว่ากุลสตรีเดินด้วยความสงบเสงี่ยม นุ่งผ้าอย่างดี ปล่อยชายเสื้ออย่างดี เสื้อทรงกระบอกอย่างดี ปิดมือปิดเท้าสวยงาม แต่ยุคนี้เป็นกลียุค กลับหมด

ผู้ชายร้อนจะตาย ผูกอะไรไม่รู้เส้นอย่างกับพาย ต้องไปพายเรือจ้างได้แล้ว นุ่งโน่นนุ่งนี่ ผู้หญิงมันนุ่งเหลือแต่กางเกงลิง แล้วใครจะไปรับผิดชอบสวัสดิภาพของท่านได้เล่า ก็ตัวท่านเองไม่ดูว่า ท่านคือเพศที่จะต้องปกปิดมากกว่าเป็นเพศที่จะต้องเปิดเผย

เพราะฉะนั้น ในสังคมขณะนี้ก็คือว่า ต้องแก้เหล่ากุลสตรีทั้งหลายตั้งแต่เป็นนักเรียน หรือว่าเป็นครูขึ้นมา เรียกร้องการนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อราชปะแตน เมื่อนั้นแหละ สวัสดิภาพของท่านจะปลอดภัย ถ้าท่านไม่เอาอารยธรรมแห่งความป่าเถื่อนของชาวตะวันตกมาใช้

สิ่งเหล่านี้ ท่านจะต้องศึกษาให้ดีให้ถ่องแท้ว่า เราเป็นชาติที่ตั้งตนสู้ด้วยลำแข้งแห่งความเป็นไทย ประเพณีของเรามีความดีเรื่อยมาตั้งแต่ในยุคล้านนาไทย สตรีไทยทุกคนจะต้องมีความอ่อนช้อย จะต้องมีความละเมียดละไม จะต้องมีการปกปิดในการแต่งกาย

แต่ว่าเราไม่ยึดในประเพณีอันดีงาม เราทำลายตัวเราเอง แล้วใครเล่า จะประกันความปลอดภัยของท่านได้ ในเมื่อท่านไม่ผดุงวัฒนธรรมอันดี



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 09:29, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NzN8MjcxYzJlNDJ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:31

ตอนที่ ๘

แผนการกู้เยาวชนและเศรษฐกิจของชาติ


(วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๔)



คุณพิมพ์พรรณ พนมพรพานิช : เด็กนักเรียนสมัยนี้ไม่ค่อยจะสนใจการศึกษาขึ้นทุกที ถ้าแก้ไม่ได้แล้ว อีกไม่ช้าประเทศไทยจะอยู่ในความลำบาก เพราะว่าเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า หลวงพ่อเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ

สมเด็จ : คือถ้าแก้เวลานี้ ต้องให้อาตมาเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาเสียก่อน แล้วค่อยแก้ได้ ไม่งั้นแก้ไม่ได้ เพราะว่าถ้าผู้เป็นเสนาบดีไม่ยึดมั่นในศีลธรรม ไม่รู้คุณค่าของวัฒนธรรมแล้ว ย่อมที่จะแก้ไม่ได้ ปัญหาสังคมมันเป็นปัญหาใหญ่ ผู้มีอำนาจทั้งหลายต้องรวมตัวกันสัมมนา

ถ้าจะแก้ไขสังคมสยามไม่ให้สังคมสยามเสื่อมทรามเร็ว ก็คือต้องปรับปรุงในด้านการศึกษาให้ดี แล้วท่านจะยึดหลักอะไรเล่า ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ เรียกว่าแผนการกู้เยาวชนให้เป็นคนดี แผนการกู้เศรษฐกิจของสยามไม่ให้ล้าหลังเขา อยู่ในพุงสมเด็จโตหมดแล้ว แต่ว่าผู้บริหารมาขอซิจะเปิดให้ แล้วจะร้อง อ๋อ... ตอนนี้เทศน์ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเทศน์แล้ว ฟังแล้ว เราก็แก้ไม่ได้ สมเด็จโตก็เหนื่อยเปล่า

เพราะว่า
ปัญหานี้เป็นปัญหาหนัก ถ้าไม่ปรับปรุงในขณะนี้ อีก ๒๐ ปี สยามจะแย่มาก

๑. วงการศึกษาจะต้องปรับปรุงวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมือง เป็นวิชาหลักที่ทุกคนจะต้องศึกษา


๒. จะต้องปรับปรุงในแหล่งแห่งความมั่วสุมของสังคม


๓. จะต้องพยายามจับให้ทุกคนทำสมาธิจิต ให้พิจารณาตน


ผู้บริหารควรทำสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาท่านเกิด ท่านย่อมสามารถที่จะบริหารประเทศในสิ่งแวดล้อมให้พ้นภัยได้ ด้วยสติปัญญาแห่งธรรมะ ทุกวันนี้เราไม่ยึดหลักของธรรมานุภาพเป็นสรณะ ไม่ยึดหลักปรัชญาของพุทธพจน์ขององค์สมณโคดมที่ให้ยึดหลักแห่งการครองตนชอบ

อย่างเด็กทุกวันนี้ ก็ชอบเอาตัวเองไปเปรียบกับผู้ใหญ่อยู่เรื่อย ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ก็ไม่พิจารณาตน แก่แล้วยังไม่ยอมรับรู้สังขารตัวเอง ว่าตัวเรานี้แก่แล้วควรจะเข้าวัดเข้าวา ปรับปรุงศีลธรรม ให้เด็กที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ได้เห็นเป็นแบบอย่างที่ดี

เพราะฉะนั้น สังคมจะต้องปรับปรุงกันเป็นลูกโซ่ จะต้องปรับปรุงที่ต้นเหตุ สมุฏฐาน จึงจะบรรลุผล แต่ทุกวันนี้แก้กันที่ปลายเหตุ ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุแล้ว มันจะถึงภาวะแห่งความดีได้อย่างไรเล่า และในสังคมสยามขณะนี้ อยู่ในภาวะแห่งความวิบาก เพราะฉะนั้น มันต้องช่วยกันหลายๆ ฝ่ายที่ต้องทำงานอย่างไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตน จึงจะปรับปรุงอาณาจักรสยามนี้อยู่รอดได้


pngegg.5.3.1.png




พระสยามเทวาธิราช


สมเด็จ : ผืนแผ่นดินสยามนี้ ในการต่อสู้เพื่อเอกราช อธิปไตย วีรกษัตริย์ไทยต้องต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อทุกๆ พระองค์

ท่านศึกษาประวัติศาสตร์จะรู้ว่า บุรุษที่เป็นมหาราชที่ควรยกย่องก็คือ พระเจ้าตากสิน พระเจ้าตากสินสู้ด้วยพละกำลังแห่งการเป็นคนสามัญธรรมดา สู้ด้วยดาบ ยืนหยัดไม่ถอยต่อศัตรู เพื่อกู้เอกราชแห่งความเป็นไทจากเหล่าอริราชศัตรู เมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาถูกเผาในกรุงยุคนั้น

จนมาถึงยุคพระยาจักรี ต้นจักรีวงศ์ มาถึงรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ อยู่ในยุคที่ฝรั่งเศส อังกฤษ กำลังแผ่อาณาจักรที่จะยึดอาณานิคมทางพื้นภาคแหลมสุวรรณภูมิ แล้วประเทศสยามทำไมจึงอยู่รอด รอดเพราะความดีและเชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และเทพารักษ์

สิ่งเหล่านี้ ท่านรู้รึเปล่าว่า พระสยามเทวาธิราชสร้างขึ้นมาได้ เพราะใครเป็นคนออกหัวคิด ก็คือขรัวโต เป็นผู้บอกรัชกาลที่ ๔ ว่า ในขณะนี้ แผ่นดินสยามเรารอดพ้นจากการล่าเมืองขึ้นของฝรั่งเศสของอังกฤษได้นั้น ก็เพราะมีเทวดาองค์หนึ่งเฝ้าพิทักษ์อาณาจักรของเรา คือ
พระสยามเทวาธิราช”

เพราะฉะนั้น เราควรรู้ถึงเทวกตัญญู สร้างรูปเคารพขึ้นมา จึงได้มีบัญชาเจ้าพระยาคนหนึ่งทำการปั้นพระสยามเทวาธิราชขึ้น ให้สักการะถึงปัจจุบันนี้

pngegg.5.3.2.png




สังคมปัจจุบันต้องผ่าตัดขนาดหนัก


อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : หลวงพ่อพูดถึงพระสยามเทวาธิราช อันที่จริงลูกมีความประทับใจต่อพระนามนี้นานแล้วเจ้าค่ะ อยากกราบทูลถามหลวงพ่อสมเด็จว่า วิธีที่อาณาประชาชนที่อยากจะถวายความเคารพสักการะท่านด้วยความกตัญญูนี่ เราควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ เพราะท่านสถิตอยู่ในวัง

สมเด็จ : ก็บูชากลางแจ้งซิ ทีนี้ พระสยามเทวาธิราชบอกไม่ไหวแล้ว สังคมเวลานี้ มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า สังคมสยามขณะนี้ มันต้องผ่าตัดขนาดหนัก ต้องรื้อไส้รื้อพุงออกมา ล้างแล้วค่อยยัดเข้าไปใหม่

อาจารย์ลัดดา : ท่านจะใช้อิทธิฤทธิ์ของท่านช่วยปราบพาลชนบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ

สมเด็จ : ก็อาถรรพณ์มันยังแก้ไม่ได้นี่ มันอยู่ในภาวะที่ลำบาก แต่อาตมาจะดูอีกสักระยะหนึ่ง กรรมวิบากของใครจะช่วยกันได้ มันเรื่องกรรม ขรัวโตนี่ทำอะไร เรื่องคำว่าไม่สำเร็จไม่มี แต่ในขณะนี้กำลังประชุมเรื่องที่จะดุลกรรมของสยาม ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องดุลกรรมนี้เป็นเรื่องที่ลำบาก มันต้องฝ่ายที่ต้องอาถรรพณ์ต้องร่วมด้วย มันจึงจะไปรอด

pngegg.5.3.3.png




งานของสำนักปู่สวรรค์


สมเด็จ : เพราะอาณาจักรสำนักปู่สวรรค์ ตามมติที่ประชุมของโลกวิญญาณ จะปลอดภัย และจะสลายจากโลกต่อเมื่อถึง ๕,๐๐๐ ปี ถึงเวลานั้นโลกจะสลายกลายเป็นน้ำ อาณาจักรสำนักปู่สวรรค์ผืนแผ่นดินนี้ มีโองการของสำนักปู่สวรรค์ประกาศจะสลายเป็นแหล่งสุดท้าย เปรียบเสมือนหนึ่งเขาเรียกว่า เป็นหัวกะโหลกของโลก

งานของสำนักปู่สวรรค์ไม่ใช่เป็นงานในปัจจุบัน งานของเราเป็นงานอนาคต เมื่อพุทธศาสนาล่วงไปแล้ว ๓๐๐๐ ปี เมื่อนั้นเขาจะเริ่มศึกษาเรื่องของสำนักปู่สวรรค์กัน เพราะฉะนั้น ให้ท่านทำหลักฐานร่องรอยทิ้งเอาไว้กระจายไปทั่ว ให้อนุชนรุ่นหลังเขาศึกษางาน นี่เป็นสิ่งที่อาตมาต้องการ ให้มนุษย์ที่ร่วมมือกันทำงานให้ร่วมกันคิด แล้วในขณะนี้ ท่านถือว่าเป็นกลียุค ก็ยังไม่หนักเท่า เมื่อพุทธศาสนาล่วงไป ๓๐๐๐ ปี ขณะนั้นสงครามศาสนาจะเกิดขึ้น แต่ถึงตอนนั้นจะมีคนดีมาเกิด

ทีนี้ ถ้าท่านศึกษาพุทธทำนายจะมีว่า เมื่อพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๕๑๔-๒๕๑๖ ปี จะมีพระเถระโพธิสัตว์มาปรับปรุงช่วยศาสนา ซึ่งในพุทธทำนายนั้นจะมีพระโพธิสัตว์มาโปรดสัตว์ แต่ภาวะพระโพธิสัตว์นั้นมาในรูปกายเนื้อไม่ทัน จึงมาในรูปวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำงานยากอยู่ในขณะนี้



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 09:31, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NzV8ZmMyYTVmYzV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 09:31, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3NzZ8MmY4NjUzMGV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 09:32, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Nzd8MjkyZGMwMDd8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:37

ตอนที่ ๙

เหตุที่เทพพรหมมาทำงาน


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : กระผมได้ฟังเทปในนั้น ได้มีปรารภอยู่หลายตอนว่า หากมนุษย์ไม่มาช่วยกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่สามัคคีกันแล้ว เทพพรหมที่มาทำงานที่นี่อาจจะกลับไป กระผมสังสัยว่า จะกลับไปทำไม ทำไมไม่ช่วยให้บรรลุผลเสียเลย

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาก็ได้พูดไว้ในที่นี้เยอะแล้ว คือ อาตมามีแต่วิญญาณ ต้องอาศัยสังขาร เมื่อพวกมีสังขารไม่ช่วยกันจริงจัง ไม่ปรองดอง ไม่มีการคิด ไม่มีการวางแผน แล้ววิญญาณจะไปทำได้อย่างไร เพราะว่าการทำงานในสำนักปู่สวรรค์นี้ เรียกว่า มนุษย์กับเทวดาช่วยกันผดุงศีลธรรม


งานนี้เป็นงานระดับโลก ไม่ใช่ระดับชาติ เมื่อเป็นงานระดับโลกแล้วไซร้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้เสียสละอย่างจริงจัง และจะต้องมีคนทำงานอย่างเข้มแข็ง ถึงจะสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จในผลงานนั้นได้

พระเชาวน์ : คือเท่าที่กระผมได้คุยกับร่างแล้ว รู้สึกว่าร่างไม่ยินดีที่จะให้หลวงปู่มายืมร่างทำงาน

สมเด็จ : คือ ร่างทรงนี้เป็นวิญญาณที่เขาเจาะจงให้ลงมาเกิดเพื่อทำงาน เช่น ให้อาตมายืมพูด เมื่อเราเป็นชาวพุทธ เป็นสาวกขององค์สมณโคดม เราย่อมที่จะเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม

ทีนี้ ในสภาวการณ์โลกทุกวันนี้ ในภาวะที่จะต้องถึงกรรมวิบากแห่งความสลายของคำว่า ลุกเป็นไฟ เราจะช่วยได้คือ ให้เขามีศีลธรรมประจำใจเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้น เรายังขยายออกไม่ได้ เราขยายไปไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยไปตามกฎแห่งกรรม


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ในทีนี้แล้วว่า นรกโลกทุกวันนี้ ไม่มีที่จะเก็บวิญญาณของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว จึงทำให้ต้องลงมาช่วย เพื่อให้มันไปนรกกันช้าหน่อย ที่นั่นก็เตรียมไล่ให้มาเกิดบ้าง จะได้ถ่ายเทวิญญาณให้มันสมดุลกัน

งานของสำนักปู่สวรรค์ ไม่ใช่งานที่ทำเพราะหลวงปู่จะมาหรืออาตมาจะมา หรือองค์ท้าวมหาชินนะที่อาตมาเชิญมาจะมาทำงาน แต่เป็นการทำด้วยความเห็นชอบของมติสามโลก จากความเห็นชอบของเหล่าเทพพรหม ยม ทั้งหลาย ในมติที่ประชุมว่า ควรจะลงมาทำงานให้ลุล่วง

พระเชาวน์ : ที่ว่านรกเต็มจะไม่มีที่เก็บวิญญาณนั้น ถ้านรกเต็มแล้ว สัตว์ที่ทำบาปไว้ก็ไม่ต้องไปนรกหรืออย่างไร

สมเด็จ : มันต้องไป แต่ทีนี้ มันต้องมีการถ่ายเทพวกที่อยู่เก่าออกไปซิ

พระเชาวน์ : ถ่ายเทไปไว้ไหนครับ

สมเด็จ : ถ่ายเทไปเกิดโลกมนุษย์ซิ

พระเชาวน์ : ก็ไปอยู่นรกยังไม่หมดกรรม แล้วจะให้มาได้ยังไงครับ

สมเด็จ : มันต้องมีจำนวนหนึ่งหมดกรรมซิ

พระเชาวน์ : หมายความว่า ไม่มีโอกาสเต็ม มีที่ให้อยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องกลัวเต็ม

สมเด็จ : ก็ต้องไล่ให้มาเกิดเร็วๆ ซึ่งวันนั้น ดอกเตอร์อะไรบอก ให้โลกมนุษย์คุมกำเนิด เรื่องมันยิ่งยุ่ง



โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:41

ตอนที่ ๑๐

การเป็นสื่อมวลชนที่ดี


(วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



คุณสุรศักดิ์ แจ่มจันทร์ : กระผมอยากทราบว่า ที่หลวงพ่อมาในครั้งนี้ มาเพื่อเหตุไรครับ

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ในที่นี้เยอะแยะแล้ว คือ ลูก หลาน เหลน ที่มาเกิดแล้วกลับไม่ได้ อาตมาก็ยังมีกิเลส กิเลสที่ยังเป็นห่วง จึงอยากจะเทศน์ มาขัดเกลาให้มันสะอาดเพียงพอ เพื่อที่จะกลับสู่พรหมโลกได้

คุณสุรศักดิ์ : จะให้กระผมได้รับใช้อะไรท่านได้บ้างครับ

สมเด็จ : เป็นอะไร ทำงานอะไร

คุณสุรศักดิ์ : กระผมอาชีพนักหนังสือพิมพ์ อยู่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐครับ

สมเด็จ : ถ้าอย่างนั้นต้องฟังเทศน์ การเป็นสื่อมวลชน

คือว่า อาชีพในโลกนี้ ที่เป็นยากที่สุดคือ การเป็นคนกลาง อย่างเช่น อาชีพนักหนังสือพิมพ์นี้ อยู่ในหลักที่เขาสมมติกันขึ้นว่า “ฐานันดรสี่” แต่ฐานันดรสี่ในยุคนี้ แย่เต็มทน บางคนก็เป็นสื่อกระเป๋า บางคนก็เป็นสื่อขวดเหล้า เมื่อเช่นนี้ คำว่าฐานันดรสี่จะอยู่อย่างไรให้เขานับถือเล่า อันนี้ฝากให้เหล่าสื่อมวลชนนำไปคิด

การเป็นสื่อมวลชน เราจะทำข่าวอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องไปถึงจุด เรียกว่า ไปสังเกต สังเกตไม่ใช่สังเกตครั้งเดียวจะได้รู้มาก เราไม่ใช่เทวดาจึงรู้หมดทั่วพิภพ เราก็ต้องพิจารณา ศึกษาเหตุผล แล้วก็ทำข่าวนั้นๆ คนนั้นแหล่จะเป็นสื่อมวลชนที่ดี และสมกับเป็นสื่อมวลชน

ทีนี้ ในการที่จะทำข่าวของสำนักปู่สวรรค์ ก็คือว่า ที่นี่มีวิญญาณอดีตพระเถระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มาทำงานร่วมกับองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)


จุดแรก ในขณะนี้ที่โลกวิญญาณสั่ง คือ ให้แก้อาถรรพณ์แห่งความร้อนในแหลมสุวรรณภูมิ ด้วยการสร้างองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย ประดิษฐานหน้ามุขตำหนักใหญ่สำนักปู่สวรรค์ อันนี้ต้องย้อนเข้าเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ท่านเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ คือได้ใช้ร่างทรงนี้ไปประเทศต่างๆ นำดินมาจาก ๗ ประเทศ เพื่อจะนำมาบรรจุลงในองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย เพื่อให้ดินแดนแถบแหลมสุวรรณภูมินี้คลายร้อน

ขั้นที่สอง ก็คือว่า ให้สร้างเครื่องรางของขลัง คือ ใบโพธิ์ ใบโพธิ์นี้มีทัพเทวดาลงมาสถิต อันนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ ท่านอย่าเพิ่งวิจารณ์ ท่านยังไม่ได้เอาเทวะประจำใบโพธิ์ไปบูชา เอาใบโพธิ์ไปสักการะ แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเทวดาหรือไม่

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้ว เราต้องมีจิตหนักแน่น อย่าด่วนคาดคะเนใดๆ โดยไม่ได้เข้าไปศึกษา อย่าวิจารณ์ใดๆ โดยไม่ได้เข้าไปค้น อันนี้ ถ้าเราทำเช่นนั้น คนนั้นไม่ใช่เป็นชาวพุทธ และไม่ใช่เป็นสาวกขององค์สมณโคดมที่แท้จริง

จุดที่สาม โดยจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้าย ก็คือว่า ดวงวิญญาณทั้งสามนี้ อยากจะสอนการฝึกสมาธิเหล่ามนุษย์ที่คิดจะบำเพ็ญตนให้พ้นในการเวียนว่ายตายเกิด นั่นคือ แผนงานขั้นที่สาม

ในการทดลองที่จะทำให้มนุษย์ศรัทธา โดยการรักษาโรค คือ โรคทั้งหลายที่มนุษย์เป็นกัน ถ้าหมดตามโรงพยาบาลรักษาไม่ได้ บอกให้ส่งมาที่นี่ (ปัจจุบันงดการรักษาแล้ว) ส่วนผู้ที่ยังไม่ถึงธรรม ก็จะให้ในเรื่องของเทวดา เรื่องของใบโพธิ์ไปสักการะเพื่อน้อมจิตใจ สำหรับชั้นโลกุตระ คือ ฝึกธรรมะ นั่นคือ งานในอนาคต

แต่งานที่อาตมาห่วงใยที่จะต้องช่วยก็คือ แดนสยามกำลังจะลุกเป็นไฟ แล้วท่านเชื่อเรื่องแก้อาถรรพณ์หรือไม่ อาตมาจะสร้างวีรกษัตริย์ไทย ไปวางที่ต่างๆ ที่กำหนด เพื่อคลายความร้อนในแดนสยาม

ในสภาพการปกครองบ้านเมือง ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ เรียกว่า มนุษย์ต่างคนต่างมีจิต มนุษย์ต่างคนต่างมีกรรม มนุษย์ต่างคนต่างมีมโนภาพ เรียกว่านานาจิตตัง เราอย่าไปวิจารณ์ว่าในเรื่องใครปกครองดีหรือไม่ เรามาวิจารณ์ว่า เราจะช่วยกันแก้อย่างไร จึงให้สยามนี้รอดจากไฟ แล้วใครมีอะไรอีกไหม อาตมาจะต้องไปสอนพวกพรหม


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:46

ตอนที่ ๑๑

พระอรหันต์ในสยาม


(วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : ขณะนี้ประเทศไทย มีพระอรหันต์ไหมคะ

สมเด็จ : พระอรหันต์ ในการที่เรียกว่า สำเร็จแห่งความเป็นอรหันต์ คือในกรุงสยามที่อาตมาตรวจแล้ว มีอยู่ ๕ องค์ (ปัจจุบันปี พ.ศ.๒๕๔๐ เหลือเพียง ๓ องค์) แต่ไม่ได้อยู่ในกรุงหรอก เขาอยู่ในป่า เขาไม่อยากมายุ่งกับมนุษย์

คำว่า อรหันต์ ต้องวัดตอนวาระสุดท้ายแห่งการที่จะสิ้นจากโลกมนุษย์ จิตวิญญาณจะไปสู่พรหมโลก ตอนนั้นถึงจะรู้แน่ว่า จิตเขาถึงแดนอรหันต์หรือไม่ ระหว่างเป็นมนุษย์นี้ จิตมันยังเต้นขึ้นเต้นลง เพียงแต่เรียกว่า บำเพ็ญฌานสมาบัติรักษาจิตให้อยู่ในเอกะได้ตลอดกาล ก่อนที่จะประกาศตนว่า เป็นใครมาจากไหน สำเร็จอะไร เมื่อท่านยังเกี่ยวข้องกับโลก เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับมนุษย์

ฉะนั้น เกจิอาจารย์ที่ดี เขาจะไม่บอกว่า นี่เจ้าหนูนี่ได้ฌานโน้น ฌานนี้ นั้นสำเร็จอรหันต์ หันซ้าย หันขวา หันกันใหญ่ ไอ้นั่นก็เลยหลงกันใหญ่ ก็เลยบ้ากันไปเลย อย่าลืม พระมหากัสสปะ เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมรู้ปริศนาธรรม ธุดงค์ไปที่ไหน คนเขาบอกว่า ท่านนี้หรือมหากัสสปะที่เขาว่าเลิศในปัญญา เป็นผู้สำเร็จอรหันต์

ท่านพระมหากัสสปะบอกว่า อาตมภาพนี้ยังไม่ได้อะไรเลย ยังเป็นนักศึกษา นักค้นคว้าอยู่ ไฉนหนอ ท่านจึงยกอาตมาเล่า ไม่เหมือนมนุษย์สมัยนี้ พอไม่ได้เป็นมหาก็ต้องให้เขาเรียกเป็นมหา ไม่เรียกมหา โกรธ ทีนี้ มันไม่รู้ว่ามหาแปลว่า “หมา” เพราะฉะนั้น พวกนี้เขาเรียกว่า ยังมีกิเลส ยุคนี้มันสอนวิปัสสนากันกลายเป็นวิปัสสนึก

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:48

ตอนที่ ๑๒

พระศรีอริยเมตไตรย


(วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : พระศรีอริยเมตไตรย คือใครเจ้าคะ

สมเด็จ : องค์ศรีอริยเมตไตรยนี้ เดิมทีเป็นอรหันต์ ชื่อ “ชลาตา” เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ที่มีรูปร่างงามสง่า ไม่แพ้องค์สมณโคดม ในการกินเลี้ยงใดๆ ก็แล้วแต่ คนเขาเห็นแล้วก็ว่า องค์ไหนหนอเป็นองค์สมณโคดมที่แท้จริง

ทีนี้ ในสภาวะ อรหันต์ชลาตานี้ เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่เรียกว่าเป็นอาจารย์ จึงได้เปล่งวาจาอธิษฐานตนว่า “เรานี้มิสมควรที่จะเทียบตนเท่ากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า” จึงอธิษฐานให้พุงยุ้ยหน้าเปลี่ยนเป็นเทอะทะขึ้นในขณะนั้น

ทีนี้ วันหนึ่งในที่ประชุมสงฆ์ เหล่าพระอรหันต์ทั้งหมด ๒๕๐๐ องค์ ร่วมกันในที่ประชุม องค์สมณโคดมก็ได้ชูดอกบัวขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ แล้วนิ่งไม่พูดใดๆ เขาเรียกว่า เป็นปริศนาธรรม


ขณะนั้น อรหันต์ชลาตา หรือองค์สังกัจจายน์นี่แหละ รู้ด้วยญาณและบุญบารมีที่จะเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อศาสนาโคตมะ ก็ได้ย่อกาย ย่อเข่าลงกึ่งหนึ่ง แล้ววางมือออกไป องค์สมณโคดมก็โยนดอกบัวให้

เสร็จแล้วองค์สมณโคดม จึงได้ประกาศว่า การชูดอกบัวเพื่อเสี่ยงทาย ผู้ใดจะเป็นผู้มีบุญสืบต่อศาสนาตถาคต บัดนี้กระจ่างแจ้งแล้ว ชลาตาจะเป็นผู้สืบต่อศาสนาเป็นพระศรีอาริย์ ระหว่างนั้นแหละ องค์สมณโคดมก็ได้ขอให้ศาสนาของพระองค์ถึง ๕๐๐๐ ปี นี่คือ การเทศน์นอกตำรา นอกประวัติศาสตร์

อันนี้แหละ อรหันต์ชลาตาก็ได้เปล่งวาจาว่า “ข้านี้แหละจะสืบต่อความดี” เพราะฉะนั้น เวลานี้องค์สังกัจจายน์ หรือศรีอริยเมตไตรย จึงอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นชั้นที่ใกล้มนุษย์ เพื่อรับทราบเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกมนุษย์ เตรียมตัวเพื่อในการสืบต่อการทำงาน


เพราะฉะนั้น ท่านที่จะเป็นนักเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ต้องมีขันติในการทำงาน ซึ่งมนุษย์แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่อิจฉาริษยา

ดั่งเช่น อาตมาสมัยมีสังขารครองวัดระฆังฯ หลายครั้งหลายคราวมีคนไปยุรัชกาลที่ ๔ ว่า ควรจะเอาสมเด็จบ้าๆ นี่ ออกจากวัดเสียที ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอาตมามีคติหนึ่งว่า “สิ่งใดเราต้องทำ สิ่งนั้นเราทำลงไป ไม่มีความร้ายต่อคนอื่น ไม่มีความร้ายต่อตัวเราเอง มีแต่ความดีต่อคนอื่นและต่อตัวเราแล้วไซร้ เราควรทำอย่างยิ่ง”


และในการบูรณะวัดในการสร้างหอระฆัง ในการสร้างเจดีย์ต่างๆ อาตมาก็ใช้วิธีการว่า ต้องใช้ปัญญาหาปัจจัย ปัจจัยมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน อยู่ที่ผู้นั้นรู้จักไปขุดขึ้นมาหรือไม่ พอจะซ่อมอะไร อาตมาก็ใช้กะละมังใบหนึ่ง เดินตีไปทั่ว จากวัดระฆังฯ ไปยังบางกอกน้อย จนกระทั่งครั้งหนึ่ง เรื่องนี้เข้าถึงรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๔ ก็ได้แต่งบทกลอนบทหนึ่งมาว่าอาตมา

ได้ยินกล่าว       พระสงฆ์      นั้นหุ้มเหลือง
เมื่ออยู่ใน         ผ้าเหลือง     ต้องสงบ
การสงบ           ควรจะมี       ความเจียมตัว
การเจียมตัว      ควรจะเดิน    ด้วยความช้า
เหตุไฉน          ในสยาม       แผ่นดินข้า
มีสมเด็จ          ขรัวโต         ไม่สงบ
ถือกะละมัง       ต่างระฆัง      เที่ยวเดินเคาะ
เสียงเปาะเปาะ  น่ารำคาญ     ชาวบ้านเอย

ท่านรู้ไหม อาตมาแก้บทกลอนอย่างไร

เจ้าจอมเกล้า    คือเจ้า          เหนือหัวข้า
แผ่นดินสยาม   ท่านครอง      ด้วยศรัทธา
การเป็นคน       การเป็นพระ   ไม่ใช่ อยู่ที่ผ้า
การทำการ       การทำงาน     ควรประหยัด
ระฆังนั้น          ใบหนึ่ง         ได้สามชั่ง
กะละมัง          ใบหนึ่ง         ไม่ถึงสองเฟื้อง

พราะฉะนั้น เพื่อความประหยัด ใช้กะละมังเคาะมันก็ดัง ในสภาพการณ์เขาเรียกว่า ปราชญ์ต่อปราชญ์เจอกันไม่ต้องพูดมาก ต่างฝ่ายต่างนิ่งก็ย่อมรู้ เพราะฉะนั้น ทำอะไร เราต้องถือหลักว่า เราทำจริง และเราต้องมีคติว่า ข้าสู้เพื่อความสุขของคนอื่น ไม่ใช่สู้เพื่อความสุขของตน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสำเร็จสมความมุ่งหมายของเรา

อาตมาก็ได้ย้ำไว้หลายครั้งแล้วว่า ถ้าท่านเกิดความกลัว ขอให้ท่านระลึกถึงองค์เยซู ไม่ใช่ว่าให้ท่านขอบารมีเยซูมาช่วยท่าน เยซูเป็นนักพรต เป็นนักเสียสละ รางวัลอันยอดเยี่ยม อันล้ำค่า ที่เยซูได้รับก็คือ การตายอย่างไม่มีแผ่นดินจะอยู่ คือถูกตรึงไม้กางเขน นั่นแหละคือรางวัลของผู้เสียสละ เกียรติอันยิ่งใหญ่


เพราะโลกทุกวันนี้ อยู่ในสถานการณ์กลียุคที่ไม่มีใครที่จะอยากให้ใครดีกว่าใคร ฉะนั้นการทำอะไร ขอให้ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะพร้อมกำกับอยู่เสมอ แล้วมันจะดีเอง

สานุศิษย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี่ เดี๋ยวก็ได้ข่าวว่า เกิดที่นั่น เกิดที่นี่ เลยทำให้สงสัย ไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระศรีอาริย์กันแน่ อย่างนี้จะมีทางสังเกตอย่างไรครับ

สมเด็จ : พระศรีอาริย์ไม่ได้จุติในโลกมนุษย์ ขณะนี้พระศรีอาริย์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ในการเตรียมตนในการที่จะสืบต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น วิญญาณพระศรีอาริย์ไม่ได้ลงมาในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน พลังนั้นเตรียมพร้อมที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า เข้าใจคำนี้หรือยัง


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:52

ตอนที่ ๑๓

กลียุค


(วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : คำว่า “กลียุค” หมายความว่าอย่างไรครับ

สมเด็จ : หมายความว่า มนุษย์เกิดมาเบียดเบียนกัน ศีลธรรมประจำใจเสื่อม วัตถุเจริญ ล้วนแต่เป็นวัตถุที่สร้างมาฆ่าซึ่งกันและกัน จึงถือว่ามนุษย์ฆ่ามนุษย์ เพราะความกลัว ทุกคนกลัวเขาจะมาโกง ทุกคนกลัวว่าเขาจะมาโกย ตัวเองก็เลยโกงเอง โกยเอง

pngegg.5.3.1.png




แผ่นดินสูบ


พระเชาวน์ : ในสมัยพุทธกาล มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า แผ่นดินสูบ สภาพแผ่นดินสูบ มีอาการอย่างไรครับ

สมเด็จ : สภาพในระหว่างนั้น คือว่า แผ่นดินมีความสะเทือนไหว แยกตัวออก

พระเชาวน์ : แยกตัวแล้ว ผู้ที่ถูกสูบตกลงไปใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ตกลงไปซิ

พระเชาวน์ : แต่ในคัมภีร์ที่เคยอ่านบอกว่า พระเทวทัตนั่นน่ะ ตอนที่ถูกสูบ ค่อยๆ จมลงไป

สมเด็จ : อันนี้ อาตมาอยู่โลกวิญญาณก็ไม่อยากพูดมาก คืออรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์บางคน นับถือยกย่ององค์สมณโคดมเกินกว่าเหตุ จึงได้แต่งอรรถาธิบายบางอย่างให้มันพิสดารหยดย้อย จนคนอ่านแล้วเคลิ้มตาม

พระเชาวน์ : ถ้าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ไปแต่งเกินกว่าเหตุอย่างนี้ จะไม่ผิดศีลข้อมุสาหรือครับ

สมเด็จ : เวลานี้ อรรถกถาจารย์ที่ชำระพระไตรปิฎก ตกอยู่ในนรกโลกมีมากะ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้แล้วในที่นี้ ไปฟังเทป เพราะอาตมาทำอะไรแล้วไม่ย้อน แบบสมัยรัชกาลที่ ๔ เขาจะสังคายนาพระไตรปิฎกอะไร อาตมาไม่ร่วมด้วยหรอก เพราะกลัวตกนรก

pngegg.5.3.2.png




โลกพระจันทร์


พระเชาวน์ : ทีนี้ ในพระจันทร์น่ะ เขาว่า มีเทวดาจริงไหม

สมเด็จ : เทวดามีอยู่ทั่วพิภพ ไม่ว่าดาวดวงไหน ไม่เฉพาะแต่พระจันทร์ แม้แต่ดวงอาทิตย์ ในนั้นก็มีเทวดา แต่อยู่ด้วยความทิพย์ เขาเรียก อำนาจทิพย์ ผู้นั้นจะต้องสัมผัสด้วยทิพย์

พระเชาวน์ : ในพระจันทร์มีเทวดาทั้งหมดเท่าไหร่ครับ

สมเด็จ : เทวดาในโลกนี้ มีมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

พระเชาวน์ : มีมนุษย์อวกาศขึ้นไปบนพระจันทร์ เทวดาบนนั้นมีความรู้สึกอย่างไรครับ

สมเด็จ : คือ การที่มนุษย์อวกาศขึ้นไปถึงนั้น เขาไปเพียงส่วนหนึ่ง ยังไม่ถึงจุดลี้ลับที่ยังมีมากกว่านั้น ทีนี้ ท่านคงรู้ว่า ป่านั้นถูกมนุษย์ถางเมื่อไหร่ เสือ สิงห์ ก็ย่อมหนีเข้าป่าลึก ฉันใด เทวดาบนโลกพระจันทร์ก็ฉันนั้น

พระเชาวน์ : หมายความว่า เทวดากลัวมนุษย์อย่างนั้นหรือ

สมเด็จ : เพราะว่า มนุษย์มีกลิ่นเหม็นที่สุด อาตมายังกลัวเลย

พระเชาวน์ : เมื่อมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ เทวดาไม่โกรธหรือ

สมเด็จ : การเป็นเทวดาต้องมีศีล นอกจากเทวดาเกเร จึงเล่นงาน

พระเชาวน์ : คือ พวกที่ไปนั่นก็คล้ายไปบุกรุกเขา มีเทวดาโกรธบ้างไหม

สมเด็จ : ก็มี แต่พวกนี้เป็นเทวดานอกมติ

pngegg.5.3.3.png




มนุษย์กำลังฆ่ามนุษย์


สมเด็จ : ในสภาวการณ์นี้ ท่านอย่าลืม ถ้าท่านสร้างสิ่งเหล่านี้ไปดวงจันทร์ยิ่งมาก โลกมนุษย์จะยิ่งสลายเร็ว คือ

หนึ่ง ในการเป็นอยู่ของธรรมชาติของอากาศ ของเมฆหมอกที่รวมตัวกันเป็นก้อน เมื่อเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป ต้องใช้ความร้อน ความร้อนนี้ก็จะทะลุเข้าไปก้อนเมฆ ไอน้ำที่รวมตัวกันก็จะละลาย ทำให้โลกมนุษย์ฝนจะตกไม่ตรงตามฤดูกาล

จุดที่สอง เชื้อเพลิงในสิ่งที่เขาติดขึ้นไปนั้นเป็นพิษ เพราะฉะนั้น ในอนาคตข้างหน้า น้ำฝนอาจจะกินไม่ได้

จุดที่สาม เมื่อความสะเทือนของวัตถุมาก เข้าออก เข้าออก เมื่อวันไหนมันเข้าไม่ถูกจุดแล้ว มันก็น่าคิด


คุณสุรศักดิ์ แจ่มจันทร์ : ขอประทานโทษ อาจารย์เชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์จะขึ้นไปอยู่โลกพระจันทร์ได้สำเร็จ

สมเด็จ : อันนี้ อนาคตอีกไกลมาก แล้วก็ถ้าขึ้นไปอยู่ อาตมาก็ขอบอกว่า อยู่ไม่เกิน ๑๒ ชั่วโมง ตายหมด จะปรับยังไง มันก็ไม่เหมือนธรรมชาติ นอกจากสร้างอากาศใหม่ขึ้นได้ ก็อยู่ได้




รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 09:55, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Nzh8MThkNWVkNzZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 09:55, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3Nzl8ZDM1MWEzYmF8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 09:55, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODB8MmIxYmMyZjh8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 09:58

ตอนที่ ๑๔

ลองของมาก เทวดาอาจลงโทษ


(วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



คุณวิษณุ รัตนโมรานนท์ : เมื่อเช้านี้ มีคนมาบอกว่า เอาปืนไปยิงตะกรุดของสำนักนี้ ๗ นัด ไม่เข้า แต่พอยิงนัดที่ ๘ เข้านั้น ทำไมถึงยิงเข้าครับหลวงพ่อ

สมเด็จ :
เรื่องนี้ ขอเตือนเหล่านักลองทั้งหลายว่า การที่วิญญาณสร้างของสิ่งเหล่านี้ขึ้นมานั้น ไม่มีเจตนาสร้างเพื่อความเหนียว แต่สร้างในหลักของความแคล้วคลาดด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพ

ในการลองนั้น ต้องเข้าใจว่า มีเจตนาที่จะยิงให้ถูกจนได้ ความแคล้วคลาดกับการยืนอยู่นิ่งไม่เหมือนกัน การเป็นคน ย่อมมีการหนีและไล่ เพราะฉะนั้น ขอเตือนพวกนักลองทั้งหลายให้พึงสังวรไว้ว่า ถ้าลองมากเกินไป เทวดาอาจจะลงโทษเอาได้

เรื่องเครื่องรางของขลังนี้ ถ้าว่าตามกฎแห่งความจริงแล้ว พลังแห่งสัจจะของผู้สำเร็จองค์ใดก็ตาม ที่ได้ตั้งกระแสจิตในสิ่งนั้น ก็เพียงให้ความคุ้มครอง ส่วนการที่จะหลีกเลี่ยงหรือแคล้วคลาดนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมของตัวเองเป็นใหญ่

และข้อนี้จงจำเอาไว้ว่า สำนักปู่สวรรค์นี้เป็นสำนักเผยแผ่สัจธรรม ไม่ใช่สำนักที่มาสอนให้มนุษย์ยึดในด้านวัตถุ แต่ในการสร้างวัตถุครั้งนี้ เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์นั้นมีน้อย จึงจำเป็นต้องสร้างวัตถุ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน


เพราะอะไรเล่า เพราะว่ายุคนี้นักบุญส่วนมาก เป็นนักบุญที่เอาการทำบุญบังหน้า เพื่อชื่อเสียงของตนก็ดี เพื่อกอบโกยผลประโยชน์อีกด้านหนึ่งก็ดี จะหานักบุญอย่างสมัยที่อาตมาอยู่วัดระฆังฯ นั้นยาก

อย่างในยุคนั้น อาตมาจะสร้างกุฏิแดงก็ดี ชาวบ้านเขามาสร้างให้ เอาปัจจัยให้เขา เขาไม่ยอมรับปัจจัยนั้นแหล่ อาตมาก็ได้เรียนวิธีการสร้างพระสมเด็จมาจากสังฆราชไก่เถื่อนที่วัดพลับ แล้วได้สร้างพระผงรุ่นแรกขึ้น อาตมาสร้างขึ้นเพียง ๓๕ องค์ เท่านั้น ได้แจกจ่ายให้เหล่านายช่างทั้งหลายที่มาช่วยสร้างกุฏิในครั้งนั้น ด้วยเห็นว่า มนุษย์เหล่านั้นมีใจบริสุทธิ์ที่ช่วยสร้างวัตถุ เพื่อจรรโลงพุทธศาสนา

สำหรับบทสวดต่างๆ ในพิธีการที่อาตมาสวดนั้น ล้วนแต่ใช้ธรรมานุภาพ เพื่อความแคล้วคลาด และมหาเมตตาจิต

pngegg.5.3.1.png




อยู่ยงคงกระพันแล้วมักเหลิง


สมเด็จ : ทีนี้ ในยุคต่อมา เขาเอาไปใช้ในเรื่องของความเหนียว ความขลัง อาตมาจะบอกให้ว่า ที่เหนียวนั้น เพราะกรรมดีของเขายังช่วยอยู่ จงจำเอาไว้ว่า พระเถระที่เดินตามรอยองค์สมณโคดมแล้วไซร้ เขาจะไม่สร้างสิ่งที่ทำให้คนผยอง

และจงจำเอาไว้อีกว่า ถ้าลองกันมาก จะไม่ได้ดีตามที่คิด เพราะอะไรเล่า เพราะว่าวิญญาณย่อมรู้ดีกว่ามนุษย์ มนุษย์เรานี้ เมื่อรู้ว่ามีของเหนียวแล้ว ใจมันเหลิง เมื่อใจเหลิงมาก อารมณ์แห่งความชั่วโดยไม่รู้ตัว เพราะนึกว่าตัวนั้นอยู่ยงคงกระพัน

ตามหลักแห่งความจริงแล้ว มนุษย์เราทุกคน ขันธ์นี้เป็นของโลก ต้องสลายตามสภาวะของโลก การอยู่ยงคงกระพันนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกิเลส ทำให้ตนหลงอยู่ในวัตถุ เมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งการเป็นคนแล้ว คือหมดอายุขัย ยมทูตจะลากไปสู่ยมโลก เสวยกรรมวิบากที่ตนสร้างขึ้น

เมื่อถึงวาระนั้น แม้แต่องค์สมณโคดมก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามหลักแห่งความจริงของธรรมชาติ หรือตามกฎอนัตตา คือ ผู้ใดสร้างกรรมขึ้น ผู้นั้นต้องได้รับ และทุกอย่างในโลกนี้ ย่อมเคลื่อนไปสู่ความสลายของอนิจจัง และทุกอย่างที่ก่อเหตุมีผลในบั้นปลาย

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย พึงสังวรในข้อนี้ การมาของอาตมาในครั้งนี้ ไม่ใช่มาสอนให้คนเหลิงในความขลัง แต่มาสอนให้คนละทิฐิมานะในความโลภ โกรธ หลง พยายามทุกวิถีทางที่จะสอนให้ทุกๆ คน ละในการยึดตน ยึดสิ่งของ เพราะว่า ถ้าจิตของเรามีความยึด ย่อมมีความทุกข์ คำว่า “อยากได้” ทำให้โลกปั่นป่วน


pngegg.5.3.2.png




ทิ้งสุข ทิ้งทุกข์ ย่อมสงบ


สมเด็จ : ทุกวันนี้โลกปั่นป่วน เพราะมนุษย์ที่ครองเมืองอยากได้โน่นอยากได้นี่ จึงทำให้มนุษย์ที่ร่วมเกิดพลอยลำบากไปด้วย องค์สมณโคดมได้ทิ้งการเป็นจักรพรรดิที่เกรียงไกรแห่งกรุงกบิลพัสดุ์มาเป็นธรรมราชาแห่งวิหารเชตวัน

ฉะนั้น จึงขอเตือนมนุษย์ทั้งหลายว่า ระหว่างการเป็นคน ระหว่างเสวยสุข อย่าหลงสุข ระหว่างเสวยทุกข์ อย่าหนีทุกข์ เพราะว่า การมีสุขหรือมีทุกข์นั้น ขึ้นอยู่กับตน ถ้าทำดีย่อมมีสุข แต่ถ้าทำชั่วย่อมมีทุกข์ สุขหรือทุกย์อยู่ที่กายพร้อมด้วยใจ เมื่อเรายึดย่อมมีทุกข์ เมื่อเราทิ้งสุขและทิ้งทุกข์ จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็คือ ความสงบ

pngegg.5.3.3.png




หันมามองตน


สมเด็จ : ธรรมะในโลกนี้ ล้วนสอนให้คนยึดในหลักของความสงบ ถ้าอยู่ในสังคม ให้ยึดในหลักของความเมตตา ถ้าทุกคนมีความเมตตาต่อกันและกัน ทุกคนมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน ทุกคนเข้าใจคำว่า การเป็นคนแตกต่างกัน เพราะเกิดมาต่างกรรมต่างวาระ เมื่อทุกคนเข้าซึ้งถึงหลักของอนัตตา เมื่อนั้นสังคมนั้นย่อมมีสุข

ทุกวันนี้ สังคมแต่ละชั้นแต่ละมนุษย์แต่ละคนปั่นป่วน เพราะมนุษย์ทุกวันนี้ ไม่พยายามพิจารณาตัวเอง แต่พยายามพิจารณาคนอื่น พูดง่ายๆ ก็คือ มนุษย์ทุกวันนี้ไม่พยายามมองตัวเองก่อน ชอบมองคนอื่น ไม่อยู่อย่างสันโดษ เมื่อไม่อยู่อย่างสันโดษ ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้น


สภาวะทั้งหลายอยู่ในกฎของความจริง คือ เราต้องตาย เราจะทำอย่างไร จึงจะอยู่เหนือความตาย ก็โดยการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา ให้ตนหลุดพ้นจากภพชาติในกฎของวัฏฏะ


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 10:29, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODF8Njk0ZGIxNzB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 10:29, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODJ8MjcxOWUyMDB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 10:30, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODN8OTk2ZWEzYTd8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:32

ตอนที่ ๑๕

จิตนิ่งเหนือจิต


(วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๒)



อาจารย์อุษา พลารชุน : กราบเรียนถามหลวงพ่อโต ได้โปรดกรุณาอธิบายว่า การที่จะปฏิบัติตน ที่เรียกว่า ทำให้จิตว่างนั้น จะทำอย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ ในหลักแห่งความจริงของการปฏิบัติตนให้อยู่ในจุดของสุญตานั้น ในภาวการณ์ ต้องพิจารณาความฉันทะของตนเป็นใหญ่ ตราบใดที่เรายังข้องอยู่กับโลก ญาณแห่งอาสวะนั้น จะเกิดสู่จิตของเรายาก

ซึ่งองค์สมณโคดมก็ได้วางหลักในการปฏิบัติในจุดแห่งการเพ่งกสิณ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ติดอยู่ในรูป ก็ให้เอาอสุภกสิณเป็นการพิจารณา ให้รู้แจ้งความเป็นอยู่ของการเป็นคนว่า สังขารนี้เป็นสิ่งปรุงแต่งของธรรมชาติของวัตถุในโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้น ที่จะต้องไปเสวยกรรมวิบากของการเป็นคน

ทีนี้ ในหลักแห่งการที่จะปฏิบัติจิตให้อยู่ในจุดของสุญตานั้นแหล่ ในหลักของขั้นแรกของการเป็นคน ก็คือ ต้องปฏิบัติตนอยู่ในสัมมาอาชีวะที่ชอบ เมื่อภาวะสัมมาอาชีวะชอบแล้วไซร้ ก็อย่าข้องกับโลกมาก เพราะอะไรเล่า

ถ้าท่านยังตกอยู่ในการที่เรียกว่า กลัวเขานินทา หรือว่ามีจิตเบิกบานตามคำสรรเสริญของเหล่ามนุษย์แล้วไซร้ ตราบนั้น อาตมากล้าพูดว่า ไม่มีผู้ใดหรอกที่จะปฏิบัติจิตสู่หลักแห่งความว่างได้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าจิตที่อยู่ในเอกัคตา จิตนั้นจะต้องเหนือคำนินทา และเหนือคำสรรเสริญ คือจิตนิ่งเป็นหนึ่งในเอกะประภัสสร วิมุตติสู่นิพพาน

อาจารย์อุษา : ความหมายของคำว่า ไม่ยินดียินร้ายในคำสรรเสริญนินทา คืออย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : คือ เราตั้งตน เรียกว่า พยายามปฏิบัติตนอย่าข้องอยู่ในกาม และปฏิบัติอยู่ในการนิ่งในสรรเสริญของตัวตน จิตไม่ข้องเกี่ยวในความพยาบาท พูดง่ายๆ เขาว่าเรา เราก็เฉย เขาสรรเสริญเรา เราก็นิ่ง คือ

พยายามทำตนอยู่ในหลักของคำว่า สี่งที่ฉันทำ สิ่งที่ฉันปฏิบัติ ไม่ผิดมนุษยธรรม ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดจรรยาของชาวโลกมนุษย์ที่สมมติแล้วไซร้ เมื่อเราพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เราจงทำตามนั้น

แล้วจิตเราอย่าวอกแวกตามอารมณ์ คือในโลกนี้สิ่งที่ร้ายที่สุด คือ ลม ไฟ ท่านสามารถเห็น น้ำ ท่านสามารถเห็น ดิน ท่านสามารถเห็น แต่ลม ท่านไม่สามารถเห็นเป็นตัวตน สงครามล้างมนุษย์เกิดขึ้น เพราะลมปากมนุษย์ มนุษย์ผู้หนึ่งอยู่ดีๆ จะอับจน ก็เพราะลมปากมนุษย์ทำลายกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะปฏิบัติตนให้สงบ คือ “วางตนเหนือตน” รู้จักคำนี้ไหม

การวางตนเหนือตน คือ จิตวิญญาณของเราจะต้องเหนืออารมณ์ อารมณ์คือตน อารมณ์สัมผัสกับอายตนะทั้งภายในและภายนอก จิตเราจะต้องมีสมาธิ ตามรู้อารมณ์ แล้วก็เหนือคน

สานุศิษย์ : ความหมายก็คือ อยู่ในลักษณะสงบเสมอใช่ไหมครับ

สมเด็จ : คือ มันไม่ใช่ฝืน หลักแห่งความจริงในโลกนี้ ไม่มีอะไรฝืนหลักธรรมะ คือว่าเรามีสติสัมปชัญญะพร้อมกับมีสมาธิหรือไม่ อย่างบางคนฝึกสมาธิ แต่พอถึงเวลา มันมีอะไรไม่รู้ยาวๆ ควักขึ้นมาสูบปูดๆ นี่หรือฝึกสมาธิ

คือ ยังไม่สามารถเอาชนะสิ่งต้องการภายนอกแล้วไซร้ หลักของความเหนือตน ย่อมไม่เกิด เราจะต้องถามตัวเองว่า เมื่อจะสูบสิ่งที่เป็นของติด ถ้าฉันไม่สูบแล้ว มันจะมีอะไรเกิดขึ้นไหม เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล

สิ่งปฏิกูลบำรุงปฏิกูล ก็คือ เมื่อท้องหิวตามธรรมชาติ ท้องนี้ต้องอาศัยวัตถุของโลก เพื่อบำรุงให้ขันธ์นี้อยู่ อันนี้เราจำเป็นต้องบำรุง คือในเรื่องการปฏิบัติของขันธ์ก็ดี เรื่องสิ่งแวดล้อมของธรรมะทั้งหลายก็ดี อาตมาเทศน์ไว้ที่นี่แยะแล้ว แต่มนุษย์ผู้ทำงานไม่ได้รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ จึงต้องมาย้อนกันอยู่อย่างนี้


pngegg.5.3.1.png




การเผยแผ่สัจธรรมทิ้งไว้ในโลกมนุษย์


สมเด็จ :  จงจำเอาไว้ว่า เทพเจ้าก็ดี วิญญาณชั้นสูงก็ดี ทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในโลกวิญญาณ ต่างคนต่างมีงานทำ การมาโลกมนุษย์ครั้งนี้ ในการมาตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ เป็นการลงมติของโลกวิญญาณว่า

พระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคสืบต่อยุคศรีอริยเมตไตรยนั้น สำเร็จจากกรุงสยาม คือพระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) กำลังปฏิบัติตนในการช่วยโลกมนุษย์ให้พ้นจากไฟนรกอเวจีแห่งการเผาผลาญโลก จึงสั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ขึ้น

เมื่อสำนักปู่สวรรค์เกิดขึ้นแล้ว หลักของหลวงปู่ก็คือ “นิ่งเสียโพธิสัตว์” ภาวะแห่งความนิ่งแล้วไซร้ จะเผยแผ่หลักสัจธรรมทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ได้อย่างไรเล่า สามโลกจึงขอให้อาตมามาช่วยงานในครั้งนี้

เพราะฉะนั้น จงจำเอาไว้ว่า ในการมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์นี้ อาตมาเป็นผู้รับเชิญให้มาช่วยดำเนินการ ฉะนั้นในภาวะบางอย่างที่ต้องมาทำซ้ำๆ ซากๆ ซึ่งมันไม่ตรงกับอุปนิสัยของอาตมาเลย ตั้งแต่ก่อนทิ้งสังขารแล้ว


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 10:33, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODV8MWM1MjhhODR8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:36

ตอนที่ ๑๖

เทพพรหมทำผิดกฎ


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สมเด็จ : ใครมีอะไรไหม

ข้าหลวงสุทิน วิวัฒนะ : เมื่อตะกี้นี้ เทพที่คุยกับหลวงปู่นั้น อยากทราบว่าแปลความหมายว่าอย่างไรครับ ขอให้หลวงพ่อช่วยแปลด้วย

สมเด็จ : เป็นเทพองค์หนึ่ง คือเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ขณะนี้สำนึกตัว จะขอเข้าอยู่พรหมโลกอย่างเก่า

ในสภาวะเมื่อรู้ว่า โลกวิญญาณได้สั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ โดยการดำเนินงานแห่งองค์พระโพธิสัตว์แห่งสยาม ผู้ที่จะสืบต่อพระพุทธศาสนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอริยเมตไตรย ก็คือ มนุษย์ในยุคปัจจุบันให้ฉายาว่า หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ได้มาทำการโปรดสัตว์ อยู่ ณ สำนักปู่สวรรค์นี้

สภาวะบารมีของพระโพธิสัตว์ย่อมสามารถที่จะแผ่พลังช่วยได้ทุกรูปทุกนาม ตั้งแต่พรหม เทพ ยม จนถึงมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็ได้มาปรึกษาว่า ให้หลวงปู่นำเข้าสู่ที่ประชุมของโลกวิญญาณ โดยที่เขาจะใช้ร่างนี้เป็นร่างเป็นสื่อในการทำงาน เพื่อใช้กรรมวิบากนั้น

ในจุดสำคัญ อาตมาก็เคยเทศน์ไว้ว่า อาตมามานี้ หลวงปู่มานี้ มาด้วยอาสวักขยญาณ การมาด้วยอาสวักขยญาณนั้นคือ การไม่รับรู้ในสิ่งใดๆ ของมนุษย์ นอกจากมนุษย์นั้นจะส่งกระแสจิตเข้ามา เพราะอะไร เพราะการมาโลกมนุษย์นี้ เสี่ยงต่อการเกิด


เพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ เต็มไปด้วยเหล่ามนุษย์ที่หนาไปด้วยกิเลสทั้งนั้น เรียกว่า มีแต่อยากจะเอาอย่างเดียว ไม่ยอมให้คนอื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางอย่าง บางคนไปหาเทพพรหมนั้น เทพพรหมบอกว่า สิ่งนี้ช่วยไม่ได้ ต้องเป็นไปตามภาวะกรรม มันก็อ้อนวอนอยู่นั้น

ทีนี้ พวกเทวดานี่มันเผลอ แต่ขรัวโตไม่เผลอง่ายๆ มันก็ยอมช่วย เมื่อยอมลงไป โลกวิญญาณเขามีมติ เขารู้ด้วยทิพยอำนาจ ทุกคนอยู่ด้วยความจริง ไม่มีการโกหกได้ ในที่ประชุมก็รู้ว่า อ้อ...เทพองค์นี้ได้บังอาจทำเกินขอบเขต ก็คือ เป็นพระไม่รักษาตนอยู่ในศีลห้าบริสุทธิ์ เที่ยวบอกชาวบ้านว่ารักษาศีล ๒๒๗ โลกวิญญาณเขามีกฎ กรรมอันนี้ย่อมวิบากเข้าสู่บุคคลที่ช่วย

เพราะฉะนั้น เขารู้ว่าบารมีพระโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อ สะสมมาเป็นเวลานานกัปๆ กัลป์ๆ ในการอธิษฐานจิตนี้ ในสภาวการณ์ซึ่งได้มาพบเวลานี้ ก็สามารถที่จะช่วยในการเจรจาสันติ เพื่อในการผ่อนโทษของเขา ก็คือยินยอมให้เขามาใช้ร่างนี้ เพื่อถ่ายกรรมวิบากนั้น นี่คือแปลย่อๆ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:38

S__31309826.1.jpg


ตอนที่ ๑๗

ใบโพธิสัตว์



เทวะประจำใบโพธิสัตว์


สำนักปู่สวรรค์ มีอุดมการณ์ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างสันติสุข พ้นจากโรคาพยาธิ และการทำงานเหล่านี้ เมื่อองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ท่านเสด็จมาโปรดสัตว์ มีมนุษย์ได้ขอให้หลวงปู่ช่วยแก้ทุกข์ทางฆราวาสวิสัย อันเป็นการไม่สมควรแก่พระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องควบคุมอารมณ์ของท่าน จะเกี่ยวข้องทางโลกมากนักไม่ได้

องค์อมรินทร์จึงถวายเทวดาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยสร้างใบโพธิสัตว์ขึ้น ผู้อัญเชิญใบโพธิสัตว์ไปบูชา ย่อมมีเทวดา ๑ องค์ ติดตามคุ้มครอง เมื่อมนุษย์อธิษฐานขอเทวดา ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ ท่านก็รายงานหลวงปู่ หลวงปู่ก็พิจารณาและสั่งการช่วยเหลือต่อไป ซึ่งไม่เหนือกฎแห่งกรรม

pngegg.5.3.1.png




บูชาเทวะใบโพธิ์มีแต่คุณไม่มีโทษ


(วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๑)



สานุศิษย์ : คือหลังจากไฟไหม้แล้วนี่ ผมไม่ได้บูชาใบโพธิสัตว์เป็นเวลาหลายเดือนเลยครับ แล้วเวลานี้ ผมกลับมาบูชาใหม่ ใบโพธิสัตว์ยังมีเทวดาอยู่ใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ย่อมมีอยู่เสมอ เทวะที่กำหนดมานั้น เป็นการกำหนดมาทำงานกับโลกมนุษย์โดยเฉพาะ และในการบูชานั้น โลกวิญญาณเขาทรงไว้ด้วยความยุติธรรม เขาไม่มีการลงโทษหรอก ไอ้พวกที่ลงโทษ มันพวกบ้าๆ บอๆ

คือ ในสภาวะผู้สำเร็จนั้น ทรงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ทรงไว้ด้วยความยุติธรรม ว่าการปฏิบัติ มนุษย์มีภารกิจอันใดที่ปฏิบัติไม่ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เชิญใบโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องมีอุปาทานแห่งความกลัว ว่าไม่ได้บูชาแล้วจะได้โทษ และการบูชานั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง ใช้หลักแห่งกระแสจิต


ธรรมะอันแท้จริง คือ จิตถึงก็ถึง ให้บูชาด้วยจิตและวิญญาณ ไม่ใช่บูชาด้วยวัตถุ เกิดจากพวกเกจิอาจารย์ทั้งหลายรุ่นหลังๆ ได้ทำกัน ซึ่งเป็นการทำลายวิถีการอันบริสุทธิ์ขององค์สมณโคดม

ฉะนั้น การตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ ก็เพื่อขัดเกลาในหลักแห่งการที่มนุษย์ยึดมั่นในวัตถุ ให้พยายามวิวัฒนาการตนไปสู่หลักแห่งความบริสุทธิ์ของจิต เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : เข้าใจครับ


สมเด็จ :  “ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นถึงธรรม ผู้นั้นก็รู้ว่าธรรมคืออะไร” เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลก เราควรจะ ควรมีสติปฏิบัติตน คือ

๑. การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ควรมีสติสัมปชัญญะพร้อมคุ้มตน


๒. อย่าตื่นตูมในการกล่าวของการฟังมาใดๆ ทั้งสิ้น


๓. เมื่อรับฟังแล้ว เราพิจารณาไตร่ตรอง แล้วค่อยเชื่อ ว่าสิ่งนี้จริง สิ่งนั้นไม่จริง


ก่อนที่จะลงความเห็นในสิ่งใด เราจะต้องเอาตนไปพัวพันกับสิ่งนั้น และเข้าไปพิสูจน์ในสิ่งนั้น แล้วได้ลองรู้หลักแห่งกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้น ค่อยลงความเห็น

เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนว่า เกจิอาจารย์ทั้งหลายที่สอนอยู่ เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ แม้แต่อาตมานี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าหลักความพิจารณาของธรรมชาติมันมีกฎของมันอยู่ และอาตมาก็เดินตามรอยองค์สมณโคดม


คือว่า องค์สมณโคดมไม่มีการผูกขาดในธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งยอดเยี่ยมของธรรมชาติ ที่ผู้ที่เป็นคนแห่งการมาใช้กรรมในการมีสังขารอยู่นี้ จิตและวิญญาณมาใช้กรรมมาสะสมกรรม ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมในปัจจุบันชาติ คือหลักอันนี่แหล่ จึงยืนอยู่แห่งการศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ และทุกวันนี้เป็นจุดแห่งการที่มนุษย์ยุคนี้ สนใจหลักแห่งความจริงของศาสนาพุทธ



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 10:39, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODd8YjY0MDU0ZDZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: S__31309826.1.jpg (2023-5-12 01:11, 79.51 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4OTZ8ZTA4NzMwMjZ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:41

9.png



เมื่อมนุษย์ในโลกสวดมนต์

พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้า

จะดลบันดาลให้เกิดสติและปัญญา

สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ

ให้กลายเป็นสันติสุขได้


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



การเป็นคน

ระหว่างเสวยสุข   อย่าหลงสุข

ระหว่างเสวยทุกข์   อย่าหนีทุกข์




รูปภาพที่แนบมา: 9.png (2023-4-28 10:42, 31.56 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3ODh8MzRiZTY1ODZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png (2023-4-28 11:31, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDZ8Y2U0ZTNjNGZ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:50

5.png



ตอนที่ ๑

ปราชญ์แห่งสยาม


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : ก่อนอื่น วันนี้อาตมาจะเทศน์ให้เหล่าสาธุชนทั้งหลายที่เดินทางมาวันนี้ จากทางเหนือก็มีทางอีสานก็มี

ในยุคอาตมามีสังขารนั้น อาตมายังไม่เคยไปทางศรีสะเกษ ทางเชียงใหม่ มีไหมคนมาจากศรีสะเกษ มาจากเชียงใหม่ อาตมาบุญน้อยไม่ได้เหยียบ เคยไปอย่างมากแค่เมืองกำแพงเพชร ได้เคยผ่านเมืองพิจิตรในยุคโบราณกาลนั้น พิจิตรถือว่าเป็นเมืองหลวง เมืองเชียงใหม่นั้น เรียกว่าเป็นอาณาจักรแห่งความรุ่งเรืองในสมัยนั้น

ในสภาพการณ์วิวัฒนาการของบ้านเมือง ยุคหนึ่งชาวสยามร่นจากล้านนาไทย ในอาณาจักรน่านเจ้า ได้เคยมาตั้งเมืองหลวง ณ เชียงตุง หลังจากนั้นก็เข้าสู่เชียงใหม่ ถ้าว่าตามหลักก็คือ ชาวสยามที่เราเรียกว่าไทยน้อยนั้น ร่นมาจากทางเหนือ ส่วนทางใต้นั้น ล้วนแต่เป็นชาวแขกมลายูอยู่มาก

ทีนี้มาพูดถึงว่า ทำไมอาตมาจึงไปกำแพงเพชร เพราะพื้นเพเดิมของอาตมานั้น บรรพบุรุษเป็นชาวกำแพงเพชร และได้มาอยู่อโยธยาในยุคนั้น แล้วก็มาพัวพันในเรื่องจักรีวงศ์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเล่ากันสิบวันสิบคืนไม่จบ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ท่านทั้งหลาย ท่านคงเคยได้ยินชื่อสมเด็จโต วัดระฆังฯ มานาน แต่ท่านไม่เคยพบตัว ในขณะนี้ ท่านมาสำนักปู่สวรรค์ก็ยังไม่ได้พบตัว พบแต่วิญญาณ ในเรื่องวิญญาณนี้แหล่ ท่านก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าองค์สมณโคดมสอนมนุษย์เราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เราต้องศึกษา เราต้องปฏิบัติ เราต้องค้นเข้าไป แล้วค่อยลงความเห็นว่า จริง ไม่จริง ใช่ ไม่ใช่

ท่านทั้งหลาย ท่านมาสู่การเป็นพุทธมามกะนั้น เพื่ออะไรเล่า การที่เรานับถือศาสนาพุทธนั้น เรามีจุดมุ่งหมายก็คือ ให้ตนพ้นทุกข์ ภาวะแห่งการที่จะให้ตนพ้นทุกข์นั้นแหล่ ท่านต้องพยายามฝึกให้รู้จักตนเป็นสรณะ เพราะอะไรเล่า


เพราะว่า มนุษย์เรา ถ้าไม่มีการพิจารณาตัวเอง คอยแต่พิจารณาความผิดของผู้อื่น คอยจับผิดความผิดของผู้อื่น ไม่จับความผิดของตัวเอง มนุษย์ผู้นั้น ย่อมไม่มีทางพ้นทุกข์จากสังสารวัฏ เพราะว่าจิตของท่านหมกมุ่นอยู่แต่อารมณ์ภายนอก ไม่ปฏิบัติอารมณ์ภายใน แล้วท่านจะถึงหลักแห่งการแท้จริงของพุทธะได้อย่างไรเล่า

เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสอันดีที่ท่านทั้งหลายได้เดินทางมาสู่เมืองหลวงในขณะนี้ และได้มาสำนักปู่สวรรค์ อาตมาทั้งๆ ที่ไม่มีสังขาร ต้องการมาทำงานในโลกมนุษย์ครั้งนี้ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายเพียงแค่เทศน์แค่นี้


อาตมามีจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ในงานเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ในงานเกี่ยวกับศาสนาอันแท้จริง ให้มนุษย์รู้ซึ้งถึงกฎแห่งกรรม รู้ซึ้งถึงความเป็นอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่ง จึงได้ทำการตั้งสำนักขึ้น แต่สภาพการณ์จะโปรดสัตวโลกให้เข้าซึ้งถึงศาสนาอันแท้จริงนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับลูกมือ ขึ้นอยู่กับมนุษย์ทั้งหลาย

ท่านอย่าลืม ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านอย่าด่วนลงความเห็น ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ท่านอย่ายึดพระไตรปิฎกจนแน่นหนา เพราะว่า อาตมาก็เคยเทศน์แล้วว่า พระไตรปิฎกนี้ถึงปัจจุบันสองพันกว่าปี และจากภาษาหลายภาษา กว่าจะแปลเป็นภาษาสยามที่เราอ่าน อารมณ์ของอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ย่อมมีการต่อเติมบิดพลิ้วพุทธพจน์ได้บ้าง


pngegg.5.3.1.png




การเป็นชาวพุทธที่ดี


การเป็นชาวพุทธที่ดีนั้น ท่านจะปฏิบัติอย่างไรเล่า คือ ท่านต้องพยายามถือศีล ๕ อย่าให้หลุดจากกายของท่าน

ศีล ๕ นี้ มีอยู่ในธรรมชาติของโลก แล้วท่านจะต้องถือให้ดี ถ้าท่านถือไม่ดี กิเลสแห่งความเมา ของโทสะ โมหะ โลภะ เข้าครอบงำแล้วไซร้ เมื่อนั้นแหล่ ท่านจะไม่ถึงศีล เมื่อท่านไม่ถึงศีล ท่านย่อมไม่ถึงธรรม เมื่อท่านไม่ถึงธรรม ท่านย่อมไม่มีปัญญาแห่งความรู้อันวิมุตติ รู้วิมุตติอันนี้ จะต้องปฏิบัติด้วยการรู้จักกายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ นี้เป็นธรรมะขั้นสูง

ทีนี้ ท่านอย่าเพิ่งท้อถอยในธรรมะขั้นสูง คือท่านพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และพยายามทำสมาธิให้แจ้งจากอาสวกิเลสไม่มากก็น้อย เมื่อนั่นแหล่ ท่านจะค่อยรู้กฎแห่งอนัตตา ท่านจะรู้กฎการเป็นพระพุทธศาสนาอันแท้จริง


ท่านทั้งหลาย ท่านควรจะปลื้มปีติที่ท่านเกิดเป็นชาวสยาม เพราะชาวสยามที่แท้จริง ไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ชาวสยามขณะนี้ เป็นผู้นำศาสนาพุทธโลก แม้จะเป็นเพียงแค่เปลือกพุทธก็ยังดีกว่าประเทศอื่น และท่านจงปลื้มใจว่า ท่านอยู่ในแดนสยามอันเป็นแหล่งสุดท้ายที่มีศาสนาพุทธ เราจะต้องช่วยกันผดุงศาสนาพุทธไว้เป็นศาสนาสากลของโลก

จุดมุ่งหมายของสมเด็จโตที่มาทำงานในครั้งนี้คือ ต้องการให้มนุษย์เข้าซึ้งถึงศาสนา ยึดหลักการเป็นพุทธะ ถึงแห่งการสิ้นอาสวะ ให้มนุษย์ทั่วโลกรู้จักพระพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกัน

pngegg.5.3.2.png




จุดไต้สลายพลังกบฏ


สมเด็จ : อาตมาจะเล่าประวัติให้ฟัง

เมื่อพระจอมเกล้า ร.๔ ใกล้สวรรคต ได้เรียกอาตมาเข้าไปปรึกษาในวังว่า ขรัวโต คือ ร.๔ คุยกับอาตมา ไม่เคยเรียกสมเด็จหรอก เรียกขรัวโต

ขรัวโต บัลลังก์ข้านี้ฝากอยู่กับท่าน กุมารยังน้อยนัก อายุเพียง ๑๕ ชันษา ถ้าข้าสิ้นไป ขรัวโตจะต้องช่วยกุมบังเหียนในเบื้องหลัง

อาตมาก็บอกว่า เจริญพร มหาบพิตร มหาบพิตรไม่ต้องวิตกกังวลหรอก ตราบใดขรัวโตยังอยู่ ตราบนั้นราชวงศ์จักรีนี้ ใครทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยขรัวโตก็จะเป็นขงเบ้งแห่งสยาม

หลังจากนั้นไม่นาน พระจอมเกล้า ร.๔ ได้สวรรคต เจ้าปิยะขึ้นครองราชย์ อายุ ๑๕ ชันษา มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะนั้นพระยาศรีสุริยวงศ์วางแผนยึดอำนาจ ใช้เวลาวางแผนเป็นปี มิใช่เป็นเดือน ก็มีผู้ที่จงรักภักดีต่อราชบังลังก์ คือนายน้อย กับ นายจันทร์ นายน้อยก็พยายามเอาข่าวมาบอกขรัวโต นายจันทร์ก็พยายามฟังข่าวมารายงานขรัวโต

อาตมาก็บอกแล้วว่า ถ้าสมเด็จโตเป็นคนสุภาพ สมเด็จโตก็คงไม่ถกจีวรแจวเรือจ้าง และสมเด็จโตก็คงไม่เอาลิงตั้งไว้หัวเรือต้อนรับพระเจ้าแผ่นดิน วันหนึ่ง นายจันทร์ก็มาบอกว่า นี่พระเดชพระคุณอาจารย์ เขาจะเอาแน่แล้วนะ


อาตมาก็บอกว่า ไอ้จันทร์มึงเฉยไว้ ยังไม่ถึงเวลากูแสดง ปล่อยมันก่อน มันก็ประชุมกัน ในขณะนั้นประชุมกันก็คือว่า จะฆ่าสมเด็จโตก่อนที่จะยึดอำนาจ หรือว่าจะฆ่าเจ้า ร.๕ ก่อน แล้วค่อยมาทำลายสมเด็จโต ปัญหาในที่ประชุมของเหล่าคิดยึดอำนาจ ในขณะนั้นตัดสินอะไรไม่ได้

เพราะว่าในขณะนั้น ถ้าฆ่าสมเด็จโตแล้ว จลาจลจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน อย่างน้อยสมเด็จโตแห่งวัดระฆังฯ ก็มีเสน่ห์มากเพียงพอ ที่มีทั้งสาวแก่แม่หม้ายติดกันแยะ ติดอะไร ติดการเทศน์ ไม่ใช่ติดอยากจะเอาไปเป็นผัวหรอก

ทีนี้ เราก็ดูเหตุการณ์ว่า ขณะนี้กำลังมีการประชุมนายพล เอาละถึงคราวขรัวโตแสดงละ ไอ้จันทร์จุดไต้ และมึงเดินตามหลังนะ กูจะเข้าวัง ถ้าตำรวจวังไม่ให้เข้า มึงกระทืบเลยนะ กูเข้าเอง ก็จุดไต้เข้าไปที่ประชุมเสนาบดี

ในขณะนั้น กำลังถกกันหน้าดำหน้าแดง มีชื่อไอ้โต อาตมาก็บอกว่า เฮ้ย ไอ้โตมาแล้วโว้ย มีเรื่องอะไรวะ พระยาศรีสุริยวงศ์หน้าซีด บอกว่า พระเดชพระคุณ ไม่มีอะไรหรอก กำลังคุยกันถึงคุณงามความดีของท่าน นี่ฟังเอา มนุษย์พวกนี้มันใจเย็นนะ

อาตมาก็บอกว่า เฮ้ย ไอ้โตนี่มันมีดีที่ไหนวะ ตั้งแต่พระจอมเกล้า ร.๔ ยังไม่สิ้น เถรสมาคมก็มีแต่คิดจะสึกสมเด็จโตอยู่เรื่อย เขาก็บอกไม่มีอะไร อยากจะคุยถึงความดีความชอบ คุยถึงคุณความดีของท่านพระเดชพระคุณ

อาตมาก็บอกว่า ขอประทานโทษ ท่านพระยาศรีสุริยวงศ์ ได้กระแสข่าวว่า ท่านนี้คิดกบฏต่อจักรีวงศ์จริงหรือไม่ ในขณะนั้นที่ประชุมเสนาบดีซึมกันหมด เหงื่อแต่ละเม็ดโตยิ่งกว่าเม็ดมะขาม อาตมาพูดต่อไปว่า อาตมาเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ถ้าท่านว่าไม่จริง ท่านจงเดินกับข้านี้ ไปสู่โบสถ์วัดพระแก้ว สาบานต่อหน้าพระเดี๋ยวนี้ นี่คือเบื้องหลังในขณะนั้น

อาตมาจึงบอกว่า ท่านจงวางแผนให้ละเอียดกว่านี้ แล้วค่อยมาโค่นสมเด็จโต แต่สมเด็จโตไม่มีการพยาบาทใคร สมเด็จโตสงสาร เพราะว่ากรรมที่เขาสร้างนั้น จะเป็นวิบากกับเขาเอง พวกที่ร่วมเป็นขบวนการ ยมโลกได้ตีตราออกมาแล้ว

ทุกอย่าง การเป็นคน ท่านไม่ต้องวิตกสิ่งใดๆ ขอให้ท่านมีหลักขันติ สัจจะ บริสุทธิ์ เมตตา ท่านมี ๔ ประการนี้ ประจำใจแล้ว รับรองท่านตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

ขันติ จะทำอย่างไรจึงเป็นผู้มีขันติ


๑. อย่าตื่นตูมข่าวที่เขาลือ

๒. อย่าเชื่อคนที่เรานับถือมาแล้ว

๓. พิจารณากระแสข่าวที่มาพัวพันตัวเราว่า เป็นไปได้หรือไม่ แล้วคำนวณด้วยเหตุผลว่า เรื่องเป็นอย่างไร แล้ววินิจฉัยว่า เหตุการณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างไร นี่คือ ขันติ

สัจจะ เราต้องยึดมั่นว่า ตราบใดที่ข้าเป็นชาวพุทธ ตราบนั้นข้าจะไม่ทำชั่ว ข้าจะตาย ยินดีพลีชีพเพื่อศาสนา เพื่อความดี

บริสุทธิ์ เรายึดมั่นความบริสุทธิ์ เราทำงานด้วยความบริสุทธิ์เพื่อมวลชน เพื่อส่วนรวม เพื่อหมู่คณะ หรือเพื่อครอบครัว ย่อมได้รับการคุ้มครองจากเทพพรหม ที่มีอยู่มากในโลกนี้

เมตตา จงเมตตาแม้แต่ผู้ที่คิดร้ายต่อท่าน ท่านจงแผ่เมตตาให้เขาเถิด แล้วกระแสจิตของเขาจะกลับดีเอง


pngegg.5.3.3.png




สมเด็จโตตบหน้าผู้หญิง


สมเด็จ : วันหนึ่ง เป็นวันพระถืออุโบสถ อาตมาลงทำวัตรเย็นอยู่ ก็มีพวกที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา มาถือศีลกัน มานอนกันในโบสถ์

ในขณะนั้น ก็มีหญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง อายุราว ๕๐ กว่าแล้ว ก็คุยกันกับเหล่าผู้ที่มาถืออุโบสถว่า ฉันนี่น่ะ สำเร็จอนาคามีจ้ะ บอกว่าฉันนี่สำเร็จอนาคามี แล้วก็เคี้ยวหมากหยับๆ ไอ้เราก็กำลังไหว้พระอยู่ พอไหว้พระเสร็จ อาตมาก็หันมา แล้วบอกว่า ไหน อยากจะขอดูหน้าอนาคามีหน่อยซิ

แม่นั่นหันมา พอหันมา อาตมาก็เอามือตบหน้าไปทันที ร้องไห้โฮเลย อาตมาบอกว่า นี่มันอนาคาบ้าแล้ว เพราะอนาคามีตัดแล้วซึ่งสังโยชน์แห่งความยินดียินร้าย เพราะฉะนั้น ศีลแห่งอนาคามีนั้น ไม่ใช่มาพูดเล่น ถ้าบอกว่า เวลานี้ฉันมาถือศีล ๘ ก็พูดกันได้ อย่าไปคุยถึงอนาคามี เรื่องมีแค่นี้เอง

แต่ท่านอย่าลืม ปากคนยาวยิ่งกว่าปากกา และเหม็นยิ่งกว่าขี้วัว จากปากหนึ่งลือไปอีกปากหนึ่ง กลายเป็นอะไรรู้หรือเปล่า กลายเป็นว่า สมเด็จโตปล้ำผู้หญิงในโบสถ์

ทีนี้ เถรมหาสมาคมก็หาเรื่องจะสึกอาตมาอยู่แล้ว ก็ประชุมกันใหญ่ให้สมเด็จโตชี้แจง อาตมาก็บอกว่า พระเดชพระคุณสังฆราช ท่านผู้เป็นอริยบุคคลในที่ประชุมนี้ ท่านเชื่อหรือ ว่าอาตมานี้จะปล้ำผู้หญิงในโบสถ์ ปล้ำเพื่ออะไร สังขารอาตมานี้ ๗๐ กว่าแล้ว เดินยังไม่ค่อยไหวเลย จะเตะปี๊บดังได้ยังไงวะ

เพราะฉะนั้น ท่านจะพิจารณา และพิจารณาถึงความดีที่อาตมาทำมาบ้าง อาตมาตบหน้าแม่นั่นจริง แต่การตบนั้น อาตมาไม่มีโมหจริตในการครอบงำ ไม่มีโทสจริตในการครอบงำ ไม่มีโลภจริตในการครอบงำ ก็คือ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด เป็นการตบเพื่อทดสอบว่า บุคคลนี้สำเร็จอนาคามีหรือไม่ ถ้าเป็นบุคคลที่สำเร็จอนาคามีจริงไซร้ อาตมานี่ละจะกราบเขาทั้งๆ ผ้าเหลือง

เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกว่า การเป็นพระนั้นไม่ใช่อยู่ที่ผ้า ฉะนั้นอาตมภาพนี้ ก็ไม่ใช่เป็นผู้สำเร็จ จึงอยากจะรู้ เสาะหาอาจารย์ที่สำเร็จอนาคามี ที่ตบนั่นเป็นการทดสอบอารมณ์ ถ้าจะผิด ก็ผิดแค่เรียกว่าอาบัติ ในด้านใช้กายเนื้อแตะต้องสตรี เพราะฉะนั้น อันนี้ปลงอาบัติได้

เมื่อเถรสมาคมรับการชี้แจงของอาตมาแล้ว ก็ไม่มีอะไร เชิญพระเดชพระคุณสมเด็จโตกลับ


p4.png




สมเด็จโตสร้างพระ


สมเด็จ : อาตมาสมัยมีสังขาร ก็เชื่อในเรื่องวิญญาณอยู่แล้ว อาตมาเข้าฌานสมาบัติ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ก็ได้นิมิตมาสอน วิธีการสร้างพระยังไงจึงสวย จึงขลัง ได้สร้างครั้งสุดท้าย ก็ได้ค้นพบคาถาชินปัญชร เป็นการปลุกเสกครั้งสุดท้าย แปดหมื่นสี่พันองค์

ในการสร้างพระของอาตมานั้น มันไม่มีอะไรหรอก เกิดจากว่าในยุคนั้น ชาวบ้าน ถ้าพูดถึงคนถึงศีลธรรมจริงๆ แล้ว มีการทำเพื่อศาสนาจริงๆ แล้ว ในยุคนั้น ไม่ใช่อาตมาจะว่าคนยุคนี้ไม่ดีนะ คนในยุคนั้นมาช่วยกันบูรณะวัดก็ดี มาช่วยกันทำอะไรให้ในโบสถ์วัดระฆังฯ ไม่มีการเรียกปัจจัย เมื่อไม่มีการเรียกปัจจัย อาตมาก็คิดไปคิดมาว่า เราจะตอบแทนเขาอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ได้มาร่วมทำงานกับขรัวโตครั้งหนึ่ง จึงได้คิดสร้างพระขึ้นมาแจก


ส่วนในการสร้างพระให้เจ้า ร.๕ นั่น อีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็เรื่องเจ้า ร.๕ นี้ เรื่องแยะ ทำไมเจ้า ร.๕ จึงส่งราชโอรสไปเรียนรัสเซียบ้าง เยอรมันบ้าง นั่นใครวางแผน สมเด็จโตนี่แหละ วางแผนเพื่อให้สยามอยู่รอด แต่เราไม่อยากพูดมาก เพราะว่าเราทำงานปิดทองก้นพระ

p5.png




เจดีย์ขี้ยา


ทีนี้ อาตมาในสมัยนั้น เขาเรียกว่ามีเสน่ห์มาก อาตมาจะทำอะไร อาตมาใช้กะละมังตีมันไปเรื่อย แจวเรือตีกะละมังบ้าง จากคลองบางกอกน้อยไปบางกรวย ใครจะช่วยทำบุญกับสมเด็จโตก็มา จนเขารายงานเข้าไปในวัง

พระจอมเกล้า ร.๔ ก็เรียกไปสอบ บอกว่า เหตุไฉนขรัวโตจึงทำอย่างนี้ อาตมาจึงบอกว่า เจริญมหาบพิตร สมเด็จอย่างอาตมานี้มันจนนะ ระฆังก็ไม่มีเงินซื้อ จึงใช้กะละมังตีแทนระฆัง เขาบอกว่า แล้วของในวังที่เอาไปถวายท่านน่ะ หายไปไหนหมด

อาตมาก็บอกว่า เจริญพร มหาบพิตร ที่จริงน่ะ เสียดายมาก ว่าพระเจ้าแผ่นดินประทานโน่น ประทานนี่ให้ แต่ว่าชีวิตมนุษย์นั้น เสียดายยิ่งกว่านี้ เพราะทุกอย่างที่ถวายไป อยู่ร้านเจ๊กหมด

ท่านก็บอกว่า เหตุไฉนท่านจึงชอบไปขายร้านเจ๊กเล่า ก็ตอบว่า ถ้ามหาบพิตรมาเป็นแบบอาตมาแล้ว มหาบพิตรก็จะรู้สึกว่าลำบากขนาดไหน ทั้งๆ ที่กุฏิอาตมานี้ พยายามทำให้มันเหม็นที่สุด จีวรนี้ใส่มันเป็นเดือนไม่ยอมซัก เพื่อให้คนที่มาคุยมันจะได้หนีเร็วๆ แต่มันก็ยังตื้อกันเต็มกุฏิ จนเขาบอกว่า สมเด็จโตนี้ ไม่ไว้ตัวเลย ในกุฏิมีแต่พวกขี้ยา

อาตมาก็บอกว่า ก็เจดีย์ขี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไรเล่า ไม่ใช่เหล่าขี้ยาหรือเพราะพวกเหล่าขี้ยาเขามาหาอาตมา ไม่มีเงินซื้อยา อาตมาก็ให้เงินไปซื้อยาก่อน แล้วก็ว่าพวกเอ็ง อาตมาขอบิณฑบาตอย่างหนึ่งนะ ขอบิณฑบาตเรื่องการเสพยา สมัยนั้นเขาใช้ยาตั้ง สักเดือนนึงนะ แล้วข้าจะสร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์ เขาบอกตกลง

อาตมาก็ไปขุดหลุมไว้หลังกุฏิ แล้วให้เขาโยนเงินที่จะไปเสพยานั้นใส่ลงไป จนรวมเงินมาสร้างได้ จนเขาลือกันว่า สมเด็จโตแสดงอภินิหารอยู่หลังกุฏิ หยิบเงินขึ้นมาสร้างเจดีย์ได้

p6.png




เป็นพระต้องละกามคุณ


บางที ตีหนึ่งตีสอง ก็มีคนมาเคาะประตูบอก สมเด็จๆ เมียผมจะออกลูก ผมไม่มีตังค์ครับ ต้องเอาให้มันไป แล้วนั่น พวกลูกศิษย์วัดไปก่อเรื่องราว อ้าว เราต้องไปเป็นเฒ่าแก่สู่ขอให้ เพื่อไม่ให้สตรีด่างพร้อย มันต้องใช้เงินทั้งนั้น

แล้วอาตมานี้ไม่ค่อยมีเงิน ไปไหนมีสตางค์ไม่เกิน ๘ สตางค์ อย่างมากที่สุดก็ ๘๐ สตางค์ อาตมาสิ้นมรณภาพไปแล้ว เขาไปค้นในกุฏิทั่วไป มีจีวรเก่าๆ อยู่ ๒ ผืน มีเศษสตางค์อยู่ ๕ สตางค์

เพราะฉะนั้น เราเป็นสาวกตถาคต เราจงอย่ายึด ทุกอย่างจงละ เพื่อในการให้ถึงแห่งความหลุดพ้นในกิเลส ในกามตัณหา เมื่อนั้นท่านจะเป็นสาวกที่ดี ผ้าเหลืองก็จะไม่ร้อน ถ้าท่านเป็นพระ ท่านสะสมวัตถุมาก ความร้อนก็ยิ่งมาก ฉันใดก็ฉันนั้น

และทำไมองค์สมณโคดมจึงบัญญัติให้ฉัน ๒ มื้อเล่า เพราะว่ามนุษย์เรานี้ เป็นสิ่งธรรมดา เมื่อท้องอิ่ม หัวถึงหมอน มโนภาพเรื่องกามคุณย่อมเกิดขึ้น องค์สมณโคดมนี้เป็นนักปราชญ์ที่เข้าซึ้ง รู้จักถึงชีวิตการเป็นคน จึงวางกฎให้ฉัน ๒ มื้อ


เพื่อให้มื้อเย็นนี้ เป็นการกระวนกระวายถึงเรื่องท้อง จะได้ไม่คิดเรื่อง กามตัณหา นี่คือหลักความจริง นี่คือการเป็นยอดคนขององค์สมณโคดม ที่เราทั้งหลายนับถืออยู่นี้

p7.png




ศาสนาพุทธจะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี หรือไม่


พระครูบุญทอง : กระผมอยากจะถามหลวงพ่อสมเด็จ เกี่ยวกับศาสนาพุทธของเรา จะเจริญถึง ๕๐๐๐ ปี ดังคำทำนายหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว เหตุนี้แหล่ สำนักปู่สวรรค์จึงได้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ไหนๆ เทศน์แล้ว ก็ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ศาสนาพุทธอยู่แดนสยามถึง ๓๐๐๐ ปี ในขณะนั้นจะเกิดกลียุคขนาดหนักในโลกมนุษย์ ศาสนาจะเสื่อมหรือไม่เสื่อมอยู่ในขณะนั้น

แต่ท่านก็ควรยินดีว่า ถ้าท่านช่วยกันดำรงจรรโลงสำนักปู่สวรรค์นี้ ให้ยืนยาวไปถึงในยุคนั้น เมื่อพุทธศาสนา ๓๐๐๐ ปี มติโลกวิญญาณจะส่งพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาในโลกมนุษย์ และมาสำเร็จในสำนักปู่สวรรค์ เพื่อมาช่วยกู้ศาสนาในขณะนั้น

ถ้าทัน รอด ก็จะอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี ถ้าไม่ทัน ไม่รอด ก็จะไม่ถึง ๕๐๐๐ ปี และอาจจะไปเจริญในเมืองอื่น เพราะว่า ปณิธานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละยุค แต่ละองค์นั้น ย่อมมีความปรารถนาอันแข็งแกร่ง และย่อมมีอธิษฐานบารมีแน่วแน่

ฉะนั้น บารมีแห่งการอธิษฐานของพระองค์ พระองค์ต้องพยายามทุกวิถีทาง อาตมาจึงบอกว่า ถ้าท่านไม่เข้าซึ้งศาสนา ท่านจะเข้าใจว่า ขณะนี้พระพุทธเจ้าเข้าแดนนิพพาน (หมายเหตุ ข้อนี้ขัดกับนักพระไตรปิฎก เพราะถือว่านิพพานแล้วเข้าสู่สุญตา ฉะนั้น ขอให้ท่านอ่านเอาไว้เพื่อพิจารณาเท่านั้น)


ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าแดนนิพพาน แต่มาโลกมนุษย์ไม่ได้ เพราะพระองค์มีปณิธาน ในเรื่องที่จะให้ศาสนาของพระองค์อยู่ได้ถึง ๕๐๐๐ ปี

อย่างวิญญาณอาตมาในขณะนี้ ทั้งๆ ที่เหล่าเทพพรหม แม้แต่พรหมที่สิ้นไปใหม่ๆ ที่พวกเจ้าคงรู้จักกันดี คือ เจ้าคุณนรรัตน์ ก็บอกว่า นี่ท่านโต อย่าไปยุ่งกับมนุษย์ให้มันมากนักเลย ผมนี้ สมัยมีสังขารอยู่ ผมยังปิดกุฏิอยู่วัดเทพศิรินทร์ ทั้งๆ ที่ผมมีคนนับถือมาก ผมยังไม่ทำเลย แล้วท่านโตพ้นจากขี้มาแล้ว ทำไมจึงไปยุ่งกับขี้อยู่เรื่อย อาตมาก็บอกว่า สมเด็จโตนี้ ชอบเล่นกับขี้ ก็เพราะว่า

๑. พระที่อาตมาสร้างเอาไว้ในสมัยนั้น มันเจ้ากรรมเกิดเฮี้ยนขึ้นมา


๒. เวลานี้มาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์อยู่ ก็มีคนศรัทธามากเหมือนกัน


เพราะฉะนั้น มีคนศรัทธาแห่งการที่มีกรรมพัวพันนี้แหล่ จึงยังตัดไม่ขาด จึงต้องมาเล่นกับขี้เรื่อยๆ จนกว่าวันไหนจะถูกขี้อุดตันก็มาไม่ได้

ทีนี้ ศาสนาพุทธในขณะนี้ อยู่ในภาวะกลางกลียุค ก็ต้องอาศัยเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นสาวกตถาคตให้ช่วยกันจรรโลงศาสนา เมื่อท่านกลับเชียงใหม่ ทุกวิถีทางให้พระสงฆ์ของเรา อย่าไปยึดนิกาย ให้ถือเป็นพุทธสาวก นี่เป็นเรื่องสำคัญ



รูปภาพที่แนบมา: 5.png (2023-4-28 10:50, 128.66 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTF8YjRmNGIzYTN8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 19:03, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MzN8MTUyYzJjNzR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-5-8 19:03, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MzR8OTJkY2Q0YjN8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-5-8 19:04, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MzV8ZGEzNzUwMWV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-5-8 19:04, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MzZ8YmQ3NjM4YWF8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-5-8 19:04, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4Mzd8NWEyMDE2MmJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p6.png (2023-5-8 19:05, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4Mzh8NGQ3ZmZkYmZ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p7.png (2023-5-8 19:05, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4Mzl8ODZkZmNjYmN8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:52

ตอนที่ ๒

พระบรมสารีริกธาตุจะประชุมพร้อมกันเมื่อปี พ.ศ.๕๐๐๐



อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : ลูกขอทราบว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบห้าพันปีแล้ว พระพุทธองค์จะรวมพระบรมสารีริกธาตุ และจะมาเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย ลูกขอทราบรายละเอียดเจ้าค่ะ

สมเด็จ : หมายความว่า เมื่อครบห้าพันปี ศาสนาของพระองค์จะสลายพร้อมโลก พระองค์ก็จะแสดงอภินิหาร ปาฏิหาริย์ อัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็สลายธาตุ

อาจารย์ลัดดา : ท่านจะรวมพระบรมสารีริกธาตุอย่างไรเจ้าคะ เพราะเวลานี้ไปอยู่เมืองโน้นนิด เมืองนี้หน่อย

สมเด็จ : ด้วยอำนาจแห่งอภิญญา อำนาจแห่งอภิญญาย่อมที่จะทำได้ แต่จะครบถ้วนอาการ ๓๒ หรือไม่นั้น นั่นคือเรื่องอนาคต ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งอะไรแน่นอน ปรารถนาได้ แต่ท่านอย่ายึด

อาตมาจึงบอกว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ จงยึดมั่นคติว่า

อดีต      คือความฝัน
ปัจจุบัน  คือการต่อสู้
อนาคต  คือความหวัง แต่อย่าหลง


หลงฉิบหาย เพราะอะไร แบบไอ้หนุ่มหวังอีหนูมากเกินไป อีหนูมีผัวใหม่ ไอ้หนุ่มอกแตกตาย นี่คือหวังมากเกินไป ฉะนั้น เราหวังเอาไว้พอประมาณ อย่าให้มันมาก แล้วมันก็จะไม่แย่ แล้วอดีต เราก็อย่าไปยึดมัน อดีตผ่านไปแล้ว กู่ยังไงมันก็กลับมาไม่ได้ ให้เราตั้งสติพร้อมอยู่ว่า ปัจจุบันนี้เราจะทำอย่างไรให้ดีที่สุด

อาจารย์ลัดดา : ประทานโทษ ลูกขอถาม การที่พระพุทธองค์จะเสด็จมาเทศน์เป็นครั้งสุดท้ายนั้น จะมาในรูปกายเนื้อ หรือว่าวิญญาณเจ้าคะ

สมเด็จ : เสียงกัมปนาททั่วจักรวาล แต่ไม่เห็นตัว


pngegg.5.3.1.png




ไบเบิล


อาจารย์ลัดดา : จะมาทางภูมิประเทศไทย หรือว่าทางอินเดียเจ้าคะ

สมเด็จ : อินเดีย ยอดเขาคิชฌกูฏ ท่านศึกษาประวัติคัมภีร์ไบเบิลหรือเปล่า ศึกษาเรื่องโมเสสค้นพบบัญญัติ ๑๐ ประการหรือเปล่า ขณะนั้นพระองค์หนึ่ง ใช้เสียงกัมปนาทออกจากในถ้ำ และโมเสสได้ยกเป็นพระเจ้า

อาจารย์ลัดดา : แล้วที่พระเยซูบอกว่า ได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนั้น คือไบเบิลเจ้าคะ เพราะว่าพระเยซูท่านยังไม่มา แล้วไบเบิลมาได้อย่างไรเจ้าคะ

สมเด็จ : ไบเบิลมีก่อนพระเยซู

อาจารย์ลัดดา : ของชาติไหนเจ้าคะ ศาสนาไหน

สมเด็จ : คือว่าศาสนาในโลกนี้ ท่านศึกษาในหลักของปรัชญา ในขณะนั้นศาสนาโซโลมอนเป็นหลัก พระเจ้าโซโลมอนเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งในโลกอาหรับ ได้ทรงเขียนคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมา ต้นตระกูลคือโซโลมอน


หลังจากนั้น โมเสสได้ศึกษาคัมภีร์โซโลมอนในไบเบิล แปลเป็นคัมภีร์ไบเบิล และโมเสสได้รับพรจากพระองค์หนึ่ง ในบัญญัติ ๑๐ ประการนี้ จึงเพิ่มเข้าไปในไบเบิล เพราะฉะนั้น คริสต์ศาสนาจะมีไบเบิลยุคเก่า และไบเบิลยุคกลาง แล้วค่อยมาแตกเป็นโปรเตสแตนท์ คริสตัง คริสเตียน นี่อีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น ไบเบิล ต้นตระกูลก็คือ โซโลมอน เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง นับถือพระอาทิตย์ ท่านต้องศึกษาประวัติอาหรับก่อน แล้วค่อยมาศึกษาประวัติของคัมภีร์ไบเบิล แล้วจะซึ้งกว่านี้ อันนี้ต้องใช้เวลานาน


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 19:12, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDB8MzcyYjY4ZTl8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:52

ตอนที่ ๓

หลักการอยู่ให้อายุยืน


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : สมัยอาตมามีสังขาร ทำไมอาตมาอายุ ๗๙ แล้ว ยังแข็งแรง พวกลูกขุนเอย ลูกหลวงเอย เขาบอก ไอ้ลูกพ่อแม่สั่งสอนไม่ไหว เอาไปฝากสมเด็จโตสั่งสอนดีกว่า สามสี่คนมาอยู่วัดระฆังฯ มันก็เกี่ยงกัน ไม่ยอมตักน้ำอาบกันละ ปล่อยให้โอ่งมันแห้ง


อาตมาก็บอกว่า เจริญพร พ่อคุณ แม่คุณ พ่อลูกขุนลูกนาย ตักน้ำอาบไม่ได้หรอก ไอ้โตนี่ตักให้พวกเอ็งอาบเอง อายุ ๗๙ ต้องหิ้วน้ำทุกวัน ๒ ตุ่มนะ หิ้วให้พวกมัน แทนที่มันจะบอกว่า สงสารขรัวโตหิ้วแล้วเหนื่อยแฮะ มันกลับบอกว่า เออ...ดีเว้ย สมเด็จโตตักน้ำให้เราอาบ สบายไปเลย นี่มนุษย์มันอย่างนี้

ทีนี้ ทำไมอาตมาจึงแข็งแรง เพราะว่า อาตมาสมัยยังมีสังขารอยู่นั้น อาตมาไม่ยึดอดีต อยู่แค่ปัจจุบันว่า ขณะนี้ เรายังไม่สิ้นจากโลกมนุษย์ ตาลืมขึ้นมา เราจะทำอย่างไรให้ไม่เบียดเบียนตัวเรา แล้วไม่เบียดเบียนคนอื่น และจะทำอย่างไรเพื่อความสงบสุขของคนอื่น


ถ้าท่านมีคติธรรมอันนี้ประจำใจแล้ว ท่านยิ่งกว่ายาอายุวัฒนะบำรุงกาย ก็คือว่า เจตนาแห่งความบริสุทธิ์แห่งความดีของท่านนี้แหล่ จะส่งเสริมให้ขันธ์ท่านสบายดีขึ้น เรียกว่าแก่ช้า ดีกว่าท่านจะไปประแป้ง


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:52

ตอนที่ ๔

วิธีอ่านตำราให้จำแม่น


(วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : สมัยอาตมามีสังขารอยู่ เขาเรียกว่า อาตมานี่เป็นนักอ่านที่หาตัวจับยาก ทีนี้ ท่านจะเป็นนักเรียนท่านจะอ่านให้จำได้ ท่านจะทำอย่างไร นี่เผยเคล็ดลับให้หน่อย

ก่อนท่านจะอ่านตำรา ท่านต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาด แล้วท่านจะต้องวางสรรพสิ่ง แล้วทำสมาธิสัก ๑๕-๒๐ นาที จึงดูตำรา

ถ้าตำราที่ท่านไม่เคยอ่าน ท่านต้องอ่านเร็วๆ อ่านรู้ใจความเป็นครั้งที่ ๑ อ่านครั้งที่ ๒ อ่านจำ ครั้งที่ ๓ อ่านท่อง แล้วทีนี้อ่านคล่อง รับรองสอบได้ที่ ๑ เรื่อย


เพราะอาตมาสมัยนั้นอ่านแบบนี้ แล้วจะอ่านนี่ ท่านจะต้องอาบน้ำตอนเช้า เช่น ตอนตี ๕ ไม่ก็ตอนตื่นนอนแล้ว ก็ตื่นตอนตี ๓ ตี ๒ รุ่งอรุณ อะไรนี่ สมองปลอดโปร่งดี อาตมาอ่านจนสังฆราชบอกว่า เอ็งไปอ่านกับพระประธานในโบสถ์ดีกว่านะ

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๕

สร้างพระนอนที่จังหวัดเพชรบุรี


(วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑)



คุณจีรวัฒน์ : หลวงพ่อครับ ผมได้ไปนมัสการพระนอนองค์ใหญ่ที่วัดหนึ่ง ใกล้ๆ ตัวจังหวัดเพชรบุรีครับ มีองค์สมมติหลวงพ่อกับพระคาถาชินปัญชรตั้งบูชาอยู่ด้วย และมีคำประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อ กระผมอยากทราบว่า สมัยหลวงพ่อมีสังขารอยู่นั้น หลวงพ่อได้เกี่ยวข้องกับวัดนี้อย่างไรครับ

สมเด็จ : เมื่อสมัยอาตมามีสังขารอยู่นั้น อาตมาได้เคยเดินทางไปจำพรรษา ณ สถานที่นั้น แล้วได้สร้างพระองค์นี้ขึ้น และการที่อาตมาจะสร้างอะไรก็แล้วแต่ เขาเรียกว่า ปัจจัยนั้นมันหาง่าย ถ้ารู้จักหา เงินนั้นเป็นสิ่งสมมติ มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเรารู้จักเข้าไปเอา

หลักการที่จะเข้าไปเอาเงินก็ดี เอาดินก็ดี เอาปูน เอาทรายก็ดี มันมีหลักอยู่ง่ายนิดเดียว คือ เราต้องมีมนุษยสัมพันธ์ และต้องเข้าใจว่า การที่เราเป็นนักบวชจะบำเพ็ญเป็นผู้ทำงานศาสนานั้น คาถาที่จะต้องท่องขึ้นใจ ก็คือ พระเจ้าคือคนรับใช้ของมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เป็นคนรับใช้เรา คือจะต้องขึ้นใจว่า พระเจ้านั้นคือคนใช้ของมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้าจะมาใช้มนุษย์

เมื่อเราถ่องแท้อันนี้แล้ว เราก็ปฏิบัติจิตให้ถึงเจโตปริยญาณ พอที่จะหยั่งรู้จิตใจมนุษย์แล้ว เราเข้าไปคุยกับมนุษย์คนนี้ได้ ว่ามนุษย์คนนี้ต้องการอะไร มีทุกข์อะไร เราก็ช่วยคลายทุกข์ให้ ทีนี้ จะปรึกษาอะไร ก็ค่อยชี้แนววิธีการทำงานไปเรื่อยๆ เป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์เอาไว้มากๆ


คนเราเขาเรียกว่า มีคนมาก หมู่มาก งานมันก็เดิน ถ้าคนไม่มาก หมู่ไม่มาก งานมันก็ไม่เดิน ทีนี้ ในคนหมู่มาก ถ้าเกิดการทำอะไรผิดพลาดขึ้น เราเป็นผู้นำ เราก็ต้องยอมรับผิดเสียเอง ต้องโทษตัวเราเอง ไม่ใช่บริวารผิด

แบบที่อาตมาปกครองวัดระฆังฯ อยู่นั้น อาตมาปกครองแหวกแนวกว่าเขา มีอยู่วันหนึ่ง เณรสององค์ไปเล่นเตะตะกร้อกัน อาตมาก็เอาผ้าคลุมหน้าไปดูเขาอยู่ด้วย เขาตบมือ เราก็ตบด้วย เขาหัวเราะ เราก็หัวเราะด้วย เขาเต้น เราก็เต้น ทีนี้ เตะไปเตะมา มันไม่เตะตะกร้อกันแล้ว มันจะเตะกันเอง จะทำยังไง มันจะเตะกันจริงๆ

อาตมาก็เข้าไป ถอดผ้าคลุมหน้าออกให้รู้ว่าเป็นใคร เข้าไปถึงก็กราบตีนมันทั้งสององค์ บอกว่า พ่อเจ้าประคุณ พ่อเณรเอ๋ย ท่านสององค์นี้เก่งเหลือเกิน กินข้าวชาวบ้าน ห่มผ้าเหลือง แล้วก็มาเตะตะกร้อกัน ยังไม่พอ มึงยังจะเตะกันเองอีก นี่เป็นความผิดของอาตมาที่ปกครองพวกมึงไม่ดี


อุตส่าห์ปลูกกุฏิให้พวกมึงอยู่ เพื่อให้มาเตะตะกร้อกันหรือ ทีแรกอาตมาเข้าไป มันไม่รู้ คิดว่าคนแก่นี่มาขวางทาง พอมันเห็น บอก อ้าวสมเด็จ อาตมาก็ยกมือบอก ฉันนี้ไม่สู้ท่านหรอก มันก็เลยเลิกรากัน

ทีนี้ ในวิธีการแห่งการตัดสินนั้น เราจะต้องมีเหตุมีผล และเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ พระลูกวัดทุกคนมันก็เคารพเรา เมื่อเคารพเรา พอจะทำอะไรมันก็ง่าย มนุษย์เรานี่เขาเรียกว่า ทำให้เขาศรัทธาเรา ทำให้เขาเคารพเรา งานทุกอย่างมันก็จะทำไปได้

ทีนี้ พูดถึงการจะสร้างวัด อาตมาก็เรียกชาวบ้านมา พูดให้เขาฟังว่า การสร้างปูชนียสถานไว้เป็นที่สักการบูชาของมนุษย์นั้น จะได้อานิสงส์อย่างใด เราก็เอาพระสูตรว่าเข้าไป เข้าใจไหม

คุณจีรวัฒน์ :
ครับ แล้วที่หลวงพ่อสร้างพระนอนนี้ มีความหมายอย่างไรหรือเปล่าครับ เพราะผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติหลวงพ่อ เขาเขียนว่า หลวงพ่อหัดนั่งที่จังหวัดอ่างทอง จึงสร้างพระนั่งไว้ หลวงพ่อหัดยืนที่บางขุนพรหม จึงสร้างพระยืนไว้ แล้วพระองค์นี้ หลวงพ่อสร้างไว้มีความหมายอะไรหรือครับ

สมเด็จ : คือ ประวัติที่มันเขียนๆ กันนั้น เรียกว่า คนเขียนมันจะรู้ดีไปกว่ากูหรือ ในการที่อาตมาสร้างพระต่างๆ นั้น อาตมามีสัจบารมีแห่งการอธิษฐาน ว่าสิ่งนี้จะทำ ต้องทำให้สำเร็จ

ในการสร้างพระนอนนั้น อาตมาไปเห็นว่า สภาพภูมิประเทศในสถานที่นั้นเหมาะสมที่จะสร้างองค์สมมติขององค์สมณโคดมแห่งการนอน และการที่สร้างให้มันโตนั้น ก็เพราะเพื่อให้มันสมชื่อว่า ท่านโต ที่จริงอาตมาตัวเล็ก สมัยหนุ่มๆ อาตมาหล่อนะ ทีนี้ เราชื่อโต ก็ต้องสร้างให้มันสมชื่อ “โต” เท่านั้นเอง


แล้วในการสร้างพระนั่ง พระนอน พระยืน อะไรก็แล้วแต่ มันขึ้นอยู่กับชัยภูมิประเทศ อาตมายึดมั่นในชัยภูมิของประเทศเป็นสำคัญว่า ปูชนียสถานสร้างขึ้นมาแล้ว จะเหมาะสมกับชัยภูมิไหม จะเป็นที่สง่าของสถานที่ไหม จะดึงดูดมนุษย์เข้ามาไหม มีแค่นี้เอง แล้วนี่เอ็งจะบวชใช่ไหม

คุณจีรวัฒน์ : ใช่ ครับ

สมเด็จ : ในสภาวะแห่งการที่จะบวชนั้น เราต้องเข้าใจว่า เราบวชเพื่ออะไร ถ้าเราจะบวชเพื่อการศึกษาให้จิตสงบนั้น เช้าบิณฑบาตเสร็จ เราก็หัด เดิน นั่ง เดิน นั่ง แล้วก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิต คือต้องอย่าลืมว่า การกินข้าวในบาตรนั่นน่ะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบาตร


เพราะอะไรเล่า เพราะผู้ที่ทำบุญนั้น ล้วนแต่มีเจตนาอันแรงกล้า ถ้าเราไม่แผ่เมตตาจิตสนองเจตนาของเขา บาปทั้งหลายก็ดี ที่เขาสะเดาะเคราะห์ก็ดี ที่เขาอธิษฐานก็ดี ก็จะตกอยู่กับผู้กินทั้งนั้น

ฉะนั้น จะเห็นว่า บางคนทำไมห่มผ้าเหลืองแล้วกลายเป็นไม่ดีไป เพราะผู้ที่ทำบุญมา เขาเจตนาที่จะแผ่ในกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่เขามีอยู่ เราซึ่งเป็นฝ่ายบรรพชิต เราต้องแผ่เมตตาจิตให้เขา เพราะเขาถือว่า บรรพชิตจะสะอาดกว่าการเป็นฆราวาส ย่อมที่จะแผ่กุศลถึงพวกกายทิพย์ได้เร็ว


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๖

ชาวคริสต์ใส่บาตรสมเด็จโต


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : ท่านเจ้าประคุณสมเด็จครับ มีศาสนิกชนต้องการความสว่างจากเจ้าประคุณสมเด็จ ได้เขียนถามมาว่า ธรรมะคืออะไร การดับทุกข์ต้องดับที่ไหน กราบขอคำอธิบายครับ

สมเด็จ :

ธรรมะแท้        อยู่ทั่วพิภพ       จักรวาล
ธรรมชาติ        เข้าใกล้ไกล      ถ่องแท้ตน
อายตนะ         ที่เข้ามา           สู่กายใน
สมุฏฐาน         ก็คือใจ            เป็นใหญ่หนึ่ง
ท่านทั้งหลาย   เกิดทุกข์ยาก     เพราะยึดมั่น อุปาทาน
ดับขันธ์หนึ่ง     อุปาทาน          สลายทั่ว
ให้ถ่องแท้       ถึงอริย             สัจสี่เอย
ทุกข์สมุทัย      นิโรธมรรค        เป็นหลักธรรม
ที่ไหนเกิด       ดับที่นั่น           สมุฏฐาน
ต้นเหตุนำ       ให้สลาย          ไม่มีทุกข์

เพราะการที่มนุษย์เกิดทุกข์นั้น เพราะว่าเราชอบนำตัวเราไปฝากกับสังคม เราไม่เอาตัวเราอยู่กับตัวเราและทำในเรื่องของเรา มันจึงวุ่นวาย เช่น พระสมัยนี้บางคน พอเห็นเขาเป็นชั้นราช เราก็จะต้องเป็นชั้นเทพ เราเป็นแค่สิบโท เราต้องเป็นสิบเอกกับเขาบ้าง แล้วเราก็จะต้องเป็นนายร้อย ก็วิ่งพล่าน เพื่อให้ได้พัด ให้เขาเรียกเป็นเจ้าคุณ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์

พระพุทธเจ้าสอนให้เราบวชเพื่อให้อยู่อย่างวิเวก พระพุทธเจ้าสอนให้บวชเพื่อประพฤติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เราบวชเพื่อเอาตนอยู่สันโดษ ให้ถึงหลักแห่งฌานญาณ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักพระพุทธศาสนา ให้ถ่องแท้ในเรื่องกายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ สังขารในสังขาร


อย่างคนในสมัยนี้ที่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นฆราวาสหนุ่มๆ ก็จะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เมียคนอื่นสวย เมียเราไม่สวย ก็เกิดทุกข์ ฝ่ายสาวก็ไปยึดเรื่องผัว ผัวคนอื่นหล่อ ผัวเราไม่หล่อ ก็เกิดทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น

การที่มนุษย์เกิดทุกข์นั้น เพราะมนุษย์เอาชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่น ถ้ามนุษย์เอาชีวิตฝากอยู่กับตัวเอง อย่างสมเด็จโตนี้ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทุกข์ แต่ว่าเมื่อไม่มีชีวิตกลับมีทุกข์ คือมาห่วงพวกเอ็ง ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะอะไรเล่า

เพราะว่า การมีชีวิตของอาตมาสมัยนั้น หนึ่ง บิณฑบาตเป็นหลักที่จะต้องทำ หาอาหารเลี้ยงชีพ ตามหลักพุทธพจน์ ไม่ว่าในวังจะส่งมาหรือไม่ส่ง เราจะต้องออกบิณฑบาต แล้วใครให้อะไรมาต้องกินทั้งนั้น คือว่าเป็นพระไปเลือกไม่ได้ แต่พระสมัยนี้ต้องบอกว่า โยม ฉันจะกินแกงเป็ด แกงไก่ แกงอะไรว่ากันไป นี่ผิดหลัก

ครั้งหนึ่งไปบิณฑบาต จากพรานนกเข้าสู่บางกรวย พายเรือไป ขณะนั้นคณะมิชชันนารีเขากำลังประกาศศาสนาอยู่ บาทหลวงที่นั่นเกิดใจดีใส่บาตร เขาก็ไม่เข้าใจการเป็นพระ นึกว่าพระคงไปหุงต้มเอง ก็อุตส่าห์เอาข้าวสารมาใส่หนึ่งกระป๋อง แล้วก็เอาหมูสามชั้นสดๆ มาใส่หนึ่งแผ่น อาตมาก็รับไว้ในบาตร กลับมาก็ต้องมานั่งเคี้ยวข้าวสารกับเคี้ยวหมูสามชั้น


ทีนี้ ในวังเขาก็สั่งให้คนมาส่งปิ่นโต มาถึงบอกว่า นี่เอ็งมาช้า กูกำลังกินอยู่เห็นหรือเปล่านี่ เขาบอกสมเด็จโต วันนี้ทำไมนั่งเคี้ยวข้าวดิบแล้วก็กินกับหมูสามชั้น กลับไปในวังบอกว่า สมเด็จโตใกล้จะบ้าแล้ว ไม่รู้ยังไง นั่งเคี้ยวเอาๆ แล้วก็บ่นว่ากลืนลำบาก ต้องเสกน้ำมนต์กลืนตามลงไปด้วย

ทางวังเขาก็ส่งคนมาถามอาตมา เราก็บอกว่า อ้าว วันนี้เป็นวันนิมิตดี โชคดีที่ชาวคริสต์ใส่บาตรให้เรา เราเป็นพระ ใครใส่อะไรให้ เราก็ต้องกิน พอวันนั้นกินเสร็จ ตอนบ่ายขี้ไหลเลย

คุณพินิจ : ครับ ก็ได้ความรู้จากเจ้าประคุณสมเด็จ เรื่องฉันของดิบๆ แต่พวกลูกศิษย์นี่ เห็นท่าจะไม่ไหวครับ

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๗

พระเครื่องของสมเด็จโต


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



คุณพินิจ : กระผมมีปัญหาจะถามเรื่องหนึ่งครับ คือสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จยังมีขันธ์อยู่นั้น ได้สร้างพระสมเด็จด้วยผงอิทธิเจ แล้วก็เนื้อผงนั้นปรากฏว่า มีความงดงามอย่างมากเหลือเกิน จนกระทั่งในสมัยนี้ แม้จะมีความก้าวหน้าในทางวิทยาการใดๆ ก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะสร้างเนื้อพระสมเด็จให้งามเหมือนสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จสร้างไว้ เมื่อสมัยโน้นได้

จึงอยากจะกราบเรียนถามว่า เจ้าประคุณสมเด็จใช้เนื้ออะไรบ้าง ที่ผสมเป็นเนื้อพระในครั้งกระนั้น ขอความรู้ในเรื่องนี้ด้วยครับ

สมเด็จ : ไอ้นี่จะมาล้วงความลับนี่

คุณพินิจ : ลูกศิษย์มีความสนใจครับผม

สมเด็จ : คือว่าในการสร้างพระสมัยอาตมา มันมีหลายๆ แบบ หลายๆ อย่างที่รวบรวมแล้วก็ทำ แต่ถ้าว่าตามความจริงแล้ว มันเปราะ แล้วก็ไม่ทนหรอก คือใช้น้ำเต้าอิ้วมาก แล้วเมื่อเวลากินข้าว
คือเมื่อฉันไปฉันมา ถ้าอุปทานเกิดขึ้นว่าอร่อยปุ๊บ จะต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างๆ ขากถุยออกมาในวงคน ฉะนั้น พวกเจ้าขุนมูลนาย เวลาเขานิมนต์ฉัน เขาไม่ค่อยจะนิมนต์สมเด็จโตเข้าฉัน คือเป็นคนที่กินอย่างไม่มีมารยาท

ขากถุยๆ เพราะว่านี่ต้องเอาไปทำพระ เพราะพระนี่กินแล้ว มีรสอร่อยไม่ได้ ไม่ว่ามึงจะมีคนมากคนน้อย ในวังในอะไร กูขากฉิบหายหมด ก็รวบรวมไว้ นี่เป็น ผงพิเศษ จากปากของคนที่เคี้ยวๆ อยู่

ข้อที่สอง  กล้วยหอม
ข้อที่สาม  ขมิ้น
ข้อที่สี่     พวกที่เรียกว่า ปูน ปูนหมาก
ข้อที่ห้า   ทรายละเอียด
ข้อที่หก   ปูนขาว ที่เรียกว่า บดด้วยการเก็บพวกเปลือกหอยมา
ข้อที่เจ็ด  ชานอ้อย


พวกเหล่านี้ เอามารวมๆ กัน แล้วก็ต้องร่อนๆ ให้เนื้อมันกลืนกัน มันก็เรียกว่าสวยงามดี ที่สวยงามมากนั้น เกิดจากขมิ้นกับเปลือกกล้วยหอม ส่วนมากที่ทำให้งาม ยิ่งถูยิ่งมัน

คุณพินิจ : เอ๊ะ เดี๋ยวนี้พยายามทำอย่างนั้น ทำไมไม่เหมือน ไม่เหมือนสมัยสมเด็จ

สมเด็จ : สมัยนี้เขาทำ เขาไม่มีเคล็ดลับนี่

คุณพินิจ : ครับผม ทีนี้ เคล็ดลับพอจะบอกได้บ้างหรือไม่ครับผม

สมเด็จ : เคล็ดลับก็คือ ต้องทำด้วยจิตบริสุทธิ์ กายบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ แล้วก็ทำอย่างจิตปลอดโปร่ง แล้วก็ไม่ใช่กดทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพัน คือบางทีวันหนึ่งยังกดพระไม่ได้สิบองค์หรอก เพราะว่าต้องปลอดโปร่ง และต้องสวดไป ทำไป แล้วก็ผสมน้ำไป แล้วก็ทำด้วยความแน่วแน่ ทำด้วยความสะอาด มันก็เลยขลังได้ อย่างสมัยนี้ เขาทำกันวันหนึ่ง พันองค์ หมื่นองค์

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๘

การปลุกเสกพระเครื่อง


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : พระเครื่ององค์นี้ มีผงของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อยู่ในนี้ใช่ไหมฮะ

สมเด็จ : อันนี้ใช่ แต่ที่อาตมาทำด้วยมือ ในยุคนี้หายาก สมัยนั้นอาตมาสร้างไว้ในโบสถ์ ไม่มีใครเอา ต้องขอร้องให้เขาเอาไป จนเวลานี้มีคนต้องการ อย่างเวลานี้สร้างอะไรๆ ก็ไม่มีคนเอา จนต่อไปอาตมาไม่มา จึงจะมีคนรู้คุณค่า

คือ เรื่องสร้างพระของอาตมานี่ ก็ได้อธิบายไว้เยอะแล้ว อาตมาสร้างไม่กี่ครั้งหรอก แล้วก็ครั้งสุดท้าย สร้างด้วยคาถาชินปัญชร แปดหมื่นสี่พันองค์ นั่นน่ะ ครั้งสุดท้าย แล้วองค์ไหนสวยน่ะ ยิ่งไม่ใช่ของอาตมา

เพราะอะไร เราต้องใช้สมองในการเป็นมนุษย์วินิจฉัย ของนี้มันสร้างถึงปัจจุบันก็ร้อยกว่าปีแล้วนะ แล้วก็ในสมัยนั้น อาตมาไม่ได้ทำเพื่อความสวย อาตมาทำเพื่อความขลังนะ แล้วสิ่งที่ผสมก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขาทำ มีเปลือกกล้วยหอม ข้าวที่ฉันเหลือเวลาที่เขานิมนต์ไปฉัน แล้วก็ตำว่าน ตำหญ้าอะไร แล้วก็ผสมด้วยน้ำมันดิน น้ำมันเต้าอิ๊วอะไร พอมันถึง ๔๐ ปี มันจะกะเทาะเป็นลาย แล้วมันจะต้องเป็นผงผุย เข้าใจหรือยัง

สานุศิษย์ : หลวงพ่อช่วยดู รูปหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นปูนปลาสเตอร์ ได้มาจากพระประแดง เขาบอกเข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้วครับ

สมเด็จ : คือในยุคนี้น่ะ พวกเกจิอาจารย์ก็เท่ากับพวกเล่นละคร แล้ววัดต่างๆ มันก็ชอบขายตัวละคร ก็นิมนต์เหล่าเกจิอาจารย์ในยุคนี้มาปลุกเสกเป็นพุทธคุณกัน ออกวัดนี้ไปวัดนั้น ออกจากวัดนั้นไปวัดนี้ ผลสุดท้ายก็เหนื่อย ไปถึงเข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ไปนั่งหลับอยู่ในนั้น เรียกว่านั่งนอนอยู่ในพิธีนั่นน่ะ แล้วมันจะขลังได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในการนี้เรียกว่า เขาขายชื่อ ขายวัด มันเป็นเรื่องที่มนุษย์มันไม่ใช่สมองพิจารณา แล้วอาจารย์ที่เก่งอย่างอาตมานี่ ไม่เคยเหยียบออกจากวัดระฆังฯ เลย มีใครนิมนต์ในเรื่องการทำเครื่องรางของขลัง บอก กูทำของกูเองโว้ย ก็ค่อยๆ เสกไป

เพราะว่า การปลุกเสกสิ่งนี้จะต้องใช้

หนึ่ง ใช้พุทธานุภาพแห่งความจริง


สอง จะต้องใช้พลังจิตของเราที่เป็นสมาธิ


สาม จะต้องรักษาศีล แห่งกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ จึงจะสามารถลงเป็นพลังอยู่ในเครื่องรางของขลังนั้นๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๙

ห้อยพระเครื่องทำไม


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พระเมี้ยน : หลวงพ่อสมเด็จครับ เมื่อสมัยหลวงพ่อยังมีสังขารอยู่เคยเอาพระไปบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพนัญเชิงราชวรวิหาร จังหวัดอยุธยา บ้างไหมครับ

สมเด็จ : เคยเอาไปให้เขาบ้าง แต่ไม่มาก คือเรื่องพระนี่ ท่านอย่าไปยึดมาก พระมันก็ดีทั้งนั้นแหละ การที่ให้มีพระห้อยคอ ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้ระลึกถึงพุทธานุภาพ ในฐานะที่เราเป็นพุทธสาวก เพื่อให้เราระลึกถึงว่า พระพุทธองค์เป็นพระบรมศาสดาตัวอย่าง ที่จะให้มนุษย์เรานี้ปฏิบัติตาม

ทีนี้ ถ้าจะพูดถึงว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดพลังอำนาจแห่งความขลังหรือไม่นั้น คือขึ้นอยู่กับเกจิอาจารย์ที่ทำ มีพลังจิตขนาดไหน มีศีลขนาดไหน เป็นส่วนประกอบ และผู้ที่ใช้พระเครื่องนั้น จะต้องตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ เพราะว่า กรรมวิบากของมนุษย์ ของตนเองนั้นแหล่ เป็นสิ่งที่จะส่งเสริม ซึ่งอาตมาก็ได้เคยเทศน์ให้คติไว้ว่า

“จงใช้ปัญญาของตนทำมาหากิน อย่าหวังพระท่านจะช่วยเราได้ทุกกรณี” เพราะบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องพึ่งตัวท่านเอง แต่บางอย่างมันก็เกี่ยวกับอกุศลกรรมวิบากของท่านหนัก ในกรณีเช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้นยาก เพราะว่าภาวะแห่งกรรมวิบากนั้น จะต้องเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ


pngegg.5.3.1.png




ขรัวโตรักษาคำพูด


พระเมี้ยน : ตกลงที่วัดพนัญเชิงนั่น เป็นพระของเก่าที่หลวงพ่อเอาไปไว้ที่นั้นใช่ไหมครับ

สมเด็จ : ของมันก็ดีทั้งนั้นแหละ อาตมาไม่ได้ไปฝังที่นั่น ตอนนั้นเอาไป ๓๐ กว่าองค์ เอาไปให้เขา เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง ดูเหมือนชื่อหลวงพ่อไข่ หรืออะไรนี่ ที่อาตมาไป

เขานิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่วัดพนัญเชิง ทีนี้ อาตมาก็ลืมๆ ไป พอดีเวลาจะทุ่มหนึ่งแล้ว ก็เอ๊ะ นี่มันมีรายการเทศน์ที่วัดพนัญเชิงนี่ ก็ระดมลูกวัดบอกว่า ไม่ได้ สมเด็จโตรักษาคำพูด เมื่อเขานิมนต์วันนี้ เราจะต้องไปถึงอโยธยาวันนี้ ก็พายเรือไปกัน พอดีน้ำลง ไม่ต้องทวนกระแสน้ำมากก็ไว พายกันไปถึงที่นั่นก็เกือบสว่างละ แต่ว่าเรายึดหลักว่า พระอาทิตย์ขึ้น จึงจะนับวันใหม่ พวกญาติโยมที่มาฟังสมเด็จเทศน์ แต่ผิดหวังกลับไปแล้ว

อาตมาไปถึงก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย มีคนฟังไม่มีคนฟัง เราต้องเทศน์ เพราะว่าเรานัดเขาวันนี้ เทศน์เสร็จ เขาก็ยังไม่รู้ว่าเรามา เราก็นอนอยู่กับธรรมาสน์นั่นแหละ พอตื่นเช้า เจ้าอาวาสก็เดินขึ้นมา เอ๊ะ กลุ่มคนมาจากไหน อ้าว สมเด็จ มาเมื่อไหร่ล่ะ ก็นิมนต์มาเทศน์บอกว่า เทศน์แล้ว เทศน์ที่ไหน ก็ตอนเทศน์เอ็งไปนอนกันนี่ เพราะว่าลืมไป ก็ไปเรียกชาวบ้านมาฟังเทศน์ใหม่

เทศน์เสร็จ ตอนนั้นก็พอดีมีพระอยู่ ๓๕ องค์ ไม่ได้ให้หวยนะ พวกนี้มันชอบตีหวย ก็ให้เขาไป แล้วตอนนั้นพระของอาตมายังไม่ดัง ตอนสร้างแปดหมื่นสี่พันองค์ ก็ซ่อนไว้ที่เพดานวัดระฆังฯ บ้าง แล้วก็บางแห่ง ที่วัดพลับนี่ก็มี เพราะมาฝึกการทำพระกับอาจารย์ เขาเรียกอาจารย์ไก่เถื่อน ที่เป็นคนสอนการทำพระให้อาตมา และที่สร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์นี่ สวดด้วยคาถาชินปัญชร


สร้างแล้วมันก็แยะ พอวันพระ วันถืออุโบสถทีหนึ่ง ก็ต้องขอร้องชาวบ้านว่า ช่วยกันเอาไปเลย เอาไปบ้าน เก็บไว้ให้ดีนะ ต้องขอร้องให้เขาเอาไปนะ เพราะในโบสถ์มันเต็มไปนี่ บางคนก็เอาไปทิ้งๆ ขวางๆ บ้าง บางคนก็เอาไปไว้ตั้งบูชาบ้าง เพราะฉะนั้น พระที่อาตมาสร้างนะ มาถึงเวลานี้ มันเหลือน้อยเต็มที เรื่องมันร้อยกว่าปีมาแล้ว ในยุคนั้น อาตมาไม่ใช่เป็นอาจารย์ชื่อดังในเรื่องการสร้างพระเครื่องหรอก

ยุคศิวิไลซ์นี้ คนชอบความโกหก คนก็เลยสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา พระกรุโน้นดี นี้ดี มันก็กลายเป็นเรื่องที่เขานับถือกัน ที่จริงพระทุกอย่างดีทั้งนั้น เราบูชาให้ถึงตัวองค์พระ ไม่ใช่บูชาเพื่ออะไร เขาเรียกว่า บูชาไม่ใช่ติด ท่านไหว้พระพุทธเจ้า ก็ไหว้คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ท่านไหว้ขรัวโต ก็เพราะนับถือความบ้าๆ บอๆ ของขรัวโต ไม่ใช่ว่าให้ท่านติด เข้าใจไหม


pngegg.5.3.2.png




พระเครื่องไม่ช่วยคนชั่ว


สมเด็จ : พระเครื่องที่อาตมาสร้าง อาตมาไม่ได้บอกว่าให้มันเหนียว ส่วนมากอาตมาสวดแต่ทางเมตตา ทีนี้ ภาวะแห่งอานุภาพแห่งเมตตาจิตของอาตมา อาจจะเป็นพลังเข้าไปในวัตถุนั้นได้ เขาเรียกว่า พลังของจิตที่เข้าไปสู่ในสิ่งเหล่านั้น ก็คือให้ทุกคนมีความเมตตาต่อเรา

ทีนี้ ในการที่บางคนมีพระเครื่องของอาตมาแล้วก็ไปเป็นโจร แล้วเขาก็ฆ่าไม่ตาย อันนี้อาตมาขอแถลงว่า นั่นเป็นวิบากกรรมของเขาที่ยังไม่ถึงวาระแห่งการตาย แล้วท่านจะเห็นว่า โจรบางคนห้อยพระเป็นพวงๆ ทำไมต้องตายเล่า พระย่อมไม่เข้ากับคนชั่ว พระย่อมรักษาความจริง

ความจริงเป็นสิ่งแน่นอนและคงทนต่อการพิสูจน์ พระพุทธองค์สอนให้เราละแห่งจิตในความยึดตน ละในทิฐิ ในโลภะ โทสะ โมหะ ให้มันค่อยๆ น้อย จากกายในกายของเรา เมื่อน้อยลงไปมากๆ เราไม่มีอุปทานในความยึดอะไรมาก เราไม่ต้องดิ้นรนมาก ความเบิกบานก็ย่อมเกิดขึ้นมาก


ภาวะนั้นแหล่ จะช่วยให้กายเนื้อท่านแข็งแรงไปพร้อมกับกายใน เพราะท่านไม่มีความยึดใดๆ เป็นหลักแห่งความจริงจังมากเกินไป



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 19:26, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDF8NjkzMTMwYTB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-5-8 19:26, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDJ8OTRjZDk4MTd8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๑๐

พระสงฆ์ที่บริสุทธิ์ดูยาก


(วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : เราจะมีทางสังเกตได้อย่างไรว่า พระองค์ไหนเป็นสงฆ์ ไม่เป็นสงฆ์ จะเป็นที่พึ่งของเราได้หรือไม่ ในยุคนี้

สมเด็จ : คือในยุคนี้ ถ้าในเมืองบางกอกรู้สึกจะดูยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสังเกตพระที่เป็นพระที่บริสุทธิ์นั้น ถ้าพระที่ปฏิบัติแล้ว จะยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็จะไม่มีการติดในวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ในการสังเกตพระนั้น ถ้าพระที่ปาราชิก หรือปาจิตตีย์แล้ว ดวงตาจะมีความคล้ำ อันนี้ มันต้องสอนกันหลายด้าน

คือในสภาวะนั้นแหละ ให้สังเกตง่ายๆ ก็คือว่า ถ้าจะดี จะไม่มีสิ่งเสพติดในยุคนี้ และจุดสำคัญก็คือ จะต้องมีความผ่องใสเป็นสรณะ การผ่องใสนั้น ไม่ใช่ว่าอ้วนพุงพลุ้ยอย่างกับพระสังกัจจายน์ พวกนี้พวกกินมาก

เพราะฉะนั้น อย่าให้อาตมาพูดอะไรมาก ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งอาตมาก็เทศน์ไว้มากแล้วว่า อาตมาไม่ยอมถอยเข้าอนุสติฌาน มาตรวจเรื่องมนุษย์โลกในยุคนี้ มันเป็นยุคที่แสนจะทุเรศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักปู่สวรรค์ก็ต้องมาเกิดในยุคนี้ด้วย ในโลกมนุษย์

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๑๑

พระจับเงินได้หรือไม่


(วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๔)



พ.ท.สอน นิยมโชค : หลวงพ่อครับ ลูกมีเรื่องจะกราบเรียนถามหลวงพ่อ คือลูกตั้งใจจะบวช ทีนี้มันมีข้อสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งครับ เวลานี้พระสองนิกายกำลังขัดแย้งกันเรื่องเงินครับ คือนิกายหนึ่งจับต้องเงินไม่ได้ อีกนิกายหนึ่งพกเงินได้ ลูกก็เลยไม่ทราบว่า จุดมุ่งหมายในเรื่องนี้เป็นอย่างไรครับ

สมเด็จ : ไอ้เรื่องสองนิกายนี้ เราอย่าไปพูดถึง พูดถึงว่าเราจะบวชแล้ว เราจะปฏิบัติจิตด้วยความบริสุทธิ์ เป็นสาวกของตถาคตหรือไม่

เรื่องนิกายนี้ อาตมาก็ได้บอกแล้วว่า เมื่อสมัยพระจอมเกล้า ร.๔ กำลังครองราชย์ พระเถระทั้งหลายยกยอปอปั้นพระจอมเกล้า ร.๔ จนเลยเถิด เลยตั้งธรรมยุตินิกายขึ้นมา ในเถรสมาคมยุคนั้น อาตมาค้านอยู่คนเดียวสู้ไม่ไหว ก็บอกแล้วว่า แต่ไหนแต่ไรมา สมเด็จโตเป็นคนที่ขวานผ่าซาก ยึดหลักว่า สิ่งจริงต้องว่าจริง

สุดท้ายก็แบ่งแยกสำเร็จ ตามเจตนาของเหล่าสอพลออัปรีย์ ผลสุดท้ายก็สร้างความยุ่งยากให้แก่ศาสนาในสองนิกายในขณะนี้

ทีนี้ ในขณะนี้ท่านจะบวช ท่านก็ต้องทำจริง ก็บอกว่า ฉันเป็นพระสำนักปู่สวรรค์ ไม่มีนิกาย ฉันเป็นลูกศิษย์ตถาคต สำหรับเรื่องปัจจัยนั้น ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นเฉพาะการยังชีพ เมื่อจำเป็นในการยังชีพแล้วไซร้ ก็มีติดตัวได้ไม่เกินอัตราที่จำเป็น ในการจับนั้นมันเป็นสิ่งสมมติ คือเรียกว่า เรายึดเงินหรือไม่

อาตมาไปไหนในสมัยนั้น บางครั้งรวยหน่อยก็มี ๑ บาท ๘๐ สตางค์ บางครั้งจนหน่อยก็มี ๑๘ สตางค์ ถ้าจนมากๆ ก็เหลือ ๘ สตางค์ ไอ้พวกนี้บ้าหวย เดี๋ยวตีเป็นหวยหมด มันก็อยู่ได้ สมเด็จโตอยู่ได้ เพราะว่าเราอย่ายึด เมื่อไม่ยึด ท่านก็จับเงินด้วยความไม่มีอุปาทาน ใช้เท่าที่จำเป็น อาตมาถือว่า ไม่เสียหาย

แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพระแล้วพกปัจจัยเป็นถุงๆ เป็นพันๆ แล้วก็คอยจ้องว่าอีหนูคนไหนสวย กูจะได้สึกออกไปแต่งกับมึง ถ้าแบบนี้แล้ว อย่าบวชดีกว่า เสียผ้าเหลืองเขาหมด เสียผ้าเหลืองตถาคตหมด

เพราะฉะนั้น ถ้าจะบวชก็บวช เราต้องถามตัวเราเองว่า –

หนึ่ง    เราพร้อมแล้วหรือที่จะบวช
สอง    เรามีความห่วงหรือไม่
สาม    เรามีความติดหรือไม่
สี่        เรามีความกลัวหรือไม่


ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่มาก ก็พยายามบวชใจก่อน แต่ทีนี้การให้สัจจะกับวิญญาณนั้น จำเอาไว้ว่า จะต้องทำตาม และต้องปฏิบัติเข้าใจไหม


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๑๒

ทำอะไรจึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด


(วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๒)



ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา : ผมอยากจะถามหลวงพ่อว่า การกระทำอะไร จึงจะเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์ที่สุดแก่โลกของเรา

สมเด็จ : จะให้อธิบายในแง่ของวัตถุ หรือในแง่ของจิตใจ ต้องตั้งประเด็นขึ้นมาก่อน

ดร.อาจอง : อะไรที่จะเป็นประโยชน์ที่สุด ในแง่ไหนก็ได้ครับ

สมเด็จ : คือ ถ้าในการแห่งการเป็นอยู่ของการเป็นมนุษย์แล้วไซร้ เขาเรียกว่า ประโยชน์ทั้งหลาย ถ้าท่านยังติดคำว่ามีประโยชน์ ท่านก็ยังไม่เข้าซึ้งถึงคำว่าไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งสมมติแห่งการชิงดีชิงเด่นของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่ตั้งกันขึ้นมา

แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ ให้ทุกๆ คนรู้จักตัวเอง ให้ทุกๆ คนไม่มีตัวโลภ ให้ทุกๆ คนไม่มีตัวโกรธ ให้ทุกๆ คนไม่มีตัวหลง ทุกๆ คนมีสติสัมปชัญญะพร้อมเสมอในการปฏิบัติตนว่า ตนเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เพราะว่ามีกรรมในอดีตส่งผล นำตนให้มาเกิดในปัจจุบัน เพื่อในการใช้กรรม

เมื่อทุกคนเข้าซึ้งถึงสัจจะอันนี้แล้ว โลกมนุษย์นี้จะเป็นโลกที่ผ่องใส โลกมนุษย์นี้จะเป็นโลกที่แสนจะให้ประโยชน์แก่คนในดวงดาวอื่น ที่เขาอาจจะมาเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์เราด้วย

แต่ทุกวันนี้ ที่โลกมนุษย์ไม่มีความดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อเหล่าดวงดาวทั้งหลาย เพราะมนุษย์ลืมตน มนุษย์ไม่รู้จักตัวเอง มนุษย์พยายามคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด มนุษย์พยายามสร้างในความเจริญทางวัตถุ เพื่อเอามาเข่นฆ่ากัน ซึ่งอาตมาก็ได้เทศน์ไว้มากแล้ว

การที่โลกวิญญาณสั่งตั้งสำนักปู่สวรรค์นี้ ก็เพื่อจะมาให้มนุษย์ทั้งหลายรู้จักตัวเอง เมื่อมนุษย์รู้จักตัวเอง ก็ย่อมที่จะทิ้งทิฐิมานะแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงลงได้ เมื่อนั้นสันติสุขของโลกมนุษย์ก็จะเกิดขึ้น วิญญาณก็จะได้ไปสู่สุคติในเทวโลก พรหมโลก บอกตรงๆ เวลานี้ นรกโลกไม่มีที่จะเก็บวิญญาณแล้ว วิญญาณเก่าที่เสวยกรรมยังไม่ทันปล่อยมาเกิด วิญญาณใหม่ก็ไปเป็นฝูงๆ

ดร.อาจอง : ผมอยากจะถามว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้รู้จักตัวเองดีขึ้นครับ ผมเองก็ได้ฝึกสมาธิมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังไม่รู้จักตัวเองดีเลยครับ

สมเด็จ : คือในการที่จะฝึกตนให้รู้จักตัวเองดีขึ้นนี้ ท่านต้องวางจิตให้นิ่ง ให้ว่างจากสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วมาพิจารณาว่า กายนี้ประกอบด้วยอะไร เมื่อท่านรู้ว่ากายนี้ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นการรวมของอสุภะแล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านจะเกิดความคิดว่า อ๋อ นี่หรือคือตัวตนแห่งกายเนื้อ กายเนื้อจะต้องมีสิ่งลี้ลับซ่อนเร้นอยู่ นั่นคือ ท่านต้องวางจิตให้เฉย พิจารณาในอารมณ์ เพ่งในกายในกาย

ในการเพ่งเข้าสู่กายในกายนี้ ให้วางจิตไว้ที่นี้ (กึ่งกลางระหว่างหัวคิ้ว) ตั้งให้อยู่ตรงกลาง ตาในอย่าหลับ ตาในต้องลืม ลืม ลืมตาให้คล่อง กายทิพย์ของท่านอยู่ตรงนี้ (บริเวณท้ายทอย) กายทิพย์และจิตวิญญาณจะมารวมตรงนี้ (กึ่งกลางหน้าผาก) แล้วระหว่างนั่งนี่ เคยเกิดแสงวูบๆ ขึ้นมาหรือยัง

ดร.อาจอง : เคยมีครับ แต่เสร็จแล้วพยายามดับไม่ให้มันเกิด

สมเด็จ : สภาพการณ์อันนี้เขาเรียกว่า ยังไม่เข้าซึ้งถึงจุดแห่งความจริงของวิปัสสนา คือในพลังแห่งการรวมแสงนี้ ให้รวมเป็นวงกลมขึ้นมาก่อน โดยไม่ใช่รวมด้วยอุปาทาน การเกิดแสงนี้เพราะจิตนิ่ง ธาตุทั้งสี่เสมอ ภาวะธาตุทั้งสี่เสมอ พลังแห่งกายทิพย์จะรวม เข้าใจหรือยัง

ดร.อาจอง : ถ้าเผื่อเกิดแสง ให้พยายามรวมไว้เป็นวงกลมหรือครับ

สมเด็จ : รวมเป็นวงกลม แต่ไม่ใช่รวมด้วยอุปาทานนะ ขั้นแรก ถ้าจิตเรายังหมอง วงกลมนี้จะไม่ใสเหมือนลูกแก้ว การฝึกฌานญาณมันอยู่ตรงจุดนี้ แต่ทุกวันนี้ เกจิอาจารย์ทั้งหลายที่สอนในหลักวิปัสสนาได้หลงทางไปอย่างใหญ่หลวง ที่เราจะดึงกลับนั้นยาก

สมมติท่านจะปลูกบ้าน ท่านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางรากฐานให้มันแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับการฝึกวิปัสสนา ถ้าท่านไม่วางจุดแห่งกรรมฐานให้แข็งแกร่ง ให้สู่จุดแห่งเอกัคตาจิตแล้วไซร้ ท่านจะเข้าสู่จุดแห่งญาณ แห่งการรู้ในหลักของ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ได้หรือ

ฉะนั้น ในการฝึกที่จะให้รู้จักตัวเองมากขึ้นนั้น ให้ฝึกใหม่ คือ ให้วางหมดทุกตำรา แล้วทำจิตให้นิ่งๆ วินิจฉัยแห่งการแยกกายเนื้อนี้ก่อน สภาวการณ์แห่งการรู้อสุภะของกายเนื้อแล้วไซร้ ค่อยมาพิจารณาเข้าสู่กายในกาย


ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล : อาจารย์ ดร.อาจอง และสานุศิษย์ในที่ประชุมต่างชื่นชมต่อคำอธิบายของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งครับ

สมเด็จ : ก็รู้ว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งสองนี่สนใจ ไม่งั้นจะมาเทศน์หรือวะ

pngegg.5.3.1.png




นั่งสมาธิแล้วเกิดปวดศีรษะ


อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล : มีเพื่อนของลูกคนหนึ่งเจ้าค่ะ นั่งอยู่ในที่นี้ด้วย เขาเคยไปนั่งวิปัสสนาในป่าช้าเจ้าค่ะ

อาจารย์ภาวาส บุนนาค : ผมก็ตามๆ เขาไปอย่างนั้นแหละครับ

สมเด็จ : คือในการนั่งวิปัสสนากรรมฐานนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งในป่าช้า คือหาที่สงบฝึกก่อน ในการที่เขาจะไปฝึกในป่าช้าอะไรนั่น เขาเรียกว่า ไปลองว่าจิตของตนนี้นิ่งเพียงพอหรือไม่ต่างหากเล่า แล้วในการออกไปสู่ป่านั้น เขาไปทดสอบในความนิ่งของตนก่อน และถ้าท่านอยากจะเห็นผี ผีลุกขึ้นมา ท่านกลัวหรือไม่ ท่านต้องถามตัวเองก่อน

อาจารย์ภาวาส : ผมอธิษฐานว่า อย่าให้เห็นครับ (หัวเราะ)

อาจารย์ลัดดา : ลูกเป็นห่วงว่าเล่นกับผี เดี๋ยวผีเข้าตัว ต้องมารดน้ำมนต์ไล่กันแย่

อาจารย์ภาวาส : ผมเข้าใจว่า ผีก็พยายามจะเข้าผมเหมือนกัน รู้สึกมึนวิงเวียนศีรษะ จะเป็นไปเอง หรืออย่างไรไม่ทราบครับ

สมเด็จ : ในเรื่องการวิงเวียนศีรษะนี้ อาตมาจะอธิบายให้ มีหลักหลายอย่าง สภาพการณ์ถ้าท่านกำลังฝึกวิปัสสนากรรมฐานทั้งหลาย เกิดวิงเวียนศีรษะนั้น เขาเรียกว่า กำลังปรับธาตุ ธาตุทั้งสี่ในกายจะเสมอ ก็อาจจะวิงเวียนศีรษะ

อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่สอง ท่านอาจจะเป็นโรคของศีรษะ โรคประสาท ก็อาจเกิดการวิงเวียนศีรษะระหว่างปรับธาตุ

ข้อที่สาม คือวิญญาณจะเข้าร่าง ถ้าวิญญาณพวกอมรมนุษย์ พวกกายหยาบแล้ว เขาจะบังคับประสาทส่วนบนของท่านก่อน ไม่เหมือนอาตมา อาตมาบังคับจิตก่อนไม่ให้จิตเคลื่อนไหว วิญญาณแทรกเข้ามา ถ้าพวกกายหยาบเขาจะบังคับประสาทก่อน เพราะฉะนั้นต้องดูกาละในระหว่างนั้น ว่าอยู่ในข้อไหน

ทีนี้ ถ้านิ่งแล้ว มีจิตแห่งความกลัว หรือผวาอยู่ เกิดความวิงเวียนศีรษะนี้ เขาเรียกว่า ธาตุมันเต้นผิดปกติ ก็จะวิงเวียนศีรษะ

ข้าหลวงสุทิน : ทีนี้ พวกฝึกใหม่ๆ ไม่สามารถบังคับจิตให้นิ่งได้ดังปรารถนา เพราะจิตนี้แกว่งไปแกว่งมาเหมือนลิง ไม่อยู่สุข ดังนั้นเป็นการยากที่จะทำให้จิตนิ่ง นั่นประการหนึ่ง และประการที่สอง การฝึกจิต มักจะเกิดอาการง่วงงาวหาวนอน สองประการนี้ ขอความกรุณาหลวงพ่อได้โปรดอธิบายด้วยครับ

สมเด็จ : ที่มันเกิดอาการง่วงก็เพราะว่า เวลาหลับตาแล้ว ตาในก็หลับด้วย มันก็เลยหลับไปเลย คือ การนั่งวิปัสสนา ตาข้างในจะต้องไม่หลับ แต่เปลือกตาปิดไว้เท่านั้น นั่นแหละ มันจึงไม่มีความง่วง เพราะว่ามันเป็นการบังคับจิตของมันอยู่ในตัว ที่ทุกวันนี้มันเกิดความง่วง เพราะมันหลับกันทั้งสอง ทั้งตานอกตาใน หลับแล้วก็นึกเอา นั่งนึกกันใหญ่ (ทุกคนหัวเราะ)

ข้าหลวงสุทิน :
ลูกเคยถามหลวงพ่อครั้งหนึ่งแล้วว่า เวลานี้อาจารย์บางสำนักก็บอกให้ลืมตา บางสำนักก็บอกให้หลับตา หลวงพ่อก็ให้หลับตา และบัดนี้ก็ได้รับความกระจ่างแจ้งขึ้นว่า ให้หลับตานอก ตาในไม่ให้หลับ คือเพียงแต่หรี่เปลือกตาลงเท่านั้นใช่ไหมครับ

สมเด็จ : อือม์ ใช่

ข้าหลวงสุทิน : ตามความจริง สภาวะมันมักจะง่วง จะมีวิธีแก้อย่างไรครับ

สมเด็จ : ท่านนั่งแล้วเกิดความง่วงแล้วไซร้ ท่านควรจะลุกขึ้นเดินจงกรม ในการนั่งกรรมฐานแล้วเกิดความง่วงนี้ อาจจะเกิดจากการนอนไม่อิ่ม คือในการนั่งปฏิบัตินี้ ท่านจะต้องนั่งเป็นเวลาและนอนเป็นเวลา แบ่งเป็นขั้นๆ

อาตมาก็ได้เคยเทศน์ไว้แล้วว่า สมัยเมื่ออาตมามีสังขาร เช้า ตี ๕ อาตมาจะต้องตื่น ตื่นแล้วก็อาบน้ำ ไม่ว่ามันจะหนาวยังไงก็ต้องอาบ อาบเสร็จก็ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ พอ ๖ โมงเช้า ก็ออกบิณฑบาต กลับมา ๗ โมง ถึง ๘ โมง เราก็ฉัน ฉันเสร็จ เราก็พัก ใครจะมาคุยอะไรก็ว่ากันไป

บ่าย ๓ โมง อาตมาปิดกุฏิ แล้วนอน ๒ ทุ่ม ตื่น ตื่นขึ้นมาทำอะไร ทำราชกิจพระจอมเกล้า ร.๔ เอ็งรู้หรือเปล่าว่า ราชการแผ่นดินของราชวงศ์จักรี อาตมาทำไว้ตั้งแยะ แต่อาตมาไม่ได้ชื่อหรอก เพราะทำอะไรเขาเรียกว่า มนุษย์เราถ้าทำอะไรได้ชื่อ มันไม่ได้บุญ

ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ปิดทองหลังพระ อาตมาว่า ปิดทองหลังพระก็ยังได้บุญ เพราะว่าถ้ามีคนเดินไปข้างหลังมันยังเห็นทอง ถ้าท่านจะได้บุญอย่างจริงจังแล้วไซร้ ท่านต้องปิดทองก้นพระ พระแต่ละองค์หนักๆ นั่งทับเอาไว้ มองไม่เห็น

ทีนี้ ก็ในสภาวการณ์ ๒ ทุ่ม ทำถึง ๔ ทุ่ม บางทีก็ ๕ ทุ่ม แล้วนอนต่อ คือต้องแบ่งเวลา แบ่งจังหวะ ในการติดต่อ ในการรับแขก ในการอะไรก็แล้วแต่ ให้มันมีจังหวะ มีเวลา แล้วมันก็ไม่ง่วง มันก็จะเป็นไปตามรูปการณ์นั้นๆ


ข้อสำคัญเวลาจะนั่งวิปัสสนา อย่ามีการนัดแนะ เช่น หนุ่มสาวจะนัดไปดูหนังดูละคร ๑๐ โมง หรือ ๑๒ โมง ก็ว่ากันไป แล้วเหลือเวลาก่อนนัดสัก ๒-๓ ชั่วโมง มานั่งวิปัสสนา มันจะกลายเป็นวิปัสสนึกไป นึกว่าเดี๋ยวเราจะไปเที่ยวหนา นัดจะไปเที่ยวหนา แล้วมันจะนั่งได้อย่างไร

การนั่งวิปัสสนานั่น มันจะต้องวางหมดทุกๆ จิต จิตจะต้องว่างจากสรรพสิ่งแล้วค่อยนั่ง เมื่อนั้นแหละ ท่านจะรู้จักดวงใน รู้จักฌานญาณ ซึ่งอาตมาบอกแล้วไซร้ ต่อไปท่านย่อมที่จะรู้อะไรๆ

และในการที่จะอธิบายให้เข้าใจด้วยภาษามนุษย์ ในเรื่องของการถึงจุดแห่งความประภัสสรของวิมุตติจิตนั้น ถ้าอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ง่ายแล้วไซร้ องค์สมณโคดมคงจะไม่ประกาศธรรมไว้ว่า ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงตถาคต ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

เพราะว่าจุดแห่งการถึงวิมุตตินี้ มันอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ ถ้าอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้แล้วไซร้ องค์สมณโคดมผู้มีพระปรีชาญาณอันเยี่ยมยอดคงไม่ทิ้งท้ายคำว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

เจริญพร



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 19:34, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDN8ODEzNGVjNDB8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:53

ตอนที่ ๑๓

การทำงานร่วมกันกับคนหมู่มาก


(วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๐)



อาจารย์ทัศนีย์ บุรุษพัฒน์ : หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ในการปฏิบัติงานร่วมกันหลายๆ คนนี่ บางคนก็ยึดตนเป็นใหญ่ เราจะทำอย่างไร ที่จะขจัดความท้อถอย หรือความรู้สึกที่ว่าความตั้งใจมันลดน้อยลงไปได้บ้าง ลูกกราบขอวิธีแก้ไขค่ะ

สมเด็จ : คือในสภาวการณ์ การทำงานใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมมีอุปสรรค ทีนี้ ในการที่มนุษย์บางคนยึดตนเป็นใหญ่นั้น เพราะว่ามนุษย์ผู้นั้น ถูกครอบด้วยกิเลสตัณหาแห่งความลืมตน ถ้าเราทำงานในจุดมุ่งหมายแห่งความสุขของส่วนรวมแล้วไซร้ เราจะต้องทำแบบไม่มีอุปาทานแห่งการยึด คือว่า ใครจะใหญ่ก็ให้เขาใหญ่ไป ข้านี้เล็กเสมอ

โลกทุกวันนี้ยุ่งเหยิง เพราะมนุษย์แต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละเหล่า แต่ละชาติ ไม่พิจารณาในการปลงสังขารของตน ให้ไม่ยึดตน จึงทำให้อลเวงในโลกมนุษย์ ไม่มีวันสิ้นสุด แห่งการแก่งแย่งของลัทธิก็ดี การชิงดีในศาสนาก็ดี การชิงดีในการงานก็ดี

ฉะนั้น ในการทำงานนี้ เราต้องถือว่า เราทำด้วยเจตนาแห่งความแน่วแน่ของอุดมการณ์ ที่เราจะต้องทำ และในหมู่ผู้ร่วมงานนั้น บุคคลที่ยึดตนเป็นใหญ่ เราถือว่าบุคคลนั้นไม่ถึงการเป็นคน และตัวเราเองก็อย่าเป็นบุคคลที่ถูกเขาประณามว่า ไม่ถึงการเป็นคนด้วย คือ วางจิตให้นิ่ง ให้เฉย ให้สงบ แล้วทำอย่างมีสติพร้อม ย่อมไม่มีความท้อถอย

ถ้าเราเกิดความท้อถอย อาตมาก็เคยบอกแล้วว่า ท่านจงตั้งมโนยิทธิแห่งการคิดถึงการทำงานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี องค์พระเยซูก็ดี องค์มะหะหมัดก็ดี เขาเหล่านี้ ระหว่างที่ประกาศสัจจะในโลกมนุษย์ เต็มไปด้วยการขัดขวางของเจ้าลัทธิต่างๆ ปัญหาในหมู่คณะ ผู้ร่วมงานที่ชิงดีชิงเด่น


เช่น พระพุทธองค์ถูกการผจญของเทวทัต พระเยซูถูกกษัตริย์แห่งอาหรับตรึงกาเขน พระมะหะหมัดต้องถูกไล่ออกจากซาอุดีอาระเบีย เขาเหล่านี้ล้วนแต่เจอบุคคลที่ร่วมงานยึดตนเป็นใหญ่

ในการทำงานในคนหมู่มาก องค์สมณโคดมก็บอกแล้วว่า “นานาจิตตัง” เมื่อบุคคลที่ร่วมงานทั้งหลายยังไม่สำเร็จอรหันต์ คำว่าขัดแย้งขัดขวาง ย่อมมีในหมู่คณะนั้นๆ เป็นของธรรมดา

ปัญหาอยู่ที่ว่า เราเสนอตนเข้ามารับใช้มนุษย์ด้วยกันแล้วไซร้ เรามีความแน่วแน่แห่งมโนยิทธิของตนว่า ข้านี้ยินดีพลีชีพเพื่อผลสำเร็จของงาน


เมื่อเรามีสัจจะแห่งความแน่วแน่ในสิ่งนี้แล้ว เราต้องไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ไม่ฟังเสียงนก เสียงกา เสียงครหานินทา หรือสรรเสริญ เมื่อนั้น ผู้นั้นก็จะทำในสิ่งใดๆ สำเร็จลุล่วงตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ ในทางปรารถนาในทางที่ดี

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:54

ตอนที่ ๑๔

อย่ายึดชีวิตให้จริงจังมากเกินไป


(วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : พระพุทธเจ้าสอนว่า ความสุขอันแท้จริงก็คือ ท่านต้องวางอุปาทานในสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้รู้ทันในอายตนะแห่งความเคลื่อนไหวของธรรมชาติ ให้ตามทัน ยิ้มรับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้น

คือ อย่ายึดชีวิตให้จริงจังนัก ถ้าท่านยึดจริงจังเกินไป ท่านมีความกระวนกระวายมาก จิตท่านไม่สงบ ภาวะแห่งจิตท่านไม่สงบ จะทำให้ท่านเกิดความทุรนทุราย เมื่อท่านเกิดความทุรนทุราย ประสาทท่านตึงเครียด ปัญญาย่อมไม่มีทางเกิด

เพราะฉะนั้น ในการที่จะให้ท่านมีปัญญาเกิดก็คือ ท่านจงรับทราบว่า ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เพราะท่านมีกรรมของท่านเป็นปัจจัยแห่งสมุฏฐาน ที่ให้ท่านเกิดมาเพื่อใช้กรรมนั้นๆ ตามวิบากของกุศลและอกุศล

ท่านวางจิตให้นิ่งๆ อย่ามีความอุปาทานในความจริงจังกับชีวิตของการเป็นคน ยิ้มต้อนรับทั้งทุกข์และสุข ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่เอาคนอื่นมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบตัวเรา จิตท่านย่อมมีความสงบ ภาวะจิตสงบนี้แหละ จะทำให้ท่านมีสมาธิ ภาวะแห่งสมาธินี้แหล่ จะทำให้ท่านเกิดปัญญาในการพิจารณาว่า

การเป็นคนกอบโกยวัตถุ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เรามีโอกาสที่จะสร้างงานให้กับสังคม เรามีโอกาสที่จะช่วยโปรดสัตวโลกที่ยึดอยู่ในอัตตาทิฐิ ให้ช่วยกันระงับความฟุ้ง เมื่อท่านเข้าถึงภาวะอันนี้ ท่านย่อมเข้าซึ้งคำว่า ศาสนาเป็นอย่างไร

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:54

ตอนที่ ๑๕

หลักแห่งการถึงธรรม


(วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔)



สมเด็จ : ทั้งนี้และทั้งนั้นท่านทั้งหลาย ท่านมาสู่การเป็นสาวกของตถาคต ท่านมาสู่การเป็นพุทธมามกะนั้น ท่านต้องคิดว่า ท่านได้เกิดในที่ประเสริฐแล้ว ที่ได้เห็นแสงสว่างแห่งธรรมะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ได้ศึกษาในสิ่งที่เรียกว่า พระธรรมที่องค์สมณโคดมทิ้งให้เราศึกษา

ทีนี้ภาวะทั้งหลาย หลักแห่งการถึงธรรมนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่า ท่านอ่านมาก แล้วพูดมาก ท่านจะถึงธรรม

ธรรมะแห่งพุทธะนั้น ท่านจะต้องพยายามปฏิบัติตนให้เข้าสู่การขัดเกลากายในกายของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์ รู้ถึงธาตุแท้แห่งการเป็นสาวกตถาคต

ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ต้องการพุทธมามกะที่แท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่ารับศีลแบบนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น จะต้องปฏิบัติศีลให้ถึงในหลักแห่งศีลห้า แค่ศีลห้าก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงศีลแปดหรอก เพราะหากท่านเข้าซึ้งถึงศีลห้าอันนี้ ท่านก็ย่อมที่จะมีความสะอาด สุจริตในอารมณ์จิต


ภาวะนั้นแหล่ ท่านก็ย่อมมีความปลื้มปีติของท่านเอง พลังแห่งความปลื้มปีตินี้แหล่ จะช่วยให้ท่านถึงในการเป็นคนดี ถึงการประพฤติดี ถึงการตายดี

pngegg.5.3.1.png




ศาสนาไม่ทำให้คนขี้เกียจ


สมเด็จ : ทุกวันนี้มนุษย์ยุ่งเหยิง ทุกวันนี้โลกยุ่งเหยิง เพราะมนุษย์ทั้งหลายไม่ยอมหันมาค้นตัวเอง ไม่ยอมหันมาศึกษาตัวเอง ชอบเอาแต่ศึกษาค้นหาความผิดของคนอื่น จึงเกิดความยุ่งเหยิงในโลกมนุษย์

แล้วท่านจะถามว่า ศาสนาพุทธทำให้คนขี้เกียจใช่ไหม ที่ชอบให้นั่งสมาธิ จะทำให้ประเทศเราเป็นประเทศที่เรียกว่า ไม่ทันประเทศอื่น คืออันนี้ เป็นสิ่งไม่จริงหรอก ท่านทำสมาธิได้มาก จิตท่านสงบมาก เมื่อจิตท่านสงบมาก ปัญญาท่านย่อมเกิดมาก


นี่เป็นกฎธรรมดาของธรรมชาติที่จะทำให้ท่านถึงการที่เรียกว่า ช่วยเหลือพัฒนาให้ประเทศชาติของท่านเจริญเทียบเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ที่กำลังชิงดีชิงเด่นกันในโลกมนุษย์ขณะนี้ และถ้ามนุษย์ทั่วทั้งโลกรู้จักหยุดการกระทำทั้งหลายแล้ว สันติสุขก็จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์

pngegg.5.3.2.png




แก่นของศาสนา


สมเด็จ : งานของอาตมานี้ อย่าลืมว่า หลวงปู่ก็ดี อาตมาก็ดี ไม่ใช่ว่ามาแค่เทศน์แค่นี้ หรือมาแค่รักษาโรคแค่นั้น การรักษาเหล่านี้ เทพพรหมธรรมดาก็มาทำกันได้ ซึ่งท่านก็รู้อยู่ว่ามีเยอะแยะ แต่การมา คือมีหลักการที่จะทำงานปรับปรุงศาสนา ให้ถึงแก่นของศาสนา ไม่ใช่เป็นกระพี้ของศาสนาอย่างในทุกวันนี้

แล้วจะทำอย่างไรเล่า ให้ถึงแก่นของศาสนา ก็ต้องอาศัยมนุษย์ทั้งหลายที่มีความพัวพัน ที่สนใจมาร่วมประกอบการ เรียกว่า สละความสุขแห่งการเห็นแก่ตัวเองออกไป เผยแผ่ธรรมให้เขาเหล่านั้น ละทิ้งทิฐิมานะแห่งการยึดตน ให้หันมาพิจารณาว่า


ชีวิตเราเกิดมาชาติหนึ่งนั้น เราจะต้องเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ทำความเจริญให้แก่ศาสนา ไม่ใช่เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว ที่ทำลายความสุขส่วนรวม ทำความฉิบหายให้แก่ศาสนา โดยการเอาศาสนาบังหน้า อย่างมนุษย์ทั้งหลายที่มีอยู่มากในเวลานี้ ะนั้น ศาสนาจะเจริญได้ต้องอาศัยท่านเข้าซึ้งถึงคำว่าศาสนา เมื่อนั้นย่อมเจริญในโลกมนุษย์ได้

ทีนี้ จะทำอย่างไรให้เข้าถึงในหลักศาสนาอันแท้จริงได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาแห่งการทำ และพยายามชำระจิต มนุษย์ทั่วโลกทุกคนหยุดความคิด ๕ หรือ ๑๐ นาที ต่อหนึ่งวัน ความร่มเย็นในโลกมนุษย์จะเพิ่มพลังน่าอยู่ขึ้นอีกหนึ่งวัน

เจริญพร



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 19:42, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDR8ZWQ5MWNlZjF8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-5-8 19:43, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4NDV8ODZkNDNlYjF8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:54

ตอนที่ ๑๖

สมาธิดีผีไม่กล้าเข้า


(วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๓)



พระเชาวน์ ญาณวีโร : ผมสงสัยว่าจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้ผีเข้า

สมเด็จ : ทำสมาธิให้แข็ง

พระเชาวน์ : ทำสมาธิอย่างเดียวหรือครับ เขาว่าใบหนาดนี่กันไม่ให้ผีมายุ่งกับเราได้ จริงหรือเปล่าครับ

สมเด็จ : ผีมันจะเล่นมึง ต่อให้ใบหนาดอะไรนั่น มันก็เข้าได้ มันอยู่ที่กระแสจิต กระแสจิตแห่งความคิด แห่งความแน่วแน่ในพลังของสมาธิแล้ว ย่อมจะชนะในสิ่งที่เรียกว่า พวกอมรมนุษย์ พวกรุกขเทวดา

พระเชาวน์ :
สมาธินี่ ห้ามผีเข้าได้หรือครับ แล้วอย่างหลวงพ่อสมเด็จ ทำไมต้องบอกให้ร่างทรงนั่งสมาธิ หลวงพ่อถึงจะมา

สมเด็จ : นี่มันกระแสอีกกระแสหนึ่ง กระแสสะอาด น้ำต่อน้ำกลืนกัน คำว่าผีกับผู้สำเร็จนี่มันต่างกัน

ผู้สำเร็จขัดด้วยวิญญาณแห่งความสิ้นของอวกิเลส ก็เสมือนหนึ่งผู้ที่จะรองรับนี้ จะต้องพยายามขัดจิตของตนให้เหมือนน้ำ ลองเอาน้ำกับน้ำมันไปผสมกัน ปนกันได้ไหม ผีนั้นเปรียบเสมือนหนึ่งน้ำมัน มนุษย์ก็อยู่กับพวกน้ำมัน เขาเรียกพวกอมรมนุษย์ พวกรุกขเทวดา พวกปีศาจที่ใกล้มนุษย์ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า โอปปาติกะชั้นต่ำ พวกนี้ก็มีความอยาก มีความหลงดังเช่นมนุษย์ธรรมดา

พระเชาวน์ : แล้วการนั่งสมาธิ มีอำนาจสมาธิทางจิตของร่างทรง ไม่ขัดกับหลวงพ่อสมเด็จหรือครับ

สมเด็จ : เขาวางกระแสจิตให้นิ่งเฉย ภาวะแห่งกระแสจิตนิ่ง จิตวิญญาณของอาตมาก็เข้าได้

พระเชาวน์ : ถ้าใช้สมาธิต้านเอาไว้ ไม่ให้เข้าได้ไหมครับ

สมเด็จ : ต้องอย่าลืมว่า กระแสฌานที่ต้านวิญญาณชั้นสูงนั้น เสมือนหนึ่งว่า ฝึกสมาธิส่วนมากเป็นดวงไฟแค่ ๑๐ แรงเทียน กระแสจิตของพระโพธิสัตว์ กระแสจิตของพรหมชั้นสูง ๑๐๐ แรงเทียน เพราะฉะนั้น ๑๐ เจอ ๑๐๐ สิบจะอยู่หรือไม่

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:54

ตอนที่ ๑๗

สื่อมวลชนที่ดี


(วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สมเด็จ : อาตมาจะขอเทศน์ถึงคำว่า “การเป็นนักสื่อมวลชน”

การเป็นนักสื่อมวลชนนั้น เขาเรียกว่า เป็นคนกลาง การเป็นคนกลางนั้น เป็นยากที่สุดในโลกมนุษย์ สภาวะการเป็นคนกลาง จะต้องมีหลักแห่ง

หนึ่ง    เชาวน์
สอง    ปฏิภาณ
สาม    ไหวพริบ


จะต้องรอบรู้สารพัด จึงจะเป็นคนกลางได้ การเป็นคนกลางลำบากอย่างไร เพราะสภาพการณ์คำพูดของคนหนึ่งจะถ่ายทอดให้อีกคนหนึ่ง เราจะต้องรู้อารมณ์ของฝ่ายตรงข้าม ที่เราเข้าไปพูดนั้นเป็นอย่างไร

การเป็นสื่อมวลชนที่ดีนั้น จะต้อง

หนึ่ง ต้องมีอุดมการณ์ ว่าตัวเรานี้สละแล้วซึ่งความสุขส่วนตัวเพื่อปฏิบัติการเพื่อความสุขของส่วนรวม ฉะนั้น การเป็นตุลาการก็ดี การเป็นทนายแผ่นดินก็ดี การเป็นนักการค้าก็ดี การเป็นสื่อมวลชนก็ดี จะต้องมีอุดมการณ์อันนี้ ถึงแม้ท้องเราจะอด เราก็ต้องอยู่ในหลักแห่งสัจธรรมอันเที่ยงแท้

สอง เมื่อมีอุดมการณ์จะโกงไม่เป็น การเป็นคนกลางนั้น ในวิถีการใดก็แล้วแต่ นอกจากค้าขาย ค้าหมู ค้าควาย ค้าที่ นั่นแหละถึงจะมีทางรวย ถ้าเป็นคนกลางแห่งการที่จะดำเนินเพื่อสันติสุขของโลกมนุษย์แล้วไซร้ จะรวยยาก เพราะมนุษย์เรานี้ ถ้ามีอุดมการณ์ก็จะโกงไม่เป็น ถ้าจะโกงก็ย่อมไม่มีอุดมการณ์

ในวิถีการใดก็แล้วแต่ ถ้าเราจะเป็นสื่อมวลชน หรือเป็นคนกลางใดก็แล้วแต่ จะต้องวางหลักแห่ง ๓ ประการ ว่า

หนึ่ง   เรานี้ไม่ใช่มีปากกาแล้ว ก็แล้วแต่เราจะเขียน


สอง   เราจะต้องวินิจฉัยเหตุผลทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ ด้าน


สาม   ถ้าคนหนึ่งด่าคนหนึ่ง เราจะทำอย่างไร ให้อีกคนหนึ่งเข้าใจสภาพของอีกคนหนึ่ง


ดังนี้ จึงจะเป็นสื่อมวลชนที่ดี เข้าใจไหม


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:54

ตอนที่ ๑๘

ความขัดแย้งของผู้นับถือศาสนา


(วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๖)



สมเด็จ : ใครมีปัญหาธรรมะอะไรไหม

คุณพินิจ : ขอประทานกราบเรียน เจ้าประคุณสมเด็จด้วยความเคารพอย่างสูง เกล้ากระผมได้ฟังปัญหาจากพุทธศาสนิกชนหลายคนด้วยกัน ท่านเหล่านี้ก็ไม่มีความคิด ไม่มีปัญญาที่จะแก้ได้ ก็ได้ฝากกราบเรียนถามเจ้าประคุณสมเด็จ คือว่า


เขาเหล่านี้ ต้องทำงานร่วมกับศาสนิกชนหลายศาสนา เช่น มุสลิม คริสต์ ซิกข์ ทำไมมักจะมีสิ่งที่ขัดกัน จึงฝากมาถามท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ว่าจะทำอย่างไรดีครับ ที่จะทำงานของเขาได้ลุล่วงไป โดยไม่มีอะไรขัดกัน

สมเด็จ : เจริญพร ในปัญหาศาสนานั้น เป็นเรื่องใหญ่ที่มนุษย์ไม่เข้าใจในวิบากในเรื่องกรรม ทุกๆ ศาสนาสอนตนไปสู่ในการที่เรียกว่า ให้มีความสุข ทุกๆ ศาสนาสอนตนเพื่อที่จะหลุดพ้นจากทุกข์

ทีนี้ ในปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่เรียกว่า สาวกรุ่นหลังไม่เข้าใจ ไม่เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งความจริงของศาสนา ก็เลยมาแบ่งแยกศาสนากันเอง แล้วมาถือนั่นถือนี่

ทีนี้ ถ้าพูดในเรื่องศาสนาอันแท้จริงแล้ว ทุกๆ ศาสนาไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกัน คือไปสู่โลกวิญญาณเหมือนกัน ไปสู่การที่ว่าให้หลุดพ้น ไม่ใช่แต่เฉพาะศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ก็ดี ศาสนาโซโลมอนก็ดี ศาสนาอิสลามก็ดี ศาสนาขงจื้อก็ดี เล่าจื้อก็ดี ล้วนแต่สอนในหลักแห่งปรัชญา ให้ทุกคนมุ่งสู่การพ้นทุกข์ มุ่งสู่การหลุดพ้น

การที่มาแบ่งแยกแตกต่างกันในโลกมนุษย์นั้น เพราะสืบเนื่องจากอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ในยุคต่อมาที่ไม่เข้าใจถึงศาสนา ไม่เข้าซึ้งถึงคุณธรรม ไม่รู้จริงแห่งธรรมะ จึงมาเขียนฎีกา อรรถกถาขยายให้แตกความกัน

ดังเช่นพุทธศาสนาเรา เมื่อก่อนนั้นพุทธศาสนาไม่มีนิกาย ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ก็มีพวกมหาดเล็กทั้งหลาย ที่เรียกว่าประจบสอพลอ พยายามให้พระจอมเกล้า ร.๔ แยกเป็นนิกายธรรมยุติขึ้น เป็นศตวรรษที่เรียกว่ารวมกันไม่ได้


ในขณะนั้น อาตมาได้ค้านเต็มที่ว่า พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้มีการแตกแยก ทุกคนเป็นพุทธบุตร ทุกคนเป็นพุทธสาวก การที่จะมามีธรรมยุติ มหานิกายนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ อาตมาค้านคนเดียวไม่ไหว ก็เลยแตกเป็นนิกายขึ้นมา

ฉะนั้น ในสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งสมมติแห่งมนุษย์ที่เรียกว่า ยุคหลังไม่เข้าใจถึงศาสนา จึงแบ่งแยก ทุกๆ ศาสนา ทุกๆ บรมศาสดาเกิดขึ้นในโลกมนุษย์นั้น เพราะว่าในขณะนั้น ในพื้นภาคนั้นมีกลียุคเกิดขึ้น โลกวิญญาณจึงได้ส่งบรมศาสดาแต่ละองค์ แต่ละรูป ลงมาเพื่อที่จะโปรดมนุษย์ ไม่ใช่ส่งมาเพื่อแบ่งแยก

ในสภาวะที่วิญญาณมาเกิดในโลกมนุษย์นั้น เขาเรียกว่า

จิตวิญญาณ       ของตน        เป็นเอกะ
ประภัสสร         ยิ้มผ่องใส     ให้จิตหนึ่ง
ภาวะกรรม        วิบากขึ้น       นำตนสู่
เทพพรหมลง    มติไซร้         ให้เกิดขึ้น
เพื่อนำธรรม      แสงสว่าง      สู่มนุษย์
วิบากกรรม       พืชพันธุ์        เข้าครอบงำ
ถูกโทสะ          และโมหะ     รวมโลภะ
เข้าแทรกแซง   สู่กายเนื้อ      ปิดจิตเดิม
ความสุกงอม    ความสว่าง     ถูกบดบัง
ด้วยกิเลส        ตัณหา          อุปาทาน
ปัจจุบัน           ครอบงำ        ขัดไม่ออก
จึงวิบาก          ถึงรู้จริง         ถ่องแท้ธรรม ไม่เหมือนกัน

ฉะนั้น ก็หมายถึงว่า บรมศาสดาแต่ละองค์ลงมานั้น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ขัดเกลาจิตดั้งเดิมที่จะไปสู่โลกวิญญาณได้สะอาด ละเอียดกว่าองค์อื่นที่ลงมา เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่า คนรุ่นหลังที่ไม่เข้าใจศาสนา จึงมาทะเลาะกัน

ถ้าทัศนะอาตมาแล้ว ก็เรียกว่า ทุกๆ ศาสนาควรปรับเข้าหากัน อย่าให้เรื่องศาสนามาเป็นเรื่องแบ่งแยกความเป็นไทยของเรา อย่าให้เรื่องศาสนามาเป็นเครื่องทำลายประเทศของเรา

ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้นำของประเทศควรจะพิจารณา ทั้งฝ่ายสังฆจักรและฝ่ายราชจักร


คุณพินิจ : ขอกราบขอบพระคุณที่ได้รับความสว่างจากเจ้าประคุณสมเด็จครับ


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:54

9.png



มนุษย์นั้น  กระทำสิ่งใดก็แล้วแต่
ถ้าทรยศต่อสัจจะของตัวเองแล้ว
มนุษย์นั้นจะก้าวไปไหน  อยู่ใน
สถานที่แห่งใดก็ไม่มีความเจริญ


png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png



ชาติกำเนิดเป็นเพียงสิ่งประกอบ
ผลงานและเกียรติประวัติต่างหากที่ชี้คุณค่า


png2.png



ปฐพีนี้ความชั่วคู่กับความดี
ท่านจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว
อยู่ที่ท่านเผลอหรือไม่




รูปภาพที่แนบมา: 9.png (2023-4-28 10:55, 31.56 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTJ8NmU5ZjZlOTR8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png-transparent-gold-colored-border-metal-gold-jewelry-chemical-element-gold-coi.png (2023-4-28 11:32, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDd8MjIxYzUyZjB8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: png2.png (2023-4-28 11:32, 12.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDh8NDVkYWQ4YzV8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-4-28 10:57

6.png


ตอนที่ ๑

มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน



พระธรรมวราลังกา : กระผม อยากจะขอศึกษาเรื่องวิญญาณ เรื่องวิญญาณนี้มันยังลี้ลับอยู่มาก เวลาคนตายแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปอย่างไรบ้างครับ

สมเด็จ : เจริญพร ก็เรียกว่า วันนี้มีพระถาม คือเรียกว่า เจ้าคุณสามัญเขาก็เรียกสิบตรี เจ้าคุณราชก็เรียกสิบโท นี่เจ้าคุณธรรมก็สิบเอก แล้วก็ได้มาถามสมเด็จ สมเด็จนี่นายพลแล้วเว้ย

ก็ได้ถามถึงเรื่องวิญญาณว่า มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน แล้วเหตุไฉนสมเด็จโตทิ้งร่างจากโลกมนุษย์นี้ไปเป็นร้อยปี ทำไมยังมาคุยกันได้ ภาวะอันนี้เป็นคำถามง่ายๆ แต่ว่าถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา มันตอบยาก แต่นี่เป็นสมเด็จโต มันหัวแหลมยิ่งกว่าลิง มันไปไหว

ก็คือ ในสภาวะต้องเข้าใจว่า มนุษย์เรานี้เกิดจากอะไร การเป็นคนนี้ไซร้ สืบเนื่องจากว่า เรามีภาวะแห่งการวิบากของตน ที่จะมาพัวพันกับบิดามารดา ที่จะมาเป็นพ่อแม่ในปัจจุบันชาติ เป็นจุดแห่งสมุฏฐานในการที่จะเกิดเป็นคนก่อน

ทีนี้ ในเรื่องวิญญาณนี้ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ ที่จะอธิบายให้รู้กันภายในชั่วโมงเดียวหมดในเรื่องของโลกวิญญาณ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันมีแง่และมีข้อที่จะต้องคุยกัน เรียกว่า พูดกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑๐ วัน ไม่จบเรื่องวิญญาณ

การตาย ๓ ลักษณะ

ก็มาสรุปให้ว่า คนเราตายแล้วนั้นจะไปไหน ในเรื่องแห่งการตายนี้ คือมีอยู่ ๓ ประการ


๑. ตายเพราะหมดอายุขัย
๒. ตายเพราะกรรมวิบาก (ตายไม่ถึงอายุขัย)
๓. ตายเพราะอสูรฆ่า หรือ พวกวิญญาณแกล้ง


นี่คือ การแยกแยะในเรื่องการตาย ทีนี้ เราจะมาอธิบายถึงการตายทั้งสามประการนั้นเป็นอย่างไร

pngegg.5.3.1.png




ตายหมดอายุขัย


ถ้าสืบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คนเฒ่าคนแก่ ผู้ที่เป็นบิดามารดาหรือว่าญาติโยมของเรา เกี่ยวกับคนตายนี้ คือเขาก็จะบอกว่า พ่อแม่ของเราก็ดี ก่อนที่จะตายนั้น จะต้องมีลางสังหรณ์ ก็คือว่า ถ้าท่านตายถึงอายุขัย ภายใน ๓ วัน ก่อนตายนั้น ท่านจะมีจิตใต้สำนึกอันหนึ่งว่า เรานี้จะต้องจากโลกมนุษย์

ถ้าบุคคลนั้นทำดีจะมีพรหมทูตมารับ ทำดีพอประมาณเขาจะมีเทวทูตมารับ ทำไม่ดีจะมียมทูตมารับ เขาส่งมารับเพื่อที่จะมารับวิญญาณนั้นๆ แล้วเขาจะนำท่านไปสู่ศูนย์รวมกรรม มนุษย์ที่จะสำเร็จอะไรก็แล้วแต่ ต้องไปสู่ยมโลก ที่นรกขุมที่ ๑ ก่อน เป็นหลัก เรียกว่าเป็นเมืองแห่งวิญญาณปุตุ เมืองแห่งการรวมกรรมทั้งหลาย

แล้วท่านจะเห็นว่า ถ้าคนตายใหม่ๆ ๖ วัน ๗ วัน ในบ้านจะครึ้มๆ ไม่มีอะไร แต่หลังจาก ๗ วันแล้ว ทำไมบ้านเกิดมีหมาหอนบ้าง มีคนเห็นคนตายมาในบ้าน ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อเขาตายถึงอายุขัยแล้วไซร้ เขาไปถึงยมโลก ยมบาลก็ดี นายนิติยบาลก็ดี จะบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เอ็งได้ตายจากโลกมนุษย์มาแล้ว ได้มาสู่ยมโลก


พลังแห่งการมาสู่ยมโลกนี้แหล่ ท่านจะต้องเสวยกรรมวิบาก ฉับพลันแห่งจิตวิญญาณในขณะนั้นจะรู้สึกหดหู่ แล้วมีจิตแห่งความสำนึกที่จะคิดถึงบ้าน ก็จะขอว่า ระหว่างที่ยังไม่ได้ตัดสินนั้น ขอให้นายนิติยบาลพาฉันมาเยี่ยมญาติโยมบ้างได้หรือไม่ เขาก็อาจจะอนุญาตให้มา ก็พามา พลังแห่งการพามานี้ จะทำให้ทางบ้านเกิดว่า เห็นอะไรขึ้นมา

การที่วิญญาณไปสู่ยมโลก แล้วกลับมาเที่ยวบ้านนี้ มาถึงเขาก็จะแน่ใจว่า เขานี่ตายแล้วจริงๆ คือเขาคุยกับคนในบ้าน คนในบ้านก็ไม่คุยด้วย เขารู้สึกแปลกใจ จึงรู้ตัวว่าตายแล้วจริง หลังจากนั้นเขาก็ต้องกลับไปสู่การเสวยกรรมวิบาก ทั้งนี้ แล้วแต่กุศลและอกุศลทั้งหลายที่เขากระทำ


มนุษย์เรานี่ ทุกคนอายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี แล้วก็ต้องตาย ฉะนั้น ท่านจงหมั่นทำความดี แล้วจะดี

pngegg.5.3.2.png




จดหมายเตือนจากยมบาล


มีเรื่องหนึ่ง ยมโลกได้ตัดสิน ได้พาวิญญาณยายแก่คนหนึ่งมา คนนั้นก็บอกว่า นี่ยมบาล ฉันยังไม่ได้ทำความดีเลย ทำไมจึงรีบจับฉันมาเล่า

แล้วยมบาลก็บอกว่า ไอ้มนุษย์เฮ้งซวย ที่มึงไปเกิดนั้น ทำไมไม่ทำความดี มึงมัวไปนั่งทำอะไร มัวแต่ไปนั่งเคี้ยวหมาก ไปนั่งคุย แล้วบอกว่า ไม่มีเวลานี่ อย่าพูด เพราะธรรมชาติเขาสร้างให้ ๒๔ ชั่วโมง นอน ๘ ชั่วโมง ทำงาน ๘ ชั่วโมง พักผ่อน ๘ ชั่วโมง

ตอนที่เอ็งมีชีวิตอยู่น่ะ ยมบาลเขามีจดหมายมา ๓ ฉบับ ลงทะเบียนมาให้ทุกคน คือ

จดหมายฉบับที่ ๑ เมื่ออายุ ๓๐ กว่าแล้ว ผมจะเริ่มร่วง หน้าจะเริ่มเหี่ยว เตือนว่า ไอ้หนูเอ๋ย มึงใกล้จะกลับบ้านเก่าแล้ว ต้องทำความดีเสีย

ต่อมาจดหมายฉบับที่ ๒ เมื่อท่านอายุ ๔๐ กว่าๆ ถึง ๕๐ กว่าๆ ตาจะเริ่มมัว นี่คือจดหมายฉบับที่ ๒ เตือนอีกว่า จงทำความดีเสีย

จดหมายฉบับที่ ๓ อันนี้อายุ ๕๐ กว่าๆ ถึง ๖๐-๗๐ กว่า ตอนนี้ก็จะลืม ป้ำๆ เป๋อๆ เป็นการเตือนว่า ใกล้กลับบ้านแล้ว

ทีนี้บางคน เขาก็รู้สำนึก ก็รีบทำสมาธิ ถ้าไม่รู้สำนึก ก็ไปห่วงบ้าน ห่วงเมีย อะไรก็ว่ากันไป อันนี้ก็เรื่องของมนุษย์ นี่หมายความว่า ตายถึงอายุขัย

pngegg.5.3.3.png




ตายเพราะกรรมวิบาก


สมเด็จ :
ประการที่ ๒ ตายด้วยกรรมวิบาก ที่เรียกว่า ไม่ถึงอายุขัย เช่น สมมติคนนั้นกำลังป่วย ไม่สบาย ด้วยอกุศลวิบากที่ตนได้สร้างมาในอดีตฉับพลันกายเนื้อไม่ทำงาน และกายใน สายใยแห่งจิตวิญญาณได้ถูกตัดออกฉับพลัน

เขาจะรู้สึกว่า ทั้งๆ ที่ป่วยอยู่ เอ๊ะ ทำไมเราจึงไม่ได้ป่วย แข็งแรง เราทำไมจึงเดินได้คล่อง แต่ว่าไปคุยกับคนโน้นคนนี้ เขาก็ไม่คุยด้วย ไปคุยกับใครก็ไม่มีใครคุยด้วย ก็เรียกว่า วิญญาณนั้น จะเพ่นพ่านอยู่ในบ้าน ๗ วัน

หลังจาก ๗ วันแล้ว เขารู้แน่ว่าเขาตายแล้ว พลังอันนี้ เขาจะพุ่งออกจากบ้านทันที โดยไม่เหลียวแล อันนี้เขาเรียกว่า วิญญาณอิสระ หรือที่ชาวบ้านว่า วิญญาณพเนจร


p5.png




ตายเพราะอสูรฆ่า


สมเด็จ : ประการที่ ๓ ตายเพราะอสูรฆ่า หรือวิญญาณพวกปีศาจอะไร

ทำไมอสูรจะต้องมาฆ่าคนตาย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ท่านเชื่อหรือไม่ว่านรกมี ท่านเชื่อหรือไม่ว่าสวรรค์มี ถ้าท่านเชื่อว่ามีก็คุยกันต่อไปได้ ถ้าเชื่อว่าไม่มีก็เลิกคุยกัน นี่หมายความว่า ให้มนุษย์คิดให้ท่านคิด

ทีนี้ ถ้าท่านเชื่อว่านรกมี สวรรค์มี นรกเป็นที่จองจำวิญญาณมนุษย์ที่ทำความชั่ว หลังจากตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว เขาเรียกว่า วิญญาณปุตุ เหล่านี้ ก็มีพวกอสูรจำศีลแล้วก็รู้สำนึก อสูรนี้ก็เกิดจากวิญญาณแห่งการเป็นมนุษย์นี้แหละ ไปอยู่นรก จำศีล ก็เรียกว่า สำนึกผิด ที่นี้


เมื่อจำศีลนานๆ เข้า ผู้ที่มีกรรมพัวพันกับเขาในโลกมนุษย์ก็ไม่มี เมื่อไม่มี เขาเป็นวิญญาณอิสระพัวพันจากนรกโลก คิดอยากจะเป็นมนุษย์ เพราะเกิดเป็นมนุษย์นี้ ถือว่าดี ประเสริฐ สามารถที่จะบำเพ็ญไปนิพพาน ไปเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันต์แห่งยุคในอนาคต

อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคได้ ไปแดนนิพพานได้ง่าย ดีกว่าอยู่ในโลกวิญญาณบำเพ็ญ อยู่ในโลกวิญญาณบำเพ็ญก็ไปแค่อนาคา อนาคามี โสดาปัตติมรรค และพระปัจเจกโพธิเจ้าได้ แต่จะเป็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้

p6.png




อสูรสร้างกรรมพัวพัน


สมเด็จ : ฉะนั้น อสูรเหล่านี้ ก็คิกว่าโลกมนุษย์จะเป็นที่สร้างกุศล ทีนี้ เมื่อจะสร้างกุศล มันก็ต้องมีสมุฏฐานแห่งการเกิด คือต้องมีกรรมพัวพัน เมื่อวิญญาณอสูรมาโลกมนุษย์แล้ว ไม่มีกรรมพัวพันกับมนุษย์ใดเลย เขาก็ไม่สามารถเกิดได้ เขาก็หาวิธี โดยการฆ่ามนุษย์ คือมนุษย์ที่ดวงตก นั่นถือว่าสร้างกรรมปัจจุบัน

เพราะคนที่ตายนั้น แน่นอนจะต้องมีลูก หรือมีหลาน มีเหลน มีผัว มีเมีย มีอะไรเยอะแยะที่จะต้องมีกรรมพัวพัน เมื่อเขาฆ่าคนตาย ก็ทำให้เขามีกรรมพัวพันในครอบครัวนั้น อสูรนั้นก็สามารถที่จะปฏิสนธิในครรภ์ผู้ที่มีกรรมพัวพัน ที่ถูกเขาฆ่าตาย แล้วก็เกิดได้ นี้คือวิญญาณตายโดยถูกอสูรฆ่า

สานุศิษย์ : ฉะนั้น มีบางคนบอกว่า วิญญาณที่ออกจากร่างไปแล้ว ต้องมีผู้มารับ ถ้าไม่มารับก็ไปไม่ถูก

สมเด็จ : ถ้ามีผู้มารับ ก็หมายความว่า เขาตายถึงอายุขัย เข้าใจหรือยัง เมื่อตายถึงอายุขัย ก็ต้องมีพรหมทูต เทวทูต ยมทูต มารับ แต่ถ้าตายยังไม่ถึงอายุขัย ก็ไม่ไปรับ

p7.png




วิญญาณอิสระหากินกับมนุษย์


สมเด็จ : ทีนี้ ก็มาสู่อีกเรื่องหนึ่ง เช่น บางคนได้ฝึกสมาธิมาบ้าง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ พอตายไปเป็นวิญญาณพเนจร วิญญาณอิสระ วิญญาณอาละวาด พวกนี้เขาอาจจะมายืมร่างมนุษย์ที่มีจิตอ่อน หรือว่าที่มีกรรมพัวพัน หรือว่าผู้ที่ดวงตก มาเข้า คือมาหากินกับมนุษย์

พอมาถึง บางทีก็อ้างเป็นพระพุทธเจ้ามาเลย บางทีก็อาจเป็นสมเด็จโตมา อะไรมาก็ดี แล้วทำไมโลกวิญญาณไม่จัดการกับวิญญาณพวกนี้

เพราะว่า โลกวิญญาณเขามีความยุติธรรม เขาเคารพกฎแห่งกรรม ในขณะที่เขายังไม่ถึงเวลา หรือว่าไม่ถึงอายุขัย สมมติว่า เขาส่งพรหมทูต เทวทูต ยมทูต หรือยมบาล มาว่ากล่าวตักเตือน มันจะถุยน้ำลายต่อหน้ายมบาล ถุยเข้าหน้ายมบาล ยมบาลก็ต้องทนเอา เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำลายไป ทำอะไรมันไม่ได้ คือยังไม่ถึงอายุขัย


สมมติว่า เขาอายุขัยถึง ๑๐๐ ปี แต่อายุ ๓๐ ปีกว่า ตาย หรือว่า ๔๐ ตาย มันก็เหลือเวลาอีก ๖๐-๗๐ ปี มันก็อาละวาดของมันจนครบ ทีนี้เมื่อมันครบอายุขัย เขาก็จับไป ยมบาลก็คิดบัญชี เขาเรียกว่า มีบัญชีทิพย์ ๓ โลก คือของพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ก็บอกว่า มนุษย์ผู้นี้ก่อนตายทำอะไร

ยมบาลก็บอกว่า มันตายไม่ถึงอายุขัย แล้วมันก็ไปอาละวาด และพอเราไปตักเตือนเอ็ง เอ็งก็ถุยน้ำลายใส่กู ฉะนั้น กูก็ต้องเตะตูดเอ็ง ๓ ที ในฐานะถุยน้ำลายใส่กูก่อน นี้เขาเรียกว่า คิดบัญชีกัน

เรื่องนี้ถ้าคนไม่เข้าใจ เล่าไปก็กลายเป็นเรื่องนิยาย เพราะมันเป็นเรื่องลี้ลับ เรื่องของนามธรรม เรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องอจินไตย เรียกว่าใช้สมองธรรมดาคิดไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องฝึกให้ถึงกายในกาย ถึงจิตในจิต ถึงธรรมในธรรม ถึงวิญญาณในวิญญาณ จึงสามารถรู้เรื่องเหล่านี้ละเอียดได้

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎของพรหมโลก เทวโลก กฎของยมโลกก็ดี แต่บางอย่างเขาก็ไม่ค่อยยอมให้พูดมาก แล้วบางแห่งเขาก็ไม่ให้สมเด็จโตไปเที่ยว เพราะเขาบอกว่า สมเด็จโตนี้รู้อะไรนิดหน่อยก็มาพูดให้มนุษย์รู้หมด

p4.png




ฉะนั้น สรุปการตาย ๓ ประการ คือ


ตายถึงอายุขัย ก็มีวิญญาณเทพพรหมมารับ หรือยมบาลส่งยมทูตมารับ

ถ้าตายยังไม่ถึงอายุขัย เขาก็อาจจะอยู่ที่บ้าน เพ่นพ่านสัก ๗ วัน ๑๐ วัน แล้วเขาอาจจะไปเที่ยวตามเรื่อง หรือไปหลอกคนนั้น คนนี้ สำหรับคนขี้ตืดก็เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์

ถ้าตายอย่างอสูรฆ่า เขาก็อาจจะอยู่กับเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น แล้วแต่เจ้าที่เจ้าทางเขาจะเอาไว้เป็นลูกน้องหรือไม่ นี่สำหรับความตาย ๓ แบบ


ส่วนการเกิดก็มี เกิดมาผลาญ เกิดมาใช้หนี้ เกิดมาทำความดี นี่ก็สามเกิดเหมือนกัน แล้วเรื่องเกิด เรื่องตาย ถ้าจะอธิบายกัน คืนนี้ถึงเที่ยงคืนก็ไม่จบ


รูปภาพที่แนบมา: 6.png (2023-4-28 10:58, 128.71 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTN8NWU3MDE1ZmV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-4-28 11:00, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTR8Yjc4OTYzYTJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.2.png (2023-4-28 11:00, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTV8OTdhNGE2MGJ8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.3.png (2023-4-28 11:00, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTZ8MGFiMjFjZTV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p5.png (2023-4-28 11:00, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTd8MzVmYjBmM2N8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p6.png (2023-4-28 11:00, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTh8MWM3YTdjZmN8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p7.png (2023-4-28 11:00, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI3OTl8NGE2N2U0OTV8MTcxOTM2NDQ2OXww



รูปภาพที่แนบมา: p4.png (2023-4-28 11:01, 9.1 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MDB8YmJjN2ZkMTR8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:12

ตอนที่ ๒

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับ



สิ่งศักดิ์สิทธิ์


สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือว่า เป็นเรื่องของนามธรรมที่จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ มีอยู่ทั่วไปในพิภพจักรวาล

ประเทศไทยเราครองเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ เป็นเพราะบรรพบุรุษของเรามีศาสนา และเชื่อมั่นในศาสนา


ถ้าเราไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเราไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประเทศไทยก็มิอาจดำรงความเป็นเอกราชมาได้จนทุกวันนี้

pngegg.5.3.1.png




สิ่งลี้ลับ


คนที่ฝังใจในคำบอกเล่ามาอย่างผิดๆ หรือศึกษาเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับมาไม่เพียงพอ อาจเข้าใจผิดว่า เรื่องลี้ลับ เรื่องโลกวิญญาณ เป็นเรื่องของภูตผีปีศาจ เป็นเรื่องน่าเกลียด น่ากลัว หรือเป็นเรื่องสยองขวัญ ไม่กล้าศึกษาหาความรู้ หรือแม้จะกล่าวถึงก็รู้สึกขยาด แต่ความจริงหาได้เป็นดังเช่นที่กลัวเกรงกันไม่

โลกวิญญาณ หมายถึง โลกอื่นซึ่งมีอยู่จริง ได้แก่ พรหมโลก เทวโลก และนรกโลก เป็นโลกที่มีสภาพสรรพสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่าอณูปรมาณู ไม่สามารถพิสูจน์ตามวีธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติจิตจึงจะรู้และสัมผัสได้

เรื่องของสิ่งลี้ลับ เรื่องจิตวิญญาณ มีหลักฐานปรากฏในตำราหรือคัมภีร์ต่างๆ มากมายตั้งแต่โบราณกาล แต่ในยุคต่อมา เหล่าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ เข้าไม่ซึ้งถึงสัจจะอันแท้จริง เขาเรียกว่า ตนปฏิบัติไม่ถึงก็บอกว่าสิ่งนั้นไม่มี เรื่องนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ได้ประทานโอวาทเพื่อเตือนสติมนุษย์ไว้ตอนหนึ่งว่า

“สิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ สิ่งเหนือความจริง ที่จะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเนื้อในโลกมนุษย์ ยังมีอีกมากมาย แต่มนุษย์รู้ไม่ได้ เพราะไม่ถึง ก็พลอยสำคัญผิดว่าคนอื่นก็ไม่ถึงด้วย”

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรด่วนปฏิเสธเรื่องเหล่านี้


รูปภาพที่แนบมา: pngegg.5.3.1.png (2023-5-8 17:14, 9.52 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzI4MjF8NjMxZmI5ZjJ8MTcxOTM2NDQ2OXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:15

ตอนที่ ๓

ความลี้ลับของวิญญาณ


(วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมหัวใจหยุด และชีพจรหยุด แล้วก็ฟื้นขึ้นมาครับ

สมเด็จ : แล้วสภาวะนั้น รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

สานุศิษย์ : เมื่อตอนเข้าไปอยู่ในห้องหมอสักสองสามชั่วโมง มันค่อยรู้สึกดีขึ้นครับ มีอาการสบายใจ

สมเด็จ : แล้วก็หยุดไปเฉยๆ ใช่ไหม

สานุศิษย์ :
ตอนนั้นผมไม่ทราบ เพราะไม่รู้สึกตัวเลยครับ

สมเด็จ : ในสภาพการณ์นี้ ต้องอธิบายถึงคำว่า อายุขัย

ในสภาวะอายุขัยนั้น ยังไม่สิ้นสุด การที่เข้าไปใหม่ๆ นั้น ที่รู้สึกสบายใจขึ้นนั้น เพราะอะไรเล่า เพราะวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่เล็ก วิญญาณนั้นกระจายไปทั่วทั้งร่าง สภาวะวิญญาณรวมพลังอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง

สภาพการณ์จะเห็นได้ว่า มนุษย์ที่จะตายนั้น จะรู้สึกเกิดอาการดีแล้วค่อยตาย เสมือนหนึ่งเทียนนั้น จะดับจะต้องเกิดวูบขึ้นมา เพราะสภาวะแห่งการรวมไฟในจุดสุดท้าย มีพลังอันหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น


วิญญาณนั้นก็รวมพลัง แต่วิถีการแห่งวิญญาณรวมพลังของเรานั้น ไม่ใช่รวมแบบตายแท้ เรียกว่า รวมแบบตายเทียม คือสภาพการณ์เมื่อรวมกันเสร็จแล้วรู้สึกสบาย เสร็จแล้วก็รู้สึกวูบมืดไปใช่ไหม โดยไม่รู้สึกตัว

สานุศิษย์ : ในขณะรู้สึกป่วยไม่รู้สึกอะไรเลยครับ

สมเด็จ : คือสภาวะอันนั้นเขาก็เรียกว่า วิญญาณนั้นได้ถอดออกจากสังขารไปชั่วขณะ วิญญาณนั้นสวมอยู่ในกาย วิถีการเรื่องนี้ มันต้องอธิบายถึงเรื่องการแยกธาตุในสภาวะแห่งกาย แห่งดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่ สมองกับใจนั้นร่วมประสาท ใจนั้นกับเส้นเอ็นรวมกันอยู่ที่หลังท้ายทอย ไตนั้นขึ้นอยู่กับท้อง

สภาพการณ์การเกิดเป็นมนุษย์นั้น เมื่อรวมพืชพันธุ์แห่งการเป็นมนุษย์เรียบร้อย คลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว วิญญาณนั้นได้เริ่มปฏิสนธิตั้งแต่แรก แต่ยังไม่มีพลังแห่งความแก่กล้า ต่อมาคลอดออกมาดูโลกแห่งการเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้ว วิญญาณนั้นสิงสถิตอยู่ในกายในกาย ต่อมาวิญญาณนั้นก็ได้รับการเลี้ยงดู ด้วยพืชพันธุ์ของการเป็นมนุษย์จนเติบโต วิญญาณนั้นรวมพลังแข็งแกร่งขึ้น ตามพลังของร่างกายที่โตวันโตคืน

ในการเติบโตของร่างกายนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่ง มนุษย์ฝ่ายชายจะโตสูงใหญ่ขึ้นสองเมล็ดข้าว มนุษย์ฝ่ายหญิงจะโตสูงขึ้นมากว่าสามเมล็ดข้าว หญิงนั้นจะโตเร็วกว่าชายในสภาวะแห่งธรรมชาติของมัน ในสภาพการณ์แห่งเนื้อหนังมังสารวมกับวิญญาณผสมอยู่ในนั้น เมื่อรวมพลังแห่งการเติบโตขึ้นมา สังขารจะต้องมีการป่วย ร่วงโรยตามสภาวะแห่งสังขารขัย

สภาพการณ์แห่งสังขารขันธ์นั้น เมื่อเราใช้พลังออกไป ในการพูดก็ดี ในการมองก็ดี ในการคุยก็ดี ในการทำอะไรก็ดี เมื่อเราทำ เราไม่รู้จักพักผ่อน คือนั่งสมาธิรวมพลังจิตแล้ว ผู้นั้นสังขารจะร่วงโรยเร็ว

เพราะอะไรเล่า เพราะจิตวิญญาณไม่ได้รับการพักผ่อนในเวลาตื่น บางคราวถึงกับเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าวิญญาณถูกใช้พลังมากเกินไป เมื่อวิญญาณเสียพลัง สมองก็จะช้าลงไป เรียกว่า น้ำเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ เมื่อน้ำเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอถึงสมอง จะทำให้ผู้ป่วยนั้นตัวชาไม่รู้สึกตัว เพราะสภาพชีวิตสังขารจะยืนอยู่ได้ จะต้องมีเลือดแห่งการหล่อเลี้ยงในตัวก่อน


สภาวะแห่งวิญญาณรวมพลังจิตที่จะหลุดออกไปนั้น สภาพการณ์วิญญาณเราออกไปที่เราไม่รู้สึกตัว ฉะนั้น เมื่อวิญญาณออกไป ยังไม่ได้เจออะไร เกิดผวาขึ้นมา ตกใจว่า เรานี้อยู่ที่ไหนหนอ เมื่อยังไม่ถึงวาระแห่งการตายแท้ จึงไม่มียมทูต เทวทูต พรหมทูต มารับ และสังขารนั้นก็ยังไม่เน่าเปื่อย สภาพการณ์เมื่อวิญญาณตกใจว่าอยู่ที่ไหน จะรีบวิ่งกลับเข้าในสังขารของตัวทันที เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : พอจะเข้าใจครับ

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:29

ตอนที่ ๔

ความพิสดารของโลกสวรรค์


(วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สมเด็จ : เป็นอันว่า หนังสือนั้นก็จะคลอดแล้วตามสภาวะของมัน คือ โดยสภาพการณ์นี้ก็เป็นการว่า มารทางโลกวิญญาณนั้นได้สงบศึก คือยุติในการขัดขวาง สภาวะอันนี้ จะต้องเล่าถึงว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร

สวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น เลยห่างจากดวงอาทิตย์แปดหมื่นสี่พันโยชน์ สภาวะในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น ก็ไม่มีดวงอาทิตย์แล้ว เรียกว่าอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เพราะฉะนั้น การไปสวรรค์ไม่ใช่ด้วยจรวด ไม่ใช่ไปด้วยการสร้างโน่นสร้างนี่ของมนุษย์ แต่ต้องไปด้วยจิตและวิญญาณที่ฝึกแล้วเท่านั้น

ฉะนั้นต่อไป รออาตมามีเวลาว่าง อาตมาจะมาอธิบายถึงความพิสดารของการเป็นอยู่ของโลกสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สิบห้าเป็นอย่างไร

วันนี้จะมากล่าวถึง เรื่องของกองทัพมารที่ผจญในการสร้างหนังสือนั้น ว่าเป็นกองทัพมาจากที่ไหน สภาวะกองพันมารทัพนี้ อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หก สวรรค์ชั้นที่หกนี้ มีทั้งกองทัพมาร กองทัพเทวะ และกองทัพพรหม เรียกว่า ปรมัตถสวรรค์ ซึ่งมีเทวาราชเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีมารราช มารผู้เป็นใหญ่แห่งกองทัพมาร รวมกันอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ และมารเหล่านี้ เป็นมารกลุ่มแห่งการมีฤทธิ์เดช

ในการเป็นอยู่ของสวรรค์แต่ละชั้นนั้น มีเหตุแห่งการที่จะต้องจุตินั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ


๑. หมดอายุขัยแห่งการเสวยทิพย์ หรือหมดบุญ
๒. เพราะความโกรธ
๓. หมดอาหาร


สภาวะอันนี้ ต้องขยายความในแต่ละเรื่อง

ประการที่หนึ่ง คือ หมดอายุขัย อยู่ในกฎแห่งคำว่า เสวยบุญในโลกทิพย์ สภาพการณ์ในวิญญาณใด เมื่อมีบุญกุศลที่สร้างมาแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นใดๆ ก็แล้วแต่ เมื่อหมดบุญก็ต้องจุติจากสวรรค์ ลงมาเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วแต่กุศลที่สร้างจากอดีตชาติ และปัจจุบันชาติที่มีอยู่บนสวรรค์

ประการที่สอง คือ พิโรธ หรือว่าโกรธ เทวะบางกลุ่มยังมีความโกรธ ถ้าเกิดความโกรธสุดขีด ไฟจะไหม้ตัวเอง

ประการที่สาม คือ ลืมกินอาหาร จนต้องตาย สภาพการณ์คือว่า เหล่าเทพบุตรที่หลงอยู่ในกามคุณ เพลินอยู่กับนางฟ้าจนลืมกินอาหาร แม้เพียงแต่มื้อหนึ่ง ก็ต้องจุติลงมาเกิด

สภาวะอันนี้ เพราะเหตุใดเล่า เพราะวิญญาณนั้นอ่อนนิ่มเสมือนหนึ่งหนึ่งดอกไม้ นี่คือสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง สภาวะเมื่อหมดอาหาร หมดน้ำหล่อเลี้ยงดอกไม้นั้นเน่าตามสภาวะ เพราะไม่มีรากลงดินก็ต้องตาย เสมือนวิญญาณเหล่านี้ เมื่อลืมกินอาหารเพียงมื้อเดียว ก็ต้องจุติจากสวรรค์

ฉะนั้น การเป็นอยู่ของโลกวิญญาณเป็นเรื่องพิสดารที่สุด ซึ่งอาตมาก็บอกแล้วว่า รออาตมาว่างๆ จะมาเทศน์เรื่องของคำว่า สังคมของวิญญาณ เรื่องสวรรค์สิบห้าชั้น แต่ต้องรออาตมามีเวลาก่อน เพราะเรื่องนี้ต้องอธิบายกันยาว


และการเปิดเผยในเรื่องของโลกสวรรค์ทั้งสิบห้าชั้นนั้น ต้องอยู่ที่การอนุมัติของพรหมโลก เทวโลก นรกโลก แค่เพียงเล่าเท่านี้ ฟังกันแล้วก็งง ฟังแล้วก็ยุ่ง ก็ให้ถือว่าเป็นการฟังนิยายก็แล้วกัน

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:31

ตอนที่ ๕

พระพรหมทำไมมีหลายหน้า


(วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๓)



สานุศิษย์ : กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อสมเด็จว่า พระพรหมนี่มีกี่หน้ากี่กรกันแน่ครับ เห็นที่สร้างไว้ต่างคนต่างทำ ไม่ทราบว่าของใครถูก

สมเด็จ : คือว่าในเรื่องของพระพรหมนี่ ในรูปพรหม ๑๖ ชั้นนั้น เขามีพรหมต่างๆ หลายแบบ พรหมสี่หน้านั้นมีอยู่หลายองค์ ทั้งหมดเขาเรียกว่า ที่เป็นผู้นำพรหมโลกมีอยู่ ๔ องค์ ทีนี้ พรหมสี่หน้านั้นมีอยู่ ๖ องค์ พรหมสองหน้านั้นมีอยู่ ๑๕ องค์ พรหมหน้าเดียวนั้นมีอยู่มาก

ทีนี้ ทำไมพรหมเหล่านี้จึงมีสี่หน้า สามหน้า สองหน้า แปดกร หกกร สี่กร สองกร อันนี้เป็นการเรียกว่า พรหมเหล่านี้ เป็นพรหมที่มีหน้าที่รับผิดชอบ และเขามีอำนาจแห่งฌานญาณสูงมาก สามารถที่จะแบ่งรัศมีในกายนี้

เพราะเมื่อมีหน้าที่ในการรับผิดชอบงานมาก การที่จะดูแลสอดส่องทั่วไป ก็บอกว่าหน้าเดียว ตาคู่เดียวนี่ มันมองไม่ไหว ก็เลยเนรมิตตาอีกคู่หนึ่งมาช่วย และอีกหน้าตาคู่หนึ่งก็ยังช่วยไม่ไหว ก็เนรมิตขึ้นมาอีกหน้าหนึ่ง อันนี้อยู่ในภาวะของกายทิพย์

ทีนี้ ส่วนมากที่เขาทำถึงแปดกร สิบกร ยี่สิบกรนั่น มนุษย์ยุคต่อมาต่อเติมกันให้มันมาก ตามความจริงแล้ว สี่หน้าก็สี่กรเท่านั้นเอง เพราะว่าในสภาวการณ์แห่งการเนรมิตนี้ เป็นการอยู่ในโลกกายทิพย์ การที่มีหลายๆ หน้า ที่จะมีการรังควานในการนั่งสมาธิของพรหมก็มี อันนี้มีอยู่ที่อำนาจทิพย์ด้วย และสามารถกลับสู่หน้าเดียวก็ได้ แล้วแต่ปรารถนา

อันนี้อาจจะถามว่า เหตุไฉน พระพรหมชินนะจึงไม่ต้องมีหลายหน้า เพราะว่า พระพรหมชินนะนั้น มีรังสีแห่งวรกายของแก้ว ๗ ชั้นคลุมอยู่ จึงไม่ต้องใช้หน้ามาก เพียงแต่รัศมีแผ่ไป พรหมเขาก็รู้ พวกมารหรือพวกอะไรเขาก็รู้ นี่พรหมองค์นี้มา ก็คือสัญลักษณ์ท้าวมหาพรหมชินนะมา จึงไม่ได้เนรมิตในร่างกายให้ผิดแปลกกว่าเขา


สานุศิษย์ : ตามหลักเกณฑ์แล้ว หน้าหนึ่งจะต้องมีสองกร ที่นี้ บางคนเอาหน้าหนึ่งสี่กร

สมเด็จ : อันนี้ ก็เพราะมาต่อเติมกันต่อมา นักปั้นต่อมา ก็จากจินตนาการให้มันว่า ต้องเพิ่มกรเพิ่มอะไร อันนี้เขาเรียกว่า ถ้าท่านติดในเรื่องสมมติแล้วไซร้ ท่านย่อมไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมเมื่อประกาศศาสนาอยู่ จึงว่าแม้แต่ตถาคตท่านก็อย่าติด ถ้าท่านติดตถาคต ท่านก็ไม่รู้จักการเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เพราะนี่คือ สัจธรรมอันแท้จริง

ก่อนที่องค์สมณโคดมจะปรินิพพานสามเดือน ก็ได้พยายามเตือนพระอานนท์ว่า

“อานนท์เอ๋ย เจ้าทราบแล้วมิใช่หรือ การอาราธนาของมารร้าย ในการสิ้นอายุขัยของสังขารของตถาคตนี้ อานนท์เอ๋ย จนบัดนี้ เวลาล่วงเลยมาแล้วใกล้สามเดือน ตถาคตจะถึงจุดแห่งความปรินิพพาน ทิ้งสังขาร อานนท์เจ้าทำไมหนอจึงติดตถาคตอยู่แจเล่า อานนท์เอ๋ย เจ้าจะรู้หรือว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เมื่อเจ้าไม่ละทิ้งการติดตถาคต”

เพราะฉะนั้น นี่เป็นพุทธพจน์ในการยืนยันว่า องค์สมณโคดมไม่ได้ส่งเสริมในการประกาศศาสนาให้ติดรูป เมื่อไม่ส่งเสริมในการประกาศศาสนาให้ติดรูป จึงอยู่ยืนยงคงมาถึงปัจจุบันนี้ แห่งการที่เรียกว่า ศาสนาพุทธคงทนต่อการพิสูจน์ ในการเพื่อที่จะค้นหาเหตุผลไปสู่หลักแห่งปัจจัตตัง ในภาวะคู่กับวัตถุ


สานุศิษย์ : เมื่อไม่ให้ยึดในตัวตนแล้ว ทำไมบอกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน

สมเด็จ : การที่ให้ในกฎ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ นี้แหละ เป็นการที่ไม่ให้ยึดตน ทำไมอาตมาจึงอรรถาธิบายเช่นนี้ เพราะว่า ถ้าท่านไม่พึ่งตัวท่านเองแล้ว ใครเขาจะช่วยท่านได้เล่า

ถ้าในการบันดาลของเทพเจ้าแล้ว ท่านไม่ทำ เทพเจ้าก็ช่วยท่านไม่ได้ อย่างเช่นง่ายๆ ทำไมจึงให้ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ เวลาท้องเอ็งหิวข้าวนี่ ถ้าเอ็งไม่กินแล้ว ใครที่ไหนเอาให้กินได้ ถ้าตัวไม่ช่วยตัวเอง


เพราะฉะนั้น พุทธพจน์ข้อนี้เป็นปัจจัตตัง ในการว่าตัวท่านต้องช่วยตัวท่านก่อน แล้วพระเจ้าจึงช่วยท่านได้ ตัวท่านไม่ปฏิบัติสมาธิแล้ว จะไปถึงสมาธิแห่งฌานญาณได้อย่างไร ตัวท่านไม่ทำในกรรมฐาน ในการวิปัสสนาแล้ว นั่งคุยแต่พระนิพพาน เมื่อไหร่มึงจะถึงพระนิพพาน เวลานี้คุยกันแยะ แต่ไม่มีใครทำ ศาสนามันจึงฟุ้งจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร เรียนกันใหญ่เปรียญเก้าก็เยอะแยะ

เพราะฉะนั้น การศึกษาในความเป็นจริงของศาสนาพุทธก็คือ ศึกษาให้หยุด ไม่ใช่ศึกษาให้ฟุ้ง คือเรียนในการทำเป็นพื้นฐาน ให้ปฏิบัติจิตของตนให้สิ้นอาสวกิเลส


เมื่อจิตนิ่งเป็นเอกะประภัสสรยิ้มผ่องใสแล้ว เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นสัจจะ อะไรเป็นธรรมะ อะไรเป็นอธรรม และจะรู้การเป็นอยู่ของเทพพรหม ทุกวันนี้ไม่มีใครทำ มีแต่พูด พูดแล้วก็ไม่รู้จะเอายังไง อาตมากลับดีกว่า เพราะคุยไปก็เท่านั้นเอง

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:33

ตอนที่ ๖

วิญญาณไม่ยอมเกิด


(วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๐)



คุณสมพร : การไม่ยอมเกิด หมายความว่าอย่างไรครับหลวงพ่อ

สมเด็จ : สภาวะที่วิญญาณไม่ยอมเกิดนั้น ส่วนมากจะเกิดจากวิญญาณจากเทวโลก

ในเรื่องของเทวะนั้น อาตมาก็ได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า เทวะนั้นมีมากกว่าเม็ดทรายในท้องสมุทร ทีนี้ ก็มีเทวะบางองค์ที่ทำผิดแล้วไม่ยอมไปเกิด ตามมติของโลกวิญญาณที่สั่งให้ไปเกิดนั้น แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ในสภาพการณ์นี้แหล่ คนป่วยที่เขาเรียกว่าบ้า ที่โรงพยาบาลมันรับแล้วรักษาไม่หาย ก็เลยฉีดยาให้มันตายๆ ไปเลย เพราะกลัวเสียชื่อ สภาพนี้เขาเรียกว่า ป่วยด้วยวิญญาณ ซึ่งหมอแผนปัจจุบันไม่รู้เรื่อง

ก็คือ เหล่าเทพก็ดี ที่มันต้องโทษให้มาเกิด แต่มันไม่เกิด สภาวะถ้าผู้ใดมีกรรมพัวพันกับมันในอดีตชาติ หรือว่าคนนั้นจิตอ่อนหรือว่าผู้นั้นดวงตก เหล่าอสูรเหล่าเทพพรหมนี้ก็จะเข้าสิงสถิตในวิญญาณของผู้นั้น เขาเรียกว่า วิญญาณเข้าวิญญาณ ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดมาก

และอีกกรณีหนึ่ง บางครั้งเทพชั้นสูงที่ไม่ยอมเกิด แต่ก็ไม่ยอมเข้าอาศัยร่างมนุษย์ เมื่อถูกการไล่ของเทวทูต เทวทูตก็ไล่ไปๆ จนถึงการจนมุมแล้ว ขณะนั้นเจอหญิงชายคู่ใดกำลังสมสู่กันอยู่ ก็เข้าปฏิสนธิในครรภ์ทันที หรือไปเจอหมาหรือแมวกำลังผสมพันธุ์กันอยู่ ก็เข้าปฏิสนธิในท้องหมาท้องแมว ในเป็ดในไก่ อะไรก็ว่ากันไป

สภาพการณ์นี้แหละ เรียกว่า วิญญาณนั้นไม่ยอมเกิดโดยเจตนา จะเกิดการรังควานแก่โลก คือ ถ้าปฏิสนธิในมนุษย์ ก็จะทำให้มนุษย์นั้นต้องไม่สบาย ถ้าเป็นสัตว์ สัตว์นั้นก็จะตาย

ฉะนั้น พวกสัตวแพทย์ฟังเอาไว้นะ พอวิญญาณไม่ยอมเกิด พวกนี้เข้าท้องแม่หมู แม่หมูก็ตายพอดี สภาพการณ์นี้ยากแก่การรักษา นอกจากขอบารมีพระโพธิสัตว์ช่วย


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:35

ตอนที่ ๗

สภาวะจิตก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้



สานุศิษย์ : หลวงพ่อครับ ผมสงสัย ตอนที่ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ตอนนั้นพระองค์ยังเป็นเสมือนปุถุชนธรรมดา แล้วพระองค์จะเอาอะไรไปชนะพญามารได้ครับ

สมเด็จ : ในสภาวะก่อนที่องค์สมณโคดมจะตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เรารู้หรือว่า องค์สมณโคดมเป็นแค่ปุถุชน

ก่อนที่องค์สมณโคดมจะจากอาจารย์ทั้งสอง คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบสนั้น องค์สมณโคดมได้ฝึกถึงตติยฌานชั้นสูง ในการฝึกจิตของพราหมณ์ก็ดี ของโยคีก็ดี เพียงแต่จิตเข้าสู่ฌานชั้นสูง ถือว่าเป็นสุดยอดของอัตตา แต่ยังไม่เข้าซึ้งถึงคำว่า อนัตตา และอัตตา อย่างแก่นแท้

อีกประการหนึ่ง องค์สมณโคดมได้ถูกกำหนดลงมา เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนี้ ย่อมมีเทวะคุ้มครอง ย่อมมีพรหมที่ดีคุ้มครอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาพแห่งอำนาจจิตแล้ว จิตองค์สมณโคดมอยู่ในขั้นตติยฌานชั้นสูง

ทีนี้ ในการที่จะชนะมารนั้น สภาวะแห่งมารนั้น มารทางโลกก็คือ การหลอกหลอนของเทพก็ดี ของอสูรก็ดี ของคนธรรพ์ก็ดี ของยักษ์ก็ดี ของนาคก็ดี

ส่วนมารของตนนั้น วิธีจะชนะ ต้องชนะนิวรณ์ ๕ ในกายในกาย นั่นคือ ชนะมารตัวสำคัญก่อน ซึ่งเรื่องนี้อาตมาก็ได้เคยเทศน์ไว้มากมายแล้ว เข้าใจไหม

สานุศิษย์ : เข้าใจครับ

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:36

ตอนที่ ๘

ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า



คุณจิรวัฒน์ : หลวงปู่ครับ ผมสงสัยว่า อย่างพระพุทธเจ้านี้ เป็นผู้ที่ไม่มีกรรม ที่จะต้องเกิดในชาติหน้าอีกแล้ว ผมสงสัยว่า ในสมัยที่เป็นพระพุทธเจ้านั้น จะต้องรับผลกรรมในอดีตชาติหรือเปล่าครับ

สมเด็จ :
คือ การเกิดเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคนั้น ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องบำเพ็ญในกุศลกรรมและอกุศลกรรม อย่างต่ำ ๕๐๐ ชาติ อย่างสูง ๕๐๐๐ ชาติ

ภาวะก่อนจุติในโลกมนุษย์ อย่างน้อยที่สุดจะต้องสำเร็จอยู่ในชั้นพรหมสุทธาวาส คือพรหมที่บำเพ็ญสู่โลกนิพพาน หรือสำเร็จเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าในพระพรหมชั้นนี้ก็ได้ อย่างต่ำที่สุดจะต้องเป็นอรูปพรหมที่อยู่ในโลกวิญญาณนานที่สุด


ฉะนั้น ที่มีบางคนสงสัยว่า พวกที่จะมาเกิดในยุคศรีอริยเมตไตรย พวกพรหมก็ดี เทวะก็ดี อยู่กันเป็นกัปๆ กัลป์ๆ แล้วจะมาปฏิสนธิยังไง เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เพราะโลกวิญญาณเขามีกฎ มีระเบียบวินัยที่ถี่ยิบและละเอียดที่สุด ใครจะมาเกิด ง่ายนิดเดียว หาเรื่องทำผิดนิดเดียวลงมาเกิดได้เลย แต่หาเรื่องอยู่นี่ซิมันยาก

ฉะนั้น อาตมามาในที่นี้ ในครั้งนั้น ยุคนี้ เวลานี้ จึงไม่อยากจะมาแสดงเรื่องอะไรเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออะไร นี่พวกพรหมเขาถามอาตมาว่า

“ท่านโต” คนนับถือท่านเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เป็นภาระของท่านหรือไม่” นี่คือคำถามที่เขาถาม อาตมาก็มาคิดว่า เอ เรานี่ อย่าเลย คือ นิสัยแบบอยู่วัดระฆังฯ ต้องทิ้งเสียที เพราะการติดต่อกับมนุษย์นี้แหล่ เป็นการเสี่ยงต่อการเกิดที่สุด เข้าใจไหม?

คุณจิรวัฒน์ : เข้าใจครับ

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:40

ตอนที่ ๙

ยุคนี้ไม่มีอรหันต์


(วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๐)



ธรรมทูตฝ่ายธุรการ : ขณะนี้เป็นเวลาใกล้จะสิ้นปีเก่าและขึ้นปีใหม่ ก็อยากจะให้หลวงพ่อเทศน์ ถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ว่า ควรจะปรับตัวกันอย่างไร ในชีวิตต่อไปข้างหน้า

สมเด็จ : คือในสภาพแห่งการดำรงชีวิต เพื่ออยู่ยงแห่งการทรมานอยู่ในโลกมนุษย์นั้น วิถีการอันนี้ทำให้มนุษย์หลงอยู่ในกามคุณ หลงอยู่ในวิถีการแห่งอบายภูมิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ยุคนี้เห็นแค่เปลือกนอกเป็นสิ่งที่ดีที่ชอบ เราจะเห็นได้จากทุกวันนี้ การสร้างอะไรๆ ทางวัตถุนั้นเจริญมาก

สภาวะมีกฎแห่งธรรมชาติอยู่ว่า วัตถุเจริญ จิตใจมนุษย์ย่อมเสื่อม ทุกวันนี้มนุษย์ต้องการความหลอกหลวง มนุษย์ต้องการป้อยอ มนุษย์ไม่ต้องการความจริง เพราะอะไรเล่า เพราะมนุษย์ทุกวันนี้ไม่เข้าใจถึงอายตนะทั้ง ๕ ของตัวเอง จึงทำให้สังคมทุกวันนี้สับสนอลหม่าน เพราะมนุษย์ไม่พิจารณาตนของตน

มนุษย์ทุกวันนี้ชอบพิจารณาความผิดและความสุขของคนอื่นที่เห็นว่าเขามีสุข เรารู้หรือว่าเขามีสุข
สภาวะความสุขทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือ สุขเทียม ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาหลอกกัน

ในการทำบุญของมนุษย์ในยุคนี้ ส่วนมากเพื่อเอาหน้าเอาชื่อในการสร้างวัตถุ ท่านแน่ใจหรือว่า ในการสร้างโรงพยาบาลนั้น ได้บุญกุศล ท่านแน่ใจหรือว่า การสร้างโรงเรียนนั้นได้บุญกุศล ท่านแน่ใจหรือว่า การสร้างโบสถ์หลังงามนั้นได้บุญกุศล อาตมายกตัวอย่างในสามสภาวะนั้น ถ้ารู้แค่เปลือกแห่งภายนอก ไม่ใช่ชาวพุทธแล้วก็ถือว่าได้กุศล

เพราะอะไรเล่า เพราะโรงพยาบาลเป็นวิถีการบำบัดทุกข์ในกาย ซึ่งในสภาวะแห่งการ เพื่อให้ผู้นั้นไม่ถึงวาระแห่งการตาย หรือไม่ถึงวาระแห่งการไปให้สภาพกายนั้นกลับสมบูรณ์ขึ้น เพื่อทรมานอยู่ในวัฏสงสารต่อไป

สภาวการณ์การสร้างโรงเรียนนั้น ทุกวันนี้โรงเรียนสอนอะไร โรงเรียนสอนในด้านวัตถุนิยม ศีลธรรมเสื่อม เมื่อศีลธรรมเสื่อม ดีกรีทั้งหลายที่ห้อยก็เป็นดาบสองคมสำหรับอนุชน เพราะเมื่อจิตใจไม่ดีแล้ว ผู้มีความรู้นั้นก็คือปีศาจ เพราะเขาจะใช้ความรู้ไปในทางที่ผิด ก็คือปีศาจร้ายในสังคมมนุษย์ เพราะเขาไม่มีศีลธรรมในใจ นี่คือ การสอนการอบรมในยุคนี้


ในการสร้างโบสถ์นั้นหรือเป็นสิ่งที่ดี การสร้างสิ่งนี้ องค์สมณโคดมโจมตีเป็นที่สุด องค์สมณโคดมประกาศสัจธรรมอยู่ในป่า องค์สมณโคดมประกาศสัจธรรมอยู่กับโคนต้นไม้ ทำไมจึงมีเหล่าอรหันต์ มีเหล่าอนาคา สกิทาคา โสดาบันเกิดขึ้นได้ แต่ยุคนี้มีโบสถ์หลังงามๆ มากมาย

ซึ่งอาตมา เมื่อย้อนเข้าอนุสติฌาน มองดูโลกมนุษย์แล้ว ต้องปลงสังเวช คือยุคนี้วัดแต่ละวัดสร้างแต่วัตถุ ไม่สร้างจิตใจ โบสถ์แต่ละหลังงาม หาอรหันต์มีไหม ยุคนี้ล้วนแต่อาศัยผ้าเหลืองหาเลี้ยงชีพเพื่อในการสู่โลกียะ

การที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมของคำว่า ความสุข นั่นแหล่ ก็คือให้รู้จักขันธ์ ๕ ของตัวเอง นั้นแหละคือความสุข ซึ่งอาตมาก็ได้แต่งบทคติว่า “สุขหรือทุกข์นั่นอยู่ที่ใจพร้อมกับกาย” ซึ่งจะแจกเป็นของกำนัลในปีนี้


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2023-5-8 17:43

ตอนที่ ๑๐

จะพ้นวัฏฏะได้อย่างไร


(วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๐)



สมเด็จ :
สภาพการณ์แห่งการที่จะหลุดพ้นจากหลักแห่งวัฏสงสารนั่นแหล่ จะต้องฝึกในด้านจิต

มนุษย์ที่จะหลุดพ้นจากกฎแห่งวัฏสังสาร หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น จะต้องฝึกให้จิตนั้นอยู่ในสมาธิแน่วแน่

สมมติว่าฝึกได้ฌานอะไรก็แล้วแต่ จะต้องพยายามฝึกต่อไปให้อยู่ในสภาวะบ่มไปเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ระหว่างมีชีวิตมันยังจะต้องกินข้าว แล้วมันยังต้องขี้ออกมา เมื่อมันยังต้องกิน ต้องขี้ แล้วไซร้ สภาวะจิตย่อมมีเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ คือเวลานี้ต้องเข้าใจว่า โลกมนุษย์มันกำลังหลง คือ ทิฐิมานะ

ในสภาวะแห่งฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี กรรมฐานก็ดี จะต้องอยู่ในสภาพแห่งความแน่วแน่ จิตนั้นแน่นอนที่สุดอยู่ในขั้นไหนนั้น จะต้องดูเมื่อตอนวาระสุดท้ายแห่งลมหายใจจะสิ้นออกจากสังขารและดวงวิญญาณจะไปด้วยกันนั้นแหละ จึงจะรู้จริงว่า คนนั้นอยู่ในขั้นไหน


คือ สภาวะแห่งจิตตอนนั้นจะประมาทขนาดไหน สภาพการณ์จะหวาดกลัวต่อกรรมวิบากของตัว ที่จะเสวยในโลกวิญญาณหรือไม่ แต่เวลานี้เกจิอาจารย์มันแยะ มันอะไรกันก็ไม่รู้ ฝึกกันสามวันก็ได้ฌานโน้น ฌานนี้ อะไรก็ว่ากันไป

เพราะฉะนั้น การที่จะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ก็จะต้อง

๑. จะต้องมีอภัยจิต อภัยจิตนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญของการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร


๒. จะต้องมีจิตสมาธิแห่งความแน่วแน่ในการนิ่ง แห่งการเรียนรู้สภาวะแห่งกระแสจิตให้สู่แนวนิพพาน คือนิพพานนี่ เป็นสู่จุดว่างของการตั้งสัจจะที่จะไปถึง แต่สภาพการณ์ให้รู้อยู่ในฌานใดฌานหนึ่งก็ยังดี


๓. จะต้องเลิกติดในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ของคำว่าสมมติในโลกมนุษย์

เมื่อปฏิบัติอยู่ในหลักสามประการนี้ได้แล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมสามารถหลุดออกจากคลื่นแห่งวัฏสงสาร

สำหรับบรรพชิตนั้น จะต้องรู้ว่า เรานั้นบวชเพื่ออะไร เป็นจุดสำคัญแห่งการคิด ว่าเรานี้คิดดีแล้วหนอ ที่เราสละตนตามรอยองค์สมณโคดม เรานี้เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งคำว่า เหตุใดองค์สมณโคดมจึงค้นพบตัวรู้อันบริสุทธิ์


สภาพการณ์ถ้าจะเป็นผู้ที่อยู่ในผ้าเหลืองแล้วไซร้ จะต้องฝึกในหลักแห่งสามประการ คือ

๑. จะต้องมีความคิดแน่วแน่เรานี้บวชเพื่ออะไร เราบวชเพื่อค้นตัวพุทธะ เมื่อเราค้นตัวพุทธะแล้วไซร้ เราจะต้องไม่ทรยศต่อสัจจะของตัวเราเอง


๒. จะต้องตั้งจิตแห่งความแน่วแน่ในการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน


๓. ในการโปรดสัตว์ จะต้องดูสภาวะจิตของมนุษย์ที่เราจะเข้าไปพัวพัน ควรโปรดผู้ที่ควรจะโปรด ควรพูดกับผู้ที่ควรจะพูด

ผู้ใดปฏิบัติได้ดังนี้ ผู้นั้นแหล่ คือผู้ที่จะเดินตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริง






ยินดีต้อนรับสู่ แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" (http://dannipparn.com/) Powered by Discuz! X1.5