[attach]24663[/attach]
ถ้ากระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน
มีสิทธิ์ตกนรกไหม?
เมื่อข้าพเจ้าเลิกดื่มสุราได้แล้ว การบำเพ็ญทานและการรักษาศีลของข้าพเจ้าเป็นไปได้โดยง่าย ไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้เกิดการไขว้เขวอีกต่อไป จึงนับว่าข้าพเจ้าได้เหยียบย่างขึ้นสู่บันไดขั้นที่ ๑ อันเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาได้แล้วอย่างค่อนข้างมั่นคงทีเดียว แต่คนอย่างข้าพเจ้าย่อมไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่ จะต้องพยายามหาทางก้าวเดินขึ้นสู่บันไดขั้นที่ ๒ คือการเจริญภาวนาให้ได้ฌาณสมาบัติให้จงได้
ด้วยเหตุนี้ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ ตามที่หลวงพ่อเคยสอนไว้
(จะสวดอะไรบ้างนั้นขอท่านผู้อ่านจงเปิดดูใน คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่หลวงพ่อเขียนไว้เถิด เพราะขณะนี้ได้มีจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มไว้แล้ว) แล้วลองนั่งดูตามแบบฉบับของการนั่งกรรมฐาน คือ นั่งขัดสมาธิเพชร นั่นเอง ต่อจากนั้นก็เริ่มระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์ (อานาปานุสสติกรรมฐาน) แล้วกำหนดเอา "พุทโธ" เป็นองค์ภาวนา "พุทโธ" และชั่วระยะเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกคันตามเนื้อตามตัว โดยเฉพาะที่ใบหน้าเหมือนมีตัวแมลงมาเดินไต่ ยิ่งหักห้ามใจสะกดนิ่งไว้ เจ้าแมลงที่ว่าก็ดูเหมือนจะเดินไปเข้าหูบ้าง จมูกบ้าง จนข้าพเจ้าทนไม่ไหว ต้องใช้มือคอยปัด และเกาตามเนื้อตัวที่คนอยู่บ่อยๆ อดนึกขำไม่ได้ที่มีคนเคยเอาปัญหานี้ถามหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อเย้าว่า"
ไอ้ตัวสมาธินี่มันคันใช่ไหม อย่าไปสนมันนะ ปล่อยไป เดี๋ยวมันก็หายคันเองแหละ" เอ้า!..ปล่อยก็ปล่อย ข้าพเจ้ากำหนดจิตจับอยู่แต่ลมหายใจเข้า-ออก และองค์ภาวนา "พุทโธ" ต่อไป ความคันต่างๆ ที่เกิด หายไปจริงๆ แต่ความเจ็บที่ตาตุ่มซึ่งกดติดกับพื้นกระดานนี่สิ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นที่ก้นกบอีกแห่งหนึ่ง ก็ดูเหมือนจะมีอาการเจ็บปวดขึ้น และแม้ว่าข้าพเจ้าจะหาเบาะมารองพื้น และนั่งใหม่ ก็หาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นไม่ มิหนำซ้ำขาทั้งสองของข้าพเจ้า กลับเกิดอาการเหน็บชาขึ้นจนขยับเขยื้อนไม่ได้เลยอีกด้วย เป็นอันว่าการเจริญภาวนาของข้าพเจ้าในคืนนั้นประสบความล้มเหลวโดยลิ้นเชิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการเจริญภาวนานั้น ทำไมจึงช่างยากเย็นและทุกเวทนาเช่นนี้ และถ้าแก้ไขไม่ตกก็เห็นทีที่ข้าพเจ้าจะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่ ๒ ไม่ได้แน่ ดังนั้น ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถามหลวงพ่อว่า"
หลวงพ่อครับ ถ้าผมกระทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน จะมีสิทธิ์ตกนรกไหมครับ? ""
มีสิทธิ์ตกแน่" หลวงพ่อตอบทันที"
อ้าว!..ก็พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มิใช่หรือครับ? ข้าพเจ้าแย้ง"
ใช่ แต่คุณหรือคนธรรมดาทั่วๆ ไปจะมีใครกระทำแต่ความดีได้ทั้ง ๑oo% เล่า มีแต่ทำดีมาก ทำชั่วน้อย หรือทำชั่วมาก ทำดีน้อย จริงไหม? ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ ท่านมีสติทุกลมหายใจเข้าออก จึงจะทำความดีได้ทั้ง ๑oo% หลวงพ่ออธิบาย"
แต่หลวงพ่อเคยพูดนี่ครับว่า การบำเพ็ญทานและรักษาศีลนั้นถือเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา หากตายไปก็มีสิทธิ์ไปจุติเป็นเทวดา เสวยสุขในสวรรค์ได้" ข้าพเจ้าแย้งเพราะยังข้อใจอยู่"
เก่งนี่ ที่จำได้ แต่นั่นต้องหมายความว่า ก่อนตาย จิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกาย ต้องจับอยู่ในกุศลผลบุญของทาน ศีล ที่คุณทำมาด้วยนะ จึงจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ แต่ถ้าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายไปจับอยู่ในกรรมชั่วแม้เพียงน้อยนิด คุณก็จะต้องไปรับกรรมชั่วก่อน ต่อเมื่อชดใช้กรรมชั่วจบสิ้นแล้วนั่นแหละ คุณจึงจะมีสิทธิ์ไปเสวยผลแห่งกรรมดีได้นะ" หลวงพ่ออธิบาย"
มีข้อแม้อย่างนี้ด้วยหรือครับ?" ข้าพเจ้าถามอ้อมแอ้ม"
ใช่!..บางคนอาจทำความดีถึง ๘o% ทำความชั่วเพียง ๒o% ก็มิได้หมายความว่าจะลบล้างกันได้เหลือความดีอยู่ ๖o% นะ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นแยกกันโดยเด็ดขาด อยู่ที่ว่าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายนั้นไปจับอยู่ที่กรรมดี หรือกรรมชั่วต่างหาก ถ้าบังเอิญก่อนตายจิตไปจับเอากรรมชั่วเพียงน้อยนิด ก็อาจลงนรกก่อนได้ และในทำนองเดียวกัน หากแม้คุณทำความชั่ว ๘o% ทำความดีได้เพียง ๒o% หากจิตของคุณก่อนแยกจากกาย ไปจับเอากรรมดีเพียงน้อยนิดเข้า ก็สามารถไปเสวยสุขในสวรรค์ก่อนได้นะ ด้วยเหตุนี้คนเฒ่าคนแก่ จึงมักจะไปคอยให้สติแก่คนที่ใกล้ตายเสมอ โดยให้คนใกล้ตายภาวนา "พุทโธ" บ้าง "สัมมาอะระหัง" บ้างเป็นต้น แต่ไม่เป็นผลหรอกนะ ถ้าคนที่ใกล้จะตายผู้นั้นมิได้เคยฝึกนั่งกรรมฐานมาก่อน" หลวงพ่ออธิบาย"
จริงครับหลวงพ่อ ขนาดผมมิได้เจ็บไข้ได้ป่วยสักนิด ยังทำจิต ให้สงบจับอยู่ในองค์พุทโธ เพียงแค่สัก ๒-๓ นาที ยังไม่ได้เลยครับ" ข้าพเจ้าสารภาตตามความเป็นจริง"
ต้องฝึกให้ชำนาญนะ จึงจะทำได้ เหมือนเช่นนักมวยนั่นแหละ แม้จะมีพี่เลี้ยงไปยืนตะโกนสอนอยู่ข้างเวทีให้ฮุคขวา ฮุคซ้าย เตะก้านคอ ศอก เข่า เขาก็ทำไม่ได้นะ หากมิได้ฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญมาก่อน ดังนั้น หากใครก็ตาม สามารถฝึกกรรมฐานได้จนช่ำชอง ก็อาจสามารถกำหนดจิตไปวางอยู่ ณ ที่ใดก็ได้นะ ยิ่งฝึก จิตก็ยิ่งเชื่องนะ แม้ทำกรรมชั่วไว้มาก ทำกรรมดีไว้แต่เพียงน้อยนิด เขาก็สามารถกำหนดจิตของเขาไปวางไว้ในส่วนของกรรมดีได้ โอกาสลงนรกเขาจึงไม่มี และเมื่อเขาได้มีโอกาสไปเสวยสุขก่อน ได้อยู่ในกลุ่มของคนดี เขาก็มีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มาก และในทุกครั้งที่สร้างกรรมดี ถ้าเขาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ หากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ถือผูกโกรธพยาบาท และอภัยให้เขาก็อาจจะไม่ต้องไปชดใช้กรรมชั่วเลยก็ได้นะ เสมือนหนึ่งเจ้าหนี้ ซึ่งเห็นในคุณงามความดีของคุณ แล้วไม่ติดใจทวงหนี้คืนจากคุณนั่นแหละ คุณก็ไม่ต้องหาเงินไปใช้หนี้เขาใช่ไหม?ดังนั้น หากคุณฝึกนั่งกรรมฐานได้ช่ำชอง คุณจะได้เปรียบมากนะ อย่างน้อยที่สุด ก่อนตายคุณก็สามารถกำหนดจิตของคุณไปวางอยู่ในกรรมดี แล้วไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่ทำมาได้นะ อย่าลืมว่าการตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัว แต่สิ่งที่ควรกลัวคือการเกิดต่างหาก ด้วยเหตุนี้ การนั่งกรรมฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากนะ เพราะจะเป็นตัวกำหนดการเกิด ดังที่ฉันพูดมาแล้วได้ด้วย นอกจากนั้นประโยชน์ของการนั่งกรรมฐานยังมีอีกมาก อาทิเช่น หากสามารถทำให้จิตสงบเพียงชั่วระยะเวลาแค่ช้างกระดิกหูก็ได้บุญ มากกว่าการให้ทาน และรักษาศีลเสียอีก หากจิตสงบเพียง ๕ นาที ๑
o นาที ก็อิ่มเอิบกว่านอนหลับตั้งหลายชั่วโมงและถ้านำไปพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ละ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม อันเป้นหนทางสู่โลกุตระ ซึ่งเป็นทางเดินของพระอริยเจ้าได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การนั่งกรรมฐานนั้นเป็นการให้จิตซึ่งเป็นมิตรแท้ของเราได้มีโอกาสพักผ่อนด้วยนะ ทุกวันนี้คนเรามักเอาใจกาย ซึ่งเป็นมิตรเทียม แต่มิได้เอาใจจิตซึ่งเป็นมิตรแท้เลยนะ" หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด"
เอ!..หลวงพ่อครับ ผมชักงงๆ เรื่องจิตและกาย ที่หลวงพ่อพูดมากขึ้นทุกทีแล้วละครับ จิตกับกาย ของคนเรามิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรอกหรือครับ?" ข้าพเจ้ารีบถามด้วยไม่เข้าใจจริงๆ"
จิตก็คือจิต กายก็คือกายนะ จิตมิใช่เป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของกายนะ เสมือนเช่นคนขับรถ ก็มิใช่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวรถนั่นแหละ กล่าวคือคนขับรถมิใช่เป็นพวงมาลัย, มิใช่เป็นเพลา, มิใช่เป็นลูกล้อ, มิใช่เป็นตัวรถฉันใด จิตก็มิใช่เป็นหัวใจ, ไส้, ปอด, มันสมองหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของกายฉันนั้น เมื่อรถเกิดเสียคนขับก็พยายามซ่อมพยายามแก้ไข อย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อแก้ไขไม่ได้ คนขับรถก็ต้องทิ้งรถหารถคันอื่นใหม่ฉันใด จิตก็เช่นกันนะ เมื่อกายเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ก็นำกายไปหาหมอให้รักษาเยียวยา แต่เมื่อไรไม่สามารถจะแก้ไขเยียวยาได้ จิตก็จำต้องทิ้งกายไปฉันนั้น" หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังสนใจฟังอยู่ ก็พูดต่อว่า"
คุณไปเอาอกเอาใจกายของคุณมามากต่อมากแล้วนะ อยากกินอะไรไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหนเพียงไร คุณก็พากายไปกินจนได้ อยากจะเที่ยวที่ไหน อยากจะดูอะไร คุณก็พากายไปเที่ยวไปดู อยากจะสวยอยากจะงาม เสียเงินสักเท่าไรคุณก็สรรหามาแต่งให้กายคุณจนได้ อยากจะฟังอะไรคุณก็พากายไปฟัง หรือไม่ก็หาซื้อเครื่องเสียงชั้นดีมาเปิดให้ฟัง แต่คุณเคยขอร้องอะไรกายของคุณได้บ้างไหม ลองใคร่ครวญดูให้ดีซิ เวลาเกิดปวดหัว ปวดฟัน คุณขอร้องมิให้ปวดได้ไหม? เมื่อผมหงอก ผมร่วง คุณขอร้องมิให้หงอก ให้ร่วงได้ไหม? เวลาจะแก่คุณจะขอร้องไม่ให้แก่ได้ไหม? และเวลาจะตายคุณขอร้องว่าอย่าเพิ่งตายได้ไหม? มันไม่เคยยอมทำตามที่คุณขอร้องเลยสักอย่างเดียวนะ นี่หรือมิตรแท้ มิตรแท้ก็ต้องฟังกันบ้างซิ ยามสุขก็ต้องสุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันซิจึงจะถูก นี่อะไรทำชั่วไว้มากมาย พอตายนอกแหงแก๋ ไม่ยอมตามไปรับกรรมในนรกด้วย ปล่อยให้จิตเป็นผู้รับภาระในการใช้หนี้กรรมเอาดื้อๆ เห็นไหมว่า มิตรที่แท้จริงของคุณก็คือจิตนะ มิใช่กาย เพราะจิตนั้นไม่มีวันตาย และจะติดตามคุณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะรับกรรมหรือเสวยสุขนะ แต่คุณเคยเอาใจมิตรแท้หรือจิตของคุณบ้างไหม? เปล่าเลย คุณใช้จิตอย่างไม่เคยว่างเว้น ในศีล๕ นาทีคุณคิดไม่รู้กี่เรื่องจริงไหม? มิหนำซ้ำยามนอนคุณก็ไม่ละเว้นที่จะใช้จิต จึงได้ฝันได้ละเมอเปรอะไปหมด คุณทารุณโหดร้ายต่อจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ของคุณมากแล้วนะ" หลวงพ่ออธิบายย้ำ"
แล้วผมจะเอาใจจิตซึ่งเป็นมิตรแท้ ได้อย่างไรครับหลวงพ่อ?" ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้"
ก็นั่งกรรมฐานซิ เมื่อจิตว่าง จิตก็จะได้พักผ่อน เมื่อจิตได้พักผ่อนก็เกิดเอิบอิ่ม มีพลังกล้าแข็ง ยังไงล่ะ" หลวงพ่อตอบยิ้ม""
เมื่อคืนก่อนผมลองนั่งดูบ้างแล้วครับ แต่ทนทุกข์เวทนาไม่ได้ จึงต้องเลิกนั่ง" ข้าพเจ้าตอบแล้วเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ในการนั่งให้หลวงพ่อฟัง ดั้งที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ซึ่งเมื่อหลวงพ่อได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่า"
เอ๊ะ!..คุณนี่เอาจริงไม่เลวนะ แอบไปนั่งกรรมฐานจนค้นพบว่าตัวสมาธินี่มันคัน มันเมื่อยเสียแล้ว แต่อย่างน้อยคุณก็ได้บุญแล้วนะ เพราะมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติธรรม แค่ตั้งใจก็ได้บุญแล้วนะ แต่ความจริงแล้วการเจริญพระกรรมฐานนั้น ไม่จำเพาะแต่จะต้องมานั่งกรรมฐานอย่างเดียวเท่านั้นนะ ท่านให้ทำได้ถึง ๔ อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน ก็ได้นะ และการนั่งก็ไม่จำเป็นต้องนั่งให้ถูกตามแบบฉบับนัก หากนั่งกับพื้นไม่ได้ก็นั่งบนเก้าอี้ซิ หรือไม่ก็นอนสบายๆ บนเก้าอี้ผ้าใบก้ได้ เราฝึกจิตนะ ไม่ใช่ฝึกทรมานกาย พระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนให้ เดินสายกลาง มิให้ตึงไป มิให้หย่อนไป ถ้ากำหนดกฏเกณฑ์กันมากมายนัก คนสูงอายุก็ดี คนอ้วนก็ดีที่ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิกับพื้นได้ ก็ไม่ต้องมีโอกาสได้นั่งกรรมฐานซิ ถึงพยายามนั่งก็จะไม่ได้แม้แค่ปฐมฌาณ ทั้งนี้เพราะเสี้ยนหนามของปฐมฌาณก็คือ นิวรณ์๕ ซึ่งได้แก่๑
.ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (กามฉันทะ)๒
.ความผูกโกรธพยาบาท๓
.ความง่วงเหงาหาวนอน๔
.ความคิดฟุ้งซ่านและความรำคาญหงุดหงิดใจ๕
.ความเคลือบแคลงสงสัยในผลการปฏิบัติดังนั้น เมื่อเกิดความเมื่อยขบขึ้นมา ความหงุดหงิดรำคาญใจซึ่งเป็นหนึ่งในนิวรณ์ ๕ ก็เกิดขึ้น และนิวรณ์ ๕ นี้หากเกิดขึ้นแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ปฐมฌาณก็เกิดขึ้นไม่ได้แล้วนะ เป็นยังไงเข้าใจหรือยัง
?" หลวงพ่ออธิบาย"
เข้าใจแล้วครับ แบบนี้ค่อยยังชั่ว ผมจะพยายามเจริญพระกรรมฐานใหม่ ที่ผมท้อใจก็เพราะทนนั่งเจ็บตาตุ่มไม่ไหว ทรมานจริงๆ ครับ" ข้าพเจ้าตอบอย่างดีใจ"
แต่การเจริญกรรมฐานนั้น คุณจะต้องปฏิบัติทั้ง สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ด้วยนะ เพราะหากปฏิบัติแค่สมถกรรมฐาน แม้จะบรรลุไปจุดสุดยอดคือ ทรงฌาณ ๔ มีจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ได้ก็จริง ก็ยังเป็นแค่ฌาณโลกีย์อยู่นะ จิตบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังขาดปัญญา เขาเรียกว่า "โง่ แต่บริสุทธิ์" นะ จริงอยู่ถ้าเกิดตายในขณะทรงฌาณได้ ก็จะไปเป็นพรหมได้แต่คุณจะอยู่ในฌาณได้ตลอดเวลาหรือ ส่วนใหญ่ก็มักจะนอกฌาณ จริงไหม? และเมื่ออยู่นอกฌาณ จิตซึ่งขาดปัญญาก็ย่อมตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้ เช่นปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆ ไปเหมือนกัน และถ้าหากเกิดตายในขณะนั้นขึ้นมา แม้เคยทรงฌาณได้ก็มีสิทธิ์ตกนรกได้นะ เขาเรียกว่า "ตายนอกฌาณ" ยังไงล่ะ และก็มีมาแล้วมากต่อมากด้วย เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ดังนี้คุณจะต้องเอากำลังฌาณของสมถกรรมฐานนี้มาพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญา รู้เท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมให้ได้ จึงจะล่วงข้ามความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ หากแม้ไม่ได้ในชาตินี้ โอกาสลงนรกของคุณก็จะไม่มีนะ ถ้าคุณฝึกจิตเพียงแค่อยู่ในระดับ พระโสดาบัน ให้ได้เท่านั้น คุณก็หมดสิทธิ์ลงนรกแล้วนะ"หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียดด้วยความเมตตา เมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังอยู่ ก็อธิบายต่อว่า
"
การให้ทานและรักษาศีลนั้น เป็นเพียงแค่ป้องกันหรือจำกัดเขตมิให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลนั้นออกมาเพ่นพ่านนอกกรอบด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความโลภ โกรธ หลง คือ กิเลส หรือความทะยานอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น คือ ตัณหา หรือการยึดมั่นถือมั่นว่า ไอ้นั่นคือของเรา ไอ้นี่คือของเรา (อุปาทาน) ยังคงมีอยู่ในจิตนะ เสมือนหนึ่งจับเสือขังกรงไว้นั่นแหละ แม้มันจะไม่สามารถออกมาขบกัดทำร้ายใครก็ตาม แต่มันก็ยังดุอยู่ใช่ไหม? ส่วนการเจริญสมถกรรมฐาน นั้น ก็เพียงแค่สงบระงับกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ไว้ได้เพียงชั่วขณะที่ทรงฌาณเท่านั้น เมื่อออกนอก ฌาณ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้อีก เปรียบเสมือนฉีดยาสลบให้เสือนั่นเอง ถ้าหมดฤทธิ์ยาสลบเมื่อใด เสือก็ยังคงเป็นเสือที่ดุร้าย พร้อมจะขบกัดทำร้ายผู้คนอยู่เช่นเดิมนั่นแหละแต่ถ้าหากได้เจริญวิปัสสนาญาณ จนเกิดปัญญารู้เท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมแล้ว ค่อยๆ ละ ค่อยๆ ตัด สังโยชน์ ๑o ออกไปทีละข้อๆ ได้จนครบทั้ง ๑o ข้อเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน แล้วนั่นแหละ ตัวกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ทั้งหลายจึงหมดฤทธิ์ เปรียบเสมือนหนึ่งคุณใช้มีดเข้าห้ำหั่นเสือจนตายไปนั่นแหละ เสือจึงสิ้นฤทธิ์ เข้าใจหรือยังล่ะ?" หลวงพ่ออธิบายอย่าละเอียด แล้วถามข้าพเจ้าอย่างเมตตา "เข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะพยายามต่อไปครับ" ข้าพเจ้าตอบด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ และเบิกบานยิ่งแล้วท่านผู้อ่านที่รักล่ะ เข้าใจตามข้าพเจ้าแล้วหรือยัง?ยินดีต้อนรับสู่ แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน" (http://dannipparn.com/) | Powered by Discuz! X1.5 |