แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

ชื่อกระทู้: นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน [สั่งพิมพ์]

โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:19     ชื่อกระทู้: นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน

t1.1.jpg



นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน


นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน มีเนื้อหาทั้งหมด ๒๙ ตอน เป็นการเล่าเรื่องแบบสบายๆ ซึ่งทุกเรื่องถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก อ่านแล้วทำให้เตือนสติตัวเองให้รู้ดี รู้ชั่ว รู้ทางที่เป็นกุศลและอกุศล ช่วยให้เรารู้คิด รู้พิจารณาทุกข์ และชี้ทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและเหมาะสมให้ท่านที่ประสบปัญหาในชีวิต หรือผู้มีชีวิตที่ดีอยู่แล้วให้มีชีวิตที่แจ่มใสราบรื่นยิ่งกว่าเดิม


ด้วยแรงแห่งธรรมะที่แฝงอยู่ในนิทาน หวังเล็กๆ ว่าท่านผู้อ่านทุกท่านคงได้เป็นข้อคิดแห่งธรรมะกลับไปพิจารณาด้วยการมีสติ ที่รู้จักใคร่ครวญไตร่ตรองตามอัธยาศัยแต่ละบุคคล และสุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านนอนหลับฝันดีมีความสุขทั่วกันทุกท่านเทอญ


l30.png



ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :

         • หนังสือนิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน. เขียนและเรียบเรียง: ธรรมรักษา. จัดทำโดย สำนักพิมพ์ กู๊ดมอร์นิ่ง. พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม ๒๕๔๘. หน้า ๗-๑๔๓.


(แก้ไขข้อมูลล่าสุด : 13 ตุลาคม 2566)



รูปภาพที่แนบมา: t1.1.jpg (2023-9-27 22:42, 297.74 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODR8ZmZkY2I3YWR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: l30.png (2023-9-27 22:43, 14.34 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODV8MDQxN2FmZDl8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:24

สารบัญ



๑.   เหตุที่เกิดมาเตี้ย

๒.   กรรมเก่า
๓.   เหตุที่เป็นโรคเรื้อน
๔.   กรรมดี กรรมชั่ว
๕.   เหตุที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่า
๖.   เรื่องเล็กที่เป็นเรื่องใหญ่
๗.   คู่บุญ - คู่ชีวิต
๘.   ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน
๙.   กรรมพัฒนาได้
๑๐.  เหตุที่เกิดเป็นทาส
๑๑.  วาจาใครคิดว่าไม่สำคัญ
๑๒.  โลภมากลาภหาย
๑๓.  กรรมของชายเจ้าชู้
๑๔.  กรรมของลิงพาล
๑๕.  ทุกขลาภ

๑๖.  โทษของคนตระหนี่
๑๗.  ปลาปากเหม็น
๑๘.  คนปากเสีย
๑๙.  ธรรมะจากโสเภณี
๒๐.  ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ
๒๑.  กรรมตามสนอง
๒๒.  เปรตขอส่วนบุญ

๒๓.  เปรตโยมพ่อเจ้าคุณ
๒๔.  เหตุที่เกิดเป็นหญิงแพศยา
๒๕.  เศรษฐีขี้เหนียว
๒๖.  ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
๒๗.  โทษของการทำแท้ง
๒๘.  ยอดของผู้เสื่อมลาภ
๒๙.  ปลงตก


IMG_5095.1.png


ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :


ตอนที่ 1 - 8

http://www.dannipparn.com/thread-69-1-1.html


ตอนที่ 9 - 18

http://www.dannipparn.com/thread-69-2-1.html


ตอนที่ 19 - 28

http://www.dannipparn.com/thread-69-3-1.html


ตอนที่ 29

http://www.dannipparn.com/thread-69-4-1.html


l31.png




รูปภาพที่แนบมา: IMG_5095.1.png (2023-6-8 19:48, 28.17 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzMxNjR8OTRiYzZhYmF8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: l31.png (2023-6-16 17:21, 5.75 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM0MjR8M2Q3MzRmOTR8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:31

ตอนที่ ๑

เหตุที่เกิดมาเตี้ย

L56.1.png



ในอดีตกาล ครั้งศาสนาของพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเถระรูปนี้เกิดในตระกูลมีโภคะมาก ในหังสวดีนคร พอเจริญวัยแล้ว ได้ไปนั่งฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาอยู่ ในขณะนั้นได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศในทางมีเสียงไพเราะ จึงถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน แล้วตั้งความปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง

ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ท่านเกิดเป็นนกดุเหว่า มีขนปีกงดงาม คาบผลมะม่วงมาจากพระราชอุทยาน ขณะที่บินไปได้เห็นพระพุทธเจ้าเกิดความเลื่อมใส จึงคิดว่าจะถวาย พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของนกดุหว่านั้น จึงทรงถือบาตรรอรับอยู่ นกดุเหว่าจึงได้ใส่มะม่วงสุกนั้น นกดุเหว่าเห็นดังนั้น ก็เกิดปีติใจเลื่อมใสอยู่ตลอดสัปดาห์ ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจึงเป็นผู้มีเสียงไพเราะ

ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เมื่อมหาชนปรารภกันที่จะสร้างเจดีย์ ว่าจะสร้างขนาดไหน? เมื่อเขาว่าจะสร้างประมาณ ๗ โยชน์ ท่านก็ค้านว่าขนาดนั้นใหญ่เกินไป เมื่อเขาว่า ๖ โยชน์ ท่านก็ยังแย้งว่า ขนาดนั้นก็ยังใหญ่ไป เมื่อมหาชนลดขนาดลงมาจาก ๕ โยชน์ ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ จนเหลือ ๒ โยชน์ พระเถระผู้เกิดเป็นหัวหน้าช่างในครั้งนั้นจึงพูดว่า

“มาเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราควรจะทำให้ปฏิบัติได้สะดวกในอนาคตเถิด” เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว เขาก็เอาเชือกวงแล้วหยุดอยู่ที่คาวุตหนึ่ง ด้านหนึ่งๆ จึงเป็นพระเจดีย์มีทรงกลมและเตี้ยแค่โยชน์หนึ่ง มหาชนเชื่อถือถ้อยคำของช่างนั้น ด้วยผลแห่งกรรมนั้น หัวหน้าช่างนั้นไปเกิดในชาติใดๆ จึงเป็นคนต่ำเตี้ยทุกชาติ แม้ในชาติปัจจุบันนี้ก็เป็นคนต่ำเตี้ย

ในพุทธกาลนี้ ท่านได้มาเกิดในตระกูลมั่งมีโภคะมากในกรุงสาวัตถี มีชื่อว่า ภัททิยะ แต่เพราะเป็นคนเตี้ยมาก จึงปรากฏชื่อว่า ลกุณฑกภัททิยะ ท่านได้ไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เกิดศรัทธาจึงได้ออกบวช แล้วเป็นพหูสูตเป็นพระธรรมกถึก แสดงธรรมไพเราะมาก


ครั้งหนึ่ง มีงานมหรสพประจำปี มีหญิงงามคนหนึ่ง กำลังไปเที่ยวงานกับพราหมณ์คนหนึ่ง นางเห็นพระเถระนั้นเป็นคนเตี้ย จึงหัวเราะขึ้นจนพระเถระเห็นฟัน พระเถระถือเอานิมิตในกระดูกฟันของหญิงนั้นแล้วทำฌานให้เกิดขึ้น กระทำฌานนั้นให้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี ท่านอยู่ด้วยกายคตาสติเป็นเนืองนิตย์

ต่อมาท่านพระสารีบุตรให้โอวาทอยู่ ท่านก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต คาถาอันเป็นสุภาษิตของท่าน มีดังนี้


“ชนเหล่าใด ถือรูปร่างเราเป็นประมาณ และถือเสียงเราเป็นประมาณ ชนเหล่านั้นย่อมตกอยู่ในอำนาจของฉันทราคะ ย่อมไม่รู้จักเรา

คนพาลถูกกิเลสกั้นไว้โดยรอบด้าน ย่อมไม่รู้ภายใน ไม่เห็นภายนอก ย่อมลอยไปตามเสียงโฆษณา


แม้บุคคลผู้เห็นผลภายนอก ไม่รู้ภายใน ไม่เห็นภายนอก ย่อมลอยไปตามเสียงโฆษณา

ส่วนผู้ใดมีความเห็นไม่ถูกกั้น ย่อมรู้ชัดทั้งภายใน และเห็นแจ้งทั้งภายนอก ผู้นั้นย่อมไม่ลอยไปตามเสียงโฆษณา”



อรรถกถาลกุณฑกภัททิยเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๒ หน้า ๒๔๔

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 22:55, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 2
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODd8OGM0ZDQ0MWF8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 22:55, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODh8MTA4MTYyM2N8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:34

ตอนที่ ๒

กรรมเก่า

L56.1.png



ในอดีตกาล พระอุตตรเถระ ได้เคยสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาลแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ เขาได้เกิดเป็นวิชาธร ท่องเที่ยวในอากาศ

พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา ทรงเปล่งพระพุทธรังสีมีวรรณะ ๖ ขณะที่ทรงประทับอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง เขาเหาะไปทางอากาศเห็นแล้ว มีความเลื่อมใสลงจากอากาศ แล้วเก็บดอกกรรณิการ์น้อมเข้าไปบูชา เมื่อเขาทำกาละแล้วก็ไปเกิดในภพดาวดึงส์ ต่อจากนั้นก็ท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ในชาติสุดท้ายท่านได้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในพระนครราชคฤห์ มีนามว่า อุตตระ เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว สำเร็จในวิชาของพราหมณ์ ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ วิชา ศีลาจารวัตร

วัสสการะมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ เห็นสมบัติของเขาแล้ว ก็มีความยินดีจะยกธิดาของตนให้ เขาได้ปฏิเสธความหวังดีของมหาอำมาตย์ เพราะความเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในพระนิพพาน เขาได้เข้าไปนั่งใกล้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ฟังธรรมในสำนักของท่านตามเวลาที่เหมาะสม ได้มีความศรัทธาบวชเป็นสามเณร และรับใช้ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยความเอาใจใส่

ในสมัยนั้นอาพาธบางอย่างเกิดขึ้นแก่ท่านพระสารีบุตร เพื่อจะจัดยามาถวายพระอาจารย์ อุตตรสามเณรจึงได้ถือเอาบาตรและจีวรออกจากวิหารไปแต่เช้าทีเดียว วางบาตรไว้ที่ริมบึงฝั่งทะเลสาบ แล้วเดินลงไปล้างหน้า ในลำดับนั้นเอง โจรผู้ทำลายอุโมงค์คนหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามมา ได้หนีออกมาจากพระนคร มาทางที่อุตตรสามเณรวางบาตรไว้ จึงเอาห่อรัตนะที่ตนลักมาใส่บาตรของสามเณร แล้วรีบหนีไป

ฝ่ายสามเณรขึ้นมาจากริมทะเลสาบ เดินไปใกล้บาตรก็พอดีกับที่ราชบุรุษที่ติดตามโจรมา เห็นหอรัตนะในบาตรของสามเณร จึงกล่าวว่า “สามเณรนี้เป็นโจร สามเณรนี้ประพฤติตัวเป็นโจร” จึงตรงเข้าจับตัวสามเณรมัดมือไพล่หลัง นำตัวไปส่งให้มหาอำมาตย์วัสสการพราหมณ์ตัดสินคดี ซึ่งในสมัยนั้นวัสสการพราหมณ์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้วินิจฉัยคดีของพระราชา


ส่วนมหาอำมาตย์ก็ไม่ยอมไต่สวนทวนพยานเลย เพราะผูกอาฆาตว่าเมื่อก่อนเราจะยกลูกสาวให้ก็ไม่เอา กลับไปบวชในลัทธิภายนอกศาสนาของตน จึงสั่งให้เอาหลาวเสียบประจานสามเณรทั้งยังเป็นๆ อยู่

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจดูความแก่รอบแห่งญาณของอุตตรสามเณร แล้วได้เสด็จไปสู่ที่นั้น ทรงวางพระหัตถ์ ซึ่งมีพระองคุลียาวอ่อนนุ่มคลุมด้วยเปลวรัศมีลงบนศีรษะของอุตตรสามเณร แล้วตรัสว่า “ดูก่อนอุตตระ ! นี้เป็นผลแห่งกรรมเก่า เกิดขึ้นแล้วแก่เธอ เธอจงทำความอดกลั้น ด้วยกำลังแห่งการพิจารณาในผลของกรรมนั้น”

ครั้นแล้วก็ทรงแสดงธรรมตามสมควรแก่อัธยาศัย ฝ่ายอุตตรสามเณรกลับได้ปีติและปราโมทย์อันโอฬาร เพราะความเป็นผู้มีความเลื่อมใสและโสมนัสอันเกิดแล้ว อันเกิดจากการสัมผัสแห่งพระหัตถ์ของพระศาสดาคล้ายกับทรงราดรดด้วยน้ำอมฤต


สามเณรยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนามรรค ตามนิสัยที่ได้สั่งสมไว้ ยังกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ตามลำดับแห่งมรรคในทันใดนั้นเอง เพราะความแก่รอบแห่งญาณ อุตตรสามเณรได้อภิญญา ๖ ลุกขึ้นจากหลาวแล้วยืนอยู่ในอากาศแสดงปาฏิหาริย์ ด้วยความอนุเคราะห์แก่มหาชน มหาชนต่างอัศจรรย์ในปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมี อุตตรสามเณรได้บรรลุอรหัต แล้วได้กล่าวว่า

“ภพอะไรที่เที่ยงไม่มี แม้สังขารที่เที่ยงก็ไม่มี ขันธ์ (๕) เหล่านั้นย่อมเวียนเกิดและเวียนดับไป เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มีความต้องการด้วยภพ เราสลัดตนออกจากกามทั้งปวง บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว”


อรรถกถาอุตตรเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๑ หน้า ๒

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 22:57, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODl8MTc4YjU1ZTR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 22:57, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTB8NjgyZTViNzV8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:36

ตอนที่ ๓

เหตุที่เป็นโรคเรื้อน

L56.1.png



ในอดีตกาล พระสมิติคุตตเถระ ได้เคยสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้นๆ เป็นอันมาก ในกาลแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ท่านพบพระวิปัสสีพุทธเจ้าแล้ว เกิดความเลื่อมใสแล้วบูชาด้วยดอกมะลิ

ด้วยผลแห่งบุญกรรมนั้น เขาจะเกิดในภพใดๆ ก็ได้ตั้งอยู่ในฐานะที่มีกุลสมบัติ รูปสมบัติ และบริวารสมบัติ เหนือผู้อื่นในชาตินั้นๆ แต่ในชาติหนึ่ง เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ก็เกิดความคิดว่า “สมณะโล้นรูปนี้ ชะรอยจะเป็นโรคเรื้อน ด้วยเหตุนั้นสมณะรูปนี้จึงเอาผ้าคลุมตัวเที่ยวไป” เขาคิดดังนี้แล้ว ก็ถ่มน้ำลายรดแล้วหลีกไป

ด้วยผลแห่งบาปกรรมนั้น เขาต้องไปตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลานาน เมื่อต่อมาได้บวชเป็นปริพาชกได้เห็นอุบาสกผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรคนหนึ่ง แล้วขุ่นเคืองใจได้ด่าว่า เจ้าคงเป็นขี้เรื้อน ดังนี้ แล้วได้ทำลายจุณสำหรับอาบน้ำที่คนทั้งหลายวางไว้ที่ท่าน้ำ ด้วยบาปกรรมนั้น เขาต้องไปเกิดในนรกอีก ต้องเสวยทุกข์อีกสิ้นปีเป็นอันมาก


ในพุทธกาลนี้ เขาได้มาเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี มีนามว่า สมิติคุตตะ พอเขาเจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมของพระศาสดาได้เกิดจิตศรัทธา จึงบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วได้เป็นผู้มีศีลาจารวัตรดีน่าเลื่อมใส แต่ผลแห่งกรรมเก่าของท่านเกิดตามมาทัน โรคเรื้อนได้เกิดขึ้นในร่างกายของท่าน ทำให้ร่างกายเป็นริ้วรอยแตกแยกทั่วไป มีน้ำเหลืองไหลออกทั่วตัว ท่านนอนพักอยู่ในศาลาสำหรับภิกษุอาพาธ

ครั้นวันหนึ่ง ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้ไปตรวจเยี่ยมภิกษุไข้ และสอบถามภิกษุไข้ต่างๆ ในที่นั้น เห็นภิกษุสมิติคุตตะแล้ว ท่านได้บอกกรรมฐานที่มีเวทนานุปัสสนาเป็นอารมณ์ว่า


“ดูก่อนอาวุโส ตราบใดที่ขันธ์ยังดำรงอยู่ ก็ต้องเสวยทุกข์ทั้งปวงอยู่ตราบนั้น แต่เมื่อขันธ์ทั้งหลายไม่มีอยู่นั่นแหละ ทุกข์จึงจะหมดไป”

เมื่อให้กรรมฐานแล้ว ท่านก็ได้จากไป ท่านพระสมิติคุตตะได้ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน เจริญวิปัสสนาได้กระทำให้แจ้งอภิญญา ๖ แล้ว เมื่อท่านได้บรรลุธรรมแล้ว ได้เปล่งวาจาว่า

“บาปกรรมใด ที่เราได้ทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ เราจึงได้รับผลของบาปนั้นในชาตินี้เอง ส่วนบาปใหม่จะไม่มีอีกแล้ว”


สมิติคุตตเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๓๙๔

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 22:58, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTF8MjVjNDA3OGJ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 22:58, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTJ8ODZkYTc2MzB8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:38

ตอนที่ ๔

กรรมดี กรรมชั่ว

L56.1.png



พระอุบลวรรณาเถรี ในครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าปทุมุตระ นางเกิดในเรือนของสกุล ในกรุงหังสวดี พอรู้เดียงสาแล้ว ก็ไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับมหาชนฟังธรรม เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีผู้มีฤทธิ์ เธอจึงถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ๗ วัน เพื่อปรารถนาตำแหน่งนั้น

นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต ได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า นางก็ถือปฏิสนธิในวังของพระเจ้ากาสีในกรุงพาราณสี มีพระนามว่า กิกิ เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่งในระหว่างพระธิดา ๗ องค์ ทรงประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ได้สร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์ แล้วไปเกิดในเทวโลก


ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว นางก็กลับมาสู่มนุษย์บังเกิดในสถานที่คนทำงานด้วยมือ (กรรมกร) ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง วันหนึ่งนางเดินทางไปกระท่อมกลางนา ในระหว่างทางได้เห็นดอกบัวในสระแต่เช้าตรู่ จึงลงสู่สระนั้นเก็บดอกบัวและใบบัว เพื่อใส่ข้าวตอก ตัดรวงข้าวสาลีที่นา แล้วนั่งคั่วข้าวตอกในกระท่อม จัดวางข้าวตอกไว้ ๕๐๐ ตอก

ในขณะนั้นเอง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งซึ่งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์กำลังออกจากนิโรธสมาบัติ มายืนอยู่ไม่ไกลนาง นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือดอกบัวและข้าวตอกลงจากกระท่อม ใส่ข้าวตอกลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเอาดอกบัวปิดปากบาตรถวาย


เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็ปริวิตกว่าอันธรรมดานักบวชย่อมไม่ต้องการดอกไม้ จำเราจะไปเอาดอกไม้มาประดับเสียเอง จึงไปเอาดอกไม้กลับคืนมา แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้แล้ว ก็คงจะไม่รับเป็นแน่ จึงเอาดอกบัวไปถวายอีก แล้วก็ขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วกระทำความปรารถนาว่า

“พระคุณเจ้าขา ด้วยผลแห่งข้าวตอกเหล่านี้ของข้าพเจ้า ขอบุตรของข้าพเจ้าจงมีเท่าจำนวนข้าวตอก (๕๐๐) ด้วยผลแห่งดอกบัว ขอดอกบัวจงผุดขึ้นๆ ทุกย่างก้าว ในสถานที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วเกิดอีกเถิดเจ้าข้า”


พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์ ทั้งนี้นางกำลังเห็นอยู่ แล้วนางได้วางดอกบัวไว้เป็นเครื่องเช็ดเท้าใกล้บันไดเหยียบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ

ด้วยผลแห่งบุญกรรมนั้น เมื่อนางปฏิสนธิในเทวโลก ดอกบัวก็ได้ผุดขึ้นรองรับทุกย่างก้าวของนาง เมื่อนางจุติจากเทวโลกแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในสระบัวแห่งหนึ่ง ใกล้ภูเขาที่ดาบสองค์หนึ่งอาศัยอยู่


เช้าวันหนึ่งดาบสตื่นแต่เช้าตรู่ ได้ลงไปเพื่อล้างหน้าในสระบัว เห็นดอกบัวดอกหนึ่งใหญ่กว่าทุกดอกแต่ยังตูมอยู่ น่าจะมีเหตุอะไรในดอกบัวนั้น จึงลงน้ำไปจับดอกบัว พอดาบสจับถูกดอกบัวก็บานทันที

ดาบสเห็นมีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ในดอกบัว พอเห็นเท่านั้นดาบสก็เกิดความรักประดุจธิดา จึงนำไปบรรณศาลาพร้อมทั้งดอกบัว ให้เด็กนอนบนดอกบัว ด้วยอานุภาพของนาง น้ำนมก็เกิดที่หัวแม่มือ นับแต่นางเริ่มเดินได้ ดอกบัวก็ได้ผุดขึ้นที่เท้าทุกย่างก้าว

ต่อมาเมื่อนางเป็นสาวแล้ว ได้เฝ้าบรรณศาลาอยู่ ในขณะที่ดาบสเข้าป่าหาผลาผลไม้ มีพรานป่าพบเข้า จึงไปเฝ้ากราบทูลพระราชา พระเจ้าพาราณสีจึงเสด็จมา แล้วขอนางไปเป็นพระมเหสี


เมื่อพระนางได้เข้าไปอยู่ในวังแล้ว พระราชาก็ทรงอภิรมย์อยู่กับพระนางเพียงองค์เดียว ไม่สนพระทัยสตรีอื่นๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความริษยาไต่ความว่า พระนางเป็นนางยักษิณี เพราะมนุษย์ธรรมดาย่อมจะไม่มีดอกบัวผุดรองรับพระบาท แต่พระราชาก็ได้นิ่งเสีย

ต่อมาพระนางก็ทรงครรภ์แก่แล้ว ชายแดนเกิดความแข็งเมืองขึ้น พระราชาจำต้องออกไปปราบ ในระหว่างนั้นพระนางก็ใกล้ประสูติ พวกหญิงคนรับใช้ใกล้ชิดได้รับสินบนจากพวกสนมที่ริษยา ให้เอาท่อนไม้ทาเลือดไปไว้ที่ข้างพระนางในขณะที่ประสูติ

พระนางประสูติพระโอรสองค์ใหญ่ คือพระมหาปทุมกุมารองค์เดียว แต่พระกุมาร ๔๙๙ องค์ เกิดโดยสังเสทชกำเนิด ขณะนั้นหญิงรับใช้รู้ว่าพระนางยังไม่ได้สติ จึงเอาท่อนไม้ทาเลือดไปวางไว้ข้างพระนาง แล้วให้สัญญาณแก่สตรีเหล่านั้น ๕๐๐ คน ให้ช่างกลึงทำกล่องใส่พระกุมาร มาใส่พระกุมารทั้ง ๕๐๐ องค์ ลงในกล่องแล้วตีตราซ่อนไว้


ฝ่ายพระนางปทุมวดีพอรู้สึกพระองค์ ก็ตรัสถามว่าเราคลอดแล้วหรือแม่คุณ? หญิงรับใช้ผู้รับสินบนพูดตะคอกพระนางว่า “พระแม่เจ้าจะได้ทารกแต่ที่ไหนเล่า นี่ทารกของพระนาง” แล้วก็เอาท่อนไม้มาทาเลือดแสดงให้พระนางทอดพระเนตร พระนางทอดพระเนตรแล้วก็ทรงโทมนัส ให้ผ่าท่อนไม้เผาไฟเสียโดยเร็ว หญิงรับใช้รับพระเสาวนีย์แล้ว ก็ทำเป็นหวังดี รับผ่าท่อนไม้ใส่เตาในทันที

ฝ่ายพระราชาเสด็จกลับจากการปราบชายแดน พวกสตรีเหล่านั้นก็พากันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์คงไม่ทรงเชื่อพวกข้าพระบาท คำที่ข้าพระบาทกราบทูล เป็นเหมือนมิใช่เหตุการณ์ ขอพระองค์โปรดเรียกหญิงรับใช้ของพระมเหสีมาถามดูเถิดเพคะ พระเทวีของพระองค์ประสูติเป็นท่อนไม้”

พระราชายังไม่ทันทรงสอบสวน ก็เข้าพระทัยพระนางมิใช่มนุษย์ จึงทรงขับไล่พระนางออกไปจากวัง พอพระนางถูกขับออกจากวัง ดอกบัวก็หายไปจากพระบาท และพระฉวีวรรณก็เผือดลงไปด้วย พระนางออกจากวังไปแล้ว ก็ไปพบกับหญิงชราคนหนึ่งในระหว่างถนน หญิงชราพอพบพระนางเท่านั้นก็เกิดความรักดังธิดา จึงถามพระนางว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะไปไหนเล่า?”


พระนางตอบว่า “ดิฉันเป็นคนจรมา กำลังจะหาที่อยู่จ๊ะ” นางจึงชวนพระนางไปอยู่ด้วย จัดหาอาหารเลี้ยงตามฐานะที่ยากจน ฝ่ายหญิงเหล่านั้น เมื่อพระนางปทุมวดีถูกขับไปแล้ว ก็เอากล่องใส่กุมารเหล่านั้นไปลอยที่แม่น้ำ ภายหลังพระราชาทรงทราบว่าเป็นแผนชั่วของพวกสนม จึงจัดกองทัพไปรับพระนาง พร้อมทั้งได้พระกุมารที่ลอยไปติดตาข่ายไว้ด้วย

เมื่อพระนางเสด็จเข้าวังแล้ว ดอกบัวก็ได้ผุดขึ้นที่พระบาทอีก พระราชาทรงโปรดปรานพระเทวีอย่างเดิม ต่อมาพระกุมารเหล่านั้นเติบโตแล้วทรงเล่นน้ำในสระมงคลโบกขรณี ที่ดาดาษไปด้วยดอกปทุมในพระราชอุทยาน ทรงได้ทอดพระเนตรเห็นดอกบัวเก่าร่วงหล่นจากขั้ว ทรงดำริว่าชราเห็นปานนี้ยังมีแก่สิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งมีชีวิตจะไม่ชราไปหรือ?


ทรงพิจารณาดอกบัวโรยเป็นอารมณ์แล้ว ก็บังเกิดพระปัจเจกโพธิญาณทุกพระองค์ เสด็จขึ้นนั่งบนดอกปทุมขัดสมาธิ เมื่อทรงลูบพระเศียร เพศของคฤหัสถ์ก็หายไปกลายเป็นเพศนักบวช เหาะไปบนเขานันทมูลกะ

แล้วฝ่ายพระนางทรงเศร้าโศกพระทัยว่า เรามีบุตรมากก็มากลายเป็นคนไร้บุตรเสียแล้ว ด้วยความเศร้าโศกนั้นเองก็ได้เสด็จทิวงคต แล้วไปเกิดในตระกูลคนทำงานเลี้ยงชีพด้วยมือ ในหมู่บ้านใกล้ประตูกรุงราชคฤห์


ต่อมามีสามีแล้ว วันหนึ่งนำข้าวยาคูไปนาเพื่อสามี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ซึ่งในจำนวนนั้นก็เป็นบุตรของตนนั่นเอง กำลังเหาะมาบิณฑบาต จึงรีบไปบอกสามีว่า “นายเจ้าขา ดูพระปัจเจกพุทธเจ้าสิ เรานิมนต์ท่านมาฉันเถิด” สามีกล่าวว่า”ธรรมดานกสมณะเหล่านี้ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าดอกจ้ะ”

พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ลงมาในที่ไม่ไกลจากคนทั้งสองนั้น ภรรยาได้ถวายอาหารในส่วนของตนพร้อมกับนิมนต์ว่า “พรุ่งนี้ขอท่านทั้ง ๘ องค์ โปรดรับภัตตาหารของข้าพเจ้าด้วยนะเจ้าคะ” พระปัจเจกพุทธเจ้าทราบว่า อุบาสิกานี้เป็นโยมมารดาของตนมาเกิดใหม่ รุ่งขึ้นจึงพาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ องค์ มาด้วย


นางมีความยินดีถวายอาหารจนพอแก่พระ ๕๐๐ องค์ แล้วนำเอาดอกอุบลขาบ ๘ กำ มาวางไว้แทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ รูป ที่ได้นิมนต์ไว้ แล้วตั้งความปรารถนาว่า “พระคุณเจ้าข้า ขอวรรณะแห่งสรีระของข้าพเจ้าจงเป็นเหมือนวรรณะข้างในของดอกอุบลขาบเหล่านี้ในสถานที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วด้วยนะเจ้าคะ”

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้กระทำอนุโมทนาแก่มารดา ก็พากันไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ นางได้ทำบุญกุศลจนตลอดชีวิต จุติจากมนุษย์แล้วได้ไปเกิดในเทวโลก


ในพุทธกาลนี้ นางได้มาเกิดในสกุลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดาตั้งชื่อมีนามว่า อุบลวรรณา เพราะมีผิวพรรณคล้ายดอกอุบลขาบ ในเวลาที่นางโตเป็นสาวแล้ว พระราชาทั่วชมพูทวีปต่างพากันส่งทูตไปยังบ้านเศรษฐีว่า ขอจงส่งธิดาให้แก่เราเถิด

ฝ่ายบิดาก็ไม่อาจจะสนองพระประสงค์ของพระราชาทุกพระองค์ได้ แต่เราจักทำอุบายอย่างหนึ่งให้ธิดาปลอดปัญหา จึงเรียกธิดามาถามว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าบวชเสียได้ไหมลูก”

คำขอของบิดาเป็นประหนึ่งน้ำมันที่เคี่ยวมาแล้วร้อยครั้ง ได้ราดรดลงที่ศีรษะ เพราะนางมีชาติสุดท้ายที่เกิดแล้ว นางจึงตอบบิดาว่า “ลูกจักบวชจ้ะ พ่อจ๋า” ดัง
นั้น เศรษฐีจึงได้นำธิดาไปบวชในสำนักภิกษุณี


เมื่อพระนางบวชได้ไม่นานนัก วันหนึ่งเป็นวาระที่นางดูแลโรงอุโบสถ เมื่อจุดประทีปแล้วกวาดอุโบสถ ยืนถือนิมิตแห่งเปลวเทียนอยู่นั่นเอง เมื่อเพ่งมองอยู่บ่อยๆ ก็ทำฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น กระทำฌานนั่นแลให้เป็นบาท ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมทั้งอภิญญาและปฏิสัมภิทา

ด้วยเหตุพระอุบลวรรณาเถรี ได้สั่งสมบารมีมาทางผู้มีฤทธิ์มาก พระพุทธเจ้าจึงทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้มีฤทธิ์

วันหนึ่ง ท่าน
พระอุบลวรรณาเถรีได้พิจารณาถึงโทษความทรามและความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย จึงเกิดความสลดใจ ที่ในชาติหนึ่งท่านเคยร่วมสามีเดียวกันกับธิดาของท่าน จึงกล่าวคาถาว่า

“เราทั้งสองคือมารดาและธิดา เป็นหญิงร่วมสามีเดียวกัน เรานั้นมีความสลดใจ ขนลุก ที่ไม่เคยมี น่าตำหนิจริงๆ กามทั้งหลายไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น มีหนามมาก ที่เราทั้งสองคนคือมารดากับธิดาเป็นภริยาร่วมสามีเดียวกัน เราเห็นโทษของกามทั้งปวง เห็นว่าการบวชเป็นทางเกษมปลอดโปร่งจึงออกจากเรือนบวชแล้ว”


อุบลวรรณาเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๓๑๗

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 22:59, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTN8NGI0N2NmNDh8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 22:59, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTR8ZjVkOTRjOWF8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:38

ตอนที่ ๕

เหตุที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่า

L56.1.png



สมัยหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ประชุมปรึกษากันว่า “อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านรู้ไหม เพราะเหตุใดลาภสักการะ จึงเกิดขึ้นมากมายแก่พระพุทธเจ้า ?”

พวกเดียรถีย์กล่าวว่า
เออ เรารู้ ลาภสักการะเกิดขึ้นเพราะอาศัยภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชื่อว่า โมคคัลลานะ ด้วยเหตุว่าพระโมคคัลลานะนั้น ไปยังเทวโลกแล้วถามถึงกรรมที่เหล่าเทวดาทำ แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า เพราะเขาทำกรรมอย่างนี้ จึงได้เสวยสมบัติในเทวโลกเห็นปานนี้

และถามกรรมกับพวกสัตว์ที่เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า พวกเขาทำกรรมชื่อนี้ จึงได้ไปเสวยทุกข์อย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้ว จึงได้ลาภสักการะใหญ่

พวกเดียรถีย์ต่างมีฉันทะเป็นอย่างเดียวกันว่า ถ้าพวกเราฆ่าพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้ว ลาภสักการะนั้นก็ย่อมจะบังเกิดแก่พวกเรา อุบายนี้มีประโยชน์ แล้วคิดกันว่า พวกเราจักกระทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย


จึงได้ชักชวนพวกอุปัฏฐากของตน ได้ทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ แล้วได้เรียกโจรนักฆ่าคนมา แล้วพูดว่า “มีพระชื่อพระมหาโมคคัลลานะ กำลังอยู่ที่กาฬประเทศ ท่านจงไปที่นั่นแล้วฆ่าพระมหาโมคคัลลานะเสีย”

ครั้นกล่าวแล้ว ก็ได้มอบเงินหนึ่งพันกหาปณะแก่โจร พวกโจรได้ทรัพย์แล้ว จึงพากันล้อมสถานที่อยู่ของพระมหาโมคคัลลานะ พระเถระรู้ว่าพวกโจรล้อมที่อยู่ จึงได้หนีออกไปทางรูกุญแจ พวกโจรไม่เห็นพระเถระในวันนั้น จึงพากันมาล้อมในวันรุ่งขึ้นอีก พระเถระรู้ว่าพวกโจรมาอีก จึงทำลายช่อฟ้าเรือนหนีออกไป เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกโจรจึงไม่อาจจะฆ่าพระเถระได้


ในครั้งที่สามนี้ พวกโจรมาล้อมอีก พระเถระรู้ว่ากรรมของตนมาถึงแล้ว จึงไม่คิดหลบหนี พวกโจรจึงได้ทุบตีพระเถระจนกระดูกแหลกละเอียดเหมือนเมล็ดข้าวสาร ครั้งนั้นพวกโจรคิดว่าพระเถระตายแล้ว จึงได้โยนศพทิ้งไปหลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วพากันหนีไป

พระเถระคิดว่า เราจักไปเฝ้าพระศาสดาก่อน แล้วจึงจักปรินิพพาน จึงได้ประสานร่างกายด้วยฌาน และเหาะไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักปรินิพพาน” พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เธอจักปรินิพพานหรือ? และปรินิพพานที่ไหนเล่า?”


พระเถระกราบทูลตอบว่า “ที่กาฬประเทศ พระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสถามอีกว่า “โมคคัลลานะ! ถ้าอย่างนั้น เธอจงกล่าวธรรมะแล้วจงไปเถิด เพราะนับแต่นี้ไป เราจะไม่ได้เห็นพระสาวกเช่นเธออีกแล้ว” พระมหาโมคคัลลานะ ได้ถวายบังคมพระศาสดาแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศ แสดงฤทธิ์มีประการต่างๆ แสดงธรรมเสร็จแล้ว ได้ถวายบังคมพระศาสดา แล้วไปยังกาฬศิลาปรินิพพานแล้ว

เรื่องข่าวพวกโจรฆ่า
พระมหาโมคคัลลานะ ได้แพร่สะพัดไปทั่วชมพูทวีป ฝ่ายพระเจ้าอชาตศัตรู จึงได้ทรงส่งพวกจารบุรุษเพื่อสืบหาพวกโจร เมื่อพวกโจรเหล่านั้นพากันไปดื่มสุราในโรงสุรา เมื่อเมาแล้วก็อวดอ้างบ้าง ต่างถกเถียงกันไปมา พวกจารบุรุษจึงได้จับพวกโจรเหล่านั้น แล้วกราบทูลให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบ

เมื่อสอบสวนแล้วรู้ว่าเป็นแผนชั่วของพวกเดียรถีย์สั่งฆ่า จึงได้จับพวกเดียรถีย์ทั้งสิ้นได้ ๕๐๐ คน ให้ขุดลุมหลึกเพียงสะดือที่ท้องสนามหลวง แล้วให้เอาสมณะเปลือยทั้ง ๕๐๐ คน และพวกโจรอีก ๕๐๐ คน ใส่ในหลุมครึ่งตัวเอาดินกลบ เอาฟางสุมแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น ครั้นเผาแล้วได้เอาไถเหล็กไถอีกครั้งหนึ่ง ทำให้คนเหล่านั้นเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ไป

ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายต่างสนทนากันในธรรมสภาว่า “พระมหาโมคคัลลานเถระ มาถึงแก่ความตายไม่สมแก่ตนเลย” พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย! โมคคัลลานะตายไม่เหมาะสมแก่ตนในอัตภาพนี้เท่านั้น แต่ก็เหมาะสมแท้แก่กรรมที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในชาติก่อน”


ครั้นแล้วทรงนำเอาอดีตกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระ มาทรงแสดง ดังนี้ ในอดีตกาล มีกุลบุตรผู้หนึ่งในนครพาราณสีกระทำการงานต่างๆ มีการตำข้าว หุงข้าว เป็นต้น ด้วยตนเองเลี้ยงบิดามารดาตาบอดอยู่ บิดามารดาเห็นว่าเขามีความลำบากนัก จึงได้กล่าวกะเขาว่า

“ลูกเอ๋ย เจ้าผู้เดียวทำงานทั้งในบ้านและในป่าลำบากมาก เราจักนำเอากุมาริกาคนหนึ่งมาช่วยงานของเจ้า” กุลบุตรนั้นได้ห้ามว่า “ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ เมื่อท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ตราบใด ลูกจักบำรุงเลี้ยงคุณพ่อและคุณแม่ด้วยมือของลูกเองขอรับ”


พ่อแม่ได้พยายามอ้อนวอนสักเท่าไร เขาก็คัดค้านตลอด จนพ่อแม่ได้นำกุมาริกามาให้เขา หญิงนั้นได้ทำหน้าที่ภรรยาอย่างเดียวอยู่ไม่นานเพียง ๒-๓ วันเท่านั้น ก็ได้กล่าวกะสามีว่า “ดิฉันไม่อาจจะอยู่ในบ้านเดียวกันกับบิดามารดาของพี่ได้” ฝ่ายสามีก็ไม่สนใจในคำพูดของภรรยา

เมื่อสามีออกไปนอกบ้าน หญิงนั้นจึงได้เอาชิ้นเปลือกปอและฟองข้าวยาคูมาโรยในที่นั้นๆ พอสามีกลับมาจึงได้ถามว่า “นี่อะไรกัน จึงสกปรกไปทั้งบ้าน?” นางจึงได้กล่าวเสริมว่า “นี่เป็นการกระทำของคนแก่ตาบอดทั้งสอง เขาเที่ยวทำให้สกปรกไปทั่วเรือน ฉันทำความสะอาดไม่ไหวแล้ว ฉันไม่อาจจะอยู่ร่วมกับคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว”   

เมื่อนางได้กล่าวว่าอยู่บ่อยๆ สามีก็คิดว่าเป็นความจริง จึงเห็นพร้อมกับภรรยาที่จะกำจัดพ่อแม่ชราที่ตาบอด ให้พ้นไปจากบ้านนี้ตามแผนชั่วของตน วันหนึ่ง หลังจากพ่อและแม่บริโภคอาหารแล้ว ลูกจึงได้กล่าวว่า “ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ พวกญาติของเราในที่โน้น ต้องการให้คุณพ่อและคุณแม่ไปเยี่ยมเขาบ้าง ลูกจะพาคุณพ่อและคุณแม่ไปจ้ะ”

พ่อและแม่ดีใจที่จะได้พบญาติ เขาจึงอุ้มพ่อและแม่ขึ้นเกวียนน้อยไป พอไปถึงกลางดงเป็นที่เปลี่ยว จึงได้กล่าวกะพ่อว่า “ข้าแต่พ่อ พ่อจงถือเชือกไว้ นำเกวียนไปเองเถิด ในที่นี้มีโจรชุกชุม ผมจะเดินทางไปข้างหน้าดูแลความปลอดภัยก่อน” พูดแล้วก็ส่งเชือกบังคับโคให้พ่อไป ส่วนตัวเองลงเดินไป พอไปได้สักครู่หนึ่ง ก็ทำเสียงเป็นโจรจะมาปล้น


ฝ่ายพ่อและแม่คิดว่าเป็นเสียงพวกโจร จึงกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย พวกโจรมันมากันแล้ว พ่อกับแม่แก่แล้วอย่าห่วงเลย ขอให้ลูกรีบหนีเอาตัวรอดเถิด” แม้ว่าพ่อและแม่จะร้องอยู่อย่างนั้น เขาก็ทำเป็นเสียงดัง แล้วเขาก็ทุบตีพ่อและแม่จนตาย โยนศพทิ้งไปในดงแล้วกลับมาบ้าน

พระศาสดานำอดีตกรรมของพระมหาโมคคัลลานเถระมาตรัสแล้ว ทรงแสดงผลกรรมต่อไปว่า “ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะทำกรรมเพียงเท่านี้ ได้ไปหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยวิบากแห่งกรรมที่เหลือ จึงต้องมาถูกทุบจนแหลกละเอียดอีกถึง ๑๐๐ ชาติ


โมคคัลลานะได้ถึงแก่กรรม ที่สมควรแก่กรรมแล้ว ฝ่ายพวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับพวกโจรอีก ๕๐๐ ผู้ประทุษร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ย่อมถึงความพินาศ ๑๐ ประการ

๑. ย่อมได้รับเวทนาอันกล้า
๒. ย่อมประสบความเสื่อม
๓. ย่อมถึงความตาย
๔. ย่อมเกิดอาพาธหนัก
๕. ย่อมมีจิตฟุ้งซ่าน
๖. ย่อมได้รับภัยจากพระราชา
๗. ย่อมถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง
๘. ย่อมเสื่อมจากญาติ
๙. ย่อมเสื่อมจากโภคทรัพย์
๑๐. ย่อมถูกไฟไหม้เรือน


เมื่อกายแตกทำลายแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก ดังนี้



มหาโมคคัลลานเถราปทาน

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๗๐ หน้า ๔๙๐

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:00, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTV8MzQ0M2VjMTB8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:00, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTZ8ZWI5YjY3M2R8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:43

ตอนที่ ๖

เรื่องเล็กที่เป็นเรื่องใหญ่

L56.1.png



ในสมัยแห่งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ เดือน จึงจะมีการสวดพระปาฏิโมกข์ครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้นมีภิกษุ ๒ รูป มีความรักใคร่สามัคคีกันดีมาก ท่านทั้งสองกำลังเดินทางจะไปลงโบสถ์

ในระหว่างเดินทางมากลางป่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งเกิดปวดอุจจาระ จึงเข้าไปยังป่าละเมาะเพื่อถ่ายทุกข์ พอท่านถ่ายเสร็จแล้วก็เดินออกมา ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ยืนรออยู่ห่างกันไม่มากนัก มีภุมภเทวดาตนหนึ่ง เกิดความคิดเล่นๆ ว่า ภิกษุสองรูปนี้รักใคร่กันดีมาก เราจะทำให้ภิกษุสองรูปนี้แตกคอกันได้ไหม?


พอภิกษุรูปนั้นทำกิจถ่ายทุกข์เสร็จแล้วเดินออกมา เทวดาก็จำแลงรูปตนเองเป็นหญิงสาวเดินตามหลังพระไป ทำประหนึ่งสยายผมแล้วก็เกล้าใหม่ เดินตามหลังพระออกจากพุ่มไม้ไป โดยที่พระรูปนั้นไม่เห็นและไม่รู้ด้วย

แต่พระเพื่อนกันเห็นโดยตลอด จึงรู้สึกรังเกียจและเสียใจที่รักใคร่กันมานาน ไม่คิดว่าท่านจะเป็นคนลามกถึงอย่างนี้ จึงไม่ประสงค์จะเดินทางร่วมกับท่านอีกต่อไป จึงส่งบาตรและจีวรให้ แล้วกล่าวว่า “นิมนต์เอาบาตรและจีวรของท่านไปเถิด ผมไม่ปรารถนาจะร่วมทางกับท่านผู้มีความประพฤติลามกเช่นนี้อีกต่อไป”


ดวงหทัยของภิกษุผู้มีความละอาย (ลัชชี) นั้น เมื่อได้ฟังคำเช่นนั้นก็ประหนึ่งว่า ถูกเขาเอาหอกที่คมกริบเสียบเข้าแล้ว จึงกล่าวว่า “ท่านครับ ท่านพูดอะไรเช่นนั้น ผมยังไม่รู้ตัวว่าต้องอาบัติแม้เพียงทุกกฎเลย ท่านกล่าวหาว่าผมเป็นคนลามก ท่านเห็นอะไรหรือ?”

พระผู้เป็นสหายจึงกล่าวว่า “ก็ท่านออกมาจากพุ่มไม้กับสตรีสาว ซึ่งประดับและตกแต่งตัวแล้วมิใช่หรือ?” พระเถระผู้ถูกกล่าวหาตอบว่า “ท่านครับ เรื่องนี้ไม่จริงเลย ผมไม่เห็นสตรีสาวที่ท่านว่านี้เลย แม้ว่าพระเถระจะกล่าวยืนยันถึง ๓ ครั้ง พระเถระผู้ร่วมเดินทางก็ไม่เชื่อถือถ้อยคำ ยึดถือเอาว่าสิ่งที่ตนเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องจริง จึงไม่เดินทางร่วมกับท่านไปโดยทางอื่น


ต่อแต่นั้นมา พอถึงเวลาลงพระอุโบสถ ภิกษุเถระนั้นเห็นภิกษุที่ตนรังเกียจนั่งอยู่ในอุโบสถ ก็มีความคิดว่า “ภิกษุเช่นนี้มีอยู่ในโรงอุโบสถนี้ เราจักไม่ทำอุโบสถร่วมกับเธอ” เมื่อดังนี้แล้ว ก็ได้ยืนอยู่ภายนอกอุโบสถ

ในขณะนั้น ภุมมเทวดาผู้ลามกคิดว่า เราทำกรรมหนักแล้วหนอ เหตุไฉนพระคุณเจ้าจึงยืนอยู่ในที่นี้ จึงกล่าวกะภิกษุเถระนั้นว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุไฉนพระคุณเจ้าจึงไม่เข้าไปสู่โรงอุโบสถ?


เทวดาแปลงเป็นชายจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ท่านอย่าได้ถือเรื่องนี้เลย พระเถระนี้มีศีลบริสุทธิ์ ผู้ที่เป็นหญิงสาวที่ท่านเห็นคือกระผมเอง เพื่อจะทดลองมิตรไมตรีของท่านทั้งสอง ว่าจะมั่นคงหรือไม่หนอเท่านั้น จึงได้แปลงเป็นเพศสตรีดังที่ท่านเห็นแล้วขอรับ”

พระเถระถามว่า “ดูก่อนอุบาสก ก็ท่านเป็นอะไร?”
ภุมมเทวดาตอบว่า
“กระผมเป็นภุมมเทวดาตนหนึ่งขอรับ”


ภุมมเทวดาเมื่อชี้แจงแล้ว ก็หมอบลงแทบเท้าของพระเถระ แล้วอ้อนวอนว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงได้โปรดอโหสิกรรมกระผมด้วยเถิด พระเถระนั้นไม่รู้โทษของตน ขอท่านจงทำอุโบสถเถิด”

ครั้นแล้วจึงได้นิมนต์พระเถระเข้าร่วมในโรงอุโบสถ แต่พระเถระนั้นแม้ว่าจะทำอุโบสถร่วมกันก็ตาม แต่ก็ไม่นั่งในที่เดียวกัน ไม่มีความสนิทสนมอย่างแต่ก่อนและไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก ส่วนพระเถระที่ถูกโจทก์ เมื่อบำเพ็ญวิปัสสนาบ่อยๆ ก็ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว


ด้วยผลแห่งบาปกรรมนั้น ภุมมเทวดาได้ไปสู่อบายภูมิตลอดพุทธันดรหนึ่ง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ผลแห่งกรรมนั้นก็ได้สนองเขาทุกชาติ ในชาติสุดท้ายนี้ เขาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี มีชื่อว่า ธานมาณพ หรือ กุณฑธานะ ภายหลังได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มีศรัทธาได้ออกบวช

นับแต่วันที่เขาบวชแล้ว รูปสตรีผู้ประดับและตกแต่งนางหนึ่งจะติดตามอยู่ด้านหลังของท่านอยู่เสมอไม่ว่าท่านจะอยู่ในวัดที่กุฏิ หรือออกบิณฑบาต จะนั่งหรือยืนอยู่ในที่ใด รูปสตรีสาวก็จะอยู่ด้านหลังของท่านตลอดเวลา แต่ท่านจะไม่เห็นรูปนางนั้นเลย


ท่านจึงเป็นที่เย้ยหยันและรังเกียจของพระเถระทุกรูป คิดว่าท่านได้ซ่อนสตรีไว้ในกุฏิ แม้ว่าในขณะออกบิณฑบาต รูปสตรีก็เดินตามท่านไปด้านหลังด้วย จนผู้ใส่บาตรรังเกียจ และประชดท่านว่า “เอ้า ทัพพีนี้ถวายท่าน แต่ทัพพีนี้ให้แก่สตรีเพื่อนของเรา”

เมื่อท่านถูกพระเณรว่ากล่าวกระทบแรงๆ ท่านก็ไม่อาจจะอดทนได้ จึงได้ด่าว่าโต้ตอบไปบ้าง เรื่องก็เลยมีผู้ไปฟ้องพระพุทธเจ้า จึงทรงเรียกมาถาม และตรัสว่ามันเป็นวิบากกรรมเก่าของเธอ ขอให้เธอจงอดทน อย่ากล่าวคำหยาบตอบโต้อีก


เรื่องดังจนไปถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงเสด็จไปสอบสวนด้วยพระองค์เองถึงกุฏิ ก็เห็นรูปสตรีในกุฏิจริง แต่พอเข้าไปค้นก็ไม่มี จึงรู้ว่าเป็นผลแห่งกรรมเก่า จึงทรงรับเป็นผู้อุปถัมภ์ มิฉะนั้นท่านก็ไม่อาจจะบวชอยู่ได้ เพราะไม่มีผู้ใส่บาตร

เมื่อพระเถระได้ผู้อุปถัมภ์ จึงมีโภชนะที่สบาย เป็นเหตุให้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อเจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุพระอรหัต เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว รูปของหญิงนั้นก็ได้หายไป


   อรรถกถากุณฑธานเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๑๒๙

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:00, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTd8NjZkODI3MWF8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:00, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTh8YzNlMzJiNDV8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:45

ตอนที่ ๗

คู่บุญ - คู่ชีวิต

L56.1.png



ได้ยินว่า ในกาลแห่งศาสนาของพระปทุมุตรพุทธเจ้า พระภัททกาปิลานีเถรี เกิดในเรือนแห่งตระกูลในนครหังสวดี รู้ความแล้วไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศของภิกษุณีของผู้ระลึกชาติได้ จึงกระทำบุญญาธิการแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น และได้กระทำบุญจนตลอดชีวิต

เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลก เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น ได้เกิดในเรือนตระกูล ในกรุงพาราณสี แล้วได้ไปสู่ตระกูลของสามี


วันหนึ่ง ได้ทะเลาะกับน้องสาวของสามี เมื่อเห็นน้องสาวของสามีได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เขาจักได้สมบัติอันโอฬาร จึงรับบาตรจากหัตถ์ของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเทภัตตาหารทิ้งเสีย เอาเปลือกต้มใส่จนเต็มบาตร แล้วถวายทานแทน มหาชนต่างติเตียนว่า “นางคนพาล พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านทำอะไรผิดกะเจ้าหรือ?”

นางเกิดความละอายเพราะคำของมหาชน จึงรับบาตรมาอีก แล้วเอาเปลือกต้มออกเททิ้ง ขัดถูบาตรด้วยผงเครื่องหอม เอาของมีรสอร่อย ๔ อย่าง ใส่จนเต็ม แล้ววางบาตรที่สว่างด้วยเนยใส ซึ่งมีสีเหลืองเหมือนดอกบัว ที่ราดไว้ข้างบน แล้วตั้งความปรารถนาว่า “บิณฑบาตนี้มีแสงสว่างฉันใด ขอร่างกายของเราจงมีแสงสว่างฉันนั้นเถิด”

เมื่อนางได้เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายเท่านั้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ นางได้เกิดในเรือนของเศรษฐีมีสมบัติมาก นางจึงมีร่างกายเหม็น พวกมนุษย์พากันรังเกียจ


นางเกิดความสังเวชตนเอง จึงเอาเครื่องประดับของตนขายแล้วสร้างอิฐทองคำประดิษฐานไว้ที่พระเจดีย์ของพระพุทธเจ้า และถือเอาดอกอุบลบูชา ด้วยบุญกรรมนั้น ร่างกายของนางจึงมีกลิ่นหอมจับใจ ภพนั้นเองนางจึงเป็นที่รักที่ชอบใจของสามี นางได้ทำกุศลตลอดชีวิต

เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว นางก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ แม้ในสวรรค์นั้นนางก็ได้เสวยทิพยสุขตลอดชีวิต ครั้นจุติจากสวรรค์แล้ว นางก็ได้ไปเกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าพาราณสี เสวยสมบัติเช่นสมบัติของเทวดา


นางได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเวลานาน เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นปรินิพพานแล้ว นางเกิดความสังเวชใจ จึงบวชเป็นดาบสินีอยู่ในพระราชอุทยาน เจริญฌานทั้งหลายแล้วไปเกิดในพรหมโลก

ในพุทธกาลนี้ นางจุติจากพรหมโลกแล้ว ได้เกิดในเรือนของตระกูลพราหมณ์โกสิยโคตร ในเมืองสาคลนคร เติบโตเป็นสาวด้วยบริวารใหญ่ เจริญวัยสมควรแล้ว มารดาบิดาได้นำไปสู่ตระกูลสามี มีชื่อว่า ปิปผลิกุมาร ในมหาติตถคาม

เมื่อปิปผลิกุมารออกบวช นางจึงละโภคะกองใหญ่ออกบวชตาม ได้เข้าไปอยู่อารามของเดียรถีย์ ๕ ปี ต่อมานางได้บรรพชาและอุปสมบทในสำนักของพระนางมหาปชาบดีโคตรมี เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่ช้านานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต


ท่านจึงกล่าวไว้ในอุปทานว่า “ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารมีพระนามว่า ปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในครั้งนั้นในพระนครหังสาวดี มีเศรษฐีชื่อว่า วิเทหะ เป็นผู้มีรัตนะมาก

ข้าพเจ้าเป็นชายาของเขา บางครั้งเศรษฐีนั้นพร้อมทั้งบริวาร ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมของพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าทรงตั้งภิกษุองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศทางธุดงค์

สามีของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าตลอด ๗ วัน แล้วซบเศียรลงแทบยุคลบาทตั้งความปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง พระพุทธเจ้าเมื่อจะให้เศรษฐีและบริวารรื่นเริงในธรรม ได้ตรัสว่า


“ดูก่อนลูก! เธอจักได้ตำแหน่งที่ปรารถนาจงใจเย็นเถิด ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระศาสดาพระนามว่า โคตมะ พระศาสดาพระองค์นั้นจักมีธรรมทายาท จักมีโอรสอันธรรมเนรมิต จักมีสาวกนามว่า กัสสปะ

เศรษฐีสามีได้ฟังพระพุทธพยากรณ์ดังนั้น ก็มีความเบิกบานใจ มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพุทธเจ้าด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต


ในกาลนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าและพระสาวกปรินิพพานแล้ว เศรษฐีให้เชิญญาติและมิตรมาประชุมกัน พร้อมใจกันสร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะสูง ๗ โยชน์ รุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าได้ให้ช่าง ๗ คน เอารัตนะ ๗ อย่าง ทำตะเกียงขึ้น ๗๐๐,๐๐๐ ดวง ใส่น้ำหอมให้เต็มทุกดวง ได้ตามไว้ในที่นั้นๆ ลุกโพลงดังไฟไหม้ป่าอ้อ เพื่อบูชาพระคุณยิ่งใหญ่ของพระผู้อนุเคราะห์ปวงสัตว์

ข้าพเจ้าให้ช่างทำหม้อ ๗๐๐,๐๐๐ ลูก เต็มด้วยรัตนะต่างๆ มีวัตถุที่ควรบูชาอันเป็นทอง ตั้งไว้ในท่ามกลางระหว่างหม้อทุกๆ ๘ หม้อ มีวรรณะรุ่งเรืองเหมือนพระอาทิตย์ เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ที่ประตูทั้ง ๔ มีเสาระเนียดล้วนแล้วไปด้วยรัตนะ


ข้าพเจ้าสร้างเอาเครื่องบูชาที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ แล้วได้ถวายทานแด่พระสงฆ์ กล่าวธรรมอันประเสริฐตามกำลังจนตลอดชีวิต ได้เสวยสมบัติทั้งที่เป็นของเทวดาและของมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้นเหมือนเงาไปกับตัวฉะนั้น

ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในพระนครพันธุมดีมีพราหมณ์ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ดี เป็นผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมและทรัพย์ แต่ภายหลังกลับตกยาก


ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นพราหมณีของเขา มีใจเสมอกัน บางคราวพราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมแล้วเบิกบานใจ ได้ถวายผ้าห่มผืนหนึ่ง มีแต่ผ้านุ่งผืนเดียวกับไปเรือน บอกข้าพเจ้าว่า “แน่ะเธอผู้มีบุญมาก จงอนุโมทนาเถิด ฉันได้ถวายผ้าห่มแต่พระพุทธเจ้าแล้ว”

ครั้งนั้นข้าพเจ้าทราบแล้ว ได้ประนมมืออนุโมทนาว่า “ข้าแต่นาย ผ้าห่มท่านถวายดีแล้ว แต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐผู้คงที่” พราหมณ์กับข้าพเจ้า มีความเจริญด้วยสุขสมบัติร่วมกัน ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ ในกรุงพาราณสีที่น่ารื่นรมย์


ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้เป็นมเหสีของท้าวเธอ สูงกว่าพวกพระสนม เป็นที่สองของท้าวเธอ ท้าวเธอโปรดปรานข้าพเจ้า เพราะความเสน่หาอันเนื่องมาจากภพก่อนๆ

พระราชานั้นทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ กำลังเที่ยวบิณฑบาต ทรงเบิกบานพระทัยได้ถวายสิ่งของอันควรแก่ค่ามากแล้วนิมนต์ไว้ ทรงสร้างมณฑปรัตนะผสมด้วยทองงดงามสูง ๑๐๐ ศอก ทรงเลื่อมใสให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมดมาถวายทานด้วยพระองค์เอง

แม้ครั้งนั้นข้าพเจ้าก็ได้ถวายทานร่วมกับพระเจ้ากาสีด้วย ท้าวเธอพร้อมทั้งพระภาดามาเกิดในตระกูลกุฎุมพีผู้มั่งคั่ง และมีความสุข ข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพราหมณ์ผู้พี่ น้องชายของสามีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเอาอาหารของพี่ชายถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพี่ชายมาได้บอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามิได้ยินดีทาน


ขณะนั้นข้าพเจ้าก็ได้ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนสามีของข้าพเจ้าก็ได้ถวายอาหารควรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ในเวลานั้นข้าพเจ้าโกรธ ได้เททานของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเสีย ได้ถวายบาตรที่เต็มไปด้วยเปลือกต้มแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้คงที่นั้น

ครั้งข้าพเจ้าเห็นสามีมีหน้าแสดงว่าสม่ำเสมอ ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจมาก สามีของข้าพเจ้ารับบาตรแล้วเอาน้ำหอมอย่างดีล้างบาตรให้สะอาด ข้าพเจ้ามีจิตยินดีเลื่อมใส ได้ถวายน้ำตาลกรวดกับเปรียงจนเต็มบาตร ข้าพเจ้าไปเกิดในภพไหนๆ ก็มีรูปงาม เพราะได้ถวายทาน แต่ก็มีกลิ่นตัวเหม็น เพราะทำกรรมไม่ดีหยาบหยามพระปัจเจกพุทธเจ้า


เมื่อสามีสร้างพระเจดีย์แห่งพระกัสสปพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ามีความยินดีเอาแผ่นอิฐนั้นชุบจนเปียกด้วยน้ำหอม ที่เกิดจากเครื่องหอม ๔ อย่าง แล้วร่วมก่อด้วย ด้วยบุญกรรมนั้นจึงพ้นจากโทษที่มีกลิ่นตัวเหม็น

ข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วมบุญกับสามีเป็นพิเศษ เมื่อสามีของข้าพเจ้าไปเกิดในแคว้นกาสี มีพระนามว่า สุมิตตะ ข้าพเจ้าก็ได้เป็นภรรยาของเขา เจริญด้วยสุขสมบัติ เป็นที่รักของสามี ครั้งนั้นสามีได้ถวายผ้าโพกศีรษะเนื้อดีแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้ข้าพเจ้าก็มีส่วนในการอนุโมทนาทานนั้นด้วย


เมื่อสามีไปเกิดในกำเนิดชาวโกสิยะในแคว้นกาสี สามีพร้อมกับชาวโกสิยะ ๕๐๐ คน ได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นให้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส และได้ถวายไตรจีวร ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมบุญกรรมนั้นด้วย

เมื่อท่านกาละจากภพนั้นแล้ว ก็ได้มาเกิดเป็นพระราชาพระนามว่า นันทะ มีพระอิสริยยศยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าก็ได้เป็นพระมเหสีของท้าวเธอ เป็นผู้มีความมั่งคั่งด้วยกามสุขทุกอย่าง

เมื่อเคลื่อนจากภพนั้นแล้ว พระเจ้านันทะก็ได้เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ข้าพเจ้ากับพระเจ้าพรหมทัต ได้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นพระโอรสของพระนางปทุมวดีให้อยู่ในพระราชอุทยานและบำรุงบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้ปรินิพพานแล้วจนตลอดชีวิต ภายหลังบวชแล้วเจริญอัปปมัญญา ได้ไปสู่พรหมโลกด้วยกันทั้งสอง


ครั้นจุติจากพรหมโลก สามีของข้าพเจ้าเกิดเป็นพราหมณ์ มีชื่อว่า ปิปผลิ บิดาเป็นพราหมณ์โกสิยโคตร ส่วนข้าพเจ้าเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์ มีชื่อว่า ปิลานี ที่เมืองมัททชนบทในสากลบุรี

พราหมณ์สามีไปตรวจดูงานบางคราว เห็นสัตว์ทั้งหลายที่ถูกกากัดกินแล้วเกิดความสลดใจ ครั้งนั้นข้าพเจ้าเอาเมล็ดงาออกพึ่งแดด เห็นมีหนอนกัดกินอยู่เกิดความสลดใจ ครั้งนั้นพราหมณ์สามีออกบวช ข้าพเจ้าจึงออกบวชตาม อยู่ในสำนักปริพาชก ๕ ปี


เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงผนวชแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปหาท่าน ครั้นบวชแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัต เรามีพระมหากัสสปะผู้มีสิริเป็นกัลยาณมิตร เราทั้งสองเห็นโทษในโลกแล้วออกบวช ฝึกตนแล้ว ข้าพเจ้าเผากิเลส ถอนภพได้แล้ว บรรลุวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว”

พระภัททกาปิลานีเถรี เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นผู้มีความชำนาญอย่างเชี่ยวชาญในปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เพราะได้สร้างสมบุญบารมีไว้ในภพนั้นๆ กาลต่อมา พระศาสดาประทับท่ามกลางสงฆ์ทรงตั้งพระเถรีไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศของภิกษุทั้งหลายผู้ทรงระลึกชาติได้


อรรถกถาภัททกาปิลานีเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๑๑๕

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:01, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4OTl8NDJkNWZkZDR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:01, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDB8MmRkOGQyYjZ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:47

ตอนที่ ๘

ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน

L56.1.png



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนายพรานชื่อ โกกะ ผู้ยุให้สุนัขกัดพระเถระ แล้วตนเองก็ได้รับกรรมนั้นสนอง ดังนี้

เช้าวันหนึ่ง นายพรานโกกะผู้หากินทางล่าเนื้อ มีธนูเป็นอาวุธคู่มือ และมีสุนัขเป็นบริวารล่าเนื้ออยู่ฝูงหนึ่ง ออกป่าล่าเนื้อไปพบภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ พบภิกษุเขาก็โกรธ พลางคิดว่า “เราพบคนกาลกิณีเสียแล้ว วันนี้เราคงจะไม่ได้เนื้อเป็นแน่”


ฝ่ายภิกษุนั้นเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็ได้เดินทางกลับทางเดิม ก็มาพบกับนายพรานโกกะเข้าอีก ฝ่ายนายพรานโกกะเที่ยวมองหาเนื้อในป่าก็ไม่พบ แต่กลับมาพบพระเข้าอีก คราวนี้ก็มีความโกรธเป็นกำลังสอง จึงยุให้สุนัขทั้งฝูงไล่กัดพระ

ฝ่ายพระก็ได้อ้อนวอนว่า “อุบาสก ท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย” นายพรานร้องบอกว่า “วันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้อะไรเลย เพราะมาพบท่าน ท่านก็มาพบข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าจะให้สุนัขกัดท่าน” ว่าแล้วก็ได้ให้สัญญาณแก่สุนัข พระเถระก็ดีรีบปีนขึ้นต้นไม้ต้นหนึ่งโดยเร็ว ได้นั่งที่สูงชั่วคนยืน สุนัขทั้งหลายก็พากันล้อมต้นไม้ไว้


นายพรานโกกะร้องว่า “แม้ท่านขึ้นต้นไม้ก็จะไม่พ้นภัยไปได้” ว่าแล้วเขาก็เอาปลายลูกธนูแทงเท้าของพระเถระ แม้พระเถระจะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ฟัง กลับกระหน่ำแทงใหญ่ พระเถระถูกลูกศรแทงเท้าข้างหนึ่ง ก็หดเอาเท้าขึ้น เขาก็แทงอีกเท้าหนึ่ง เท้าทั้งสองถูกแทงเลือดไหล

ขณะที่พระเถระกำลังหดเท้าทั้งสองขึ้นลงอยู่นั่นเอง ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทง ท่านจึงคุมสติไม่อยู่ จีวรได้หลุดลุ่ย และหล่นลงมาคลุมร่างของนายพรานโกกะเข้าทั้งตัว ฝ่ายฝูงสุนัขเห็นผ้าเหลืองหล่นลงมา จึงคิดว่าพระเถระตกลงมาแล้ว ต่างพากันรุมกินนายพรานจนเหลือแต่กระดูก


เมื่อพวกสุนัขออกมาจากจีวรแล้ว พระเถระจึงหักกิ่งไม้ขว้างสุนัขเหล่านั้น เมื่อสุนัขเหล่านั้นแหงนขึ้นไปดูบนต้นไม้ เห็นภิกษุยังอยู่ จึงรู้ว่ามันได้กัดเจ้าของเสียแล้ว จึงพากันวิ่งเข้าป่าไป ฝ่ายพระเถระเมื่อกลับมาวัดแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ เพราะเกรงว่าตนจะยังมีศีลบริสุทธิ์อยู่หรือไม่

พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ภิกษุ! ศีลของเธอไม่ด่างพร้อย เขาผู้ทำร้ายเธอผู้ไม่ทำร้ายตอบจึงถึงความพินาศ และมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เขาถึงความพินาศ แม้ในอดีตกาลเขาก็ได้ทำร้ายต่อผู้ที่ไม่ทำร้ายตอบ และก็ได้ถึงความพินาศมาแล้วเหมือนกัน” ครั้นแล้วทรงนำอดีตของนายพรานมาเล่า ดังนี้


ในอดีตกาล มีหมอคนหนึ่งเที่ยวไปตามหมู่บ้าน เพื่อต้องการรักษาคน เดินไปจนเมื่อยก็ไม่มีใครจะให้รักษา เกิดความหิวรบกวน แล้วเดินไปพบกับเด็กกลุ่มหนึ่ง กำลังเล่นกันอยู่ที่ประตูบ้าน เขาก็จึงเกิดความคิดว่า “เราจะให้งูกัดเด็กเหล่านั้นแล้วรักษา เราก็จะได้ค่าอาหาร”

คิดดังนี้แล้ว จึงได้ให้งูนอนชูหัวอยู่ที่โพรงใต้ต้นหนึ่ง แล้วจึงบอกกับเด็กๆ เหล่านั้นว่า “นี่แน่ะเจ้าหนูทั้งหลาย นั่นลูกนกสาลิกา อยู่ในโพรงไม้นั่น พวกเจ้าจงจับมันสิ”

ในทันใดนั้นเอง เด็กน้อยคนหนึ่งต้องการลูกนก จึงได้ปีนขึ้นต้นไม้แล้วเอามือล้วงลงไปในโพรง จับที่คองูไว้แน่น เมื่อดึงออกมา จึงรู้ว่ามันเป็นงู จึงเกิดความกลัวสลัดงูอย่างแรงลงไปตกบนหัวของหมอพอดี งูจึงได้กัดคอของหมอ และกัดหมอจนถึงแก่ความตายในที่นั้นเอง

นายพรานโกกะนี้แล แม้ในกาลก่อนก็ได้ทำร้ายต่อผู้ที่ไม่ทำร้ายตอบและได้ถึงความพินาศมาแล้วเหมือนกัน พระศาสดา ครั้นทรงนำเอาอดีตประวัติมาแสดงจบแล้ว ทรงสรุปว่า

“ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ เป็นผู้บริสุทธิ์ บาปกรรมย่อมกลับคืนสู่ผู้นั้น ผู้เป็นคนพาล เหมือนธุลีอันละเอียดที่เขาซัดทวนลมไปฉะนั้น” ในกาลจบพระธรรมเทศนา มหาชนย่อมได้รับประโยชน์แล้วแล



เรื่องนายพรานสุนัขโกกะ

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๒ หน้า ๔๕

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:01, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 3
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDF8MjA2MjFmMDV8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:01, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 2
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDJ8ZmE4MzRmNTd8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:49

ตอนที่ ๙

กรรมพัฒนาได้

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรต ซึ่งเป็นลูกของเศรษฐีคนหนึ่ง ดังนี้

ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นที่รักที่ชอบใจของท่านเศรษฐีมาก พอลูกรู้เดียงสา เศรษฐีและภรรยามีความคิดกันว่า แม้ว่าลูกของเราจะใช้จ่ายวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวัน เขาจะใช้จ่ายไปถึงร้อยปี ทรัพย์สมบัติของเราก็ไม่หมด ด้วยความคิดว่าถ้าลูกไปศึกษาศิลปวิทยาต่างๆ ก็จะทำให้ลูกลำบาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจจะใช้ทรัพย์ของเรานี้หมดอยู่แล้ว


เมื่อลูกชายโตพอที่จะมีภรรยาได้แล้ว เศรษฐีได้ไปสู่ขอหญิงที่มีสกุลคู่ควรกันมาให้ลูกชาย ทั้งสองครองคู่ด้วยความสุขในโลกีย์สุข โดยไม่ใส่ใจในการทำมาหากินประการใด อีกทั้งไม่ฝักใฝ่ในการทำบุญกุศลอีกด้วย และลุ่มหลงอยู่ด้วยกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส จนบิดามารดาได้ถึงแก่กรรมลง

เมื่อสิ้นผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เขาทั้งสองก็ยิ่งใช้จ่ายทรัพย์หนักมากยิ่งขึ้น มีการหานักร้อง นักรำ และนักเลงอบายมุขมาร่วมบันเทิงเริงรมย์สนุกสนานกันเต็มที่ทุกวัน ทรัพย์ก็เริ่มลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้น ต้องไปกู้ยืมเขามาใช้จ่าย ในที่สุดแม้บ้านและที่ดินก็ถูกเจ้าหนี้ยึดไปหมด ต้องกลายเป็นคนอนาถาถือกระเบื้องเที่ยวขอทานเขากินไปวันๆ ทั้งผัวเมียอาศัยหลับนอนตามศาลาสาธารณะในกรุงราชคฤห์นั่นเอง


ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกมิจฉาชีพได้ชักชวนลูกอดีตเศรษฐีว่า รูปร่างแข็งแรงและหนุ่มแน่นอย่างนี้ จึงประโยชน์อะไรด้วยการขอเขากิน มาหากินกับพวกเราดีกว่า งานไม่หนักแต่ได้ทรัพย์มาก ลูกอดีตเศรษฐีก็เห็นดีด้วย จึงเข้าร่วมกับกลุ่มโจรเข้าปล้นบ้านครั้งแรก โดยให้เขาคอยเฝ้าที่หน้าด้านประตู ถ้าเห็นเจ้าทรัพย์วิ่งออกมาก็ให้เอาฆ้อนใหญ่ทุบให้ตาย

ส่วนลูกอดีตเศรษฐีได้ยืนรออยู่จนพวกเจ้าทรัพย์พบตัว จึงช่วยกันส่งไปให้พระราชาชำระโทษ พระราชาได้ตัดสินให้ประหารชีวิตในที่สาธารณะ แต่ก่อนที่จะประหารชีวิตก็ต้องมีการมัดมือไพล่หลัง คล้องพวกมาลัยสีแดง โรยศีรษะด้วยผงอิฐ ตีกลองประจานไปบนรถ เฆี่ยนด้วยหวายประจานไปทั่วเมืองจนไปสู่ที่ประหาร ประชาชนพากันมาดูโจรปล้นกันมาก

ในนครนั้นมีหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ชื่อว่า สุลสา เธอได้ยืนดูอยู่ที่หน้าต่างปราสาท เธอจำชายคนนั้นได้ว่า เคยเป็นผู้บำเรอของเขา เธอเกิดนึกสงสารในความทุกข์ของเขา ซึ่งครั้งนั้นเคยเป็นถึงลูกเศรษฐี บัดนี้ถึงความพินาศที่สุด แม้ชีวิตก็จะอยู่อีกไม่นาน จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูก และน้ำดื่มไปให้เขา ขอความกรุณารอให้นักโทษคนนี้กินขนมและดื่มน้ำก่อนจึงค่อยประหาร

ในระหว่างนั้นเอง พระมหาโมคคัลลานะ ท่านตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นนักโทษคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยแรงกรุณาเตือนจิตคิดว่า “ชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาปมาตลอด เพราะฉะนั้นชายคนนี้จะต้องไปเกิดในนรก ครั้นพอเราไปพบเขาถวายขนมและน้ำดื่มแล้วก็จะไปเกิดในภพเทวดา เราควรจะได้เป็นที่พึ่งของนักโทษผู้นี้


เมื่อคิดดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ไปปรากฏตัวข้างหน้าเขา ในขณะที่มีคนกำลังนำขนมต้มและน้ำดื่มไปให้เขา ครั้นเขาเห็นพระเถระก็มีจิตคิดยินดีเลื่อมใส คิดว่า “เราจะถูกฆ่าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยการกินขนมและดื่มน้ำ และด้วยผลแห่งทานนี้ ก็ย่อมจะเป็นเสบียงพาไปสู่โลกอื่น”

จึงสั่งให้เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่พระเถระ และเพื่อจะเจริญศรัทธาของนักโทษนั้น เมื่อนักโทษกำลังแลดูอยู่นั่นเอง ท่านพระเถระก็นั่งฉันขนมต้มและดื่มน้ำของนักโทษแล้วจากไป เจ้าหน้าที่ได้นำนักโทษไปตัดศีรษะยังที่ประหาร


ด้วยอานิสงส์ที่เขาได้ทำบุญไว้กับพระเถระ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ เขาควรที่จะได้ไปเกิดในเทวโลกชั้นสูง แต่เพราะจิตของเขาเศร้าหมองในเวลาจะดับจิต เพราะคิดถึงนางสุลสา ดังนั้นจึงไปเกิดเป็นเทพชั้นต่ำ คือเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันที่สนิทที่ภูเขา

ท่านผู้รู้ได้กล่าวถึงลูกอดีตเศรษฐีว่า
ในปฐมวัย ถ้าเขาดำรงรักษาสกุลดี เขาก็จะได้เป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐีอื่นๆ ในกรุงราชคฤห์นั่นเอง ในมัชฌิมวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีวัยกลางคน ในปัจฉิมวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีวัยสุดท้าย

แต่ถ้าในปฐมวัย เขาได้บวช ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฌิมวัย ก็จะได้เป็นพระสกิทาคามีหรือพระอนาคามี ถ้าบวชในปัจฉิมวัย ก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่เพราะความที่คลุกคลีด้วยบาปมิตร เขาจึงกลายเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในการทุจริต เขาจึงต้องเสื่อมจากสมบัติทั้งปวงอย่างน่าสังเวชใจยิ่ง


ครั้นสมัยต่อมา เทพบุตรหรือรุกขเทวดานั้น เห็นนางสุลสาไปเที่ยวสวน เกิดความกำหนัด จึงเนรมิตให้เกิดความมืด แล้วนำนางไปยังภพของตน อยู่ร่วมกันนาน ๗ วัน และได้แนะนำตนแก่นาง ถึงสาเหตุที่เขาได้มาเกิดเป็นรุกขเทวดาในที่นี้ (เพราะขนมของนางเป็นเหตุ)

ฝ่ายมารดาของนาง เมื่อไม่เห็นนางสุลสากลับมา ก็ร้องไห้วิ่งพล่านไปข้างโน้นข้างนี้ ชาวบ้านจึงแนะนำว่าพระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก ท่านอาจจะทราบที่อยู่ของนางก็ได้ นางจึงรีบไปหาพระเถระ พระเถระบอกว่าในวันที่ ๗ นางสุลสาก็จะกลับมา
ในที่ประชุมท้ายพุทธบริษัทที่พระเวฬุวันนี้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม

ลำดับนั้น นางสุลสาได้กล่าวกะเทวบุตรว่า “การที่ดิฉันจะอยู่ในภพของท่าน เป็นการไม่สมควรเลย วันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้ว ที่ท่านพาดิฉันมา เมื่อแม่ดิฉันไม่เห็น ก็ย่อมจะเศร้าโศกเป็นห่วง ขอท่านจงพาดิฉันไปส่งไว้ที่ประชุมท้ายพุทธบริษัทเถิด”

ฝ่ายรุกขเทวดาจึงได้พานางสุลสาไปส่งไว้ที่ท้ายพุทธบริษัท ในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ โดยที่ประชุมไม่เห็นเทพบุตร เห็นแต่นางสุลสาคนเดียว ที่ประชุมได้ตื่นเต้น สอบถามนางเป็นการใหญ่ นางก็ได้เล่าให้ฟังโดยตลอด


ที่ประชุมต่างพากันสงสัยว่า อดีตลูกเศรษฐีตอนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่เคยทำบุญเลย ทำแต่บาปตลอด เหตุไฉนทำบุญเพียงขนมต้มและน้ำดื่มเพียงเล็กน้อย จึงได้เกิดเป็นเทพบุตรได้ ต่างพากันเลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วกัน ในเวลาจบพระธรรมเทศนา รุกขเทวดา นางสุลสา พุทธบริษัทต่างได้บรรลุธรรมแล้วแล


อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุ

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:02, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDN8YWI4ZTU1ZDV8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:02, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDR8NjIxNTFhMWF8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:52

ตอนที่ ๑๐

เหตุที่เกิดเป็นทาส

L56.1.png


ในอดีตกาล ในสมัยที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนาในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ท่านได้ถวายผลมะม่วงแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อชิตะ ผู้ลงมาจากเขาคันธมาทน์มาเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้กระทำบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมาก


ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านได้เกิดในเรือนของทาสในบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และได้รับมอบหมายให้ท่านดูแลพระวิหาร ท่านก็เอาใจใส่ด้วยดีมีศรัทธา อีกทั้งได้เห็นพระพุทธเจ้า และได้ฟังพระสัทธรรมอยู่เนืองๆ จนมีศรัทธาแก่กล้าแล้ว จนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบวช ท่านเศรษฐีก็อนุโมทนาและอนุญาตให้บวชได้ด้วยความเป็นไท

ท่านพระทาสกเถระ ได้บำเพ็ญบารมีมามาก แต่ต้องไปเกิดในท้องของนางทาสี ก็ด้วยเศษกรรมที่ท่านทำไว้ในสมัยศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ในสมัยนั้นท่านเจริญวัยแล้ว ได้บำรุงพระอรหันต์รูปหนึ่ง แต่มีอยู่วันหนึ่งท่านได้บังคับให้พระอรหันต์รับใช้ท่าน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ท่านจึงต้องมาเกิดในท้องของนางทาสีในชาตินี้


พระอรรถกถาทาสกเถรคาถา  

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๑๔๓

L55.png





รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:03, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDV8NDRhODk1NGN8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:03, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDZ8OGQzMDIyODJ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:54

ตอนที่ ๑๑

วาจาใครคิดว่าไม่สำคัญ

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรตตนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าเหมือนหมูไว้ ดังนี้

ในอดีตกาล ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ครั้งนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้มีมารยาททางกายดีมาก คือ สำรวมกายน่าเลื่อมใส แต่ท่านไม่สำรวมวาจาคือปาก มักจะด่าว่าภิกษุทั้งหลายเป็นประจำ  ครั้นมรณภาพ (ตาย) แล้ว ท่านจึงไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นสิ้นพุทธันดรหนึ่ง


(ช่วงที่ว่างจากพระพุทธเจ้า) จึงพ้นจากนรกแล้วมาเกิดในยุคพระพุทธเจ้าของเรานี้ ในร่างของเปรตมีหัวเป็นหมู ด้วยเศษของบาปกรรมที่ด่าพระ อยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ ร่างกายของเปรตตนนั้น มีสีเหมือนทอง ด้วยอำนาจของกุศลกรรมที่ได้บวชพระ แล้วมีการสำรวมทางกายดี แต่ต้องมีหัวเป็นหมูเพราะด่าพระ

เช้าวันหนึ่ง ท่านพระนารทะพักอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ได้ออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ แล้วได้พบกับเปรตในระหว่างทาง จึงได้ถามถึงบุพกรรม (กรรมเก่า) ของท่าน เปรตผู้มีรัศมีกายสว่างช่วงโชติ ดุจสีทองคำไปทั่วทิศ จึงได้เล่าให้ท่านฟัง พร้อมทั้งขอร้องให้ผู้ที่บวชอยู่ อย่าได้ใช้ปากด่าว่าภิกษุเหมือนตนเลย


เมื่อท่านพระนารทะกลับจากบิณฑบาต และฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงเข้าไปกราบทูลเนื้อความเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ ซึ่งประทับนั่งอยู่ท่ามกลางที่ประชุมพุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา)

พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนนารทะ! เมื่อก่อนเราก็ได้เคยเห็นเปรตนั้นเช่นกัน” ครั้นแล้วจึงยกโทษของวจีทุจริต (ทำความชั่วทางปาก) มาตรัสพร้อมทั้งแสดงอานิสงส์แห่งวจีสุจริตแก่พุทธบริษัทด้วย


อรรถกถาสูกรเปตวัตถุ

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:03, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDd8NmQ2NGZkMjR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:03, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDh8NDFjZjMzZWJ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 22:58

  ตอนที่ ๑๒

โลภมากลาภหาย

L56.1.png


ในอดีตกาล ในกัปที่ ๕ แต่ภัทรกัปนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพ่อค้าเร่ มีชื่อว่า เสรีวะ ในแคว้นเสริวรัฐ เสรีวะโพธิสัตว์มีเพื่อนเป็นพ่อค้าด้วยกันคนหนึ่ง มีชื่อว่า เสรีวะ เหมือนกัน แต่เป็นพ่อค้าเร่ขี้โกง

วันหนึ่ง พ่อค้าเร่ทั้งสองได้ไปค้าขายในพระนครอริฏฐปุระ โดยทั้งสองพ่อค้าต่างแยกกันไปคนละฟากถนน โดยพ่อค้าโกงเข้าไปก่อน ก็ไปในบ้านของตระกูลเศรษฐีเก่า แต่ภายหลังยากจน มีอยู่เพียงยายกับหลานสาวคนหนึ่งซึ่งยังเล็กอยู่


เมื่อพ่อค้าโกงเดินเร่เข้าไปถึงบ้านเศรษฐีเก่า ก็ได้ร้องขายเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ หลานสาวได้ยินก็ร้องให้ยายช่วยซื้อของประดับให้ แต่ยายก็บอกว่าไม่มีเงินจะซื้อ แต่เมื่อหลานสาวรบเร้าหนักเข้า ยายรำคาญก็เที่ยวมองหาของแลกเปลี่ยน ก็พอดีเห็นถาดเก่าอยู่ใบหนึ่ง จึงเรียกพ่อค้าเร่เข้ามา แล้วเอาถาดเก่ายื่นให้ ขอแลกเครื่องประดับเล็กน้อยให้แก่หลานสาว

เมื่อพ่อค้าโกงรับถาดมาพิจารณาดู พร้อมกับขีดดู ก็รู้ว่าเป็นถาดทองคำแท้ มีราคาแพงมาก ก็คิดจะได้เปล่าๆ จึงแกล้งทิ้งถาดลงแล้วว่า “ถาดนี้จะมีราคาอะไรกัน ไม่เอาหรอก” พูดแล้วก็ทำเป็นเล่นตัว เดินออกไป โดยคิดว่าจะได้ถาดทองคำเปล่าๆ

ฝ่ายยายก็คิดว่าเป็นถาดไม่มีค่า จึงปลอบหลานว่า “ถาดมันไม่มีราคาหรอกหลานเอ๋ย พ่อค้าเขาจึงไม่เอา นิ่งเสียเถอะหลาน ก็เรามันจนจะทำยังไงได้ล่ะ” เมื่อพ่อค้าโกงผ่านไปแล้ว พ่อค้าโพธิสัตว์ก็ผ่านมายังบ้านนั้น เมื่อหลานสาวเห็นก็ร้องให้ยายซื้อของประดับให้อีก เมื่อไม่มีเงินให้ก็ใช้ไม้เก่า คือเอาถาดใบนั้นให้พ่อค้า แล้วแต่พ่อค้าจะให้เท่าไรก็ได้

ฝ่ายพ่อค้าโพธิสัตว์รับถาดมาพิจารณา และขีดดูแล้ว ก็บอกยายว่า “ยายจ๋า ถาดนี้เป็นถาดทองคำแท้ ราคาหาค่ามิได้ สินค้าของฉันทั้งหมดยังไม่เท่าราคาถาดทองคำนี้เลย ฉันไม่มีของพอจะแลกถาดนี้หรอก”

ฝ่ายยายก็ว่า “โอ! คงเป็นบุญของพ่อแล้ว เมื่อครู่นี้เอง พ่อค้าเร่มาดูก็ว่าเป็นถาดไม่มีราคา เขาไม่ต้องการ นี่คงเป็นบุญของพ่อที่เห็นถาดใบเก่าเป็นทอง พ่อจงเอา ไปเถอะ แล้วให้ของตามสมควรเถิด”


พ่อค้าเร่ผู้มีใจเป็นธรรม จึงเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ๕๐๐ กหาปณะ พร้อมทั้งสิ่งของทั้งหมดมีมูลค่า ๕๐๐ กหาปณะ มอบให้แก่ยายหลานทั้งหมด ขอแต่ตาชั่งและถุงใส่ของพร้อมกับเงิน ๘ กหาปณะ เพื่อเป็นค่าเรือจ้างข้ามแม่น้ำเท่านั้น

ฝ่ายยายกับหลานก็สุดแสนจะดีใจ และนับถือพ่อค้าเร่ที่มีความยุติธรรม ฝ่ายพ่อค้าโกงคนนั้น เมื่อออกจากบ้านยายมาสักครู่ ก็คิดเสียดายถาดทองคำจึงหวนกลับมาอีก พอยายเห็นพ่อค้าโกงจึงบริภาษว่า “กลับมาทำไมอีกล่ะ แกตีราคาถาดทองอันมีค่าถึงแสนกหาปณะเพียงกึ่งกหาปณะเท่านั้น บัดนี้พ่อค้าเร่ใจดีได้เอาถาดทองคำนั้นแล้ว”


พ่อค้าโกงพอรู้ว่าพ่อค้าเพื่อนกันเอาถาดไปแล้ว ก็เกิดความเสียดายและเสียใจเป็นกำลังไม่อาจจะควบคุมสติไว้ได้ ถึงกับล้มฟุบสลบไปทันที พอฟื้นขึ้นมาก็สติแตก เพราะความโศกที่สูญเสียถาดทองไป ได้โปรยกหาปณะและสินค้าไว้ที่ประตูเรือนของยายนั่นเอง

ผ้าผ่อนก็หลุดลุ่ยหมด คว้าคันตาชั่งทำเป็นไม้ค้อน รีบตามพ่อค้าใจดีไปโดยเร็ว ไปทันกับพ่อค้าโพธิสัตว์ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเรือจ้างได้ออกเรือไปแล้ว เขาจึงได้ร้องเรียกว่า “เรือจ้างกลับมาก่อน นายเรือจงกลับมาก่อน” ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้บอกนายเรือจ้างว่า “นายเรือจ๋า อย่ากลับไปเลย”


ฝ่ายพ่อค้าโกงเห็นดังนั้น ก็เกิดความแค้นใจเป็นกำลัง ความร้อนก็เกิดขึ้นในอก เลือดได้พุ่งออกจากปาก หทัยแตกพร้อมกับการผูกอาฆาตในพระโพธิสัตว์ก่อนสิ้นชีพในนั้นเอง

นี่เป็นการอาฆาตในพระโพธิสัตว์ เป็นครั้งแรกของพระเทวทัตแล.



อรรถกถาเสรีววาณิชชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๕ หน้า ๑๗๙

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:04, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MDl8MDgwMTkxMjZ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:04, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTB8MTFmNTYwMmV8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:00

ตอนที่ ๑๓

กรรมของชายเจ้าชู้

L56.1.png


พระอิสิทาสีเถรีรูปนี้ เดิมทีท่านเป็นผู้ชายมาก่อน และได้สั่งสมบุญบารมีไว้ในชาติก่อนๆ แล้ว แต่ในชาติที่ ๗ จากชาติสุดท้าย เขาได้ไปเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น

จุติ (ตาย) จากชาตินั้นแล้ว ก็ต้องไปตกนรกอยู่หลายร้อยปี พ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก ๓ ชาติ ตายจากนั้นก็ไปเกิดเป็นกะเทยเป็นลูกทาส ตายจากลูกทาสก็ไปเกิดเป็น
ลูกสาวช่างทำเกวียนที่ยากจน เมื่อลูกชายนายเกวียนมาพบเข้าก็เอาไปเป็นเมีย แต่นายคิริทาสได้มีเมียอยู่ก่อนแล้ว

เมียเก่าของนายคิริทาสเป็นคนดีมีศีลธรรม เมียน้อยลูกสาวช่างทำเกวียนนั้น มีปกติเป็นคนขี้ริษยา เมื่อมาเป็นเมียน้อยเขา ก็พยายามยุยงให้สามีเกลียดเมียหลวง จนเมียหลวงอยู่ไม่ได้ นางเลยได้ครองความเป็นใหญ่ในบ้านไปจนตาย

ในพุทธกาลนี้ นางได้ไปเกิดเป็นธิดาของเศรษฐี ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสมบัติ ทั้งศีลาจารวัตรก็ดีงาม มีชื่อว่า อิสิทาสี พอนางโตเป็นสาวแล้ว บิดามารดาก็มอบให้กับบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ที่พรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ


อิสิทาสีได้ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างดี ปฏิบัติสามีดังเทวดา แต่นางก็ได้อยู่กับสามีได้เพียงเดือนเดียว ด้วยผลแห่งกรรมของนาง ก็ทำให้สามีเกิดความเบื่อหน่าย นำนางออกจากเรือนไป ทั้งที่นางมิได้มีความผิดอะไรเลย มาดูจากปากคำที่นางเล่าไว้เอง ดังนี้

“ข้าพเจ้าเกิดที่กรุงอุชเชนี ราชธานีของแคว้นอวันตี บิดาของข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีผู้มีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนเดียวของท่าน จึงเป็นที่รักและโปรดปรานและเอ็นดู ต่อมาเศรษฐีเมืองสาเกต มาขอข้าพเจ้าให้แก่บุตรของเขา บิดาจึงยกข้าพเจ้าให้ไปเป็นสะใภ้เขา


ข้าพเจ้าเข้าไปทำความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า ไหว้เท้าพ่อผัวและแม่ผัวทั้งเช้าและเย็นตามวิธีที่ถูกสั่งสอนมา ข้าพเจ้าเห็นพี่น้องคนใกล้เคียง หรือแม้แต่คนสนิทเพียงคนเดียวของสามี ข้าพเจ้าก็หวาดกลัว ต้องให้ที่นั่งเขา ต้องรับรองเขาด้วยข้าวน้ำอย่างเรียบร้อย

เมื่อเข้าเรือนไปที่ประตู จะต้องล้างมือและเท้าก่อน แล้วประนมมือเข้าไปหาสามี ต้องถือหวี เครื่องลูบไล้ ยาหยอดตาและกระจก แต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้ ต้องหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ต้องปฏิบัติสามีเหมือนอย่างมารดาปรนนิบัติบุตรคนเดียวฉะนั้น


ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดี ทำหน้าที่ภรรยาครบถ้วน เลิกมานะถือตัว ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีศีล แม้อย่างนี้สามีก็ยังมีเกลียด เขาบอกกะบิดามารดาว่าฉันจะลาไปละ ฉันไม่ขออยู่ร่วมกะอิสิทาสี ทั้งจะไม่ขออยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกันด้วย

บิดามารดาพูดกะเขาว่า อย่าพูดอย่างนี้สิลูก อิสิทาสีเป็นคนฉลาด มีความสามารถ ขยัน ไม่เกียจคร้าน ทำไมเจ้าไม่ชอบเขาละลูกเอ๋ย? เขาได้ตอบว่า อิสิทาสีไม่เบียดเบียนอะไรฉันดอกจ้ะ แต่ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับเขา ฉันเกลียดเขา ฉันอยู่กับเขามาพอแล้ว ฉันขอลาไปก่อนละ


แม่ผัวและพ่อผัวฟังคำของเขาแล้ว ได้ถามข้าพเจ้าว่า เจ้าได้ทำอะไรผิดต่อเขา จึงถูกเขาทอดทิ้ง? จงพูดไปตามความจริงซิ ข้าพเจ้าตอบว่า หนูไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เบียดเบียนเขา ทั้งไม่ได้พูดคำหยาบคาย หนูหรือจะกล้าทำสิ่งที่สามีเกลียดได้

บิดาและมารดาของเขา มีความเสียใจเป็นทุกข์ หวังจะถนอมบุตร จึงนำข้าพเจ้าไปส่งที่บ้านบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลายเป็นแม่หม้ายอยู่ไม่นาน บิดาก็ได้ยกข้าพเจ้าให้กับชายคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะต่ำกว่าสามีคนแรก แต่เขาก็เป็นสามีข้าพเจ้าได้เพียงเดือนเดียว เขาก็ขับข้าพเจ้าผู้ปฏิบัติสามีดุจทาสีอีก


เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่บ้านไม่นานนัก บิดาเห็นขอทานคนหนึ่ง ก็เลยยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาของเขา เขาเป็นสามีข้าพเจ้าอยู่เพียงครึ่งเดือน เขาก็บอกเลิกกะข้าพเจ้า ขอกลับไปเป็นขอทานอย่างเดิม

เมื่ออยู่โดดเดี่ยวอีก ข้าพเจ้าก็คิดว่าจำจะขอลาบิดาและมารดาไปตาย หรือมิฉะนั้นก็บวชเสียดีกว่า ในขณะนั้น พระแม่เจ้าชินทัตตา ผู้ทรงพระวินัยเป็นพหูสูตสมบูรณ์ด้วยศีล กำลังเที่ยวบิณฑบาตมายังเรือนของบิดา


ข้าพเจ้าเห็นท่านแล้ว จึงลุกขึ้นไปจัดอาสนะของตนถวายท่าน เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็กราบเท้าและถวายโภชนะ เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว จึงเรียนท่านว่า “พระแม่เจ้า ดิฉันต้องการจะบวชเจ้าค่ะ”

ลำดับนั้น บิดาได้พูดกะข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย ลูงจงประพฤติธรรมอยู่ในเรือนนี้แล้วกัน จงเลี้ยงดูสมณะพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำไปเถิดลูก” ข้าพเจ้าร้องไห้ประนมมือพูดกะบิดาว่า “พ่อจ๋า ความจริงลูกได้ทำบาปมามากแล้ว ลูกจะขอชำระบาปนั้นให้เสร็จสิ้นกันไปเสียที”


บิดาจึงอวยพรข้าพเจ้าว่า “ขอลูกจงบรรลุโพธิญาณธรรมอันเลิศ และได้พระนิพพานมีพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุดแห่งสัตว์เท้า ทรงกระทำให้แจ้งแล้วเถิด” เมื่อนางบวชได้ ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัต และระลึกชาติก่อนได้ ๗ ชาติ และท่านได้เล่าประวัติส่วนตัว ดังนี้

“เมื่อข้าพเจ้าเป็นชาย เกิดในนครเอรกัจฉะ เป็นช่างทองมีทรัพย์มาก มัวเมาในวัยหนุ่มได้เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ไปเกิดในนรกเป็นเวลาช้านาน ตายจากนรกแล้วมาเกิดเป็นลิง พอคลอดได้ ๗ วัน ลิงจ่าฝูงก็ได้กัดอวัยวะสืบพันธุ์ นี่เป็นผลกรรมที่เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น


ตายจากลิงแล้วก็ไปเกิดในท้องแม่แพะตาบอดและเป็นง่อย อยู่ในป่าแคว้นสินธพ พออายุได้ ๑๒ ปี พาเด็กขี่หลังไปกระแทกอวัยวะเพศ ป่วยเป็นโรคหนอนฟอน นี่เป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น

จุติจากกำเนิดโคแล้ว ไปเกิดในเรือนทาสี ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย พออายุได้ ๓๐ ปีก็ตาย แล้วไปเกิดเป็นหญิงลูกช่างทำเกวียนที่ยากจนขั้นต้น ต้องถูกรุมทวงหนี้ เมื่อมีหนี้พอกพูนทับถมมากขึ้น นายกองเกวียนก็ริบสมบัติ และฉุดข้าพเจ้าไปบ้านของเขา บุตรนายกองเกวียนชื่อคิริทาสเห็นข้าพเจ้าแล้วก็มีจิตปฏิสัมพันธ์ขอไปเป็นภรรยา”



อิสิทาสีเถรี

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๔๖๖

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:04, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTF8OGNiM2M0ZjB8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:04, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTJ8NTgxYjE5MzF8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:02

ตอนที่ ๑๔

กรรมของลิงพาล

L56.1.png


ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดกระบือ อยู่ในหิมวันตประเทศ เมื่อเจริญวัยแล้วมีร่างกายสมบูรณ์ ร่างใหญ่ประมาณช้างหนุ่ม เที่ยวหากินไปตลอดเชิงเขา ป่า และห้วย พบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งน่าสบาย จึงได้พักอยู่ประจำที่โคนต้นไม้นั้น


ครั้งนั้น มีลิงลามตัวหนึ่ง ได้ลงมาจากต้นไม้ ขึ้นบนหลังของกระบือ มันถ่ายอุจจาระและปัสสาวะรด จับเขากระบือโหนตัวเล่น จับหางห้อยโหน ส่วนฝ่ายพระโพธิสัตว์ไม่สนใจในการกระทำอนาจารของลิงนั้น เพราะมีความอดทน มีเมตตา และมีความเอ็นดู เจ้าลิงเห็นกระบือสงบอยู่ ก็ยิ่งกำเริบใจ ได้ทำอย่างนั้นบ่อยๆ

ในครั้งนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้เห็นความลามกของลิงนั้น จึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า “เพราะเหตุไร ท่านจึงอดทนความดูแคลนของลิงผู้ชั่วช้านี้อยู่ได้ ท่านจงทำลิงนี้ให้ฉิบหายด้วยเขาและกีบเสียเถิด”


พระโพธิสัตว์ได้กล่าวตอบเทวดาว่า “ท่านเทวดา เหตุใดท่านจึงจะให้เราทำในสิ่งที่ไม่เจริญแก่ลิงผู้ชั่วช้า จะให้เราเปื้อนซากศพอันลามก ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็จะพึงเป็นผู้ที่เลวกว่าลิง

ศีลของเราก็ย่อมจะขาด และวิญญูชนทั้งหลายก็ย่อมจะติเตียนเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายด้วยความบริสุทธิ์ ยังดีเสียกว่าความเป็นอยู่อย่างน่าละอายเสียอีก ทำไมเราจะต้องเบียดเบียนผู้อื่น แม้เพราะเหตุชีวิตเล่า

บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมอดกลั้นคำดูหมิ่นของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา เจ้าลิงนี้ย่อมสำคัญสัตว์อื่นว่าเป็นเหมือนเรา มันจักทำอนาจารอย่างนี้ แต่นั้นกระบือที่ดุร้าย ก็จะฆ่าลิงนั้นเสีย การตายของลิงนี้ด้วยสัตว์อื่น ย่อมจะเป็นการพ้นทุกข์จากการฆ่าของเรา”

พระโพธิสัตว์ได้ประกาศอัธยาศัยของตนอย่างนี้แก่เทวดา กระบือนั้นล่วงไป ๒-๓ วัน ก็ได้ไปอยู่ในที่อื่น แล้วก็มีกระบือผู้ดุร้ายมาอยู่ที่นั้นแทน ลิงผู้ชั่วช้าสำคัญว่า กระบือตัวนี้คงเหมือนกับกระบือตัวก่อน


มันเห็นกระบือตัวใหม่มาอยู่ใต้ต้นไม้ มันก็ได้ขึ้นบนหลังกระบือแล้วกระทำลามกอนาจารเหมือนเช่นเคย กระบือดุร้ายตัวนั้นจึงได้สลัดลิงตกจากหลังลงมาบนพื้นดิน เอาเขาขวิดที่หัวใจ เอาเท้าเหยียบจนแหลกเหลวไป


อรรถกถามหิสราชจริยา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๗๔ หน้า ๒๙๓

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:05, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTN8MmRjMGMwMWV8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:05, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTR8OTliMGVmMmZ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:06

ตอนที่ ๑๕

ทุกขลาภ

L56.1.png


พระปฏาจาราเถรี เป็นภิกษุณีรูปเดียวในศาสนานี้ ที่มีความทุกข์มากที่สุด แต่ในที่สุดท่านก็ได้พบลาภอันประเสริฐ เรื่องในอดีตชาติมีเพียงเล็กน้อย ดังนี้

ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ นางเกิดในเรือนครอบครัว ในกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของภิกษุณีผู้ทรงพระวินัย นางได้กระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง


นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต แล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางได้ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกิ เป็นพระธิดาองค์หนึ่ง ในบรรดาพระพี่น้องนาง ๗ องค์ ทรงประพฤติโกมาริพรหมจรรย์มาตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี ทรงสร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์

นางจุติจากภพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในครอบครัวเศรษฐี พอโตเป็นสาวแล้วได้ทำความสนิทเสน่หากับคนงานคนหนึ่งในเรือนของตน บิดามารดาได้กำหนดวันที่จะมอบธิดาของตนให้แก่ชายหนุ่มซึ่งมีฐานะเสมอกัน นางรู้เรื่องนั้นแล้ว ก็ได้นัดกับชายคนรัก เก็บข้าวของหลบหนีไปอยู่ด้วยกันที่ป่าแห่งหนึ่ง

เมื่ออยู่ด้วยกันไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ ครั้นตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด นางก็คิดถึงบ้าน เพราะที่ป่าดงนี้ไม่มีใครพอจะช่วยได้เลย จึงพูดกับสามีว่า “นายจ๋า ประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ในที่นี้อย่างคนอนาถา ฉันจะกลับไปเรือนของครอบครัวละ” ฝ่ายสามีก็ไม่อยากไปเกรงว่าจะถูกทำโทษ จึงพูดผัดเพี้ยนว่า “วันนี้อย่าไป พรุ่งนี้ค่อยไปต่อเถอะ”


นางคิดว่าสามีคงไม่กล้าพานางไป พอสามีออกไปทำงานนอกบ้านแล้ว นางก็ได้เก็บข้าวของไว้ในเรือน แล้วสั่งบ้านใกล้เคียงว่า นางกลับไปบ้านเก่าของพ่อแม่ แล้วนางก็ออกเดินทางมาคนเดียว มุ่งหน้าไปสู่บ้านของพ่อแม่

ฝ่ายสามีกลับมาบ้านไม่พบภรรยา ถามคนบ้านใกล้เคียงรู้ว่านางกลับไปบ้านแล้ว ก็คิดว่าเพราะตัวเอง นางจึงเป็นคนอนาถา จึงเดินสะกดรอยตามไปทันกัน ในขณะนั้นนางก็เจ็บครรภ์อีก แล้วก็คิดจะกลับไปคลอดที่บ้านเก่าอีก สามีก็ไม่ยอมพากลับเช่นเดิม
นางก็ต้องใช้อุบายเดิม พอสามีออกไปทำงาน นางก็บอกเพื่อนบ้าน แล้วออกเดินทางมุ่งไปสู่บ้านของพ่อแม่

ฝ่ายสามีก็ตามมาทันในกลางป่าเป็นเวลาใกล้ค่ำ พอดีในขณะนั้นลมกัมมัชวาตเกิดปั่นป่วน มีอาการว่าจะคลอดบุตร เมฆฝนอันมิใช่ฤดูกาลลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้ามีหยาดฝนตกลงมาไม่ขาดสาย เสียงฟ้าคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบไปรอบๆ นางจึงพูดกะสามีว่า “นายจ๋า ช่วยสร้างที่กำบังฝนให้หน่อยสิจ้ะ”

ฝ่ายสามีก็รีบสำรวจดูที่โน่นที่นี่ ทราบว่าที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งมีหญ้าปกคลุมอยู่ จึงไปที่นั้นประสงค์จะตัดท่อนไม้ที่พุ่มไม้นั้น ด้วยมีดที่ถืออยู่ในมือ จึงตัดไม้ซึ่งอยู่ที่พุ่มไม้นั้น ท้ายจอมปลวกที่หญ้าปกคลุม ในทันใดนั้นเอง งูพิษร้ายตัวหนึ่งก็เลื้อยออกมาจากจอมปลวก แล้วกัดสามีล้มลงตายอยู่ในที่นั้นเอง

ฝ่ายนางได้รอสามีอยู่ ฝนก็เปียกทั้งตัว ครรภ์ก็ปวดใกล้คลอด มองหาสามีจนมืดค่ำแล้วก็คลอดบุตร นางต้องโอบลูกน้อยทั้งสอง ซึ่งทนฝนและลมไม่ไหวร้องจ้าไว้กับอก สองเท้าและสองมือคร่อมลูกน้อยทั้งสองไว้ตลอดคืนแสนจะทรมาน

พอราตรีผ่านไปสว่างแล้ว เอาลูกที่คลอดใหม่คล้ายชิ้นเนื้อ นอนบนผ้าเบาะเก่าๆ โอบด้วยมือกกด้วยอก แล้วพูดกะลูกคนโตว่า “มานี่ลูก พ่อเจ้าไปทางนี้” แล้วพาลูกไปตามหาสามี พบว่าสามีนอนตายอยู่ใกล้ๆ จอมปลวก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่า “เพราะตัวเราทีเดียว สามีเราจึงตาย” เมื่อหาเศษไม้มารวมกันเผาศพสามีแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป

ในระหว่างทางก็ถึงแม่น้ำ จะต้องข้ามแม่น้ำนั้นไป แม่น้ำนั่นลึกประมาณแค่อก แต่ก็ไหลเชี่ยวมาก เพราะฝนตกหนักมาทั้งคืน จึงจำเป็นจะต้องเอาลูกข้ามแม่น้ำไปทีละคน เพราะร่างกายอ่อนแอเนื่องจากการคลอดบุตร จึงบอกให้ลูกคนโตรออยู่ที่ฝั่งนี้ แล้วนางก็อุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปวางไว้ที่ริมฝั่งข้างโน้น ครั้นแล้วก็จะกลับมารับลูกคนโต

พอนางข้ามมาถึงกลางแม่น้ำ ในขณะนั้นก็มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินผ่านมา พอเห็นเด็กทารกที่ริมฝั่ง ก็เข้าใจว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงโผบินลงมาจากอากาศ นางเห็นเหยี่ยวนั้นจึงยกสองมือขึ้นไล่ร้องเสียงดังว่า “สุ สุ สุ” ฝ่ายเหยี่ยวก็ไม่สนใจอาการไล่ของนาง เพราะอยู่ไกลมาก จึงเฉี่ยวเอาเด็กน้อยบินขึ้นอากาศไป

ฝ่ายลูกคนโตยินเสียงแม่ร้อง ก็เข้าใจว่าแม่เรียกตัว จึงกระโดดลงน้ำโดยเร็ว กระแสน้ำเชี่ยวจึงพัดลูกคนโตจมน้ำไป นางเสียใจร้องไห้คร่ำครวญว่า “ลูกเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป อีกคนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดไป สามีของเราก็ตายที่กลางป่า”

นางเดินไปร้องไห้ไปบ่นไป พบชายคนหนึ่งจึงถามว่า “พ่อท่าน เป็นชาวเมืองไหนจ้ะ” ชายผู้นั้นตอบว่า “เป็นชาวเมืองสาวัตถีจ้ะ แม่คุณ” นางได้ถามถึงตระกูลเศรษฐี อันเป็นพ่อแม่ของนางว่า “พ่อท่านรู้จักเศรษฐีชื่อนั้นหรือไม่”

ชายเดินทางตอบว่า “รู้จักดีจ้ะ แม่คุณ แต่อย่าถามข้าเลย ไปถามคนอื่นเถิดจ้ะ” นางจึงถามอีกว่า “คนอื่นฉันไม่ต้องการดอกจ้ะ จะขอถามพ่อท่านนี่แหละ ขอจงช่วยบอกฉันด้วยเถิด” ชายนั้นจึงได้ตอบว่า “แม่คุณเอ๋ย โปรดไม่ให้บอกไม่ได้หรือ? วันนี้แม่นางก็เห็นอยู่ว่าเมื่อคืนฝนตกทั้งคืน”

นางได้ตอบชายนั้นว่า “เห็นอยู่จ้ะพ่อท่าน ฝนนั้นตกตลอดคืนยันรุ่ง สำหรับเรื่องส่วนตัวฉันจะเล่าภายหลัง ขอพ่อท่านโปรดเล่าเรื่องของเศรษฐีและภรรยาให้ฉันฟังก่อนเถิดจ้ะ”

ชายนั้นจึงเล่าว่า “แม่คุณเอ๋ย เมื่อคืนนี้เรือนของเศรษฐีถูกฝนและพายุหนัก เรือนพังทับเศรษฐี ภรรยาและบุตรชายเศรษฐีทั้งสามคนตาย ขณะนี้กำลังถูกเผาอยู่ที่เชิงตะกอนเดียวกัน ควันไฟยังเห็นอยู่ข้างหน้าโน่นแน่ะจ้ะ” เล่าพลางก็ชี้มือให้ดูควันไฟข้างหน้า

บัดนั้นเอง นางก็หมดสติล้มฟุบลง พอรู้สึกตัวนางก็จำไม่ได้ว่าตนได้ปราศจากผ้านุ่งห่ม เพราะเป็นบ้าและความโศกเศร้า จึงเดินวนเวียนเพ้อรำพันว่า “สามีเราก็ตายที่กลางป่า ลูกทั้งสองก็ตาย บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน”

นับแต่นั้นมา นางก็มีชื่อว่า “ปฏาจารา” เพราะมีอาจาระตกไป เป็นผู้เปลือยกายเที่ยวไปอยู่ คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็โยนขยะลงบนศีรษะ บางพวกก็โปรยฝุ่นใส่ บางพวกก็ขับไล่ว่าอีบ้าไปให้พ้น บางพวกก็ขว้างด้วยท่อนไม้ด้วยก้อนดิน


ขณะนั้นนางปฏาจาราได้เดินเปะปะบ่ายหน้าไปทางพระเชตวันวิหาร ซึ่งในขณะนั้นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม ในท่ามกลางพุทธบริษัทหมู่ใหญ่อยู่ มหาชนเห็นนางแล้ว พากันห้ามว่าอย่าให้นางเข้ามา

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำรวจดูความแก่กล้าแห่งญาณ จึงตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย” เมื่อนางถึงที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า “แม่นาง จงกลับได้สติเถิด” ในทันใดนั้นเอง นางก็กลับได้สติเพราะพุทธานุภาพ รู้ตัวว่าผ้าที่นุ่งอยู่หลุดหมดแล้ว เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นมา จึงนั่งคุกเข่าลง ชายผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มให้ นางนุ่งผ้าห่มนั้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระศาสดา


นางกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วย สามีก็ได้ตายที่กลางป่า ลูกคนเล็กถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตถูกน้ำพัดไป บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเรือนล้มทับตาย เขาเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน” นางกราบทูลด้วยความโศกเศร้า น้ำตานองหน้า

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนปฏาจารา! เจ้าอย่าคิดมากไปเลย เจ้ามาหาเรา ซึ่งสามารถจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้ ก็บัดนี้เจ้าหลั่งน้ำตา เพราะความตายของลูกและญาติเป็นเหตุฉันใด ในสังสารวัฏที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้วก็ฉันนั้น น้ำตาที่เธอหลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นนั้น ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก”


เมื่อพระศาสดาบรรยายธรรมกถาเรื่องสังสารวัฏ ที่หาเงื่อนต้นและเงื่อนปลายไม่สิ้นอยู่ ความโศกเศร้าของนางก็บรรเทาลง จึงทรงแสดงธรรมกถาต่อว่า


“ดูก่อนปฏาจารา! ขึ้นชื่อว่าปิยชน (คนที่รัก) มีบุตร เป็นต้น ก็ไม่อาจจะช่วย จะซ่อนเร้น หรือเป็นที่พึ่งของคนที่ไปสู่ปรโลกได้  ปิยชนเหล่านั้นแม้มีอยู่ ก็ชื่อว่าไม่ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงชำระศีลของตนแล้ว ทำทางที่จะไปพระนิพพานให้สำเร็จ ดังนี้”

จบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา พระศาสดาทรงนำนางไปสำนักภิกษุณีให้บรรพชา นางได้อุปสมบทแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์


อรรถกถาปฏาจาราเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๑๘๔

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:06, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTV8NDlkM2RhNzJ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:06, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTZ8NGEwM2JmOWJ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:08

ตอนที่ ๑๖

โทษของคนตระหนี่

L56.1.png



พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ผู้เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวจัด แม้ว่าจะมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ก็มีชีวิตเป็นอยู่ยาจก ดังนี้

ในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐีชื่ออานนท์ มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่มาก เขาจะประชุมพวกญาติทุกครึ่งเดือน แล้วให้โอวาทแก่บุตรของตนชื่อมูลศิริว่า “เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่า ทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้มา เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่หมดไป แต่ควรจะทำทรัพย์ให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราทำทรัพย์แม้เพียงกหาปณะหนึ่งหมดไป ทรัพย์ทั้งสิ้นก็ย่อมจะหมดไปได้”


อานนทเศรษฐีได้ยกตัวอย่างว่า พึงดูยาหยอดตา ที่ใช้ไปทีละหยดๆ ใช้นานไปมันก็หมดขวดได้ นี้ในทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ พึงดูการก่อรังของจอมปลวกทั้งหลาย มันได้ก่อขึ้นเพียงวันละเล็กวันละน้อย จอมปลวกก็ใหญ่ขึ้นมาได้ นี่เป็นทางเจริญแห่งโภคทรัพย์

ท่านเศรษฐีอานนท์ ได้ฝังขุมทรัพย์ไว้ ๕ แห่ง แต่ไม่ได้บอกให้บุตรรู้ ด้วยความตระหนี่และหวงทรัพย์ เมื่อเขาตายแล้ว ก็ยังมีความผูกพันในทรัพย์นั้น จึงไปเกิดในท้องของหญิงจัณฑาลยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้ประตูแห่งหนึ่ง ใกล้พระนครนั่นเอง


พระราชาทรงทราบว่าอานนทเศรษฐีทำกาละแล้ว จึงได้ทรงตั้งมูลศิริเป็นบุตรแทนตำแหน่งเศรษฐีต่อไป ตระกูลแห่งคนจัณฑาล ที่อานนทเศรษฐีไปเกิดนั้น ต้องทำงานรับจ้างมีอยู่ประมาณพันคน พากันออกรับจ้างเป็นกลุ่มอยู่ นับแต่ที่เขาไปเกิดอยู่ในท้องมารดาแล้ว ก็ทำให้มารดาไปรับจ้างไม่ได้ค่าจ้างเลย ไปรับจ้างกับพวกไหนก็ทำให้คนพวกนั้นพลอยอดไปด้วย

พวกจัณฑาลเหล่านั้น ได้กล่าวกันว่า “บัดนี้ พวกเราแม้ทำงานก็ไม่ได้ค่าจ้าง ไม่ได้แม้แต่ก้อนข้าว ในหมู่พวกนี้ เห็นจะมีคนกาลกิณีอยู่เป็นแน่” ครั้นแล้วจึงแยกพวกจัณฑาลออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่อานนทเศรษฐีไปเกิดอยู่ในท้องมารดา พอเข้าไปกับฝ่ายไหน ก็ทำให้ฝ่ายนั้นอดอยาก ในที่สุดนางก็ถูกเขาคัดนางออกมาอยู่คนเดียว ก็ทำให้นางต้องอดอยากตลอดไป


เมื่อนางคลอดบุตรแล้ว เอาบุตรไปหากินด้วย ก็ไม่มีใครจ้าง ต้องพาอดกลั้นทั้งแม่และลูก จึงต้องให้ลูกอยู่ในที่พัก นางจึงพอหากินได้บ้าง และทารกนั้นเมื่อเกิดมาก็วิกล มีมือ เท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่เหมือนคนปกติ คือมีรูปร่างน่าเกลียด ดุจปีศาจคลุกฝุ่น

แม้กระนั้นมารดาก็ยังไม่ทิ้งบุตร นางทนเลี้ยงดูด้วยความอดอยากฝืดเคืองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทารกโตพอจะหากินได้เองแล้ว นางก็เอากระเบื้องใส่มือ แล้วกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย แม่ลำบากเพราะเจ้ามามากแล้ว บัดนี้แม่ไม่อาจจะเลี้ยงเจ้าต่อไปอีกแล้ว อาหารที่เขาจัดไว้ตามโรงทานมีอยู่ เจ้าจงไปหาเลี้ยงปากท้องเอาเองเถิด”


เมื่อกล่าวแล้ว นางก็ได้ปล่อยทารกไว้ ทารกนั้นก็ได้เดินไปจนถึงบ้านของตน เพราะระลึกชาติก่อนได้ จึงเข้าไปสู่เรือนของตน โดยที่ไม่มีใครเห็น เขาผ่านซุ้มประตูไปถึง ๓ แห่ง พอมาถึงซุ้มที่ ๔ บุตรของมูลศิริเศรษฐีเห็นเข้า ก็เกิดความหวาดกลัวร้องไห้จ้า

ลำดับนั้น พวกบริวารของเศรษฐีกล่าวกะทารกว่า “เฮ้ย! เอ็งจงออกไป ไอ้คนกาลกิณี” ว่าพลางก็โบยตีจนบอบช้ำ แล้วจับเอาไปโยนไว้ที่กองขยะ ครั้นนั้นแล พระศาสดามีพระอานนท์ติดตาม ได้เสด็จบิณฑบาตมาถึงที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระเถระ เมื่อพระอานนท์ถูกถามแล้ว จึงทำให้เชิญมูลศิริเศรษฐีออกมา พร้อมด้วยมหาชนประชุมกันแล้ว


พระศาสดาได้ตรัสถามเศรษฐีว่า “ท่านรู้จักทารกนั่นไหม?” มูลศิริเศรษฐีทูลตอบว่า “ไม่รู้จัก พระเจ้าข้า” พระศาสดาจึงตรัสว่า “ทารกนั้น คืออานนทเศรษฐีผู้เป็นบิดาของท่าน” ครั้นแล้ว พระศาสดาได้ตรัสกะทารกว่า “อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่  ๕ แห่ง ที่ท่านฝังไว้แก่บุตรของท่านเถิด”

พระศาสดาทรงยังมูลศิริเศรษฐี ผู้ไม่เชื่อด้วยการพาไปขุดขุมทรัพย์ แล้วมูลศิริ
เศรษฐีจึงเลื่อมใส ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมแก่มูลศิริเศรษฐี โดยตรัสเป็นคาถาว่า

“คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ตนแลย่อมไม่มีแก่ตน ส่วนบุตรและทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน ?”

ในกาลจบพระธรรมเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สรรพสัตว์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล้วแล.


อรรถกถาอานนทเศรษฐี

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๐ หน้า ๑๘๒

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:06, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTd8MWUzMTQ0NTl8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:06, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTh8MGFjNzhkZDB8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:10

ตอนที่ ๑๗

ปลาปากเหม็น

L56.1.png



เมื่อครั้นศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ เสด็จปรินิพพานแล้ว ตระกูลหนึ่งมีแม่ชื่อว่า สาธนี ลูกชายคนโตชื่อ โสธนะ น้องชายชื่อ กปิละ และมีน้องสาวชื่อ ตาปนา

ต่อมาทั้งสี่คนก็ออกบวชหมด ลูกชายทั้งสองบวชเป็นภิกษุ ส่วนแม่และน้องสาวบวชในสำนักของภิกษุณี พระโสธนะพี่ชายบวชแล้ว ก็เรียนวาสธุระคือวิปัสสนาธุระ ต่อมาไม่นานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์


ส่วนน้องชายถือว่าตนยังหนุ่มอยู่ จึงสมัครเรียนทางคันถธุระ หรือปริยัติก่อน ต่อมาเมื่อชราแล้วจึงจะเรียนวิปัสสนาธุระ เมื่อท่านพระกปิละเรียนปริยัติจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็มีบริวารมาก ลาภก็เกิดขึ้นมาก เกิดความมัวเมาในความที่ตนเป็นพหูสูต สำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต

เมื่อกปิละหลงตนอยู่ ก็ได้กล่าวคำสอนผิดๆ อันตรงข้ามกับคำสอนของพระกัสสปพุทธเจ้า แม้เหล่าภิกษุผู้มีศีลจะกล่าวตักเตือนก็หาฟังไม่ กลับขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายว่า “พวกท่านเหมือนคนมีกำมือเปล่า จะรู้อะไร!” พวกภิกษุเหล่านั้นได้บอกเรื่องนี้แก่พระโสธนะพี่ชาย


พระพี่ชายก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนพระน้องชายว่า อย่าได้กระทำบาปกรรมอย่างนั้นเลย พระกปิละก็ไม่สนใจ ท่านยังคงประพฤติตนเป็นเสี้ยนหนามพระศาสนาต่อไป พระพี่ชายก็ได้บ่นว่า คุณจะปรากฏกรรมของคุณเอง แล้วท่านก็ไม่ใส่ใจอีก

กาลต่อมา พระโสธนเถระก็ได้ปรินิพพาน พระกปิละทำพระศาสนาได้เสื่อมแล้ว ตายไปก็ได้ไปเกิดในอเวจีมหานรก ส่วนพระภิกษุณีมารดาและน้องสาว เมื่อพระกปิละลูกชายถูกภิกษุว่ากล่าว ทั้งภิกษุณีมารดาและภิกษุณีน้องสาว ต่างก็เข้าข้างพระกปิละด่าว่าภิกษุผู้มีศีลเหล่านั้น เมื่อตายไปก็ได้ไปบังเกิดในนรก


ครั้งนี้แล บุรุษประมาณ ๕๐๐ คน ทำบาปกรรมเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นโจรปล้นฆ่าชาวบ้านอยู่ กลางวันได้เข้าไปในป่า พบพระภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง ไหว้แล้วกล่าวว่า

“ท่านขอรับ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกกระผมด้วย” พระเถระกล่าวว่า “อุบาสก ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มี ขอพวกท่านจงสมาทานเบญจศีลเถิด” พวกโจรพากันรับศีล ๕ แล้ว พระเถระได้กล่าวว่า “บัดนี้พวกท่านเป็นผู้มีศีลแล้ว เมื่อพวกท่านถูกเขาทำร้ายก็จงอย่าได้ประทุษร้ายตอบแม้ด้วยใจ” พวกโจรเหล่านั้นรับคำของพระเถระแล้ว


ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นต่างตามหาโจรอยู่ ได้ตามมาถึงที่โจรอยู่ ต่างพากันทำร้ายพวกโจรจนตายหมดทุกคน เพราะพวกโจรมิได้ต่อสู้ ต่างพากันรักษาศีลนั่นอยู่ พวกโจรเหล่านั้นเมื่อตายแล้ว ต่างก็ไปเกิดในเทวโลก หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้าเทพบุตร ได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกอยู่พุทธันดรหนึ่ง

ครั้นเคลื่อนจากเทวโลกในกาลแห่งพระศาสนานี้ เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า ได้มาเกิดในท้องของภรรยาชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในบ้านของชาวประมงใกล้ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรบริวารก็ได้พากันมาเกิดในครรภ์ของภรรยาชาวประมง และได้เกิดในวันเดียวกันนั่นแล ต่อมาเด็กเหล่านั้นก็ได้ทำการประมงแทนตระกูล โดยหัวหน้าอดีตโจรมีชื่อว่า ยโสชะ เป็นหัวหน้าเด็กเหล่านั้น และถืออาชีพเป็นชาวประมงต่อมาด้วยกัน

ครั้งนั้นภิกษุชื่อว่า กปิละ ก็ได้มาเกิดเป็นปลาสีเหมือนทอง แต่มีกลิ่นปากเหม็นยิ่งนัก อยู่ในแม่น้ำอจิรวดี ด้วยเศษกรรมที่เหลือในนรก จึงได้มาเกิดเป็นปลาปากเหม็น ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชาวประมงเหล่านั้น ถือแห (อวน) แล้วคิดว่าเราจักจับปลาทั้งหลาย จึงได้เหวี่ยงแหลงแม่น้ำไป จับปลาครั้งแรกก็ได้ปลาทอง พวกชาวประมงต่างพากันจับปลาใส่เรือ แล้วยกเรือไปสู่พระราชวัง

พระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า “นั่นอะไรสหาย?” พวกเด็กชาวประมงทูลตอบว่า “ปลาพิเศษ พระเจ้าข้า” พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลามีสีทอง ก็ทรงดำริว่า พระผู้มีภาคเจ้า จักทรงทราบเหตุที่ตัวนี้มีสีทอง จึงรับสั่งให้นำปลาตามไป แล้วเสด็จไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาที่ปลาอ้าปากขึ้น ทั่วพระวิหารเชตวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง

พระราชาทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไรปลาจึงเกิดเป็นปลาสีทอง และเพราะเหตุใดกลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้นพระเจ้าข้า?”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้เป็นพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่า กปิละ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป

เพราะกรรมนั้นของเธอ จึงไปบังเกิดในอเวจีมหานรก และด้วยเศษกรรมนั้นได้มาเกิดเป็นปลาและมีปากเหม็นยิ่งนัก แต่ด้วยเศษแห่งวิบากกรรม ที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์สรรเสริญพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานาน เธอจึงมีสีเป็นทองมหาบพิตร ตถาคตจะให้ปลานั่นพูดเอง

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามปลาทองว่า “เจ้าคือกปิละหรือ?”

ปลาทองทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกแล้วพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ซื่อว่า กปิละ”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “เธอมาจากไหนเล่า?”

“ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วพระโสธนเถระ พี่ชายของเธอไปไหน?”
ปลาทองทูลตอบว่า “หลวงพี่โสธนะปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วแม่ของเธอนางสาธนีไปไหน”
ปลาทองทูลตอบว่า “แม่สาธนีเกิดในนรก พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วนางตาปนาน้องสาวเธอไปไหน”
ปลาทองทูลตอบว่า “นางตาปนาเกิดในมหานรก พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “บัดนี้เธอจักไปไหนอีก”
ปลาทองทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักไปสู่มหานรกพระเจ้าข้า”


ในทันใดนั้นเอง ปลาทองอันความวิปฏิสาร (ร้อนใจ) ครอบงำแล้ว ได้ใช้ศีรษะฟาดเรือ แล้วก็ได้ตายไปเกิดในมหานรก มหาชนที่ได้ดูอยู่เกิดความสังเวช ขนลุกชูชัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันสมควรแก่ขณะนั้น ซึ่งมีคฤหัสถ์และบรรพชิตที่มาประชุมพร้อมกัน ได้ตรัสพระสูตรนี้แล้วแล



อรรถกถากปิลสูตร

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๗ หน้า ๒๑๒

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:07, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MTl8ZTJjYjdkYzR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:07, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjB8NzBlZWFiZDN8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:12

ตอนที่ ๑๘

คนปากเสีย

L56.1.png


พระเถระองค์นี้ ท่านก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ในศาสนาแห่งศาสนาพระพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล พอถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีความเชื่อในพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระศาสดา ไหว้ต้นโพธิ์พฤกษ์แล้วบูชาด้วยการพัดวี

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาเกิดในเรือนมีตระกูล เมื่อรู้เดียงสาแล้วได้บวชในศาสนา ได้เป็นเจ้าสำนักอยู่ในอารามที่อุบาสกตนหนึ่งสร้างไว้ให้ และให้ความอุปัฏฐากอยู่ประจำ


ครั้นวันหนึ่ง มีพระอรหันต์เถระรูปหนึ่ง ผู้ครองจีวรปอนๆ มาจากป่ามุ่งหน้ามาบ้านโยมเพื่อจะปลงผมและหนวดแล้ว ให้ท่านบริโภคโภชนะอันประณีต พร้อมทั้งถวายจีวรเนื้อดีๆ แก่ท่าน และนิมนต์ให้พักอยู่ในสำนักนั้น ฝ่ายภิกษุเจ้าสำนักเห็นดังนั้น ก็มีความริษยาเพราะมีความตระหนี่เป็นนิสัย ได้กล่าวกะพระเถระนั้นว่า

“ดูก่อนภิกษุ การที่ท่านเอานิ้วมือถอนผมเป็นอเจลก เลี้ยงชีพด้วยคูถ (อุจจาระ) และมูตร (ปัสสาวะ) ยังจะประเสริฐกว่า การอยู่ด้วยการอุปถัมภ์ของอุบาสกที่บำรุงท่านอยู่”


ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ตนเองก็เข้าไปในเวจกุฎี (ส้วม) ในขณะนั้นเองเอามือกอบคูถกินและดื่มมูตร เหมือนคนข้าวปายาส และได้ทำตนอย่างนี้อยู่จนตลอดอายุ ทำกาละแล้วก็ไปหมกไหม้อยู่ในนรก มีคูถและมูตรเป็นอาหารอีกและด้วยเศษแห่งวิบากกรรมนั้นแล แม้ว่าเขาจะมาเกิดเป็นคน ก็เป็นนิครนถ์ มีคูถและมูตรเป็นอาหารอยู่ถึง ๕๐๐ ชาติ

ในพุทธกาลนี้ เขาได้มาเกิดในตระกูลของคนทุกข์ยาก เพราะด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม ที่ไปกล่าวร้ายต่อพระอรหันต์ เขาได้ดื่มนมสดหรือเนยใส ก็ทิ้งสิ่งนั้นเสียมาดื่มเฉพาะมูตรเท่านั้น เขาเอาข้าวสุกให้ก็ทิ้งเสีย มากินแต่คูถเท่านั้น เขาจึงต้องเติบโตมาด้วยอาหารที่เป็นคูถและมูตรเท่านั้น


ใครๆ ก็ไม่อาจจะห้ามเขาได้ ฝ่ายญาติๆ ทั้งหลายจึงขับไล่เขาไป เขาจึงไปบวชเป็นคนเปลือย ไม่อาบน้ำ ครองผ้าเปื้อนด้วยธุลีและฝุ่น ถอนผมและหนวด ห้ามอิริยาบถอื่น ยืนด้วยเท้าเดียว ไม่รับนิมนต์ ถ้ามีผู้เลื่อมใสต้องการบุญ เขาจะฉลองศรัทธาด้วยการเอาปลายหญ้าคาแตะที่อาหารแล้วเลียด้วยปลายลิ้นเท่านั้น

ส่วนเวลากลางคืนไม่เคี้ยวกินคูถสด ด้วยคิดว่าคูถสดมีตัวสัตว์ จึงกินแต่คูถแห้งเท่านั้น เมื่อเขาดำรงชีพอยู่อย่างนี้ถึง ๕๕ ปี มหาชนก็สำคัญเขาว่าเป็นผู้มีตบะมาก มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงมีความเลื่อมใสในตัวเขา


ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นด้วยญาณอันแก่รอบของเขา จึงเสด็จไปโปรดในที่นั่น ให้เขาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล และให้บวชอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ขวนขวายในวิปัสสนา และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง

เมื่อท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้กล่าวว่า


“เราเอาฝุ่นและธุลีทาตัวอยู่ตลอด ๕๕ ปี บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชิญ เราได้ทำบาปกรรม อันเป็นเหตุไปสู่ทุคติไว้มากเช่นนั้น ถูกโอฆะพัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่พระธรรมเป็นธรรมดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว”


อรรถกถาชัมพุกเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๒ หน้า ๒๕

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:07, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjF8NjU0NWZmODh8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:07, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjJ8YjViOTc5M2Z8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:15

ตอนที่ ๑๙

ธรรมะจากโสเภณี

L56.1.png



พระอัมพปาลีเถรี ในอดีตชาติท่านก็ได้บำเพ็ญบารมีไว้มาก ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี ท่านได้บวชเป็นภิกษุณี

วันหนึ่ง ท่านไหว้พระเจดีย์แล้ว ก็เดินประทักษิณเวียนขวา โดยมีพระอรหันต์เถรีองค์หนึ่งเดินไปก่อน พระเถรีนั้นได้ถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายนั้นไปตกในลานพระเจดีย์โดยท่านไม่รู้ ฝ่ายภิกษุณีรูปนี้เดินไปภายหลัง เห็นเข้าจึงด่าพระเถรีว่า “อีแพศยาชื่ออะไรนะ มาถ่มน้ำลายที่ตรงนี้”


ภิกษุณีรูปนี้สมาทานสิกขาบทด้วยดี แล้วเกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ปรารถนาจะเกิดเป็นอุปปาติกะ ด้วยการตั้งจิตเช่นนั้น ในพระราชอุทยานในกรุงเวสาลี พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานพบเด็กนั้น จึงนำเข้าพระนครเพราะเหตุที่เกิดที่โคนต้นมะม่วง นางจึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี

ครั้งนั้น เมื่อนางโตเป็นสาวแล้ว บรรดาเจ้าชายทั้งหลายเห็นนางมีรูปร่างสะสวย น่าชม น่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษ มีเสน่ห์น่ารักใคร่ เป็นต้น ต่างก็ต้องการจะได้นางเป็นหม่อมห้ามของตน จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกัน


นางจึงนำความไปฟ้องร้อง ฝ่ายคณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อจะระงับการทะเลาะวิวาทของเหล่าราชกุมาร จึงได้ตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่านางจงเป็นของทุกๆ คน

นางอัมพปาลีมีศรัทธาในพระศาสนา จึงสร้างวิหารไว้ในสวนของตนแล้วมอบถวายพระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ภายหลังเธอฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ ผู้เป็นบุตรของตน แล้วมีศรัทธาออกบวชเจริญวิปัสสนา อาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลงเพราะความชรา ก็เกิดความสังเวชใจ เมื่อจะแสดงถึงความสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง จึงได้กล่าวคาถาว่า

แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำ เสมือนสีแมลงภู่มีปลายงอน
เดี๋ยวนี้ ผมของเหล่านั้นก็กลายเป็นเสมือนป่านปอเพราะชรา


แต่ก่อน มวยผมของข้าพเจ้าเต็มด้วยดอกไม้หอมกรุ่น เหมือนผอบที่อบกลิ่น
เดี๋ยวนี้ ผมนั้นมีกลิ่นเหมือนขนแพะเพราะชรา


แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้าดกงาม ด้วยปลายที่รวบไว้ด้วยหวี และเข็มเสียบ เหมือนป่าไม้ทึบที่ปลูกไว้เป็นระเบียบ
เดี๋ยวนี้ ผมนั้นก็บางลงในที่นั้นๆ เพราะชรา


แต่ก่อน มวยผมดำ ประดับทอง ประดับด้วยช้องผมอย่างดี สวยงาม
เดี๋ยวนี้ มวยผมนั้นก็ร่วงเลี่ยนไปทั้งศีรษะเพราะชรา


แต่ก่อน คิ้วของข้าพเจ้าสวยงาม คล้ายรอยเขียนที่จิตรกรบรรจงเขียนไว้
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นห้อยย่นลงเพราะชรา


แต่ก่อน ดวงตาทั้งคู่ของข้าพเจ้า ดำขลับมีประกายงาม คล้ายแหวนมณี
เดี๋ยวนี้ ถูกชราทำลายเสียแล้วจึงไม่งาม


แต่ก่อน เมื่อวัยสาวจมูกของข้าพเจ้าโด่งงามเหมือนเกลียวหรดาล
เดี๋ยวนี้ กลับเหี่ยวแฟบเพราะชรา


แต่ก่อน ใบหูทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนตุ้มหูที่ช่างทำอย่างประณีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นห้อยย่นเพราะชรา


แต่ก่อน ฟันของข้าพเจ้าสวยงาม เหมือนหน่อตูมของต้นกล้วย
เดี๋ยวนี้ กลับหักดำเพราะชรา


แต่ก่อน ข้าพเจ้าพูดเสียงไพเราะเหมือนนกดุเหว่าที่ปกติเที่ยวไปในไพรสณฑ์ในป่าใหญ่ส่งเสียงร้องไพเราะ
เดี๋ยวนี้ คำพูดของข้าพเจ้าก็พูดพลาดเพี้ยนไปในที่นั้นๆ


แต่ก่อน คอของข้าพเจ้าสวยงามกลมเกลี้ยงเหมือนสังข์ขัดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นงุ้มค้อมลงเพราะชรา


แต่ก่อน แขนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม เปรียบเสมือนไม้กลอนกลมกลึง
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นลีบเหมือนกิ่งแคคดเพราะความชรา


แต่ก่อน มือทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม ประดับด้วยแหวนทองงามระยับ
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือนเหง้ามันเพราะชรา


แต่ก่อน ถันทั้งสองของข้าพเจ้าอวบอัด กลมกลึงประชิดกันและงอนสล้างสวยงาม
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นหย่อยยาน เหมือนถุงหนังที่ไม่มีน้ำเพราะชรา


แต่ก่อน กายของข้าพเจ้าเกลี้ยงเกลา ดังแผ่นทองสวยงาม
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นสะพรั่งด้วยเส้นเอ็นอันละเอียดเพราะชรา


แต่ก่อน แข้งทั้งสองของข้าพเจ้าประดับด้วยกำไลทองเกลี้ยงเกลาสวยงาม
เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเหมือนต้นงาขาดเพราะชรา


แต่ก่อน เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม เปรียบเหมือนรองเท้าหุ้มปุยนุ่ม
เดี๋ยวนี้ แตกเป็นริ้วรอยเพราะชรา


บัดนี้ ร่างกายนี้ เป็นเช่นนี้ คร่ำคร่าเป็นแหล่งที่อยู่แห่งทุกข์เป็นอันมาก ปราศจากเครื่องลูบไล้ เป็นเรือนชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริงเป็นคำแท้ ไม่แปรเป็นอื่น

พระอัมพปาลีเถรีนี้ ท่านพิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุข (ปาก) คือกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพของตน ตามแนวอนิจจลักษณะนั้น และขะมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ก็ได้บรรลุพระอรหัต โดยลำดับมรรค



อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๓๕๘

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:08, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjN8OWM0NDU4YTR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:08, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjR8YTE3MjFmZTh8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:15

ตอนที่ ๒๐

ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ

L56.1.png



พระพุทธเจ้า เมื่อขณะประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภถึง “มตกภัต” คือข้าวที่อุทิศให้คนตาย มีความพิสดารว่า

ในกาลนั้น คนทั้งหลายย่อมฆ่าแพะ เป็นต้นเป็นอันมาก ทำให้เป็นมตกภัต (อาหารเพื่อผู้ตาย) เพื่อญาติทั้งปวงที่ตายไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายเห็นคนเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น จึงได้กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมกระทำสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตเป็นอันมาก ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้เชื่อว่า มตกภัต ความเจริญในการให้มตกภัตนี้ย่อมมีอยู่หรือ พระเจ้าข้า?”

พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย! ชื่อว่าความเจริญอะไรๆ ในการทำปาณาติบาต แม้เขาที่กระทำด้วยคิดว่า พวกเราจักให้มตกภัต ดังนี้ ย่อมไม่มี แม้ในการก่อน บัณฑิตทั้งหลายนั่งในอากาศ แสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปาณาติบาตนี้ ให้ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นละเว้น เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ถูกภพชาติปกปิดไว้” แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตชาติ มาแสดงดังต่อไปนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว เมื่อสมัยพระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้สำเร็จวิชาคนหนึ่ง คิดว่าจักให้มตกภัต จึงให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะศิษย์ของตนว่า “พ่อทั้งหลาย พวกเธอจงนำแพะตัวนั้น ไปที่แม่น้ำเอาระเบียบดอกไม้สวมคอ เจิม และประดับประดา แล้วจงนำมา”


พวกศิษย์เหล่านั้นรับคำแล้ว ได้พาแพะตัวนั้นไปยังแม่น้ำ ให้อาบน้ำ เจิม และประดับประดาแล้ว พักรอไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ ส่วนแพะตัวนั้นได้ระลึกถึงกรรมเก่าของตนได้ จึงเกิดความดีใจว่าเราจะได้พ้นจากความทุกข์ในวันนี้แล้ว จึงได้หัวเราะลั่นประดุจต่อยหม้อดิน แต่กลับคิดว่าพราหมณ์นี้ฆ่าเราแล้ว จักได้ความทุกข์ที่เราได้แล้ว จึงเกิดความกรุณาต่อพราหมณ์นั้น จึงได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง

ในขณะนั้นพวกศิษย์จึงได้ถามแพะนั้นว่า “แพะผู้สหาย เจ้าหัวเราะและร้องไห้ด้วยเสียงดังลั่น เพราะเหตุไรหนอจึงหัวเราะ? และเพราะเหตุไรหนอเจ้าจึงร้องไห้?” แพะได้กล่าวว่า “พวกท่านจงถามเหตุผลนั้นกะเรา ในสำนักอาจารย์ของท่านเถิด”


พวกศิษย์จึงได้นำแพะตัวนั้นไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พร้อมทั้งได้แจ้งเหตุให้อาจารย์ทราบแล้ว อาจารย์ได้ฟังคำรายงานของศิษย์แล้ว จึงได้ถามแพะว่า “แพะผู้สหาย เพราะเหตุไรเจ้าจึงหัวเราะแล้วก็ร้องไห้”

ฝ่ายแพะได้หวนระลึกถึงกรรมเก่าที่ตนได้กระทำไว้ในอดีต จึงได้กล่าวกะพรามหณ์ผู้เป็นอาจารย์ว่า “ท่านพราหมณ์ เมื่อชาติก่อนเราก็เป็นพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์เช่นเดียวกับท่านนี้แหละ มีความคิดว่าจะให้มตกภัต จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต


เพราะที่เราฆ่าแพะตัวหนึ่งนั้น เราจึงถูกเขาตัดศีรษะมาแล้ว ๔๙๙ ชาติ ชาตินี้เป็นชาติที่ ๕๐๐ ของเรา ซึ่งเป็นการใช้กรรมชาติสุดท้าย เราจึงเกิดความดีใจว่า เราจะได้พ้นทุกข์อันยาวนาน เห็นปานนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงหัวเราะ

แต่ที่เราร้องไห้ เพราะด้วยความกรุณาในตัวท่าน ด้วยคิดว่าเบื้องต้นเราฆ่าแพะตัวหนึ่ง ได้รับความทุกข์คือถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติ แต่จะพ้นทุกข์นั้นในวันนี้ ส่วนท่านพราหมณ์ฆ่าเราแล้ว ท่านก็จะต้องได้รับความทุกข์ถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติเหมือนเรา”


พราหมณ์กล่าวว่า “แพะผู้สหาย เธออย่ากลัวเลย เราจะไม่ฆ่าเจ้า” แพะได้กล่าวกะพราหมณ์ว่า “ท่านพราหมณ์ ท่านพูดอะไร? เมื่อท่านจะฆ่าเราก็ตาม หรือไม่ฆ่าเราก็ตาม วันนี้เราก็ไม่อาจจะพ้นจากความตายไปได้” พราหมณ์ได้กล่าวกะแพะว่า “แพะผู้สหาย เจ้าอย่ากลัวเลย เราจะช่วยอารักขาคุ้มครองเจ้าประดุจเงาตามตัวเลย”

แพะได้กล่าวว่า “ท่านพราหมณ์ การอารักขาคุ้มครองของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปที่เราได้ทำแล้วมีกำลังมากกว่า” พราหมณ์ได้ปล่อยแพะไปแล้วกล่าวว่า “เราจะไม่ให้ใครๆ ได้ฆ่าแพะตัวนี้” จึงได้พาพวกศิษย์ช่วยอารักขาคุ้มครองแพะตามแพะไป


ฝ่ายแพะพอถูกปล่อยแล้ว ก็ได้ชะเง้อคอเริ่มจะกินใบไม้ ซึ่งอาศัยแผ่นหินแห่งหนึ่ง ที่เกิดอยู่ในบริเวณนั้น ในทันใดนั้นเอง ขณะที่แพะกำลังชะเง้อคอจะกินใบไม้นั้นเอง ฟ้าก็ได้ผ่าลงที่แผ่นหินนั้น สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งแตกกระเด็นมาตัดคอแพะ ซึ่งกำลังชะเง้ออยู่ให้ศีรษะขาดตกไปต่อหน้ามหาชน

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในที่นั้น พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อมหาชนอยู่นั้น ได้นั่งขัดสมาธิในอากาศด้วยเทวานุภาพ แล้วกล่าวว่า


“ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า การเกิดในภพชาติต่างๆ เป็นทุกข์ สัตว์จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ปกติฆ่าสัตว์ย่อมเศร้าโศก”

พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรมนั้นแล้ว มหาชนเกิดความกลัวภัยในนรก พากันงดเว้นจากปาณาติบาต ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมและยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในเบญจศีลแล้ว ก็ได้เกิดตามยถากรรม ฝ่ายมหาชนได้พากันดำเนินอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ มีการให้ทานและรักษาศีล เป็นต้น เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในเทพนคร ยังเทพนครให้เต็มแล้ว


มตกภัตตชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๕ หน้า ๒๖๘

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:08, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjV8NjZiYWI3NmJ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:08, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MjZ8OTQ0ZTMyNmV8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:23

ตอนที่ ๒๑

กรรมตามสนอง

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภเปรต ๔ ตน ที่ได้รับผลกรรมต่างกัน ดังนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีมากนัก มีพ่อค้าโกงหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยการโกงต่างๆ มีการโกงตาชั่ง เป็นต้น วิธีการโกงตาชั่งของเขาก็คือ เอาฟ่อนข้าวสาลีเคล้าด้วยดินแดงทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เอาแกลบปนกับข้าวสาลี เป็นต้น


ลูกชายของเขาโกรธพ่อ ว่าพ่อไม่ให้เกียรติเพื่อนของเขาที่มาบ้าน แต่ทำพ่อไม่ได้ ก็เลยพาลเอาเชือกหนัก ๒ เส้น ไปตีศีรษะมารดา

ส่วนลูกสะใภ้ของเขา แอบไปลักกินเนื้อส่วนรวมที่เก็บไว้ทำอาหาร เมื่อถูกซักถามด้วยความสงสัย ก็สาบานว่าถ้าเขากินเนื้อจริง ก็ขอให้ไปเกิดในชาติใดๆ จงเฉือนสันหลังของตนเองกินทุกชาติไป


ฝ่ายภรรยาของเขา เมื่อคนมาขอสิ่งของบางอย่าง ทั้งที่มีอยู่ก็บอกว่าไม่มี พอถูกคาดคั้นก็สาบานว่า ถ้ามีสิ่งของจริงก็ขอให้กินคูถเป็นอาหารทุกชาติไปเถิด

สมัยต่อมา คนเหล่านั้นก็ได้ถึงแก่กรรม คนทั้ง ๔ คนนั้นได้รับผลกรรมตามสนอง ดังนี้

เปรตพ่อค้าโกง
ได้รับผลกรรม ด้วยการเอามือทั้งสองข้าง กอบเอาแกลบที่ลุกโพลงด้วยผลกรรม แล้วเกลี่ยลงที่ศีรษะของตนเอง ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส

เปรตลูกชายพ่อค้าโกง ได้รับผลกรรม ด้วยการเอาค้อนเหล็กตีหัวตัวเองอยู่เรื่อยๆ ได้รับความทุกข์แสนสาหัส

เปรตหญิงสะใภ้ ได้รับผลกรรม ด้วยการเอาเล็บของตนเอง ที่ทั้งกว้างและยาว มีความคมมาก กรีดเนื้อที่แผ่นหลังของตนเองกิน เสวยทุกขเวทนาหาประมาณมิได้

เปรตภรรยา ได้รับผลกรรม ด้วยการเอามือกอบคูถ (อุจจาระ) พร้อมด้วยตัวหนอนกิน ได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์

เปรตทั้งสี่ตนได้รับเสวยทุกข์อย่างหนัก จนวันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะได้เดินทางไปบนภูขา และได้ไปถึงที่นั่น จึงพบเปรตทั้ง ๔ ตน และได้ถามถึงบุพกรรม เปรตเหล่านั้นก็เล่าถวาย


ครั้นพระเถระเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้กราบทูลเรื่องเปรต ๔ ตนถวาย พระพุทธเจ้าจึงทรงนำเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุ แล้วทรงแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท พระธรรมเทศนาจึงได้เกิดประโยชน์แก่มหาชนด้วยประการฉะนี้แล


อรรถกถาภุสเปตวัตถุ

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:09, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5Mjd8NDM1Y2RmNjZ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:09, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5Mjh8MTNhNThkMGR8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:25

ตอนที่ ๒๒

เปรตขอส่วนบุญ

L56.1.png



พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภแก้ข้อข้องใจเรื่องเสียงเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ดังนี้

ในอดีตกาล นับย้อนหลังไป ๙๒ กัป แต่ภัททกัปนี้ ได้มีนครหนึ่งชื่อว่า กาสี มีพระราชาทรงพระนามว่า ชัยเสน มีพระราชเทวีพระนามว่า สิริมา และมีพระโพธิสัตว์นามว่า ผุสสะ ได้บังเกิดในพระครรภ์ของพระนาง และต่อมาได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ


พระเจ้าชัยเสนเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้นว่า บุตรของเราเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นของเรา พระธรรมเป็นของเรา และพระสงฆ์ก็เป็นของเรา เมื่อคิดเห็นดังนี้ ก็ทรงอุปัฏฐากด้วยพระองค์เองทุกวัน ไม่ทรงยอมให้คนอื่นร่วมด้วย

พระพุทธเจ้ามีพี่น้องสามคน ผู้ต่างมารดากัน เป็นพระกนิษฐภาดาของพระพุทธเจ้า พากันคิดว่า อันธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล มิใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะบุคคลผู้เดียว และพระบิดาของพวกเราก็ไม่ยอมให้โอกาสแก่ชนเหล่าอื่นเลย “ทำอย่างไรหนอ พวกเราจะพึงได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์บ้าง?”

พี่น้องทั้งสามพระองค์นั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เอาเถิดพวกเราจะทำอุบายสักอย่างหนึ่งให้ได้ จึงไปสร้างสถานการณ์ชายแดน ประหนึ่งว่าเกิดการปั่นป่วน พระราชาทรงสดับว่า ชายแดนเกิดความปั่นป่วน จึงได้จัดส่งพระโอรสทั้งสามพระองค์ไปปราบปัจจันตชนบท ครั้นพี่น้องทั้งสามไปปราบสงบแล้วจึงกลับมา

พระราชาทรงพอพระทัย โปรดประทานพรว่า “พวกลูกๆ ปรารถนาสิ่งใด ก็จงถือเอาสิ่งนั้นเถิด” พี่น้องทั้งสามพระองค์กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า” พระราชาตรัสว่า “ขอให้เว้นการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเสีย พวกเธอจงเลือกเอาอย่างอื่นเถิด”

พระราชบุตรทั้งสาม
กราบทูลยืนยันว่า “พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการอย่างอื่น พระเจ้าข้า” พระราชาตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอจงกำหนดเวลามาเถิด” พวกพระราชบุตรทูลขออุปัฏฐาก ๗ ปี พระราชาก็ไม่ทรงอนุญาต จึงได้ต่อรองลงมา ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน จนกระทั่งลดลงมาเหลือ ๓ เดือน จึงทรงอนุญาต

พระราชบุตรทั้งสามพระองค์พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงรับการอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนนี้แก่ข้าพระองค์เถิด”

พระพุทธเจ้าทรงรับด้วยอาการดุษณีภาพ (คือนิ่ง) พระราชบุตรเหล่านั้นจึงส่งลิขิตไปถึงนายเสมียนในชนบทของตนว่า พวกเราจะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอด ๓ เดือนนี้ ขอท่านจงจัดแจงสัมภาระต่างๆ สำหรับการอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า มีวิหารเป็นต้น


นายเสมียนเหล่านั้นจัดแจงทุกอย่างแล้ว ได้มีลิขิตตอบไป ฝ่ายพระราชบุตรทั้งสามนั้น ต่างนุ่งผ้ากาสายะ พร้อมทั้งบุรุษ ๑,๐๐๐ คน ผู้ร่วมทำการขวนขวาย ได้พากันอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์โดยความเคารพ

ฝ่ายบุตรคฤหบดีคนหนึ่ง ผู้เป็นห้องเครื่องของพระราชบุตรทั้ง ๓ พร้อมด้วยภริยา เป็นผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เขาได้ถวายทานวัตรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานโดยเคารพ ฝ่ายเสมียนในชนบท พากันเข้าไปพร้อมชาวชนบทประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน ได้ให้ทานโดยเคารพอย่างยิ่ง


ในคนเหล่านั้น ชาวชนบทบางพวกได้เกิดขัดใจกันขึ้น เขาเหล่านั้นจึงได้พากันทำอันตรายแก่ทาน พากันกินไทยธรรมด้วยตนเองและเอาไฟเผาโรงครัว ฝ่ายราชบุตรทั้ง ๓ ครั้นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าครบ ๓ เดือนแล้ว ก็ได้พาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์กลับพระวิหาร

บรรดาท่านเหล่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว พระราชบุตรทั้งสาม เสมียนในชนบท และผู้ร่วมงานกุศลทั้งหมด เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ตามลำดับ ส่วนพวกชนที่ขัดใจกันและทำลายไทยธรรม ก็พากันไปบังเกิดในนรก ชนทั้งสองพวกนั้น จากสวรรค์ถึงสวรรค์ จากนรกถึงนรก ด้วยอาการอย่างนี้ผ่านไป ๙๒ กัป


ครั้นลุถึงภัทรกัปนี้ ในพระศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ คนผู้ขัดใจกันเหล่านั้นมาเกิดเป็นเปรต ในสมัยนั้นพวกมนุษย์พากันให้ทาน แล้วอุทิศเพื่อเปรตทั้งหลาย ผู้เป็นญาติของตนๆ ว่า

“ขอผลแห่งทานนี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติของเราเถิด” บรรดาพวกเปรตญาติเหล่านั้น ต่างก็ได้เสวยสมบัติ ส่วนพวกบรรดาเปรตที่ญาติไม่ได้ทำบุญอุทิศให้ คือเปรตพวกที่ขัดใจกันและพากันเผาโรงครัวนั้น ต่างก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ แล้วกราบทูลถามว่า


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะพึงได้เสวยสมบัติอย่างพวกเขาบ้างไหมหนอ” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนเปรตทั้งหลาย ในบัดนี้พวกเธอยังไม่ได้ แต่ในอนาคตจะมีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม ในกาลนั้นแหละจะมีพระราชานามว่า พิมพิสาร ใน ๙๒ กัป จากภัททกัปนี้ พระองค์ได้เป็นญาติของเธอ พระองค์ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วจะอุทิศแก่พวกเธอ”

พวกเปรตได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความดีใจตื่นเต้น เหมือนกับว่าตนจะได้รับผลแห่งทานในวันรุ่งขึ้นก็ไม่ปาน ครั้นพุทธันดรหนึ่งผ่านไป พระพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลายอุบัติขึ้นแล้ว พระราชบุตรทั้งสาม พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้น ๑,๐๐๐ คน จุติจากสวรรค์แล้วได้มาเกิดในสกุลพราหมณ์ในกรุงราชคฤห์ แล้วต่างพากันออกบวชเป็นฤษี และได้เป็นชฎิล ๓ พี่น้อง ตั้งสำนักอยู่ที่คยาสีสะประเทศ


นายเสมียนในชนบท ได้มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนบุตรคฤหบดีผู้เป็นขุนคลัง ได้มาเกิดเป็นเศรษฐีชื่อ วิสาขะ และภริยาของบุตรคฤหบดีได้มาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีนามว่า ธรรมทินนา ส่วนคนนอกนั้นก็ได้มาเกิดเป็นบริวารของพระราชานั่นเอง

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ล่วงไป ๗ สัปดาห์ ก็ได้เสด็จมายังกรุงพาราณสี ทรงโปรดพระปัญจวัคคีย์ โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมทั้งบริวาร ๑,๐๐๐ คน แล้วเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ โปรดพระเจ้าพิมพิสารจนได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว


พระเจ้าพิมพิสารทรงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ เพื่อรับภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น รุ่งเช้าพระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปรับมหาทานในพระราชนิเวศน์ ส่วนพวกเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ก็ได้มารอรับส่วนบุญด้วยหวังว่าพระราชาจะทรงอุทิศผลบุญให้

ฝ่ายพระราชาเมื่อถวายทานแล้ว ก็ทรงดำริว่าจักหาสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้า ว่าจะทรงประทับที่ไหนหนอ? จึงทำให้ทรงลืมอุทิศส่วนบุญไปให้พวกเปรตญาติเสียสนิท พวกเปรตญาติที่รออยู่ เมื่อไม่ได้รับผลบุญจึงเสียใจ ในเวลากลางคืนนั้น จึงได้พากันร้องโหยหวน อันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในที่ใกล้พระราชนิเวศน์ที่บรรทม พระราชาก็ทรงตกพระทัย


รุ่งเช้าจึงทรงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องเสียงนั้นให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เสียงร้องนั้นมิได้เป็นนิมิตร้ายแต่ประการใด แต่เป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์มารอส่วนบุญ ที่เมื่อวันก่อนพระองค์ถวายทานแล้ว มิได้อุทิศแก่พวกเขา พวกเขาจึงพากันผิดหวัง และมาส่งเสียงร้องดังกล่าว

พระราชาตรัสถามว่า “เมื่อหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะได้รับหรือพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าดำรัสว่า “ได้ มหาบพิตร” พระราชาจึงทรงนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์เพื่อรับภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ
พระเจ้าพิมพิสารเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ทรงสั่งให้จัดแจงมหาทานเตรียมไว้

ในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงพระราชนิเวศน์ ทรงประทับบนที่อาสนะที่บรรจงจัดไว้ ฝ่ายเปรตเหล่านั้นก็พากันมารอ ด้วยหวังว่าวันนี้พระราชาถวายทานแล้ว จะทรงอุทิศผลบุญให้พวกเขาบ้างเป็นแน่ จึงพากันไปยืนอยู่ในที่ต่างๆ

พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำให้พระราชาได้ทรงเห็นเปรตเหล่านั้น พระราชาเมื่อจะทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก (กรวดน้ำ) จึงทรงอุทิศว่า “ขอผลบุญแห่งทานนี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติด้วยเถิด” ในทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีอันดารดาษด้วยดอกอุบลได้บังเกิดแก่พวกเปรต เปรตเหล่านั้นได้พากันอาบและดื่มในสระนั้น ได้ระงับความกระวนกระวาย ความลำบาก และความกระหาย ได้เป็นผู้มีสีดังทองคำ

พระราชาได้ถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว และของบริโภค แล้วอุทิศให้ ในขณะนั้นเอง ข้าวยาคู ของเคี้ยว และอาหารอันเป็นทิพย์ ก็ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น เปรตเหล่านั้นพากันบริโภคอาหารทิพย์เหล่านั้นแล้ว ต่างก็มีร่างกายผ่องใสกระปรี้กระเปร่า


ลำดับนั้นพระราชาได้ถวายผ้า ที่นอน ที่นั่ง แล้วทรงอุทิศให้ ในขณะนั้นเอง เครื่องประดับชนิดต่างๆ เช่น ผ้า ปราสาท เครื่องลาด ที่นอน เป็นต้น อันเป็นทิพย์ก็ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น และสมบัติของเปรตเหล่านั้นก็ได้ปรากฏต่อพระพักตร์พระราชา โดยการอธิษฐานของพระพุทธเจ้า พระราชาทรงทอดพระเนตรแล้ว ทรงพอพระทัยยิ่งนัก

เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารแล้ว ทรงแสดงอนุโมทนา โดยทรงนำเอา “ติโรกุฑฑเปตวัตถุ” มาทรงแสดงแก่พระราชา ดังนี้


“เปรตทั้งหลาย พากันสู่เรือนของตน แล้วยืนอยู่ภายนอกฝาเรือน ที่ตรอก กำแพง ทางสามแพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อข้าว น้ำ ของกิน ของบริโภคเพียงพอ เขาเข้าไปตั้งไว้แล้ว แต่ญาติของเปรตเหล่านั้นระลึกไม่ได้ เพราะกรรมของสัตว์เป็นปัจจัย เหล่าอนุชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด ประณีตสมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล ดุจทานที่มหาบพิตรถวายฉะนั้น

ด้วยเจตนาอุทิศว่า ขอทานนี้แล จงสำเร็จผลแก่ญาติทั้งหลายของเรา ขอญาติทั้งหลายของเราจงเป็นสุขเถิด ส่วนเปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมนุมในที่นั้น เมื่อข้าวและน้ำมีอยู่เพียงพอ ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพว่า เราได้สมบัติเพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด ขอญาติของเราเหล่านั้น จงมีอายุยืนนาน  


การบูชาเป็นพวกญาติได้ทำแล้วแก่พวกเราทั้งหลาย และญาติทั้งหลายผู้ให้ก็ไม่ไร้ผล เพราะในภูมิเปรตนั้น การกสิกรรม การโครักขกรรมไม่มี การค้าขายก็ไม่มี การซื้อการขายด้วยเงินตราก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายผู้ไปบังเกิดในภูมิเปรตนั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยผลแห่งทาน ที่ญาติทั้งหลายในโลกมนุษย์นี้อุทิศไปให้

น้ำฝนที่ตกลงในที่ดอน ย่อมไหลลงไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรให้แล้ว จากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่เต็มแล้ว ย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยมฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรที่ให้แล้ว จากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน


กุลบุตรเมื่อหวนระลึกถึงอุปการคุณ ที่ท่านทำแล้วในกาลก่อนว่า คนโน้นได้ให้สิ่งของแก่เราแล้ว คนนั้นได้ทำอุปการคุณแก่เราแล้ว ญาติมิตรและสหายได้ให้สิ่งของแก่เรา และได้ช่วยทำกิจกรรมของเรา ดังนี้

พึงให้ผลบุญแก่เปรตทั้งหลาย ด้วยว่าการร้องไห้ก็ตาม ความเศร้าโศกก็ตาม การพิไรร่ำไรก็ตาม ไม่ควรทำลาย เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย (แม้ว่าจะร้องไปอย่างไร) ญาติทั้งหลายก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น อันทานนี้แล ที่ให้แล้ว และตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่เปรตนั้นโดยพลัน สิ้นกาลนาน


ญาติธรรม (คือเปรตญาติ) มหาบพิตรก็ได้แสดงให้ปรากฏแล้ว การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย มหาบพิตรก็ได้กระทำแล้ว และพลังกายมหาบพิตรก็ได้เพิ่มให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมีประมาณไม่น้อย มหาบพิตรก็ได้ทรงกระทำแล้วแล”

ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ธรรมภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ผู้มีใจสลดด้วยการพรรณนาโทษของการเกิดในเปรตวิสัย แม้ในวันที่ ๒ พระองค์ก็ทรงแสดงติโรกุฑฑเทศนานี้แหละ แก่เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมภิสมัยเช่นนั้นแหละ ได้มีด้วยอาการอย่างนี้ถึง ๗ วันแล

อรรถกถาติโรกุฑฑเปตวัตถุ

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:09, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5Mjl8M2FkMTJiNGV8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:09, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzB8MWRhM2UxMDh8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:29

  ตอนที่ ๒๓

เปรตโยมพ่อเจ้าคุณ

L56.1.png



เมื่อคืนวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เวลาทุ่มครึ่ง เปิดวิทยุ พล.ม. ๒ ฟัง เป็นเสียงของท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราช มหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ในสมัยที่มีสมณศักดิ์ที่พระเทพสิทธิมุนี

ท่านได้เล่าถึงโยมพ่อของท่าน ตายแล้วไปเกิดเป็นเปรต ท่านเชื่อว่าเป็นเปรตแน่ ไม่ได้เห็นตัว ได้ยินแต่เสียง มาทำงานเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เหตุที่ท่านเชื่อเช่นนั้น เพราะโยมพ่อของท่าน เป็นผู้รักเมียรักลูกอย่างมาก หวังที่จะให้ตัวท่านเรียนถึงปริญญาเอก แต่โยมพ่อท่านก็มาตายเสียก่อน


ตัวท่านเองก็เลยจบแค่ป.๔ พอมาบวชจึงได้เรียนจนได้เปรียญ ๙ โยมพ่อของท่านเป็นโรคอหิวาตกโรคตาย ก่อนตายโยมพ่อท่านได้ทำงานค้างไว้หลายอย่าง จึงเกิดความเป็นห่วงหรือโลภะ ท่านว่าคนที่ตายแล้วโลภะจะต้องไปเกิดเป็นเปรตทุกคน

ท่านเองพร้อมด้วยญาติๆ ทุกคนในบ้าน ได้ยินเสียงโยมพ่อมาทำงานทุกคืน และเดือนก็หงายสว่าง แต่มองไปไม่เห็นตัว ผู้ที่มองเห็นก็คือหมาในบ้าน มันหอนอย่างโหยหวน ท่านเล่าว่าโยมแม่ได้ทำบุญถวายสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มาอีกเลย


ได้เล่าเรื่องเปรตโยมพ่อเจ้าคุณ ซึ่งเป็นเปรตนอกตำรามาแล้ว ก็ขอเล่าเรื่องเปรตนอกตำรา ที่ประสบกับตนเองไว้สักเรื่อง ส่วนว่าจะจริงหรือเท็จ ผู้เขียนไม่รับรอง แต่ส่วนตัวแล้วก็เชื่อ ๕๐-๕๐ เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นบุรุษไปรษณีย์ ประจำอยู่ที่ไปรษณีย์กลางบางรัก กทม. เมื่อราว ๒๐ กว่าปีมาแล้ว วันนั้นเกิดนึกอย่างไรไม่ทราบ ได้นึกถึงโยมเตี่ยที่ตายไปแล้ว ที่มีแต่ความลำบากตลอดชีวิต บุญทานการกุศลต่างๆ ก็ไม่เคยเห็นท่านทำเลย เวลาท่านตายก็ตายอย่างน่าอนาถ


ท่านป่วยเป็นโรคปอดเรื้อรัง ได้เข้ามารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกลาง และตายอย่างผีไม่มีญาติ สมัยนั้นศพไม่มีญาติ เขาจะนำเอาศพไปฝังไว้ที่ป่าช้า วัดพลับพลาชัย และผู้เขียนก็แยกกับท่านตั้งแต่ยังเล็กๆ พอเป็นหนุ่มใกล้จะบวชพระ ได้เดินทางเข้ามากทม. และไปสืบหา เขาก็ว่าได้ล้างป่าช้าไปนานแล้ว ด้วยความสำนึกว่าอย่างไรเสีย เตี่ยจะต้องได้รับความลำบากแน่

คืนนั้นหลังไหว้พระแล้ว ก็ได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าโยมเตี่ยและโยมแม่ไปเกิดอยู่ที่ไหน ขอให้มาเข้าฝันบอกด้วย จะได้ทำบุญไปให้ หลังจากนั้นไม่ทราบว่ากี่คืน ก็ได้ฝันเห็นโยมเตี่ย

ในฝันว่า ตัวท่านเล็กนิดเดียวแต่มีตะปูตำทั้งตัว นอนบิดตัวร้องครวญครางตลอด ผู้เขียนก็เรียกท่านว่า “เตี่ยๆๆ” ท่านก็ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งตกใจตื่นขึ้น ใจเต้นแรงมาก ทั้งกลัวและทั้งสงสาร

เช้ามืดวันนั้น ออกมาทำงานแต่เช้า นั่งรถผ่านมาทางปากครอกจันทร์ เลยลงไปซื้อข้าว ๑ ถ้วย กับ ๑ อย่าง ยืนรอพระที่นั้น สักครู่ก็มีพระบิณฑบาตเดินผ่านมา จึงได้ใส่บาตรและอุทิศส่วนบุญไปให้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยฝันอีกเลย

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:10, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzF8MTE1MjIyYjF8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:10, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzJ8OGE4YWUwZTR8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:29

ตอนที่ ๒๔

เหตุที่เกิดเป็นหญิงแพศยา

L56.1.png



เล่ากันว่า พระอัฑฒกาสีเถรี ในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ เธอเกิดในเรือนตระกูล พอรู้ความแล้วได้ไปฟังธรรมในสำนักของภิกษุณีทั้งหลาย มีศรัทธาแล้วได้ออกบวช แต่ท่านได้ด่าพระเถรีผู้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งว่า อีแพศยา

เมื่อท่านได้ทำกาละในชาตินั้น ก็ต้องไปหมกไหม้อยู่ในนรกจนถึงพุทธกาลนี้ ท่านได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐีมีสมบัติมากในแคว้นกาสี แต่พอเจริญวัยแล้วก็ตกจากตระกูล มาเป็นหญิงแพศยา (โสเภณี) มีชื่อว่า อัฑฒกาสี


ครั้นต่อมา มีศรัทธาปรารถนาจะไปอุปสมบทเป็นภิกษุณี ในสำนักของพระศาสดาที่นครสาวัตถี แต่พอพวกนักเลงรู้ข่าวว่าเธอจะเดินทางไป เขาก็ไปดักจะปล้นกลางทาง เธอจึงส่งทูตไปบวชแทน พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง จึงทรงอนุญาตให้ทำการบวชโดยทูต พอบวชแล้วไม่นาน ท่านได้เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย มีบันทึกไว้ในอุปทานว่า

“ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าเผ่าพงศ์พรหมมียศมาก พระนามว่ากัสสปะ ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิตเสด็จอุบัติแล้ว ครั้งนั้น ข้าพเจ้าบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น สำรวมในปาฏิโมกข์และอินทรีย์ ๕ รู้ประมาณในอาหาร ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่ บำเพ็ญเพียรอยู่


ข้าพเจ้ามีใจชั่ว ด่าภิกษุณีผู้ปราศจากอาสวะ (กิเลส) ได้กล่าวในคราวนั้นว่า อีแพศยา ข้าพเจ้าต้องหมกไหม้อยู่ในนรกเพราะบาปกรรมนั้น ข้าพเจ้าได้เกิดในสกุลหญิงแพศยา ต้องอาศัยคนอื่นเขามากทีเดียว

และในชาติหลัง ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีแคว้นกาสี มีรูปสมบัติเหมือนอัปสรในเทวโลก ด้วยผลแห่งพรหมจรรย์ มหาชนเห็นข้าพเจ้าน่าทัศนา จึงตั้งไว้ในตำแหน่งหญิงแพศยาประจำกรุงราชคฤห์อันอุดม เพราะผลที่ข้าพเจ้าด่าภิกษุณี

ข้าพเจ้าได้ฟังพระสัทธรรมอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วสมบูรณ์ด้วยบุพวาสนา ได้บวชเป็นภิกษุณี เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระพิชิตมารเพื่อจะอุปสมบท ทราบข่าวพวกนักเลงดักอยู่กลางทาง จึงได้อุปสมบทโดยทูต กรรมทุกอย่างทั้งบุญและบาปหมดสิ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าพ้นสงสารทั้งปวงแล้ว ความเป็นหญิงแพศยาก็สิ้นไปแล้ว


ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้ามีความชำนาญในอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย และในทิพโสตธาตุ มีความชำนาญเจโตปริยญาณ ข้าพเจ้ารู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและทิพยจักษุอันหมดจดวิเศษ มีอาสวะทั้งปวงสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี”


อรรถกถาอัฑฒกาสีเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๕๒

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:10, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzN8NjQ4M2U0NzF8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:10, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzR8MzE4MmRkZGZ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:33

ตอนที่ ๒๕

เศรษฐีขี้เหนียว

L56.1.png


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเศรษฐีชื่ออาคันตุกะ ผู้มีชีวิตเป็นอยู่อย่างคนยากจน ดังนี้

ในพระนครสาวัตถี มีเศรษฐีคนหนึ่งที่ชื่อว่า อาคันตุกะ เขาเป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก แต่ไม่ยอมให้แก่ผู้อื่นด้วย เมื่อมีผู้นำเอาอาหารที่ประณีตมีรสอร่อยต่างๆ มาให้ เขาจะไม่รับประทานอาหารนั้น แต่จะรับประทานเฉพาะปลายข้าว โดยมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว ๒ อย่างเท่านั้น

เมื่อมีผู้นำผ้าเนื้อดีจากแคว้นกาสี ที่รีดและอบมาให้ เขาก็จะให้นำเอาไป จะนุ่งห่มก็แต่ผ้าเนื้อหยาบกระด้างเท่านั้น เมื่อเขานำรถที่ตระการไปด้วยแก้วแกมทอง อันเทียมด้วยม้ามาให้ ก็ให้นำเอารถนั้นออกไป แต่จะใช้รถเล็กที่ทำด้วยไม้ธรรมดา

เมื่อเขากั้นฉัตรทองให้ ก็ให้เขาเอาฉัตรทองนั้นออกไป แต่จะกั้นด้วยฉัตรที่ทำจากใบไม้แทน ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยทำบุญเลยแม้แต่อย่างเดียว เมื่อเขาถึงแก่กรรมแล้ว จึงได้ไปเกิดในขุมนรก พระราชาทรงให้ขนสมบัติที่ไม่มีบุตรรับมรดกของเศรษฐีนั้น เข้าไปเป็นของหลวงทั้งหมด ต้องใช้เวลาจนถึง ๗ วันจึงหมด เพราะมีสมบัติมากมาย

พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงบัญชาให้ขนทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีขี้เหนียวเข้าท้องพระคลังหลวงเสร็จแล้ว ได้ทรงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้กราบทูลว่า


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เศรษฐีชื่ออาคันตุกะในพระนครสาวัตถีได้ถึงแก่กรรมแล้ว เศรษฐีนั้นมีสมบัติมากมาย แต่ก็ไม่ได้ใช้สอยด้วยตนเอง และไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้ด้วย ทรัพย์ของเขาจึงเป็นเสมือนสระโบกขรณีที่ผีเสื้อยักษ์หวงแหนไว้ วันเดียวก็ไม่ได้เสวยรสอันประณีตจากโภชนะ ตนก็ต้องเข้าไปสู่ปากมัจจุราชเสียแล้ว

คนผู้ไม่มีบุญ และมีความตระหนี่อย่างนี้ เขาได้ทำกรรมอะไรไว้จึงได้มีทรัพย์มากมายอย่างนี้ และด้วยเหตุอะไรจิตของเขา จึงไม่ยินดีใช้สอยทรัพย์และบริโภคโภชนะพระเจ้าข้า?


พระศาสดาตรัสว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร เศรษฐีนั้นได้ทำเหตุให้ได้ทรัพย์ ๑ และที่ได้ทรัพย์มาแล้วไม่ใช้สอย ๑” ทรงนำเอาอดีตกรรมของเศรษฐีมาตรัสว่า เมื่ออดีตกาลท่านเศรษฐีได้เกิดในเมืองพาราณสี เขาไม่มีศรัทธา และมีความตระหนี่ไม่ให้อะไรแก่ใคร และไม่สงเคราะห์ใคร

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเดินทางจะไปเฝ้าพระราชา ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ตครสิขี กำลังเดินบิณฑบาตอยู่ เขาไหว้แล้วทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ได้อาหารแล้วหรือ?”


พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสว่า “ท่านมหาเศรษฐี อาตมภาพกำลังเดินไปเรื่อยๆ มิใช่หรือ?” นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยังไม่ได้อาหาร เศรษฐีจึงได้บังคับชายคนหนึ่งให้พาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปที่บ้านของตน ให้เขาบรรจุภัตตาหารให้เต็มบาตรแล้วถวายท่านไป

ชายผู้นั้นได้นำพระปัจเจกพุทธเจ้าไปที่บ้านเศรษฐี ให้ท่านประทับนั่ง แล้วให้ภรรยาเศรษฐีจัดภัตตาหารให้ ภรรยาเศรษฐีได้บรรจุอาหารอันประณีต มีรสเลิศนานาชนิดให้จนเต็มบาตร แล้วถวายท่านไป


เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าออกเดินมาตามถนน ก็ได้พบเศรษฐีซึ่งกำลังเดินทางกลับมาจากการเข้าเฝ้าพระราชาพอดี เศรษฐีเห็นพระองค์แล้วทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ได้รับภัตตาหารแล้วหรือ?” พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ได้แล้ว ท่านมหาเศรษฐี”

ท่านเศรษฐีได้แลดูในบาตรของพระองค์แล้ว ไม่อาจทำจิตให้เลื่อมใสได้ เกิดความเสียดายคิดว่า “ภัตตาหารของเรานี้ ถ้าให้ทาสหรือกรรมกรของเรากินแล้ว ก็ยังจะได้แรงงานบ้าง น่าเสียดายหนอ! เราเสื่อมเสียทรัพย์สินเปล่าแล้วหนอ”


ท่านเศรษฐีไม่อาจทำอปรเจตนา คือเจตนาหลังจากให้ทานแล้วให้บริบูรณ์ได้ ธรรมดาทานนั้น เมื่อบุคคลให้ทานด้วยเจตนาในการให้ทาน ๓ กาลคือ ก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว มีจิตเลื่อมใสตลอดทั้ง ๓ กาลดีย่อมจะมีผลมาก

พระศาสดาตรัสว่า
“ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาคันตุกะเศรษฐีได้รับทรัพย์มาก เพราะได้ถวายอาหารพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ที่ไม่อาจใช้สอยทรัพย์สมบัติได้ เพราะไม่อาจทำอปรเจตนาให้สมบูรณ์ คือเจตนาหลังจากให้ทานแล้วเกิดเสียดายขึ้นมา


พระราชาทูลถามอีกว่า “ก็เหตุไฉนเขาจึงไม่มีบุตรเล่า พระเจ้าข้า?”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ขอถวายพระพรมหาบพิตร แม้เหตุแห่งการไม่มีบุตร เขาก็ได้ทำเหตุไว้แล้ว” เมื่อพระราชาทรงทูลอ้อนวอน จึงได้ทรงนำเอาอดีตชาติของอาคันตุกะเศรษฐีมาตรัสเล่า ดังนี้


ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ เมื่อเติบใหญ่แล้ว มารดาบิดาได้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อจะได้มัดจิตใจของน้องชายไว้ จึงให้สร้างโรงทานไว้ที่ประตูเรือน ให้มหาทานไปครองเรือนไป

ต่อมาท่านมีบุตรชายคนหนึ่ง พอเวลาลูกเดินได้ ท่านได้เห็นโทษในกามทั้งหลาย เห็นอานิสงส์ในการออกบวช จึงได้มอบสมบัติทั้งหมดให้น้องชายพร้อมทั้งลูกและเมีย แล้วให้โอวาทว่า “น้องจงอย่าประมาท จงให้ทานต่อไปเถิด”

พระโพธิสัตว์ได้ออกบวชเป็นฤษี ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นแล้วที่ป่าหิมพานต์ ฝ่ายน้องชายก็ได้มีลูก ๑ คน เขาเกิดความคิดว่า เมื่อลูกของพี่ชายยังอยู่ สมบัติจะต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน จึงคิดที่จะฆ่าลูกของพี่ชายเสีย


วันหนึ่ง เขาจึงชวนลูกของพี่ชายไปอาบน้ำที่แม่น้ำ เมื่อได้มีโอกาสจึงเอาหลานถ่วงน้ำจนตายไป เมื่อภรรยาถามถึงลูกที่เขาพาไปอาบน้ำว่าไปไหนเสีย? เขาก็แก้ว่าเด็กว่ายน้ำเล่นแล้วก็หายไป ค้นหาไม่พบ นางก็ได้แต่ร้องไห้ แล้วก็ปลงลงจึงนิ่งเฉยเสีย

พระโพธิสัตว์ทราบเหตุนั่นแล้ว จึงได้เหาะมาทางอากาศยืนที่ประตูเรือนไม่เห็นโรงทาน แม้เพียงโรงทานอสัตบุรุษผู้นี้ก็ล้มเลิกเสียแล้ว เมื่อน้องชายรู้ว่าพี่ชายมา ก็ลงมาไหว้นิมนต์ให้ขึ้นปราสาท ให้ฉันโภชนะอันประณีต เสร็จภัตตกิจแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ถามว่า “หลานชายไปไหนเสียแล้ว?”


น้องชายตอบว่า “เขาตายไปแล้วครับท่าน” พี่ชายซักต่อไปว่า “เขาตายด้วยโรคอะไร” น้องชายตอบว่า “เขาเล่นน้ำแล้วหายไปครับ” พระโพธิสัตว์ว่า “อสัตบุรุษเอ๋ย! เจ้าไม่รู้หรือว่า สิ่งที่เจ้าทำนั้นเรารู้แล้ว เจ้าฆ่าเด็กเพราะความโลภมิใช่หรือ?”

พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรมด้วยลีลาว่า “นกเขาชื่อมัยหกะ บินไปเกาะที่ต้นเลียบ ซึ่งมีผลสุกแล้วร้องว่าของกูๆ เมื่อกำลังร้องอยู่ ฝูงนกที่บินมารวมกัน พากันกินผลเลียบแล้วบินหนีไป มันก็ยังคงร้องอยู่นั่นเองฉันใด?


บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน รวบรวมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย ตนเองก็ไม่ได้ใช้สอยเลย และไม่มอบส่วนแบ่งแก่ญาติทั้งหลายด้วย เขาไม่ใช้สอยผ้านุ่งผ้าห่ม ไม่รับประทานภัตตาหาร ไม่ทัดทรงดอกไม้ ไม่ลูบไล้เครื่องลูบไล้ ไม่ใช้อะไรสักครั้งเดียว และไม่สงเคราะห์ญาติทั้งหลาย

เมื่อบ่นเพ้ออยู่อย่างนี้ว่า ของกู ของกู หวงแหนไว้ ภายหลังพระราชาบ้าง โจรบ้าง ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักบ้าง เอาทรัพย์ไป คนนั้นก็ยังบ่นเพ้ออยู่อย่างนั้นแหละ ส่วนผู้มีปรีชาใช้สอยเองด้วย และสงเคราะห์ญาติด้วย ด้วยการสงเคราะห์นั้น เขาย่อมได้รับเกียรติ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ย่อมจะบันเทิงในสวรรค์


อรรถกถามัยหกสกุณชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๙ หน้า ๑๖๑

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:11, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzV8NThjMTNiZjR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:11, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5MzZ8NzdjY2U1NGZ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:33

ตอนที่ ๒๖

ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

L56.1.png



พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ได้ทรงปรารภถึงนางเปรต ซึ่งเคยเป็นช่างทอผ้าคนหนึ่ง ดังนี้

ในครั้งนั้นมีภิกษุประมาณ ๑๒ รูป เรียนพระกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว ได้พิจารณาถึงสถานที่อันเหมาะสมแก่การอยู่จำพรรษา เมื่อใกล้เข้าพรรษา ได้เห็นราวป่าอันน่ารื่นรมย์แห่งหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยร่มเงาต้นไม้ แหล่งน้ำสะดวก และสถานที่ออกบิณฑบาตก็อยู่ไม่ไกลนัก จึงพากันพักที่นั่นคืนหนึ่ง

ครั้นรุ่งขึ้นจึงไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านช่างทอผ้า ๑๑ คน ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น ช่างทอผ้าเหล่านั้นเห็นภิกษุแล้ว ก็เกิดความยินดีจึงนิมนต์มายังเรือนของตน เมื่อถวายอาหารแล้วก็ได้ถามความประสงค์ ทราบว่าท่านกำลังหาที่พักจำพรรษา จึงได้พร้อมใจกันนิมนต์ ให้พักจำพรรษาในที่นั้น


โดยอุบาสกและอุบาสิกา ๑๐ คน รับที่จะสร้างกุฏิให้ท่านพักองค์ละหลัง ส่วนหัวหน้าช่างทอผ้าคนเดียวรับสร้าง ๒ หลัง จึงครบภิกษุ ๑๒ รูป และแต่ละคนนั้นก็พากันอุปถัมภ์คนละรูป ฝ่ายภรรยาของหัวหน้าช่างทอผ้า นางไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส เป็นคนตระหนี่และเป็นมิจฉาทิฐิไม่ให้ความร่วมมือในการอุปถัมภ์พระ สามีจึงต้องไปนำน้องสาวของภรรยามาช่วย

ฝ่ายน้องเมียมีความเคารพศรัทธาเลื่อมใสพระ เขาจึงมอบความเป็นใหญ่ในการเลี้ยงพระให้นาง และนางก็ได้จัดการอย่างเรียบร้อย ช่างทอผ้าทั้งหมดต่างก็พากันถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุผู้จำพรรษาเหล่านั้นรูปละผืน

ฝ่ายภรรยาของหัวหน้าช่างทอผ้า ผู้มีความตระหนี่ มีจิตชั่วร้าย ด่าว่าสามีของตนว่า ทานคือข้าวและน้ำ ที่ท่านให้แก่ภิกษุเหล่านี้ จงเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ หนองและเลือดในโลกหน้า และผ้าสาฎกก็จงเป็นแผ่นเหล็กลุกโพลงเถิด

ในกาลต่อมา คนเหล่านั้นก็ได้ถึงแก่กรรมทั้งหมด โดยช่างทอผ้าหัวหน้าไปเกิดเป็นรุกขเทวดาที่มีอานุภาพในดงไฟไหม้ ส่วนภรรยาของเขาไปเกิดเป็นนางเปรต อยู่ในที่ไม่ไกลจากรุกขเทวดานั่นเอง นางเปรตเปลือยกายรูปร่างขี้เหร่ มีความหิวกระหาย จึงไปหารุกขเทวดาผู้เป็นอดีตสามี แล้วกล่าวว่า

“นาย! ฉันไม่มีผ้านุ่งห่ม และหิวกระหายเหลือเกิน ขอท่านจงให้ผ้า ให้ข้าวและน้ำแก่ฉันด้วยเถิด” ฝ่ายรุกขเทวดาจำนางได้ เกิดความสงสาร จึงได้เอาผ้า ข้าวและน้ำไปให้นางเปรตกิน อาหารทิพย์เหล่านั้นก็กลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ หนองและเลือดไปในทันที พอเอาผ้าสาฎกไปให้นางนุ่งห่ม ผ้านั้นก็กลายเป็นแผ่นเหล็กที่ลุกแดงในทันที นางเปรตได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสรับสลัดผ้าทิ้งในทันทีแล้วก็วิ่งร้องคราญคราวต่อไป

ในสมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกพรรษาแล้ว จึงเดินทางเพื่อจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พอเดินทางมาถึงดงไฟไหม้พร้อมกับหมู่เกวียน จึงพักอยู่ในดงไฟไหม้นั้น โดยท่านหลีกไปพักโคนต้นไม้วิเวกแห่งหนึ่ง ปูสังฆาฏิลงแล้วก็นอนหลับไป หมู่เกวียนก็เดินทางต่อไป


ฝ่ายภิกษุนอนพักเหนื่อยไปตื่นหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นหมู่เกวียน จึงเดินทางหลงเข้าไปถึงที่อยู่ของรุกขเทวดา รุกขเทวดาเห็นภิกษุแล้วก็แปลงรูปเป็นคน เข้าไปหาภิกษุนั้นกระทำปฏิสันถาร นิมนต์ให้เข้าไปยังวิมานของตน ถวายยาทาเท้า เป็นต้น

ในขณะนั้นนางเปรตก็ได้เข้าไปหาเทวดา ขอข้าว น้ำ และผ้าอีก เขาจึงเอาข้าว น้ำ และผ้ายื่นให้นาง พอนางรับข้าวก็กลายเป็นอุจจาระ น้ำก็กลายเป็นปัสสาวะ หนองและเลือด ส่วนผ้าก็กลายเป็นแผ่นเหล็กที่ลุกโชน


ภิกษุเห็นดังนั้นก็เกิดความสลดใจ จึงได้ถามถึงสาเหตุในอดีตชาติ เทวบุตรนั้น ครั้นได้แสดงกรรมในชาติก่อนของนางจบลงแล้ว จึงกล่าวแก่ภิกษุนั้นว่า “ท่านขอรับ! ท่านมีอุบายอะไรที่จะทำให้นางเปรตพ้นสภาพนี้ได้บ้างหรือไม่?”

ภิกษุนั้นจึงกล่าวว่า “มีอยู่อุบาสก! ถ้าท่านถวายทานแด่พระพุทธเจ้า แก่พระอริยสงฆ์หรือแก่ภิกษุรูปเดียวก็ได้ แล้วอุทิศผลแก่นางเปรตนี้ และนางเปรตได้รับอนุโมทนา นางเปรตก็ย่อมจะพ้นสภาพนี้ได้” ฝ่ายเทวบุตรนั้น จึงได้ถวายข้าวและน้ำอันประณีตแก่ภิกษุนั้น แล้วก็ได้อุทิศผลนั้นแก่นางเปรต


ในทันใดนั้นเอง นางเปรตนั้นก็มีจิตใจเอิบอิ่ม มีร่างกายผ่องใส กระปรี้กระเปร่าอิ่มด้วยอาหารอันเป็นทิพย์ เทวบุตรได้ถวายคู่ผ้าทิพย์ในมือของภิกษุนั้น โดยอุทิศแด่พระพุทธเจ้าและอุทิศผลนั้นแก่นางเปรต ในขณะนั้นเองนางก็นุ่งผ้าทิพย์ ประดับเครื่องประดับอันเป็นทิพย์พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่ปรารถนาทั้งปวง นางได้กลายเป็นเทพอัปสร

ฝ่ายภิกษุนั้นก็ได้เดินทางไปถึงกรุงสาวัตถี ด้วยอานุภาพของเทวดาจึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระเชตวัน ถวายบังคมแล้วถวายคู่ผ้าสาฎก และกราบทูลความนั้นทั้งหมด พระพุทธเจ้าได้ทรงนำเรื่องนี้เป็นเหตุ แล้วแสดงพระธรรมเทศนาแก่พุทธบริษัทที่มาประชุมกัน เรื่องของเทวบุตรและนางเปรตได้เป็นประโยชน์แก่มหาชนแล้ว


อรรถกถามหาเปสการเปติวัตถุ

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:12, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5Mzd8YWMyNDcwMTd8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:12, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5Mzh8OWY2Y2QyNmN8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:38

ตอนที่ ๒๗

โทษของการทำแท้ง

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ได้ทรงปรารภถึงนางเปรตตนหนึ่ง ที่เคี้ยวกินลูกของตน ดังนี้

ในกรุงสาวัตถี ได้มีภรรยาของกุฎุมพีคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีมากนัก นางเป็นหญิงหมัน พวกญาติของสามีกล่าวกันว่าภรรยาของเจ้าเป็นหมัน พวกเราจะนำหญิงสาวอื่นมาให้เจ้า แต่ด้วยความรักที่มีต่อภรรยามาก เขาจึงไม่ต้องการ

ฝ่ายภรรยาเมื่อทราบดังนั้น จึงได้กล่าวกับสามีว่า
“คุณพี่จ๋า ดิฉันเป็นหมัน ไม่อาจจะให้บุตรแก่คุณพี่ได้ พี่ควรจะนำหญิงอื่นมาเป็นภรรยา วงศ์ตระกูลของเราจะได้ไม่ขาดสูญ”

ฝ่ายสามีจึงเห็นด้วย โดยไปหาหญิงสาวมาเป็นภรรยาน้อย อยู่มาไม่นานนักภรรยาน้อยก็ตั้งท้อง พอหญิงหมันรู้ก็เกิดความริษยา เกรงว่าเมียน้อยจะเป็นใหญ่ในเรือน และผัวจะรักเมียน้อยมากกว่าตน จึงคิดวางแผนจะทำให้ครรภ์ของนางตกไป โดยไปเกลี้ยกล่อมนางปริพาชกคนหนึ่งให้ช่วยทำครรภ์ของเมียน้อยให้ตก และเมียน้อยก็ครรภ์ตกไป


นางจึงไปเล่าให้แม่ของตนทราบ ฝ่ายแม่ของเมียน้อยเมื่อรู้ว่า ครรภ์ของลูกสาวตกไป เพราะแผนของเมียหลวง จึงได้ประชุมพวกญาติแล้วกล่าวโทษเมียหลวง ส่วนเมียหลวงไม่ยอมรับว่าตนวางแผน เขาถึงให้นางสบถสาบาน นางจึงกล่าวว่า

“ถ้าฉันทำครรภ์ให้ตก ขอให้ฉันตายไปสู่ทุคติ เป็นอยู่ด้วยหิวโหย ขอให้ฉันคลอดบุตรทั้งเวลาเย็นและเช้าครั้งละ ๔ คน แล้วก็กินลูกเสียก็ยังไม่อิ่ม ขอให้ฉันมีกลิ่นตัวเหม็นอยู่เป็นนิตย์ และถูกแมลงวันไต่ตอมเถิด” อยู่ไม่นานนางก็ทำกาละ แล้วไปเกิดเป็นเปรต มีรูปร่างขี้เหร่อยู่ไม่ไกลบ้านเดิมนั้นเอง

ในสมัยนั้นมีพระเถระ ๘ รูป เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านก็พากันเดินทางมายังกรุงสาวัตถี เพื่อจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตามธรรมเนียม จึงเดินทางผ่านมาทางนั้น ท่านเห็นว่าราวป่าใกล้บ้านของหญิงนั้น เป็นป่าไม้ร่มรื่นและน้ำท่าสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันพักในป่านั้นก่อน


ฝ่ายนางเปรตนั้น จึงได้แสดงตนให้พระเถระเหล่านั้นเห็น พระเถระจึงได้ถามบุพกรรมของนาง นางเปรตจึงได้เล่าให้ฟัง ดังปรากฏเรื่องราวข้างต้น และได้เล่าถึงผลแห่งบาปกรรม ที่ทำให้เมียน้อยต้องแท้งลูก และตนได้รับผลในปัจจุบันว่า

“ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรตถึงทุคติ เกิดในยมโลก เพราะกระทำกรรมชั่วไว้ จึงต้องจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก เวลาเช้าดิฉันคลอดบุตร ๕ คน เวลาเย็นดิฉันคลอดบุตรอีก ๕ คน แล้วก็กินลูกเหล่านั้นทั้งหมด แม้จะกินลูกถึงวันละ ๑๐ คน ก็ไม่อาจจะระงับความหิวได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนหมกหมุ่นเพราะความหิว ดิฉันไม่ได้ดื่มที่ควรดื่ม ขอพระคุณเจ้าจงดูดิฉันผู้ถึงความวอดวายเช่นนี้เถิด

นางเปรตได้กล่าวเพิ่มเติมประวัติข้างต้นอีกว่า “เมื่อชาติก่อน มีหญิงร่วมผัวของดิฉันอีกคนหนึ่ง นางมีครรภ์ ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีจิตคิดประทุษร้าย ได้กระทำครรภ์ของเขาให้ตกไป เขามีครรภ์ ๒ เดือนเท่านั้น ก็ไหลออกเป็นเลือด


ในกาลนั้น มารดาของเขาโกรธดิฉันมาก จึงได้เชิญพวกญาติมาประชุมและซักถาม ให้ดิฉันทำการสบถ และขู่เข็ญให้ดิฉันกลัว ดิฉันจึงได้กล่าวคำสบถและกล่าวมุสาวาทอย่างร้ายกาจว่า

ถ้าดิฉันทำชั่วดังนั้น ก็ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตรเถิด ดิฉันจึงมีกายเปื้อนด้วยหนองและเลือด กินเนื้อบุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรม คือการทำครรภ์ให้ตก และพูดมุสาวาททั้ง ๒ นั้น


ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นอดีตภรรยาของกุฎุมพีในหมู่บ้านนี้เอง ดิฉันขอโอกาสเถิด ขอท่านทั้งหลายจงไปที่เรือนของกุฎุมพีนี้ เมื่อเขาเห็นท่าน เขาก็จะพึงถวายทาน และเมื่อเขาถวายทานแล้ว ขอให้เขาจงอุทิศผลแห่งทานนั้นแก่ดิฉันด้วย ด้วยผลแห่งบุญนั่น ย่อมจะทำให้ดิฉันพ้นจากสภาพเปรตในอัตภาพนี้ได้”

พระเถระเหล่านั้นได้รับคำของนาง และมีจิตคิดอนุเคราะห์นาง จึงไปยังเรือนของกุฎุมพี แจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้เขาทราบ อดีตสามีก็มีความเลื่อมใสยินดีรับบาตร และนิมนต์ให้พระเถระเหล่านั้นนั่ง ให้ฉันอาหารอันประณีต


ครั้นฉันเสร็จแล้วก็อนุโมทนา กุฎุมพีก็อุทิศทานนั้นแก่นางเปรต ในขณะนั้นเอง สมบัติทิพย์ก็ได้ปรากฏแก่นางเปรต คือ พ้นจากสภาพเปรตไปเป็นเทพธิดา ได้ไปปรากฏตัวต่อกุฎุมพีในคืนนั้นเอง

พระเถระได้เดินทางจนถึงพระเชตวัน และกราบทูลเรื่องทั้งหมดแก่พระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าก็ได้นำมาแสดงต่อพุทธบริษัทในที่ประชุมมหาชนได้รับทราบจึงเกิดความสลดใจ พากันงดเว้นจากความริษยาและตระหนี่ พระธรรมเทศนานั้น จึงได้ก่อประโยชน์แก่มหาชนด้วยประการฉะนี้แล


อรรถกถาปัญจปุตตขาทกวัตถุ

L55.png




รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:12, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5Mzl8ZTU0MDI3OWF8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:12, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5NDB8MzI3ZDVhZDh8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:40

ตอนที่ ๒๘

ยอดของผู้เสื่อมลาภ

L56.1.png



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
กรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระโลสกติสสเถระ ผู้เป็นยอดแห่งภิกษุผู้เสื่อมลาภ อันพระภิกษุรูปนี้ท่านมีประวัติ ดังนี้

พระโลสกติสสเถระ ท่านเกิดในตระกูลของชาวประมงนางหนึ่งในแคว้นโกศล ในคราวที่ท่านถือปฏิสนธิ คือกำลังอยู่ในท้องนั้น ทำให้แม่ของท่านและชาวประมงในหมู่บ้านนั้นถูกไฟไหม้บ้าน ๗ ครั้ง และถูกพระราชาปรับค่าสินไหมถึง ๗ ครั้งอีกด้วย ชาวหมู่บ้านจึงพากันเดือดร้อนทุกครัวเรือน


มหาชนในหมู่บ้านต่างพากันคิดว่า เมื่อก่อนพวกเราไม่เคยได้รับภัยพิบัติเช่นนี้ ชะรอยว่าในหมู่พวกเรานี้น่าจะมีคนกาลกิณี (กาลกรรณี) เกิดขึ้นแล้วเป็นแน่ เมื่อปรึกษาตกลงกันแล้ว จึงได้พร้อมใจกันแยกออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว จาก ๕๐๐ แยกออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายละ ๒๕๐ ครอบครัว จาก ๒๕๐ ครอบครัว ย่อยลงมาจนเหลือ ๑ ครอบครัว จึงได้รู้ว่าผู้เป็นกาลกิณีคือตระกูลของโลสกติสสะ

มหาชนเหล่านั้นจึงพากันรุมโบยตีขับไล่ครอบครัวนี้ให้ออกไปจากหมู่บ้านนี้ ครอบครัวของท่านจึงต้องออกไปอยู่ที่อื่น และการหากินที่ฝืดเคืองมากต้องอดยากแร้นแค้นจนมารดาของท่านคลอด บิดามารดาของท่านก็ต้องอดทนรอให้ท่านโตจนพอเดินได้ แม่ของท่านจึงจำใจเอากระเบื้องใส่มือ พลางเสือกไสว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปหากินเองเถิด แม่ทนไม่ไหวแล้ว” พูดแล้วแม่ก็หลบหนีไป


ท่านก็จำต้องถือกระเบื้องขอทานเขาไป อดมื้อกินมื้อเรื่อยไป ค่ำมืดที่ไหนก็หลับนอนไม่เป็นที่ น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ร่างกายจึงดูดุจปีศาจคลุกฝุ่น ต้องเลี้ยงชีวิตด้วยความลำเค็ญแสนสาหัส ท่านได้กลายเป็นเด็กจรจัด มีอายุได้ ๗ ขวบ ก็ต้องไปหากินเม็ดข้าวที่ชาวบ้านเขาล้างหม้อเททิ้งไว้ ต้องไปเก็บข้าวกินทีละเม็ดเหมือนกา ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

ครั้งนั้น ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้ออกบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ได้เห็นเด็กน้อยนี้แล้วเกิดความสงสารยิ่งนัก จึงแผ่เมตตาจิต แล้วเรียกว่า


“มานี่เถิด เจ้าเด็กน้อย”
เด็กน้อยมายืนไหว้พระเถระอยู่


พระเถระจึงได้ถามเขาว่า “เจ้าเป็นชาวบ้านไหน?” พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
เด็กน้อยตอบว่า “ท่านขอรับ กระผมไร้ที่พึ่ง พ่อแม่ของกระผมพูดว่า เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก ท่านจึงทิ้งกระผมแล้วหนีไปขอรับ”


พระเถระถามว่า “เออ ถ้าเช่นนั้นเธออยากบวชไหมเล่า”
เด็กน้อยตอบว่า “ท่านขอรับ กระผมน่ะอยากบวช แต่คนกำพร้าและอนาถาอย่างกระผมใครเขาจะบวชให้ล่ะขอรับ?”


พระเถระกล่าวว่า “เราจะบวชให้เธอเอง”

เด็กน้อยกล่าวว่า “สาธุ ท่านขอรับ โปรดเมตตาอนุเคราะห์ให้กระผมได้บวชเถิด”


ท่านพระสารีบุตรได้เมตตา ให้ของเคี้ยวของบริโภคแก่เขา แล้วก็ได้พาเขาไปวัด ท่านอาบน้ำให้เอง แล้วให้เขาบวชเณร พออายุครบบวชพระ ท่านก็บวชพระให้ มีชื่อต่อมาว่า “โลสกติสสเถระ”

พระโลสกติสสเถระ เป็นผู้ที่ไม่มีบุญทางลาภเสียเลย คือตั้งแต่เกิดมาจนบวชเป็นพระ ท่านไม่เคยฉันอาหารอิ่มท้องเลย แม้ในคราวที่มีการบริจาคมหาทานที่เรียกว่า "อสทิสทาน” คือ ทานอันยิ่งใหญ่ ท่านก็ยังได้ฉันไม่เต็มท้อง ได้ฉันเพียงต่อชีวิตไปวันๆ เท่านั้น


แม้คราวไปบิณฑบาต มีผู้จะใส่บาตรท่านเพียงกระบวยเดียว แต่บาตรของท่านก็ปรากฏเหมือนมีอาหารเต็มขอบบาตรแล้ว ผู้ใส่บาตรก็เลยไม่ใส่ เลยไปใส่บาตรพระรูปหลังๆ เป็นเช่นนี้อยู่เสมอมา ต่อมาท่านเจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุพระอรหันต์ แม้กระนั้นท่านก็ยังเป็นผู้มีลาภน้อยฉันไม่อิ่มท้อง จึงทำให้สุขภาพของท่านทรุดโทรมมากจนถึงวันที่จะปรินิพพาน

ในวันที่ท่านจะปรินิพพานนั้น ท่านพระสารีบุตรรู้ว่าวันนี้ ท่านพระโลสกติสสเถระได้ฉันอาหารอิ่มสักวันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรจึงได้พาท่านโลสกติสสเถระเข้าไปบิณฑบาตด้วยกันในเมืองสาวัตถี เพราะได้พาท่านไปด้วยจึงทำให้พระสารีบุตรพลอยอดไปด้วย ไม่มีแม้แต่คนที่ยกมือไหว้เอาเสียเลย


ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า “อาวุโส เธอจงไปนั่งคอยผมอยู่ในโรงอาหารเถิด” พอส่งพระโลสกติสสเถระไปแล้วเท่านั้น มหาชนต่างพากันดีใจพากันพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าของเรามาแล้ว” ต่างพากันนิมนต์ให้นั่งฉันภัตตาหาร

พระสารีบุตรก็ได้ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นๆ ไปถวายพระโลสกติสสเถระ คนที่เอาอาหารไปส่งก็พากันลืมเสียเลยกินกันเองหมด เมื่อพระสารีบุตรมาถึงก็ได้ทราบว่าท่านยังไม่ได้ฉันอาหารเลย ก็เกิดความสลดใจ

ท่านพระสารีบุตรพิจารณาว่า ยังพอมีเวลาอยู่ จึงได้ถือบาตรเข้าไปในพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาทรงทราบว่ามิใช่กาลของอาหารคาว จึงได้บรรจุอาหารหวาน ๔ อย่างจนเต็มบาตร พอมาถึงก็เรียกพระโลสกติสสเถระมาฉัน โดยพระสารีบุตรต้องถือบาตรไว้เอง มิฉะนั้นอาหารนั้นจะต้องหกหรือหายไปหมด


พระโลสกติสสเถระจึงได้ฉันขนมหวาน ๔ อย่าง ที่พระสารีบุตรนำมาให้จนอิ่ม แม้กระนั้นขนมนั้นก็ไม่พร่อง เพราะด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ของพระสารีบุตร และมื้อนั้นก็เป็นมื้อที่อิ่มเป็นมื้อแรกและมื้อสุดท้าย เพราะท่านก็ได้ปรินิพพานในวันนั้นเอง

พระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังที่อยู่ของท่าน ทรงรับสั่งให้ปลงสรีระเก็บเอาธาตุทั้งหลายก่อพระเจดีย์บรรจุไว้ ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย เห็นน่าอัศจรรย์จริง ท่านพระโลสกติสสเถระมีบุญน้อยมีลาภน้อย อันผู้มีบุญน้อยมีลาภน้อยเห็นปานนี้ ยังบรรลุอริยธรรมได้อย่างไร?” พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังธรรมสภา ตรัสถามมูลเหตุนั้นแล้ว จึงได้ตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย! โลสกติสสะผู้นี้ ได้ประกอบกรรมคือความเป็นผู้มีลาภน้อย และความเป็นผู้ได้อริยธรรมของตนด้วยตนเอง เนื่องด้วยในชาติก่อน เธอได้กระทำอันตรายแก่ลาภของผู้อื่น จึงเป็นผู้มีลาภน้อย แต่เธอเป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้ ด้วยผลที่ได้เคยบำเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตามาก่อน”


ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าทรงนำเอาเรื่องในอดีตของท่านพระโลสกติสสเถระมาตรัสเล่าประกอบ ดังนี้

ในอดีตกาล ครั้งสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในสำนักแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน โดยมีกุฎุมพีผู้หนึ่งให้ความอุปถัมภ์ เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย มีศีล และหมั่นบำเพ็ญวิปัสสนา

ในครั้งนั้นมีพระอรหันต์องค์หนึ่ง ซึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้มาถึงบ้านของกุฎุมพี ผู้อุปัฏฐากภิกษุนั้น จึงนิมนต์ให้ท่านเข้าสู่เรือน ถวายภัตตาหารแล้วได้สดับธรรมเล็กน้อย มีความเลื่อมใสและเคารพ จึงได้นิมนต์ให้ท่านไปพักที่สำนักในหมู่บ้านที่มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าสำนักอยู่ ตกเย็นจึงจะไปเยี่ยม


พระเถระจึงไปพักกับภิกษุรูปนั้น ท่านเจ้าสำนักได้ปฏิสันถาร แล้วถามท่านว่า “ท่านได้ภัตตาหารแล้วหรือ?” พระเถระตอบว่า “ผมได้แล้วครับ” ภิกษุถามต่อไปว่า “ท่านได้ที่ไหนเล่า?” ครั้นตอบภิกษุเจ้าถิ่นแล้ว ท่านก็ได้เก็บบาตร จัดสถานที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้เจริญฌานมีความสุขในผลสมาบัติ พอตกเย็นกุฎุมพีก็มาเยี่ยมพร้อมทั้งพวงดอกไม้และประทีปน้ำมัน ฟังธรรมแล้วนิมนต์ทั้งสองรูปให้รับบาตรในวันรุ่งขึ้น

ฝ่ายภิกษุเจ้าสำนักคิดว่า กุฎุมพีคงถูกพระเถระยุให้แตกกับเราเสียแล้ว ถ้าท่านยังอยู่ในสำนักนี้ก็คงจะไม่นับถือเรา เกิดความไม่พอใจพระเถระ คิดว่าเราควรจะแสดงอาการไม่ให้ท่านอยู่ในสำนักนี้ คิดดังนี้แล้ว เวลาท่านมาปรนนิบัติจึงไม่พูดด้วย


ฝ่ายพระเถระก็ทราบอาการของเจ้าสำนักดี จึงได้คำนึงว่า พระเถระรูปนี้ย่อมไม่ทราบว่าเราไม่ติดในลาภหรือในหมู่ เพราะความที่ท่านเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสแล้ว จึงกลับไปที่พัก ยับยั้งอยู่ด้วยสุขฌานและสมาบัติ

เช้าวันรุ่งขึ้น ภิกษุเจ้าสำนักได้ตีระฆังด้วยหลังเล็บและเคาะประตูด้วยหลังเล็บ แล้วเข้าไปสู่เรือนของกุฎุมพี กุฎุมพีรับบาตรและนิมนต์ให้ท่านนั่ง แล้วได้ถามว่า

“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระอาคันตุกะเถระไปไหนเสียเล่า จึงไม่มาด้วย?” ท่านเจ้าสำนักตอบว่า อาตมาไม่ทราบความประพฤติของพระผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของคุณ อาตมาตีระฆัง เคาะประตูแล้ว ก็ไม่อาจจะปลุกให้ท่านตื่นได้ เมื่อวานฉันโภชนะอันประณีตในเรือนของคุณแล้ว คงอิ่มอยู่จนวันนี้ บัดนี้ก็ยังนอนหลับอยู่นั่นเอง”


ฝ่ายพระเถระองค์อรหันต์ กำหนดเวลาภิกขาจารของตนแล้วก็เหาะไปในอากาศ ได้ไปบิณฑบาตในที่อื่น กุฎุมพีได้นิมนต์เจ้าสำนัก ใส่ข้าวปายาสจนเต็ม แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ผู้เจริญ พระเถระนั้นเห็นจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพระคุณเจ้าจงนำข้าวปายาสนี้ไปถวายท่านด้วยเถิด”

พระเถระรับบาตรไปแล้ว เดินไปคิดไปว่า ถ้าพระภิกษุนั้นได้รับข้าวปายาสนี้แล้ว ถึงเราจะฉุดคอไปก็คงจะไม่ยอมไปจากที่นี่ ถ้าเราจะเอาข้าวนี้ให้แก่คนอื่น เรื่องก็คงจะรู้ถึงกุฎุมพี ถ้าเราเททิ้งในน้ำ เนยใสก็จะลอยขึ้น ถ้าทิ้งในพื้นดิน นกการุมกิน คนก็จะรู้ กำลังเดินคิดว่าจะทิ้งที่ไหนดีหนอ? ก็พอดีเดินมาถึงที่นากำลังไหม้ไฟอยู่ จึงคุ้ยถ่านขึ้น แล้วเอาข้าวเทลงไป แล้วกลบด้วยถ่าน แล้วจึงไปสำนัก


ครั้นไม่เห็นภิกษุรูปนั้น จึงได้คิดว่า ชะรอยภิกษุรูปนั้นคงจะเป็นพระอรหันต์ รู้ความคิดของเราแล้ว จึงไปเสียที่อื่นเป็นแน่ โอ เพราะท้องเราเป็นเหตุ เราทำกรรมไม่สมควรเลย นับแต่วันนั้นเป็นต้นไป ท่านก็กลายเป็นมนุษย์ เปรต อยู่ไม่นานก็ตายไปเกิดในนรก ภิกษุนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี

ด้วยเศษของกรรมนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์ถึง ๕๐๐ ชาติ ไม่เคยได้กินอาหารเต็มท้องสักวัน จนถึงวันจะตายจึงได้กินอิ่ม คือได้กินรกคนเต็มท้องอยู่วันหนึ่ง มาเกิดเป็นหมาอีก ๕๐๐ ชาติ ก็กินไม่อิ่มเช่นกัน มากินอิ่มท้องแล้วก็ตาย ตายจากหมาแล้ว ก็มาเกิดในตระกูลคนเข็ญใจในแคว้นกาสี

ตั้งแต่วันที่เขาเกิดมา ตระกูลนั้นก็ยิ่งยากจนลงไปอีก แม้แต่น้ำและปลายข้าวเพียงครึ่งท้องก็ไม่เคยได้ เขามีชื่อว่า มิตตพินทุกะ พ่อแม่ของเขาไม่อาจจะทนทุกข์ อันเกิดจากความอดอยากได้ จึงได้พูดกะเขาว่า “ไปเถิดไอ้ลูกกาลกิณี ไปกินเองเถิด” พูดพลางก็ไล่ตีเขาออกจากบ้านไป เขาไม่มีที่กินที่นอน ก็ได้ท่องเที่ยวไปจนถึงเมืองพาราณสี

สมัยนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ บอกศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ คน ในสมัยนั้นชาวเมืองพาราณสี ได้ให้ทุนแก่คนยากจนเข็ญใจ ได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะ จึงได้ให้ทุนแก่มิตตพินทุกะ แต่เขาเป็นเด็กหยาบคาย ไม่เชื่อฟังโอวาท เที่ยวชกต่อย เกะกะเรื่อยไป แม้พระโพธิสัตว์จะสั่งสอนเขาก็ไม่เชื่อฟัง เพราะเหตุนั้นเมื่อเติบโตเขาจึงเป็นคนโง่เขลา

ครั้งนั้น เขาเกิดทะเลาะกับพวกเด็กๆ ทั้งไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน จึงหนีเที่ยวไปถึงชายแดนตำบลหนึ่ง รับจ้างเขาเลี้ยงชีวิต ให้หญิงเข็ญใจเป็นภรรยา นางเกิดบุตรกับเขา ๒ คน ชาวบ้านนั้นก็ได้มอบให้เขาเป็นคนบอกข่าวดีและข่าวร้าย ให้ค่าจ้างและปลูกกระท่อมให้พักที่ประตูหมู่บ้าน

เมื่อนายมิตตพินทุกะมาอยู่แล้ว หมู่บ้านชายแดนนั้นถูกราชทัณฑ์ ๗ ครั้ง ไฟไหม้ ๗ ครั้ง บ่อน้ำพัง ๗ ครั้ง พวกเขาจึงปรึกษากันว่า แต่ก่อนที่มิตตพินทุกะยังไม่มา พวกเราไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้ ตั้งแต่เจ้ามิตตพินทุกะมาอยู่ พวกเราแย่ไปตามๆ กัน จึงช่วยกันรุมตี
เขาจึงต้องพาลูกและเมียไปอยู่ที่อื่น


เขาผ่านเข้าไปในดงของอมนุษย์แห่งหนึ่ง พวกอมนุษย์ได้รุมกันจับลูกและเมียของเขาฆ่าและกินเนื้อ ส่วนตัวเขาได้หนีรอดไปได้ จึงเที่ยวไปถึงท่าเรือแห่งหนึ่งชื่อคัมภีระ ประจวบกับเป็นเวลาที่เขาจะปล่อยเรือเดินทะเล เขาจึงสมัครเป็นลูกเรือ พอเรือเดินไปในมหาสมุทรได้ ๗ วัน เรือก็หยุดอยู่กลางทะเลเหมือนมีใครมาฉุดไว้

ชาวเรือเหล่านั้นจึงต่างพากันจับสลากกาลกิณี สลากกาลกิณีก็ได้มาตกแก่มิตตพินทุกะถึง ๗ ครั้ง พวกชาวเรือจึงโยนลูกบวบไม้ไผ่ให้เขาแพหนึ่ง แล้วช่วยกันจับเขาโยนลงไปในแพ เรือจึงได้แล่นต่อไปได้ มิตตพินทุกะได้นอนในแพไม้ไผ่ที่ลอยไปตามกระแสน้ำในทะเล


ด้วยอานิสงส์ที่ได้เคยรักษาศีล เมื่อสมัยเป็นพระในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้พบกับเทพธิดา ๔ นาง ซึ่งอยู่ในวิมานแก้วผลึกหลังหนึ่งในทะเล ได้เสวยสุขสำราญอยู่ในวิมานนั้นตลอด ๗ วัน เสวยทุกข์ ๗ วัน นางเทพธิดาทั้ง ๔ นางนั้น ว่าที่จริงก็เป็นเปรตที่อยู่วิมานได้เสวยสุข ๗ วัน แล้วก็เสวยทุกข์ ๗ วัน จึงได้สั่งมิตตพินทุกะให้รอนางอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่านางจะมาอีกใน ๗ วัน แล้วนางเทพธิดาเหล่านั้นก็พากันไป

เมื่อนางเทพธิดาไปแล้ว มิตตพินทุกะก็ลงนอนในแพไม้ไผ่ลอยไปเรื่อยๆ ก็ไปพบนางเทพธิดา ๘ นางในวิมานเงิน เทพธิดาเหล่านั้นก็เป็นเปรตอยู่ในวิมานเช่นเดียวกัน เมื่อได้อยู่กับเทพธิดาเหล่านั้น เขาก็ได้นอนในแพไม้ไผ่ลอยในทะเลต่อไป จนไปพบกับเทพธิดา ๑๖ นางในวิมานแก้วมณี แล้วเขาก็นอนลอยแพไปอีก จนไปพบกับเทพธิดาอีก ๓๒ นางในวิมานทอง นางเหล่านั้นก็ให้รอนางอีก เขาก็ไม่รอ


เมื่อเขาลอยแพไป เขาก็ไปพบเมืองยักษ์ ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะในเมืองนั้น มียักษิณีตนหนึ่ง กำลังแปลงกายเป็นแพะเที่ยวอยู่ มิตตพินทุกะไม่รู้ว่าเป็นยักษ์แปลงกายเป็นแพะ เมื่อเห็นแพะก็นึกอยากจะกินเนื้อแพะ จึงได้กระโดดไปจับที่เท้าแพะ นางยักษ์แปลงก็เลยยกมิตตพินทุกะขึ้นสลัดด้วยความแรงอันเกิดจากอานุภาพของยักษ์ มิตตพินทุกะเลยลอยข้ามทะเลไปตกที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเมืองพาราณสี ซึ่งแม่แพะของพระราชาหลายตัวกำลังหากินอยู่

ในสมัยนั้นแม่แพะได้ถูกโจรลักขโมยไปอยู่เสมอ แต่ยังจับตัวโจรไม่ได้ พอมิตตพินทุกะเห็นแพะอีก ก็เกิดความคิดว่าที่เราต้องถูกแพะดีด แล้วมาตกอยู่ที่นี่ ก็เพราะเราจับแพะที่เท้า อย่ากระนั้นเลย ถ้าเราจับแพะที่เท้าอีก มันก็คงจะดีดเราไปตกอยู่ในวิมานของเทพธิดาในทะเลอีก คิดดังนั้นแล้ว เขาก็กระโดดจับที่เท้าแพะทันที แม่แพะพอถูกคนจับเท้า มันก็ได้ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ


คนที่เลี้ยงแพะหลายคนก็ได้กรูกันมาจับเขาพลางร้องว่า “กูคอยมึงมานานแล้ว ไอ้หัวขโมยแพะของหลวงคงเป็นมึงนี่เอง” ต่างช่วยกันรุมซ้อม แล้วจับมัดไปสู่พระราชวัง ในขณะที่นำตัวเขาเดินทางไปพระราชวัง ก็ได้พบกับพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ของเขา อาจารย์เห็นเขาก็จำได้ จึงได้พูดกับคนเลี้ยงแพะว่า “พ่อคุณทั้งหลาย คนนี้เป็นลูกศิษย์ของเรา พวกท่านจับเขาเพราะเหตุอะไร?”

พวกคนเลี้ยงแพะตอบว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ มันเป็นคนร้ายขโมยแม่แพะของหลวง กำลังจับแม่แพะที่เท้า พวกผมจึงได้จับเขาจะเอาไปลงโทษขอรับ” พระโพธิสัตว์ขอร้องว่า “ถ้าเช่นนั้นจงให้เขามาเป็นทาสของเราเถิด เขาจะได้อาศัยเราเลี้ยงชีวิตต่อไป” พวกคนเลี้ยงแพะกล่าวว่า “ดีแล้วขอรับท่านอาจารย์” แล้วก็มอบตัวเขาให้แก่อาจารย์ไป


พระโพธิสัตว์ได้ถามเขาไปว่า “ตลอดเวลาที่เจ้าหายไปนั้น เจ้าไปอยู่ที่ไหน?” มิตตพินทุกะก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านอาจารย์ฟังโดยตลอด พระโพธิสัตว์จึงได้กล่าวว่า “คนที่ไม่กระทำตามถ้อยคำของผู้หวังดี ก็ย่อมจะได้เสวยความทุกข์อย่างนี้”

ครั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้กล่าวคำอันสุภาษิตว่า


“บุคคลใดแล เมื่อท่านผู้หวังดี เอ็นดู เกื้อกูล สั่งสอน แต่มิได้กระทำตามถ้อยคำของท่านบุคคลนั้น ย่อมจะเศร้าโศก เหมือนอย่างกับมิตตพินทุกะ จับแพะแล้วยังเศร้าโศกอยู่ฉะนั้น”


อรรถกถาโลสกชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๖ หน้า ๑

L55.png



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:13, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5NDF8N2RmZDUwOTB8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:13, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5NDJ8OTNkMWQzYzd8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: pimnuttapa    เวลา: 2009-1-23 23:41

ตอนที่ ๒๙

ปลงตก

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภถึงนางเปรตขัลลฏิยะตนหนึ่ง ดังนี้

ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี มีหญิงงามผู้อาศัยรูปสมบัติเลี้ยงชีพคนหนึ่ง นางมีรูปร่างสวยงามมาก น่าดูน่าชม ประกอบด้วยผิวพรรณอันงดงามยิ่งนัก มีกำแห่งผมน่ารื่นรมย์ใจ จริงอยู่ ผมของนางดำยาว ละเอียดอ่อนนุ่มสนิท มีปลายตวัดขึ้น เกล้าเป็นสองแฉก สยาย ห้อยย้อยลงมาจนถึงสายรัดเอว เมื่อคนหนุ่มเห็นความงามแห่งเส้นผมของนางแล้ว โดยมากจะมีจิตปฏิสัมพันธ์ในนาง

ลำดับนั้น มีหญิง ๒-๓ คน เมื่อเห็นคนส่วนมากเสน่หาผมของนางนั้นแล้ว จึงเกิดความริษยา ไม่อาจจะทนอยู่ได้ จึงปรึกษากันว่าจะทำลายผมของนางนั้น จึงเอาอามิสจ้างเล็กๆ น้อยๆ ไปให้คนรับใช้ของนางผมสวยเอายาทำลายผมไปทำลาย ในขณะที่นางลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคา

หญิงรับใช้ก็ทำตามคำของหญิงริษยา โดยหลอกนายหญิงว่า ยานั้นเป็นยาบำรุงผมใช้สระผมแล้วจะทำให้ผมงามยิ่งนัก เมื่อนางลงไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคาและสระผมด้วยยานั้น ในทันทีนั้นผมของนางก็ได้ร่วงหลุดไปจนถึงรากผม ศีรษะของนางที่สวยงามด้วยผม ก็กลายเป็นเช่นกะโหลกน้ำเต้าขม หรือเหมือนนกพิราบถูกถอนขนหัว แลดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง

นางเกิดความละอาย จึงไม่อาจจะเข้าไปในเมือง เอาผ้าคลุมศีรษะหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณรอบเมืองนั่นเอง แต่พอเวลาผ่านไปเพียง ๒-๓ วันเท่านั้น นางก็ปลงใจได้ หมดความละอาย กลับไปบ้านเดิม แล้วเริ่มอาชีพค้าน้ำมันจากเมล็ดงาขาย พร้อมทั้งตั้งโรงขายสุราไปด้วย


วันหนึ่งมีคนคอเหล้า ๒-๓ คน มากินเหล้าที่ร้านของนาง เกิดการมึนเมามาหนัก จึงนอนหลับไปอย่างหมดสติ นางจึงลักผ้านุ่งที่คนขี้เมานุ่งไว้หลวมๆ คนขี้เมาตื่นขึ้นมาก็ไม่อาจจะหาขโมยได้

วันหนึ่งนางเห็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านของตน นางจึงมีจิตเลื่อมใสนิมนต์ให้เข้ามานั่งในเรือนตน ให้ท่านนั่งในอาสนะที่ตบแต่งไว้ แล้วได้ถวายแป้งผสมน้ำมันงา พระเถระมีจิตคิดอนุเคราะห์นางจึงรับประเคนแป้งผสมน้ำมันงาแล้วฉันอยู่


นางจึงมีจิตเลื่อมใสได้ยืนกั้นร่ม เพื่อจะทำให้นางร่าเริงในกุศล พระเถระจึงกระทำอนุโมทนา ในขณะนั้นเองนางก็ได้ตั้งจิตปรารถนาว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ขอให้เส้นผมของดิฉันยาวละเอียดนุ่มสนิท มีปลายผมตวัดขึ้นด้วยเถิด” พระเถระได้แสดงอนุโมทนาแล้วหลีกไป

ในกาลต่อมา นางได้ถึงแก่กรรม ด้วยผลแห่งกรรมที่คละกันทั้งชั่ว (คือที่ลักผ้านุ่งของคนขี้เมา) และคละดี (คือที่เลี้ยงพระ) นางจึงต้องไปเกิดเป็นเปรตอยู่ในวิมานทอง ท่ามกลางมหาสมุทร นางมีผมสวยตามที่ปรารถนา แต่นางไม่มีผ้านุ่งห่ม ต้องหลบซ่อนเอาเส้นผมบังกายอยู่ในวิมานนั้นนานถึงหนึ่งพุทธันดร

จนลุถึงพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันเสด็จอุบัติ และประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ได้มีพ่อค้าชาวกรุงสาวัตถี ๗๐๐ คน แล่นเรือไปสู่มหาสมุทรมุ่งจะไปสุวรรณภูมิ นาวาที่แล่นไปเกิดต้องพายุ จึงพลัดไปสู่ทิศทางที่วิมานของนางเปรตนั้น

นางเปรตจึงแสดงตนแก่พวกพ่อค้าเหล่านั้น โดยโผล่แต่ใบหน้าออกมา ไม่อาจจะแสดงร่างกายที่เปลือยเปล่าได้ พ่อค้าจึงได้ถามถึงสาเหตุ นางจึงได้เล่าถึงบุพกรรมว่า ได้ลักผ้าของคนขี้เมา จึงทำให้นางไม่มีผ้านุ่งห่มในชาตินี้

พ่อค้าจึงกล่าวว่า “นี่แน่ะ น้องสาวคนสวย เอาเถอะ พี่จะให้ผ้าเนื้อดีแก่น้อง เชิญน้องนุ่งห่มผ้าผืนนี้ แล้วมาหาพี่นอกวิมานเถิด” พ่อค้ากล่าวแล้วก็เอาผ้าห่มของตนไปให้นาง แต่นางไม่รับผ้านั้น พร้อมกับกล่าวว่า


“ถึงพี่จะให้ผ้านั้นแก่มือของน้อง ผ้านั้นก็ไม่สำเร็จประโยชน์แก่น้องดอก ถ้าในเรือลำนี้มีอุบาสกผู้มีศรัทธา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ขอพี่จงให้ผ้านั้นแก่อุบาสก และให้อุบาสกนุ่งห่มผ้านั้น แล้วพี่จะอุทิศส่วนกุศลมาให้น้อง เมื่อพี่ทำอย่างนั้น น้องก็จะได้นุ่งผ้าห่มนี้ตามความปรารถนาและมีความสุข”

พ่อค้าเหล่านั้น จึงให้อุบาสกคนหนึ่ง ชำระร่างกายแล้วให้นุ่งผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง แล้วอุทิศผลบุญแก่นางเปรตนั้น ในทันตาเห็นนั้นเอง อานิสงส์ได้เกิดขึ้นแก่นางเปรตนั้น ทั้งโภชนะและน้ำดื่มพร้อม นางมีร่างกายบริสุทธิ์นุ่งห่มสะอาดและงามกว่าผ้าของชาวแคว้นชนกาสี เดินยิ้มออกมาจากวิมาน พบพวกพ่อค้าเหล่านั้น

พวกพ่อค้าเกิดอัศจรรย์จิต พากันเลื่อมใสอุบาสก ให้ความเคารพนับถือเข้าไปใกล้ อุบาสกนั้นจึงแสดงธรรมกถาและให้พวกพ่อค้าตั้งอยู่ในสรณะและศีล เมื่อเทพธิดาเล่าบุพกรรมของตนแก่พวกพ่อค้าแล้ว อุบาสกนั้นเมื่อจะทำที่พึ่งให้แก่นางยิ่งขึ้น จึงกล่าวว่า


“ดูก่อนแม่เทพธิดา เธอจงสำเร็จความประสงค์ทุกอย่างแล้ว ด้วยอาศัยทานที่ให้แก่เราคนเดียวเท่านั้น แต่ท่านควรจะให้ทานแก่อุบาสกในเรือนทั้งหมด ควรระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ก็จะทำให้พ้นจากการเกิดในนรกได้”

นางเทพธิดามีความยินดีกล่าวว่า “สาธุ” แล้วได้บริจาคทานอันเป็นทิพย์แก่พวกอุบาสกทั้งหมด มีข้าว น้ำ ผ้า และแก้วต่างๆ พร้อมทั้งถวายคู่ผ้าทิพย์ มุ่งบูชาพระพุทธเจ้า ฝากอุบาสกเหล่านั้นไปถวาย พร้อมทั้งกล่าวว่า


“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นางเวมานิกเปรตตนหนึ่ง ขอฝากไว้ด้วยเศียรเกล้า แทบพระบาทของพระพุทธเจ้า” พร้อมทั้งนำเรือนั้นไปจอดยังท่าเรือที่อุบาสกเหล่านั้นปรารถนา

ด้วยอำนาจอิทธานุภาพของตน ทั้งพ่อค้าและพวกอุบาสกต่างก็มาถึงท่าเรือ พากันเดินทางไปเมืองสาวัตถี ครั้นถึงพระเชตวันแล้ว ได้เข้าถวายบังคมพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งถวายคู่ผ้าทิพย์นั้น พระพุทธเจ้าทรงกระทำเรื่องนี้เป็นเหตุ แล้วทรงแสดงธรรมเทศนาโดยพิสดารแก่หมู่พุทธบริษัทและมหาชน

ในวันรุ่งขึ้น พวกอุบาสกได้พร้อมใจกันถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน และได้อุทิศส่วนบุญนั้นแก่นางเปรต และนางก็ได้ไปบังเกิดในวิมานชั้นดาวดึงส์ อันโชติช่วงไปด้วยรัตนะต่างๆ มีนางอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร


อรรถกถาขัลลาฏิยเปติวัตถุ

L55.png





Good night.jpg



“...ภพชาติเป็นสิ่งที่ล่วงรู้ได้ยาก

เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนับชาติไม่ถ้วน

มีทั้งกุศลและอกุศล

ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรไม่มีใครรู้

ฉะนั้นรีบทำความเพียร

เพื่อความหลุดพ้นจากความเกิดชาตินี้ดีกว่า

เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกรรม หรือใหญ่เกินกว่ากรรม…”

l30.png

Orange-Sky1.jpg




รูปภาพที่แนบมา: Good night.jpg (2023-6-15 23:21, 614.32 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 1
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzMzNzl8ZjZkMWI0NjJ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: l30.png (2023-9-27 22:42, 14.34 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODJ8MjI3MTkyYzR8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: Orange-Sky1.jpg (2023-9-27 22:48, 188.94 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM4ODZ8MzJkYjc2NzZ8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L55.png (2023-9-27 23:13, 2.24 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5NDN8NDg5MTRiM2R8MTcyNzQ0NjgyOXww



รูปภาพที่แนบมา: L56.1.png (2023-9-27 23:13, 10.7 KB) / ดาวน์โหลดแล้ว 0
http://dannipparn.com/forum.php?mod=attachment&aid=NzM5NDR8ZDVhOWMwYzJ8MTcyNzQ0NjgyOXww


โดย: นพดล    เวลา: 2009-8-14 17:22

อนุโมทนาทุกเรื่องราวที่นำมาเผยแพร่เป็นธรรมทานด้วย

สาธุ ๆๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: tappitak    เวลา: 2010-8-21 23:08

ขอบคุณครับที่นำมาให้ได้อ่านกัน โมทนาสาธุ




ยินดีต้อนรับสู่ แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" (http://dannipparn.com/) Powered by Discuz! X1.5