อนุสาวรีย์ครูบาอ้าย อินทะปัญโญ วัดสะปุ๋งน้อย บรรจุพระธาตุดิบของครูบาอ้าย อินทะปัญโญ ไว้ในรูปเหมือนของครูบา
คำนมัสการครูบาอ้าย อินทะปัญโญ
(ตั้งนะโม ๓ จบ) อินทะปัญโญ กะตัง นัง วา สุขะสันตัง กะริ สิระสา นะมามิ ฯ (กราบ)
ประวัติครูบาอ้าย อินทะปัญโญ
(พระนักปฏิบัติแห่งวัดสะปุ๋งน้อย)
ครูบาอ้าย ชื่อเดิมคือ อ้าย เสนป่าหมุ้น เกิดปีเถาะ พ.ศ.๒๔๓๔ เป็นบุตรของ พ่อสม และ แม่ดา เสนป่าหมุ้น บ้านสะปุ๋ง หมู่ ๓ ต.ม่วงน้อย แขวงปากบ่อง (อ.ป่าซางปัจจุบัน) จ.ลำพูน มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันจำนวน ๕ คน
เมื่อเจริญวัยพอสมควร นอกจากครูบาอ้ายจะช่วยพ่อแม่ทำงานอย่างเต็มความสามารถแล้ว ท่านยังเป็นเด็กที่ชอบติดตามพ่อแม่ไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ และมีนิสัยรักสันโดษไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับญาติพี่น้อง หรือคบหาสมาคมกับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง
การศึกษา
เมื่ออายุได้ ๑๐ ปี พ่อแม่ได้พาไปฝากเล่าเรียนหนังสือภาษาล้านนาไทย ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองเหนือ กับครูบาอุปละ เจ้าอาวาสวัดสะปุ๋ง (บ้านฮ้อง) ซึ่งท่านมีความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนภาษาพื้นเมืองเป็นเวลา ๕ ปี จนสามารถอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี ตลอดจนท่องคำไหว้พระสวดมนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว
การบรรพชา-อุปสมบท
กระทั่งปี พ.ศ.๒๔๔๙ เมื่อพออายุได้ ๑๕ ปี ครูบาอ้ายได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดสะปุ๋ง (บ้านฮ้อง) โดยมีครูบาอุปละเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งนอกจากจะศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนศึกษาภาษาพื้นเมืองแล้ว พระเณรสมัยนั้นยังฝึกหัดเขียนธรรมใบลาน และเทศน์ธรรมใบลานด้วย ทำให้สามเณรอ้ายได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ธรรมที่เก่งรูปหนึ่ง
จากนั้นเมื่ออายุครบ ๒๑ ปี ในวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๔ ครูบาอ้ายได้บวชเป็นภิกษุ ณ วัดป่าตาล ต.ม่วงน้อย โดยมีครูบาธรรมวงค์ วัดสันกำแพง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้นามฉายาว่า “อินทะปัญโญ ภิกขุ” หลังจากนั้นท่านหมั่นศึกษาหาความรู้ในวิชาต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ จนมีความรู้ความสามารถดีแล้ว ครูบาอ้ายจึงได้หาความรู้เพิ่มเติม ทั้งวิชาเวทมนต์คาถา วิชาโหราศาสตร์ และวิชาแพทย์แผนโบราณ จากครูบาอาจารย์หลายสำนัก
ครูบาอ้ายนักปฏิบัติและผู้มีจิตเมตตาธรรมสูง
ครูบาอ้ายชอบความสงบ และไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ส่วนมากท่านจะบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานอยู่บนกุฏิ กิจวัตรประจำของท่านคือ ตื่นนอนตั้งแต่ตี ๔ ของทุกๆ วัน เพื่อทำกิจส่วนตัว จากนั้นท่านจะสวดมนต์ไหว้พระ เสร็จแล้วจึงนั่งสมาธิภาวนาตกลูกประคำ พอออกจากสมาธิก็รอจนสว่าง ท่านจะถือไม้กวาดกับตะกร้าเก็บกวาดใบไม้ใบหญ้าบริเวณหน้ากุฏิ และลานวัดไปเรื่อยๆ ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกเช้าและเย็น โดยไม่เคยดุว่าหรือตำหนิพระเณรรูปใดที่ตื่นสาย หรือไม่ช่วยทำความสะอาดวัด พอตกเย็นท่านก็จะทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา และเดินจงกรมรอบพระธาตุเจดีย์หรือข้างพระวิหารเป็นประจำมิได้ขาด
แต่ถ้าญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ได้รับความเดือดร้อนและขอพบ ท่านจะให้คำแนะนำช่วยเหลือเสมอ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม นอกจากนี้ท่านยังเมตตาเทศนาสั่งสอนและให้ความรู้ทางธรรมเป็นประจำทุกวันพระ โดยมุ่งสอนให้ญาติโยมอุบาสก และอุบาสิกา มีศรัทธาตั้งมั่นในศีลธรรม ลดละการทำความชั่ว ประกอบแต่คุณงามความดี และให้หมั่นเข้าวัดปฏิบัติธรรมตั้งแต่เมื่อเยาว์วัย
นอกจากนี้ครูบาอ้ายยังนำความรู้วิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งร่ำเรียนมาคิดค้นเป็นยารักษาโรคนิ่ว-ลมนิ่ว เพื่อช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับผู้ป่วยจำนวนมาก จนเป็นที่ทราบกันดีถึงสรรพคุณของยารักษาโรคนิ่ว-ลมนิ่ว ตำรับครูบาอ้ายว่า สามารถรักษาผู้ป่วยทุกรายให้หายได้ ทำให้ผู้ป่วยโรคนิ่วจากทุกพื้นที่ต้องเดินทางมาขอรับแจกฟรีจากท่านเป็นประจำ
สร้างโอกาสทางการศึกษา
ครูบาอ้ายยังมีบทบาทในการพัฒนา และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กๆ โดยเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๓ ท่านได้เป็นประธานสร้างโรงเรียนชั่วคราว ซึ่งย้ายจากวัดสะปุ๋งหลวงมาอยู่ที่วัดสะปุ๋งน้อย โดยอาศัยศาลาบาตรของวัดเป็นสถานที่เรียนภาษาไทยให้กับเด็กนักเรียน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๕ ทางกระทรวงศึกษาธิการ ได้อนุมัติเงินจำนวน ๑,๐๐๐ บาท เพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างอาคารเรียนถาวรขึ้น โดยมอบให้ครูบาอ้าย อินทปัญโญ เป็นประธาน พร้อมด้วยเจ้าอธิการพรหม พรหมปัญโญ เจ้าคณะตำบลม่วงน้อย และพระอธิการอิ่นคำ คัมภีโร เจ้าอาวาสวัดสะปุ๋งหลวง ร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนตามแบบป.๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ ในที่ดินของวัดสะปุ๋งน้อย โดยอาคารดังกล่าวกว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๗ เมตร และสูง ๔ เมตร มีห้องเรียนทั้งหมด ๓ ห้อง
แต่เนื่องจากระหว่างการก่อสร้าง อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงมากและหายาก การก่อสร้างโรงเรียนจึงล่าช้าและมาแล้วเสร็จในปี พ.ศ.๒๔๘๘ ซึ่งขณะนั้นทางราชการได้ยุบตำบลม่วงน้อยและชาวบ้านสะปุ๋งไปรวมกับตำบลป่าซาง จึงได้ตั้งชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนประชาบาลตำบลป่าซาง” (อินทปัญญาราษฎร์รังสฤษฎ์)
ต่อมาทางราชการได้จัดตั้งตำบลม่วงน้อยขึ้นมาใหม่ และกำหนดให้หมู่บ้านสะปุ๋งกลับมาอยู่กับตำบลม่วงน้อยเหมือนเดิม โรงเรียนจึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประชาบาล ๓ (อินทปัญญาราษฎร์รังสฤษฎ์) จนกระทั่งราชการได้วางระเบียบใหม่อีกครั้ง ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น “โรงเรียนวัดสะปุ๋งน้อย” (อินทปัญญาราษฎร์รังสฤษฎ์) ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้
พัฒนาถาวรวัตถุเพื่อพุทธศาสนา
ครูบาอ้าย พยายามส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้วยการพัฒนาถาวรวัตถุของวัดสะปุ๋ง ให้เจริญก้าวหน้า และบูรณปฏิสังขรณ์บริเวณวัดให้มีความเป็นระเบียบน่ามอง โดยเฉพาะเรื่องความสะอาดของวัดเป็นสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญ จนเป็นที่ทราบกันดีว่า บริเวณลานวัดสะปุ๋งน้อยสะอาดงามตา ซึ่งครูบาอ้ายได้กำชับศิษยานุศิษย์และญาติโยม ภิกษุสามเณรว่า ถ้าไม่มีตุ๊ลุงต้องช่วยกันดูแลวัดให้ดี อย่าให้วัดสกปรกรุงรัง เพราะวัดเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากราบไหว้บูชา จึงไม่ควรปล่อยปละละเลย
ปลงสังขาร
เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ ครูบาอ้ายอายุย่างเข้าวัย ๖๑ ปี ท่านเริ่มมีอาการเจ็บป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานและชำระล้างเลือดเป็นประจำทุกวัน แต่ท่านก็ยังตั้งอยู่ในขันติธรรมเสมอ ไม่มีอาการกระวนกระวายเช่นผู้ป่วยอื่นๆ โดยพยายามรักษาอาการป่วยทั้งการกินยาและทายาทุกตำรับเพื่อระงับอาการของโรค แต่อาการก็ไม่ทุเลาลงและยิ่งกำเริบมากขึ้น ทางญาติโยมและลูกศิษย์จึงได้ไปหาหมอที่เก่งในการรักษาโรคริดสีดวงทวารมาเป็นผู้รักษา ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการป่วยของครูบาอ้ายได้
จนเมื่อครูบาอ้ายอายุย่างเข้าวัย ๗๒ ปี หลังจากทนทรมานกับอาการเจ็บป่วยนานถึง ๑๐ ปีเศษ ท่านพิจารณาแล้วว่าโรคนี้เป็นโรคกรรมสังขารของตัวเอง ไม่มีโอกาสจะเยียวยาให้หายได้ นอกจากดับสังขารเท่านั้น ท่านจึงนอนสำรวจจิตพิจารณาถึงสังขารที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พอถึงเวลา ๐๕.๓๙ น. ของ วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๕ ครูบาอ้ายก็ละสังขารด้วยอาการอันสงบ
โลงเก็บศพเกิดอภินิหาร
หลังจากบรรจุศพครูบาอ้ายได้ประมาณ ๑ เดือน คณะกรรมการและศิษยานุศิษย์ ซึ่งมีเจ้าอธิการพรหม พรหมปัญโญ ว่าที่เจ้าอาวาสวัดสะปุ๋ง เป็นประธานในการเปลี่ยนขี้เถ้า (ฟาง) ศพ พบว่าขี้เถ้าบริเวณหน้าอกของครูบาอ้าย มีก้อนขาวๆ รูปทรงสัณฐานคล้ายปะการัง ขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่วางอยู่ ญาติโยมต่างลงความเห็นว่าเป็นพระธาตุดิบ (ยังไม่ได้เผาร่าง) เหตุการณ์มหัศจรรย์นี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ญาติโยมจำนวนมากพากันมากราบไหว้บูชา ซึ่งปัจจุบันพระธาตุดิบดังกล่าวบรรจุอยู่ในรูปเหมือนของครูบาที่วัดสะปุ๋งน้อย
จนเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๖ คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดงานฌาปนกิจร่างของครูบาอ้าย ณ เมรุหน้าวัดสะปุ๋งน้อย โดยเปิดให้มีงานทำบุญ ๓ วัน เพื่อให้ญาติโยมและประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้กราบไหว้บูชาอย่างทั่วถึง และภายหลังการฌาปนกิจครบ ๗ วัน เกิดเหตุมหัศจรรย์อีกครั้งขณะกำลังเก็บอัฐิของครูบาอ้าย พบเม็ดพระธาตุของท่านอยู่ในกองเถ้า เป็นเม็ดกลมๆ ขนาดเท่าเม็ดข้าวสาลี และมีอยู่เม็ดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเม็ดอื่นขนาดเท่าปลายนิ้วมือ ความยาวประมาณ ๑ นิ้ว ติดอยู่ที่กะโหลกศีรษะของครูบาอ้าย โดยพระธาตุมีสองสีคือ สีขาวและเขียวมรกต ซึ่งเมื่อข่าวพระธาตุของครูบาอ้ายได้แพร่ออกไปทุกสารทิศ ทำให้มีประชาชนจำนวนมากหลั่งไหลมากราบไหว้เคารพบูชามิได้ขาด
ทั้งนี้ทางวัดสะปุ๋งน้อยได้แบ่งอัฐิธาตุของครูบาอ้ายเก็บรักษาไว้ใน ๓ แห่ง คือ บรรจุไว้ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า, ท่านอาจารย์สาธิต พระขโนง กรุงเทพฯ และที่วัดสะปุ๋งน้อย โดยในส่วนของวัดสะปุ๋งน้อย จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชา ในงานประจำปีของทางวัด ซึ่งจะจัดขึ้นในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙ ของทุกปี
---------------------
(แหล่งที่มา : หนังสือประวัติครูบาอ้าย อินทะปัญโญ วัดสะปุ๋งน้อย และบทสวดมนต์แปล. ตุลาคม ๒๕๕๖, หน้า ๕-๑๑.)