แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 9264|ตอบ: 4
go

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา; m4 L) E+ X+ ^$ o  y' T& y
' d2 o, F8 s6 r# i, ~
เพื่อในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นไปอย่างก้าวหน้า นักเรียนอภิญญาทุกคนจะต้องศึกษาหลักสูตรปริยัติให้เข้าใจเสียก่อน นักปฏิบัติที่เน้นแต่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว จะเจริญก้าวหน้าในสมาธิได้ช้ากว่า นักปฏิบัติที่ศึกษาปริยัติมาจนเข้าใจแล้ว ค่อยมาเน้นการปฏิบัติกรรมฐานทีหลัง เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ การศึกษาปริยัติเปรียบเสมือนเป็นการศึกษาแผนที่นำทาง / C  \! b3 k8 f4 U4 a# V" {

3 A- k) o' w0 \! I5 u$ G5 Y# kก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ นักปฏิบัติควรทำความเข้าใจกับเส้นทางที่จะมุ่งไปเสียก่อน ควรรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดข้างทางบ้าง สิ่งใดที่จะเป็นอุสรรคขัดขวางการเดินทาง และจะต้องผ่านด่านทดสอบจิตใจอะไรบ้าง 5 r# f! K: A0 E' [9 E( f; Q( i& c
' J5 n# z2 Y0 G  S
แผนที่ปริยัติถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติรู้เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตนมุ่งหวัง และรู้ถึงสิ่งที่ตนจะต้องประสบล่วงหน้า รู้ที่จะเตรียมใจที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อให้ได้สำเร็จอภิญญา 5 และ 6 และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด (เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือเส้นชัยของนักเรียนอภิญญาทุกคน)  `: P' J0 _" D; h) n* W- F
9 f& ?/ \1 m/ k8 }
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธคืออะไร?
& H7 D, [  u( `" P) s2 N  g2 C. P# j7 x, H5 Z4 a- L' F
ศีล ๕ ประกอบด้วย% A& J) H  X) f, ?
๑. ไม่ฆ่าสัตว์$ d$ ^7 ]9 s2 Z( e1 I$ K' B
๒. ไม่ลักทรัพย์& {! E) R4 y: {- u9 Z% Y: y
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม (ผิดลูก เมีย สามี คู่ครอง ของผู้อื่น)7 M' |/ P( r0 f
๔. ไม่พูดโกหก* R- C- T1 t/ p# p3 n8 I6 q
๕. ไม่ดื่มสุราของมึนเมา
+ G  Q5 n% \6 Y2 g3 C2 O  {

' k: p4 q! H. K$ o- e+ gศีล ๘ ประกอบด้วย
; f" x; v$ s- \* `) |๑.
# ^# M3 G. d3 W+ g; Q1 M' p  @9 G๒.
0 R6 x5 C) V9 k' v& M* k1 g  M) y๓.2 h! H6 B* s: c  v6 ^
๔.+ j( @! A" i7 r7 r6 T$ u6 \
๕.2 `; E# ?, P3 `8 q! l3 V) i2 `3 H
๖.% V, {7 k( V% ]5 p) @4 k( X8 H
๗.
5 F/ d6 v1 I: t๘.

2 N$ r$ I3 Y$ P" ?) J9 D& D/ Q. R5 ?* U+ J# @1 g
- นิวรณ์ ๕ (เครื่องกั้นขวางความดี)
$ y2 K; q7 g* x7 ^7 j* N' {" eผู้ที่สามารถเอาชนะนิวรณ์ ๕ ได้ คือผู้ที่ได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ หากขณะนั่งสมาธิ ไม่ว่าผู้ฝึกจะมีภาพร่างกายแบบไหน ง่วงมากๆ เพลียมากๆ ฟุ้งซ่านมากๆ หลังจากเริ่มนั่งสมาธิแล้ว อาการง่วง อาการโกรธ อาการฟุ้งซ่านไม่ปรากฏ นั้นถึงจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ฝึกกรรมฐาน ฝึกได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำแล้ว
4 T: `' ]# M, @; M
% a: j# A  I+ i  B2 u5 v
กามฉันท์ คือ ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์  Z+ ^& ~, j* }/ o( }5 Y. _- Z5 Y+ }
พยาบาท คือ การผูกใจเจ็บ หรือผูกอาฆาตผู้อื่น
& q( y6 V" l3 n0 Zถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน0 R- n6 z1 X& K! r, e
อุทธัจจะ กุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญ
1 f- h1 z) n5 `( @0 Jวิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

# Q; R6 Q5 Q* h9 ]" }, R. @2 [$ S% H9 n6 U) _
อุปกิเลส (เครื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ๑๖ ประการ)* \! t/ }; a/ G8 t
ผู้ที่สนใจการปฏิบัติทางจิต หรืออบรมสมาธิ ตามแนวของพระพุทธศาสนา ควรต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะนำมาซึ่งกิเลส หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจตกต่ำ และเป็นเหตุทำให้" q) \9 B8 E7 Y$ @8 ~; K5 x7 H
พลังจิตถดถอย หรือขุ่นมัว ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติทุกท่านควรละทิ้ง หรือห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านทั้งหลายจะพบกับความสุข ความเจริญก้าวหน้า

  Z0 c9 }( W/ P๑. อภิฌาวิสมโลภะ คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
- M3 w. S, X) ~( I# Y๒. พยาบาท (โทสะ) มีใจเดือดร้อน ความอาฆาต ผูกใจเจ็บคิดร้ายแก่ผู้อื่น# f5 y) J6 N5 ?/ r- X
๓. โกธะ ความโกรธ อาการกำเริบพลุ่งขึ้นมาในใจ จากความไม่ชอบนั้นๆ แต่ยังไม่ถึงกับบันดาลโทสะ
' p! @0 q" r8 d5 K5 |๔. อุปนาหะ ความผูกใจโกรธ เพียงแต่ผูกใจไม่ยอมลืม แต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายเขา เพราะกำลังของกิเลสยังอ่อนกว่าความโกรธ
) v& L* y$ M+ f. M! g  c1 ~๕. มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน คือ ใครมีบุณคุณกับเรา แล้วไม่คำนึงถึงคุณท่าน เป็นการลบล้างหรือปิดซ่อนคุณท่าน หรือความดีของท่าน6 L: n/ O3 K( D5 o
๖. ปลาสะ ความดีเสมอตัวท่าน เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไม่ย่อมให้ใครดีกว่าตน ข่มเหงรังแก
! c, E% p! S9 n3 `; T๗. อิสสา ความริษยา เห็นใครดีกว่าก็ทนไม่ได้ เกิดความขุ่นมัวในจิต กลั่นแกล้งเขาทำให้เสื่อมเสีย
! U% V9 q4 y" `0 e& u# [๘. มิจฉริยะ ความตระหนี่เกินกว่าปกติ ตระหนี่ในทรัพย์ ตระหนี่ในความรู้0 `- X) x! }8 p% B1 R  I
๙. มายา มารยาเจ้าเล่ห์ แสดงออกได้ทุกรูปแบบ หาความจริงไม่ได้ หรือแสดงออกให้คนอื่นหลงใหล
+ t" h5 u6 V0 `๑๐. สาเถยยะ ความโอ้อวด หลอกหลวงเขา พูดจาเกินความจริง) E$ }" h4 K$ X: p7 B
๑๑. ถัมภะ ความเป็นคนหัวดื้อ รั้น กระด้าง หัวแข็ง ไม่ยอมคนทั้งผิดและถูก
. h+ N  T) f9 u% r7 \๑๒. สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะฝ่ายเดียว ไม่ยอมแพ้
  r, b' u3 v7 g6 U. _๑๓. มานะ ความถือตัวทะนงตน& M7 z" a" j6 r, K' k
๑๔. อติมานะ ความถือตัวว่าดียิ่งกว่าเขา ดูหมิ่น ยกตนข่มท่าน
4 K# U1 t. F( T( _3 l% |' C๑๕. มทะ ความมัวเมาในกิเลส เช่นบ้ายศ บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าสมบัติ หลงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
, k3 a2 R$ o9 L6 }2 J- u๑๖. ปมาทะ ความประมาทเลินเลิ่น ปล่อยสติให้คล้อยไปตามอำนาจของกิเลส จนได้รับทั้งความเสียหายต่อตนเอง และผู้อื่น นักปฏิบัติทุกท่าน 8 u% f  a$ g1 X) r! D1 U, l( Y
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ควรหลักเลี่ยงให้ห่างไกล หรือสละสลัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากกายและใจ เมื่อท่านทั้งหลายสละละทิ้งได้จริง เมื่อนั้นความสุขจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
4 n8 i  F% y! b, r) Tและเป็นความสุขที่แท้จริง

- H! R% ~2 E$ U) Y2 M+ P/ S  P
, h5 `/ P! W- [  Q9 l3 Yอริยสัจ ๔ ได้แก่5 n* n2 G; y; G, c3 }' N, P
๑. ทุกข์ คือ การทนได้ยาก' \4 s1 ?6 J  ^
๒. สมุทัย คือ เหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์/ F4 Y( ]5 E* A
๓. นิโรธ คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ โดยการจะดับทุกข์ได้นั้นต้องอาศัย...
  B. C' U& V7 d๔. มรรคปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น และมีสัมมาสมาธิเป็น ปริโยสาน

$ i/ j' L/ m" i. K1 [; i, Y' c& N" k% ?2 Z
กฏไตรลักษณ์ ๓ ข้อ คือ
# b' F8 k* \2 F5 L- p  ~5 P๑. อนิจัง ร่างกายและทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง
8 ?5 t* `4 G9 F6 h' c๒. ทุกขัง ถ้าไปยึดมั่นก็เป็นทุกข์7 O9 j7 s4 h2 [2 A9 d
๓. อนัตตา ในที่สุดก็พัง

; x+ Y9 e7 q# ]- O$ }) L; O0 |, _# V1 K$ K( {

, T, b3 L1 a: Y" F5 e5 [สังโยชน์ ๑๐ 4 a& D" D' C4 `' [
๑.
5 [$ i8 J+ @3 m+ E0 M๒.3 E  d% d4 ~: P4 c
๓.
3 e$ M( _8 P& |& d" I๔. . n, Z( i' N8 r6 r) ~. t
๕. . i0 R6 m5 x8 o5 R+ w, U% }* ?9 f
๖.% o6 F5 Q' E# _/ e, ]
๗.
* M$ J5 w2 z" b; `5 X: X3 u# F๘.
' Q( y2 s' o$ c6 h" e) e๙. , D/ Q7 N( P5 F! ~/ r
๑๐.
7 x* J+ k# ]) V- w1 j$ r/ L/ }
2 ]/ X) c% W) A7 vบารมี ๑๐
+ |/ |# _- N8 z; H* |. Q
๑.
0 Q- t! ^5 y! Q5 C( M' n๒.* f( P2 K' n; Z9 U" D
๓.( d$ B5 N* r( P/ u% E2 s2 ^6 {* H: V
๔.
0 L3 B, k$ I/ }# L๕.
' w9 s- _2 D8 W2 A4 Z๖.# D& i4 q' d4 a+ s# r' r. C' `* _
๗.+ m& W2 u3 Q9 W
๘.
& `2 B4 V; Q% d: j๙.
  [, W# ^$ {% Q0 U  S* F๑๐.
  P- s) G$ _/ `. S

$ p$ j1 {! ^# Q" P6 K1 {7 Aสังขาร ๓ ได้แก่
1 n- I9 ]$ N  R( i9 d) w  g! V3 H& N! r% ^* G
# j$ S: s2 g; }- y* h* W
8 m& R; k) ^7 n5 ]3 u- k

' A( [  ]' S/ Xกรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๗ กลุ่มประกอบด้วย
2 m, C. o3 ?3 i% c- หมวดกสิน ๑๐ (๑-๑๐)
4 O0 h/ y  w8 o7 J
- หมวดอสุภกรรมฐาน (๑๑ - ๒๐)
# W# }2 H% n7 X# [* I7 A- หมวดอนุสสติกัมมัฏฐาน ๑๐ (๒๑ - ๓๑)

) q0 t  E9 X% j) H) a# S7 U8 J5 D- หมวดจตุธาตุววัฏฐาน (๓๒)
! n4 U, s! U% c1 r3 D- พรหมวิหาร ๔ (๓๓ - ๓๖); C$ ~3 L5 Y6 d* ~6 g# c6 h3 U
- หมวดอรูปฌาน ๔ (๓๗ - ๔๐)4 \; C5 c5 x0 A
1 Y. j7 m3 b) R& Q% w; h
กามคุณทั้ง ๕ ได้แก่
: M5 W  d% r7 l( |
๑. 6 i+ G* _, c& p( Q6 [( h0 q  [% f
๒. # E% w' Z6 _- U0 y
๓.; u: d# M: o1 `8 t
๔.# v, U& T/ Z- [; }, I: s
๕.
, |! ~, Z- _: \+ g9 m
* x9 \3 e' h) B' y- C5 Dกรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๔ หมวดได้แก่# P. X* Y8 b6 H1 P: ~2 g
๑. สุกขวิปัสสโก
& C" @, R6 `; j8 P) W, I2 _, r๒. เตวิชโช2 M9 W0 g0 h9 o, A: S2 M
๓. อภิญญาหก
" O5 L' \3 L+ g1 J๔. ปฏิสัมภิทาญาณ
5 p& v0 W( j* C

/ w7 z( M7 a4 Z# l1 d& {7 y5 H# n0 G7 uภวังค์ ๓ หรือสมาธิขั้นต้น ได้แก่
1 e& s# Q1 `" M3 g: V๑.
" }1 D$ V, K' k3 C6 h: [3 q: C๒.; l* ^* z% J$ L# M5 w
๓.
3 E* e( j6 A8 i+ o! F& X3 S4 ^% }& @+ ]* g/ h" D4 ^
รูปฌาน  ๔ ได้แก่
! z# {7 A, K! r, O0 J+ \+ T๑. 3 ^+ a4 S& t+ A. \4 f3 U/ H0 ~
๒.
* a. m( V8 M# w) E$ s๓.
2 i8 T' x% R9 P๔.
  A3 x! i$ t7 D
/ \- b9 O; P3 L+ R- f' f; |$ k" Rอรูปฌาน ๔ ได้แก่* R5 _! b" O# D5 h' f1 w4 t2 K
๑. . o9 {! d4 r1 e# V% |# q2 r4 S& ~
๒.6 J9 k2 P. u5 H* p5 D! A2 A" O
๓.  Z) R' H% z% ~
๔.
+ i( j' A$ A3 T8 ]' S, Q1 `
8 w/ Y/ m/ w- }พิจารณาธาตุ ๔ ในร่างกายมนุษย์ อันได้แก่
9 h8 Z. H# Q7 \8 M1 e( q. K๑. ธาตุไฟ ๔/ }+ a. ]7 X4 g) D) c
๒. ธาตุลม ๖; x# p* O( J6 X8 L' W: s" O+ m2 g" y
๓. ธาตุน้ำ ๑๒
8 \* l' e# s9 n4 V2 M9 L" H๔. ธาตุดิน ๒๐ # @8 {% o/ u$ f1 z, r

# ?' R  R" F; q/ m0 b+ L( r% lขันธ์ ๕ ได้แก่" R6 s  N; k/ |. U3 c0 B  d# v7 ]

" a0 n4 [3 a4 _. k2 r1 Z7 {, ]

Rank: 8Rank: 8

2#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:01 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

, Z" x) ?/ s  Jวิปัสสนาญาณ ๙
, R- |( g; x  R: {๑.
5 I$ _2 |% ]9 j, m+ I๒.
2 }7 V* M) I5 i' u๓., k' e& a' W+ p; e1 a. h, U
๔.
- K$ E; Z" s. K8 |: c๕.
$ X  B  _2 V; Z  R+ t- j8 n๖.9 U, ^4 U& A( v; V  i" ]7 W2 X
๗.
* i% Y+ J( ~! n๘.+ r: z1 F5 J2 d1 c
๙.

- y- S; u1 }2 C6 e
0 k2 J. J" J  E" y% G; `ญาณ ๘
2 [* i4 ^( z9 b# a๑. ' N8 S& b# ?. c: i; `# ], t
๒.+ m* S9 N/ m# D8 w$ C8 _& ?
๓.  S; P+ _) Q7 _" A
๔.* o2 M+ M7 ]! W" ]3 `. A
๕., R3 Q/ l( w1 U+ A! M2 Y: }2 y
๖.- a  M. Z9 t2 X" G% a( a. Q' b
๗.
# [+ A9 P3 L7 s( w$ |๘.
# w8 d4 G0 D/ i! A
! G9 B9 a* e  n
ปีติ ๕ ได้แก่
& _- L0 q0 p5 P7 [๑.
' s$ r* B7 f) v1 f๒. ! y( @  S: p9 U, H, o' s8 ?
๓.
, v- ^7 k$ j2 s. I' c* k0 _๔.
$ ^" Y* S1 ]/ O$ n2 J๕.
" o7 P  H5 ?/ \7 U9 z: \" ?

* A( r  f! T! j! \. Jมรรค ๘ ได้แก่+ r4 X' h# Z. b* J3 m0 d' P
๑.
  T: A% p% L& P๒.
# ]; x' G6 G' ?# |1 s, J' ^๓.
" ]. d, L" J4 O( P. r9 W๔.7 c0 I6 q5 U2 b
๕./ |3 s& Q) k4 W  t/ ^
๖.
, R0 f' j3 ^4 G  B$ n๗.
/ O3 v9 e- G0 r0 Q) H2 w๘.
. K3 ~' o" g! O, ^" B

7 Z9 V3 z2 a9 T/ h; Pอิทธบาท ๔ ' |& r# Q& _& K- Q, Q  t# e7 Q% S1 c0 d
๑. ฉันทะ มีความพอใจ
  m, I% u3 S  K2 X๒. วิริยะ มีความพากเพียรในการทำลายอุปสรรคไม่ถ้อถอย
  z9 X( A2 ]2 J" m2 c5 ?๓. จิตตะ จดจ่อสนใจในสิ่งนั้น ไม่วางมือ3 s2 _) c$ n/ J% \
๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจ

  N7 m9 j' y, B: G7 F % Q/ {3 f, F7 ~8 k6 J; W, a
จรณะ ๑๕ ได้แก่7 C  q- y( p" o$ h2 |
๑.
; g/ Q% x" R& E; ?๒.' G% w( w8 Y' x8 M3 `7 [  g
๓.
( f1 R) j% I8 [! o, i2 B/ U๔., W0 S# a& y/ W
๕.+ y: @* C: i) S) m
๖.
" e' Q, @8 O/ v4 L; \3 t( y! y๗.
# z7 ]8 y# I( |# [% N1 A) s  J๘.
( V# A7 g3 \% X7 t7 {/ K# V๙.: }" m0 G/ I+ u
๑๐." [1 [2 l# k+ ]0 w! s6 a% G2 C
๑๑.
% D* u& v0 r1 l1 A+ n* Q# q% Y: f๑๒.
% @, z& \3 D" Y1 G0 J๑๓.& I2 y5 [8 u( f
๑๔.( Z. \% I+ N0 h( o" g
๑๕.

$ l  P$ V# b1 J' n' r. F0 x ' B: K9 Q9 ~1 n0 y; F7 M
โพชฌงค์ ๗ ได้แก่% a& ?, ?! y8 W7 @- W
๑. ( F9 p& @) }% U2 e
๒.
3 Q* h0 o/ H$ q* k; y3 I๓. ) S5 y: y2 B+ W, m
๔.
8 b( ]1 u: F3 {๕.0 Z: y% Q+ k  b7 x  b' q
๖.
$ B, c$ w" c" @2 U- J4 ]9 u- I& n๗. - H' I+ c# @9 y* p2 P
๘.
! B% O6 Q5 L1 {  N๙.* p0 j% t/ k+ R
๑๐.
, n& E9 m" c2 d' i) U, w9 S! ^

& L. F" ]! s; Jจริต ๖
& N2 A$ Y/ K3 e๑.* o( X+ y; r, t! b
๒.9 c' O, d6 ^, S" M5 n) p
๓.
3 V* H; [8 H, l4 K  b) I๔.
. E5 S; j: Y$ O, `+ J/ W๕.6 S# n: X( W. N- }
๖.
6 Y9 Q: [1 {$ M6 m๗.

6 a0 Y5 G' E& |8 R6 Q) |6 t7 G' |5 j. ~
ปลิโพธ ๑๐ (ความเป็นห่วง ความข้องในอารมณ์)
- [* G$ y6 ^* i3 Z๑.
+ U3 K3 |. N# S# ?* D) }! H๒.
% l' m5 j* B: _๓.
9 j& q( V" ?9 x, t- e# |! s4 y๔.
$ `: u) K% d, B) c$ C2 Q% z๕.
; E  Z  G) W" N# e/ y๖.
# M- Y# b, r5 z! D๗.
" [0 }% e1 j4 i2 a* @" p" Y; L4 A๘.
( ]2 n2 q; D% U- ^+ |' O# A5 X๙.
# n& ]3 b. R" \; K- m# k# y$ f๑๐.9 w9 ]6 k* g% ^/ T' E- u. L; |
' R% O: e% n8 r- X

Rank: 8Rank: 8

3#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:02 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

9 v3 [6 ]: b7 J' g. B4 P  d; `พละ ๕
4 n6 r4 R/ t3 A0 k' f7 X๑.
2 o" [' F1 I9 f& e$ Z: h& s๒.
( a4 {1 O' T0 v1 h: f4 x% i๓.
: n" p' f: h9 C: j  H6 t, u  Y๔. # W; E) v/ A1 |' ~3 e
๕.

7 h2 @: V* B$ z+ |2 q
6 f6 |- L- @9 C; g0 d: m( L ! K7 P' H) \+ A/ o. q9 `
ทีปนีกรรม ๑๒
& ^/ e! z1 d. I6 E๑.
( W$ J2 C# x; H& b5 h& ^/ Q# b/ {- ^๒.   l9 W9 P1 p$ n
๓./ S: s  L; j" J9 ]/ \# y
๔.
6 |2 p9 v/ `5 p& a- F+ p' c$ I๕.
2 ~) d4 I2 P. {; A6 x# o' S๖.
# N9 R8 x9 k6 j- g3 P0 A๗.
. @3 M7 `: u. |6 d๘.
3 c# }8 m, ]1 G( ]* B๙.
, L3 p: D! ~( [5 h, P๑๐.1 ]3 g) M) Z- O
๑๑.
8 c# p3 s. y2 i$ l) s# C! I' v- A๑๒.

8 g1 |. m* l; |& W 0 [; @( M; V! c& ?. i

0 u! V5 ^( D" P9 ^มละ ๙ (มลทิน ๙ อย่าง)/ ]6 {! Z' w8 k( K0 J
0 i3 ]& G' i3 E" A4 Q
1 p# l% J2 }) @! p6 f' n. r
% W9 Y8 k2 Q) e: Z+ \3 ~; Y
อายตนะ ๑๒ คือเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ มีดังนี้
( D8 {! x% T0 X  u5 K๑. จักขายตนะ ประสาทตา1 S* z# F4 e+ ]; U" e
๒. รูปายตนะ แสงสีที่มากระทบตา
3 m! z" V2 `: J& z; j๓. โสตายตนะ ประสาทหู6 l' [8 C+ m8 r
๔. สัททายตนะ เสียงต่างๆ, F  U% w  x. j/ i& ~- I( f% w
๕. ฆานายตนะ ประสาทรับกลิ่น
9 B% ~) ~7 Y* }$ p( _. ]+ s+ E๖. คันธายตนะ กลิ่นต่างๆ
+ G) P9 m& |0 T2 w๗. ชิวหายตนะ ประสาทรับรส# B# |  J  g- [& D: m3 c/ h7 y
๘. รสายตนะ รสต่างๆ
2 p/ U0 G% R( {" }1 B( h๙. กายายตนะ ประสาทตามผิวกาย
1 R' g/ l( _/ ~; X/ N๑๐. โผฏฐัพพายตนะ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่กระทบกาย/ N2 M& r5 N4 h+ K
๑๑. มนายตนะ จิตซึ่งเป็นผู้สัมผัสกับความคิด
7 r& c& U) W) v( O' k๑๒. ธัมมายตนะ ความคิด ความรู้สึกต่างๆ
" R! X, V! M, M- n+ X) L

7 \0 ~/ q; \0 kอายตนะทั้ง ๑๒ นี้ แบ่งออกเป็น ๒ จำพวกคือ อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน: k6 y( h) \9 c" r% E
. v5 @0 `8 u7 d6 Q0 X" A
อายตนะภายนอก คือ เครื่องรับรู้ ได้แก่ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ตามข้อ ๓ ๕ ๗ ๙ และ ๑๑ ข้างต้น)3 R2 Q1 j- H5 W. u1 n
; i. x+ M" n; Z  ?- k: H
อายตนะภายใน คือ สิ่งที่รู้ เช่น รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย ธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ (ตามข้อ ๒ ๔ ๖ ๘ ๑๐ และ ๑๒ ข้างต้น)( ^! ]2 p! P5 M/ E

0 ?2 b( i. c" d/ Q* s0 H# ~6 s# s; L& P8 A1 F2 y
ความปรารถนาของบุคคลในโลกที่ได้สมหวังด้วยยาก ๔ อย่าง# d5 ^8 u5 K4 E
๑. ขอสมบัติจงเกิดแก่เราโดยทางชอบ
3 r6 j7 T7 p) M! [๒. ขอยศจงเกิดแก่เรากับญาติพวกพร้อง
; Y8 ~% e7 d3 G7 G๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน% @& l+ j6 @/ C0 M4 C
๔. เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์
2 w0 Y$ ^/ y% _8 U: g
ธรรมเป็นเหตุให้สมหมายมีอยู่ ๔ อย่าง; F/ R6 u" J, V9 b; [1 c, |

- `- O" u! U5 E8 o3 M) {0 y๑. สัทธาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา3 R1 G! v1 @2 v) F9 }
๒. สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล
- Y& K2 ?7 ?5 l๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยบริจาคทาน
1 B$ }2 F3 p  g. P* W" d๔. ปัญญาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (เข้าใจเหตุและผล)3 n' p" D6 b* r4 g

* I6 z1 d, r3 Z6 mตระกูลอันมั่นคงจะตั้งอยูานานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ได้แก่
* E+ D8 W) r. i: g) Q/ r9 j๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
5 {2 t* D  u3 v3 W! w9 [๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
' J  `( [# C5 R9 e7 r' Q๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
1 p/ }6 e8 h$ `) D( m1 A/ {๔. ตั้งสตรีทุศีลหรือบุรุษทุศีล ให้เป็นแม่เรือน พ่อเรือน
: R' k, X& q. Q
& u# V6 E/ ~/ M9 ?( g6 H" C
ธรรมของฆราวาส ๔ ได้แก่
/ x/ |( E5 S8 H: R8 L3 E) p๑. สัจจะ ซื่อสัตย์แก่กัน! h% R: }  V- L" p
๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน
& c2 W& N4 ?# W2 Q% ~- G๓. ขันติ มีความอดทน อดกลั้น  G) H4 J6 r1 U% f( h
๔. จาคะ สละให้ ปันสิ่งของๆตนให้แก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
# e# w% x. A7 e

; y% Q+ V6 t4 j; t& Dสังคหวัตถุ ๔ อย่างได้แก่ (คุณทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผู้อื่นไว้ได้)1 l! g' f- w+ b9 G4 \& W3 ^8 z; {
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของๆตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
( C3 s6 ]: h- \/ s! C: i" ^4 C) B๒. ปิยวาจา เจรจาด้วยวาจาที่อ่อนหวาน  T7 N" U8 n. u+ s5 b! v
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
) ^0 I% N" J3 F0 h๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว
, Y2 J* b' T3 x9 w' v- l0 ^8 p
2 m4 h* L8 W# U, [
สุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ได้แก่3 S' g5 x9 X7 f6 h7 Z
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์# }" y/ W6 t5 Z) U
๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค
# O/ U; F- n: j๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้
, `1 B, N; I4 G, T/ l๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ
. C. O$ c. {8 |2 L( [: u

3 `5 _2 [$ C' L6 i0 w

Rank: 8Rank: 8

4#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:05 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ % X# J; J6 _% [* H* R) B7 g
. f& z" C1 a8 C4 o' W# j" Y5 [
บุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำต่อไปนี้

0 \$ |: [% v2 n" ], y+ q" k๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม
# C' T5 Q3 r  i! a; b( l& _0 q
1 \3 }- |- A0 e8 L/ x๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือ การตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด  ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการได้แก่ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม1 f/ C; z) N' _: }% y  Q/ Q
* H$ t2 c+ `" K
๓.
( X# Q( K- ^, q: X' V8 [% Q๔.
. U6 [3 N# a: g3 \๕.
% D8 ^& \3 a5 D5 q0 U6 S๖.
+ U- z% [7 y5 c0 L8 R3 K' B. {๗.
& {( J- K( ]: p" h๘.$ l* v1 p* V! ^! \% p4 f+ ?: F
๙.1 H' @: H8 h0 e" q0 F6 [# K' k
๑๐.
+ F4 n4 ]9 m* m+ R( v

# j: C9 y- y& h' M. _9 O2 ?8 @) T4 Sและให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทมาให้เข้าใจ
0 I: o+ X0 I- C3 G/ J+ m  Hรูป นาม วิญญาณ/ d; Z9 R& a) m/ s, a! s3 v, M
ภพ - ชาติ# H( v1 [! k; B5 L& w
เสขะ อเสขะ
) k  u. ]3 v5 D! C3 b4 n+ ]* T) {( \
/ `5 S* Y( m7 m0 w& v: v
***ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะออกข้อสอบวัดผลความรู้ด้านปริยัติ นักเรียนอภิญญา มีทั้งอัตนัย(แบบมีตัวเลือก) และปรนัย(ข้อเขียน อธิบายมาให้มากที่สุด)
% M6 U: h. D$ m, L0 H! V

Rank: 8Rank: 8

5#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-8-5 20:21 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ มารน้อย ตั้งกระทู้9 {5 k2 O5 H4 U8 x  T
: c6 R9 ]7 q& Z, ~2 u; x0 d+ s; F+ r1 E
3 T: I% Z6 U" K3 B9 f# q+ d( z/ ~% p
; C1 v9 d! ]4 J, }/ t
ตัวอย่างที่ยกมาของ "ท่านพระโปฐิละ" เป็นตัวอย่างของพระที่มุ่งศึกษาแต่ปริยัติอย่างเดียว จนเกิดทิฐิมานะเกาะกินใจ ว่าตนเป็นผู้มีคนศรัทธามาก และไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง
8 o& G6 f( o+ y7 T3 \: z& W0 e  s8 g. b9 u9 c
0 X0 x; e7 Q  P+ T/ [% e
แต่ในเรื่องของการฝึกฤทธิ์อภิญญาแล้ว มันค่อนข้างจะต่างกัน เพราะในกรณีของท่านอาจารย์วิเชียร ที่จำเป็นต้องให้มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อนนั้น มันมีที่มาที่ไป คือ....., C" |2 A1 p' T( F. c+ m: u* j

) D  Y1 K7 s# Q+ w8 L& R: C1 O0 J0 m4 }5 M& w+ R
๑. เคยมีลูกศิษย์ฆราวาสท่านหนึ่ง มาขอเรียนอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์วิเชียร แต่ด้วยความที่เขาเน้นแต่ปฏิบัติเพื่อให้ได้เกิดฤทธิ์อย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องการศึกษาหลักธรรมเลย
9 o( O5 ]! G2 v
/ e& h1 D, Z! q5 k' zผลลัพธ์หลังจากที่เขามุ่งเน้นแต่จะเอาฤทธิ์ก่อน คิดว่าธรรมะไปศึกษาเอาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาสามารถฝึกพลังจิตจนสำเร็จแล้ว จึงเป็นเหตุให้ลูกศิษย์ท่านนี้ไปเป็นพนักงานอยู่ที่บ่อนการพนันฝั่งลาว มีหน้าที่ในการใช้พลังจิตเพื่อให้คนที่ไปแสวงความร่ำรวยเสียเงินหมดสิ้นเนื้อปะดาตัว เพ่งแกนสล็อตเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ฯลฯ พร้อมกับทำผิดศีลธรรมทุกชนิด ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย และสุดท้าย อภิญญา ๕ ที่ได้มาก็เสื่อมหมด( a+ j1 P4 [+ Y" e% D3 }' U
- F  \$ C$ d* R7 B
ด้วยเหตุนี้คนที่จะมาขอฝึกอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงต้องตั้งกฎใหม่ว่า ลูกศิษย์ของท่านทุกคนจะเป็นต้องเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าศีลแม้แต่ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ยังถือไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอเรียนอภิญญา
: D: w$ `( D, R9 b; h% \+ P. v/ |; l0 L, [

* m* x, K# p( G( k๒. ส่วนธรรมข้ออื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ลูกศิษย์ฝึกอภิญญาง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญของลูกศิษย์ที่จะฝึกอภิญญาสำเร็จ คือ ต้องมีความเพียร มีความอดทน อดกลั้น (อิทธิบาท ๔) ไม่ย่อท้อต่อการถูกทดสอบต่างๆนาๆจากเทพพรหม จิตใจต้องแน่วแน่ เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อพญามารและกิเลสตัณหาของตนเอง และต้องทรงให้ได้ซึ่งความ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาพร้อม (พรหมวิหาร ๔ + ศีล ๕ )
+ c$ W+ L0 |: w
* k* N" z# _* w& l3 c5 a๓. ส่วนปริยัติข้ออื่นจะอธิบายในเรื่องอาการของสมาธิที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงอรูปฌาน รวมไปถึงขั้นตอนของการวิปัสสนา เพื่อปูพื้นฐานให้ลูกศิษย์รู้ว่าหลังจากได้อภิญญา ๕ แล้ว วิปัสสนาตัวใดที่เหมาะกับจริตของตนเอง การรู้จักใช้วิปัสสนาที่ถูกกับจริตของตนมาร่วมด้วย เพื่อให้ลูกศิษย์สามารถยกระดับจิตของตนไปสู่ อภิญญา ๖ ต่อได้ในที่สุด (เช่น การพิจารณาอาหาเรปฏิกูล และมรณานุสสติ เพื่อให้มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะไป)

" i, Y6 g- S: k# [4 d
: H- }: f2 W. lและอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ลูกศิษย์จำที่ต้องศึกษาปริยัติไว้ล่วงหน้าก็เพราะเวลาที่ลูกศิษย์ไปสอบถามระดับกรรมฐานหรืออาการสมาธิของตนกับท่าน เมื่อท่านอาจารย์ตอบมาเป็นภาษาบาลี (เช่น ได้ถึงขั้นตติยฌาน หรือขั้นทุติยฌาน อรูปได้ถึงขั้น....)  ตัวลูกศิษย์เองจะได้มีความเข้าใจทันที ว่าตนเองพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว1 ]) m* h) c/ k% B" F& g
4 t; S4 I! n" X, N
๔. ที่ท่านอาจารย์ให้ศึกษาปริยัติก่อนนั้น ท่านไม่ใช่บอกให้ศึกษาหมดทั้ง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ แต่บอกเพียงให้ศึกษาเป็นบางข้อที่นักปฏิบัติที่ดีจำเป็นต้องรู้ไว้ เพื่อลูกศิษย์ของท่านจะได้เป็น คนดีของสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และเมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
) X, P0 }3 e) H5 U$ P$ i( C* T
2 C) G1 p6 x7 v๕. ท่านอาจารย์มักพูดเป็นนัยบ่อยครั้งว่า ปัจจุบันนี้ผู้ที่มาขอฝึกอภิญญา ส่วนมากที่ไม่สำเร็จกัน เพราะมักมาด้วยความโลภ อยากได้ฤทธิ์และอยากเป็นผู้วิเศษ อยากมีชื่อเสียงได้ศรัทธาจากคนหมู่มาก ซึ่งท่านอาจารย์เองก็รู้ว่าหากคนเหล่านี้ได้ฤทธิ์ไปแล้วจะนำไปใช้ในทางใด ท่านอาจารย์จึงจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจลูกศิษย์ของท่านให้สะอาดมากพอเสียก่อน นั้นคือการให้ศึกษาธรรม และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เช่นนั้น ถ้าปล่อยให้ฝึกได้ไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาอาวุธไปใส่มือโจร2 ?' K4 h% F5 A( j% S" {/ \
/ d6 @& C$ e# V+ {
๖. พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีสอนปรยัติก่อนที่จะสอนกรรมฐานให้ทุกครั้ง ถ้าสังเกตุดีๆ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเรียนมโมยิทธิ ท่านจะบอกให้รู้จักการถือศีล ๕ และ ศีล ๘ จากนั้นก็จะสอนให้รู้จักกับการตัดสังขารร่างกาย สอนให้พิจารณาความตายก่อนทุกครั้ง ไม่ให้ยึดติดสิ่งสมมุติใดๆทั้งหลายในโลก เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงค่อยสอนฤทธิ์มโนมยิทธิให้ เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านนำวิชามโนมิยทธินี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อความบรรลุมรรคผล ไม่ใช่นำวิชาของท่านไปใช้ในทางมิชอบมิควร ใช้ฤทธิ์เพื่อสนองตัณหาตนเอง ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น

3 ]7 S" T0 m6 K( j6 Z7 b2 z: |
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-7-10 02:16 , Processed in 0.076029 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.