แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

ชื่อกระทู้: หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน [สั่งพิมพ์]

โดย: webmaster    เวลา: 2011-6-11 19:39     ชื่อกระทู้: หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน

หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน
วันที่: วันจันทร์ 08 ตุลาคม 2007 @ 13:50:04
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ

[attach]18134[/attach]

หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน

“วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า

“คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง 16 อสงไขยกับแสนกัป และฝ่ายวิริยาธิกะ”

เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม...

สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า...ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง 16 อสงไขยกับแสนกัปมันมีวิมานที่นิพพานอยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า

ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลชองชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันระยะต้น เวลาตายนะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฏิบัติ เพราะอะไรเพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าเป็นการชำระหนี้ ชำระสินค้ากันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ

เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ถือว่า ขันธ์ 5 ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆ เอาไว้อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น

สมเด็จท่านก็ถามว่า “คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา”
ก็บอกว่า “เหนื่อยเต็มที่ ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท”
สมเด็จท่านถามว่า “คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ...”
เลยบอกท่านว่า “มี” ก็เลยบอกว่า “ยังไม่รู้ตัวว่าดี”
สมเด็จท่านบอกว่า “เออ ใช้ได้”
คือว่าถ้ารู้ว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้ว เราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดยังงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี่ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาเห็นร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์

สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า...งานสาธารณประโยชน์ มันเป็นปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตา กฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่”

ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญสำหรับข้อมูลจาก :
• หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 3 โดย พระสุธรรมยานเถร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี. หน้า 49-54.






ยินดีต้อนรับสู่ แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" (http://dannipparn.com/) Powered by Discuz! X1.5