แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 9183|ตอบ: 4
go

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา# x& ?+ F/ T' M' m  z" @, Z

7 i, I4 K4 L* Y6 R9 K8 L) eเพื่อในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นไปอย่างก้าวหน้า นักเรียนอภิญญาทุกคนจะต้องศึกษาหลักสูตรปริยัติให้เข้าใจเสียก่อน นักปฏิบัติที่เน้นแต่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว จะเจริญก้าวหน้าในสมาธิได้ช้ากว่า นักปฏิบัติที่ศึกษาปริยัติมาจนเข้าใจแล้ว ค่อยมาเน้นการปฏิบัติกรรมฐานทีหลัง เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ การศึกษาปริยัติเปรียบเสมือนเป็นการศึกษาแผนที่นำทาง
  n, U. F: d+ p$ O' s- @+ {* Z! U) e& w" v4 D7 K9 `! }
ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ นักปฏิบัติควรทำความเข้าใจกับเส้นทางที่จะมุ่งไปเสียก่อน ควรรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดข้างทางบ้าง สิ่งใดที่จะเป็นอุสรรคขัดขวางการเดินทาง และจะต้องผ่านด่านทดสอบจิตใจอะไรบ้าง
, W$ c+ a0 K9 p1 k, B* G. W7 L
& ?- h* q2 ]6 k$ d. _7 V+ Nแผนที่ปริยัติถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติรู้เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตนมุ่งหวัง และรู้ถึงสิ่งที่ตนจะต้องประสบล่วงหน้า รู้ที่จะเตรียมใจที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อให้ได้สำเร็จอภิญญา 5 และ 6 และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด (เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือเส้นชัยของนักเรียนอภิญญาทุกคน). m: {( \+ O7 g" R5 a

4 D1 Z+ W( X* U# ]1 |' u2 Lปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธคืออะไร?
! j1 d: X1 n" j1 A3 n9 t5 a: F! j+ S
ศีล ๕ ประกอบด้วย
, W$ y9 _4 w* Q๑. ไม่ฆ่าสัตว์
- z8 K3 u3 \1 A! A/ O๒. ไม่ลักทรัพย์/ v8 N; R8 D' z7 A6 y
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม (ผิดลูก เมีย สามี คู่ครอง ของผู้อื่น)
( n, x1 a6 v6 C6 H( ?3 v- q& v4 D๔. ไม่พูดโกหก9 N9 y+ x  q" D! s" [+ E
๕. ไม่ดื่มสุราของมึนเมา
: Q2 B; w- c4 h
! E/ T+ z5 C7 f* n4 y6 w
ศีล ๘ ประกอบด้วย
. c& p- A. |. y% A๑. . @( n0 j2 U$ ^) T2 b
๒.5 p. o3 o8 [2 T
๓.
! o4 A8 O' Z- O. p๔.7 M5 Z' G2 r# r! k( a
๕.  l: s+ M* O7 O5 T! D' t  G4 _3 C
๖.
, Z- y2 c% D$ D% v* |( H% |& n๗.
( J& j+ b9 }3 C5 m6 M& `7 _0 u๘.
$ e! A0 N2 ^4 W- N

; L& N+ e9 q) z% n- นิวรณ์ ๕ (เครื่องกั้นขวางความดี)
7 i) V. g; G5 k, ^& @& ?ผู้ที่สามารถเอาชนะนิวรณ์ ๕ ได้ คือผู้ที่ได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ หากขณะนั่งสมาธิ ไม่ว่าผู้ฝึกจะมีภาพร่างกายแบบไหน ง่วงมากๆ เพลียมากๆ ฟุ้งซ่านมากๆ หลังจากเริ่มนั่งสมาธิแล้ว อาการง่วง อาการโกรธ อาการฟุ้งซ่านไม่ปรากฏ นั้นถึงจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ฝึกกรรมฐาน ฝึกได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำแล้ว
. V$ G: g8 z# O1 W2 }2 ^

( L% w' e- K. @7 E) ]' v  ~! vกามฉันท์ คือ ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์
/ \' _7 H2 I: }4 Z; yพยาบาท คือ การผูกใจเจ็บ หรือผูกอาฆาตผู้อื่น
* d! Q: d) T' wถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน7 }7 y! _. v, t- k/ Q
อุทธัจจะ กุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญ
/ }9 f5 M% q% c0 Q/ o/ oวิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

5 F/ l# V7 t: [: H5 R+ u! K2 W3 H3 Z9 i, V/ F
อุปกิเลส (เครื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ๑๖ ประการ)
: T* h# ^$ L# U" u1 f0 A7 Yผู้ที่สนใจการปฏิบัติทางจิต หรืออบรมสมาธิ ตามแนวของพระพุทธศาสนา ควรต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะนำมาซึ่งกิเลส หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจตกต่ำ และเป็นเหตุทำให้
3 R& }& x$ z. k2 K- `* Z( E2 ~7 Lพลังจิตถดถอย หรือขุ่นมัว ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติทุกท่านควรละทิ้ง หรือห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านทั้งหลายจะพบกับความสุข ความเจริญก้าวหน้า

% E6 r3 r$ d4 s+ y# S7 l) j, E๑. อภิฌาวิสมโลภะ คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
- ^/ `( b8 p6 S๒. พยาบาท (โทสะ) มีใจเดือดร้อน ความอาฆาต ผูกใจเจ็บคิดร้ายแก่ผู้อื่น" S8 U; z, d; Y/ e; h8 |
๓. โกธะ ความโกรธ อาการกำเริบพลุ่งขึ้นมาในใจ จากความไม่ชอบนั้นๆ แต่ยังไม่ถึงกับบันดาลโทสะ3 D5 i2 g, l" A3 ~5 I7 _
๔. อุปนาหะ ความผูกใจโกรธ เพียงแต่ผูกใจไม่ยอมลืม แต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายเขา เพราะกำลังของกิเลสยังอ่อนกว่าความโกรธ
5 o1 l! g* \3 _$ F๕. มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน คือ ใครมีบุณคุณกับเรา แล้วไม่คำนึงถึงคุณท่าน เป็นการลบล้างหรือปิดซ่อนคุณท่าน หรือความดีของท่าน1 M/ E) Q, p+ q1 [
๖. ปลาสะ ความดีเสมอตัวท่าน เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไม่ย่อมให้ใครดีกว่าตน ข่มเหงรังแก& B) g) R/ r! X3 H
๗. อิสสา ความริษยา เห็นใครดีกว่าก็ทนไม่ได้ เกิดความขุ่นมัวในจิต กลั่นแกล้งเขาทำให้เสื่อมเสีย. y! H5 {  L, s
๘. มิจฉริยะ ความตระหนี่เกินกว่าปกติ ตระหนี่ในทรัพย์ ตระหนี่ในความรู้
2 E1 P( v6 J9 ^% h  L* x1 [7 c๙. มายา มารยาเจ้าเล่ห์ แสดงออกได้ทุกรูปแบบ หาความจริงไม่ได้ หรือแสดงออกให้คนอื่นหลงใหล
  T3 o8 W" ]" z4 J๑๐. สาเถยยะ ความโอ้อวด หลอกหลวงเขา พูดจาเกินความจริง
% w2 W- V9 q* [1 X9 J/ U" F๑๑. ถัมภะ ความเป็นคนหัวดื้อ รั้น กระด้าง หัวแข็ง ไม่ยอมคนทั้งผิดและถูก! O  K0 W+ q: A
๑๒. สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะฝ่ายเดียว ไม่ยอมแพ้1 a  o7 \$ Q% [6 C/ B. Z) H8 F3 L, `6 {
๑๓. มานะ ความถือตัวทะนงตน; z& _. T' Y4 _2 ?# o' s$ s0 D
๑๔. อติมานะ ความถือตัวว่าดียิ่งกว่าเขา ดูหมิ่น ยกตนข่มท่าน
" q8 Y* H+ J/ }$ F- B! J๑๕. มทะ ความมัวเมาในกิเลส เช่นบ้ายศ บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าสมบัติ หลงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น- k9 |& K  `6 M# A, F
๑๖. ปมาทะ ความประมาทเลินเลิ่น ปล่อยสติให้คล้อยไปตามอำนาจของกิเลส จนได้รับทั้งความเสียหายต่อตนเอง และผู้อื่น นักปฏิบัติทุกท่าน * T: Y8 y) q0 u6 F2 b1 W6 i. {2 b& h
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ควรหลักเลี่ยงให้ห่างไกล หรือสละสลัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากกายและใจ เมื่อท่านทั้งหลายสละละทิ้งได้จริง เมื่อนั้นความสุขจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
8 K3 X5 [) T8 t5 c+ nและเป็นความสุขที่แท้จริง

6 a) Q- R. u3 n2 c
5 P& a' o% z8 R5 T, i9 F! Iอริยสัจ ๔ ได้แก่( e( g0 A) m  D  E4 W/ I% d
๑. ทุกข์ คือ การทนได้ยาก
7 R3 s% ^- {" C9 k/ x" b" A๒. สมุทัย คือ เหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์
9 P2 e7 @& N! w8 R๓. นิโรธ คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ โดยการจะดับทุกข์ได้นั้นต้องอาศัย..." y' x# u" i( ~
๔. มรรคปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น และมีสัมมาสมาธิเป็น ปริโยสาน
+ r7 D7 n4 H. `, |

4 t/ j! h6 r: C, fกฏไตรลักษณ์ ๓ ข้อ คือ
: Q7 g4 s% C  J) a๑. อนิจัง ร่างกายและทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง' J- T; H6 |: w/ w+ _1 }1 X
๒. ทุกขัง ถ้าไปยึดมั่นก็เป็นทุกข์: P/ \1 N( T3 s+ G
๓. อนัตตา ในที่สุดก็พัง

  M8 A, c  a& ]% t
) j9 S1 J& F' K! j1 I1 Z' Y+ }3 f1 ?1 c
สังโยชน์ ๑๐
6 k& ?( d+ V) j" W) Y๑.
; A' ^9 M8 w5 \8 z( i  V๒.: O1 @6 T' [1 A% e* g7 ]- _
๓.   K% E! H  o3 g
๔.
$ V% U, x8 p$ {- v% w" U1 P๕.
. G0 x4 x4 t( n8 f" O. I2 e: i  P๖.( H7 }0 w4 w6 U: s
๗. 6 h: T9 f. I: x- Z' Y# e8 j
๘.6 X1 m' o+ M9 J6 W, ?" q
๙.
/ D+ ^$ @  w' {๑๐.
  S, L0 q8 V+ Z& i7 g
6 _0 o* L/ x! H$ q: I7 f8 B' Z. W9 yบารมี ๑๐
1 J$ s. _) a( X$ w) Y* k
๑.1 g8 \  B( h' C4 V" e* u0 N
๒.
' A1 Q! X+ ~! c, k. Z& O$ k๓.
2 P% z& B: a8 p% C: s๔.) t% l2 l  f( Z3 A4 \
๕.' q" T+ k5 r, H/ v$ x9 S9 |7 |
๖.% }: n& t: |" _/ |4 Z" k
๗.( b8 }* c9 s8 h5 P7 D' T
๘.8 @  x1 e5 p6 h7 g2 P! M1 A
๙.& R8 F8 c$ P5 B4 W( |" S- s3 ?
๑๐. + L. C2 v/ Q9 _5 ^! J

6 V+ P) c7 b, M+ ?" Q8 G0 U7 h" qสังขาร ๓ ได้แก่
0 N* n& [. [# X$ Q! D1 P! P2 ~
2 D* G7 e! E1 z5 S# R5 p/ I, n* [3 l, a( Y. O. t! b2 `3 z

: b. E, v2 ~- m+ d' C6 M; w% T: B
1 M6 o- l; J2 ^, I8 H8 l6 e" \( x
กรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๗ กลุ่มประกอบด้วย5 c) c3 C5 \6 W, ?7 j- `" o2 J
- หมวดกสิน ๑๐ (๑-๑๐)

3 G" y9 R$ `% Y- หมวดอสุภกรรมฐาน (๑๑ - ๒๐)
! |8 t0 \. W( F7 ~' D( i- หมวดอนุสสติกัมมัฏฐาน ๑๐ (๒๑ - ๓๑)

0 E$ y6 E! t3 S8 j; ~- หมวดจตุธาตุววัฏฐาน (๓๒)' S, o4 P9 N- K2 e4 T: _5 D( a
- พรหมวิหาร ๔ (๓๓ - ๓๖)6 m$ E! p( }6 h6 [5 o+ g
- หมวดอรูปฌาน ๔ (๓๗ - ๔๐)  k1 }6 d7 ]5 K: @; C

) z6 b, x/ _$ b, k. B# nกามคุณทั้ง ๕ ได้แก่
7 B! ]9 J+ Z. u; I* P2 n9 o
๑. 5 ~9 j' H/ u1 l
๒.
' y" z- M! m9 i) A, ~! Z๓.
- e' E' `# {2 u" o; m, W$ C๔.
4 H6 v! B/ d0 W7 y๕.
- e$ l. I% v! Z+ h. e6 X5 E4 a2 V4 H( [: ?" m
กรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๔ หมวดได้แก่3 Y: A- j6 G% Z6 i, n0 Q4 w* ^; t
๑. สุกขวิปัสสโก9 k- J& B- t0 Q! ]) d7 E
๒. เตวิชโช% d, j( V6 |+ J1 a6 l! [
๓. อภิญญาหก
0 w$ I. V0 K- b3 ~5 {8 [# x# X  Y๔. ปฏิสัมภิทาญาณ
+ B0 T5 G; }3 t$ R) c* s$ ?" {
2 B" ?! F1 d$ \% G. C) a
ภวังค์ ๓ หรือสมาธิขั้นต้น ได้แก่1 [. S% P. w9 H  y
๑.# e0 D! D: t/ x8 {
๒.
8 Z$ d* V# [( s5 k7 j๓.
0 R% q! w$ S2 t. |7 k
. x% a4 k" T) v- ?7 d  ]รูปฌาน  ๔ ได้แก่8 ^# a' c" h* C7 N
๑.
8 |0 d1 t& n5 E. G: R๒.5 ?9 B  \- D8 @: f2 {
๓.
- V8 X3 c1 H1 X5 \/ [! v. M! P๔.
2 O3 O1 k% D& |. e* d
) B) N: Z5 }1 p! i2 r4 A/ pอรูปฌาน ๔ ได้แก่
! q. z: [" H% Z+ |4 c, T3 O๑.
& X) Y9 o9 d8 }7 K% _๒.+ t# a1 w0 E7 r9 Q
๓.
4 h) [) w: y+ P9 ^$ M๔.+ R! |2 {% S" j! i5 M$ f' c% t1 C
: {  H! t, ]6 l% k. d' E5 N
พิจารณาธาตุ ๔ ในร่างกายมนุษย์ อันได้แก่
; I5 L9 N2 N+ y$ d+ F๑. ธาตุไฟ ๔. B' U  x4 ?) S5 f6 \
๒. ธาตุลม ๖
! f" v) ?: s) b$ s๓. ธาตุน้ำ ๑๒! Z. a5 N1 I/ G  a
๔. ธาตุดิน ๒๐ # Q" O9 L0 C! E2 A9 S9 Y& j
! F/ F+ L& v8 }) Y/ M
ขันธ์ ๕ ได้แก่; Q/ S" G& e$ s8 m; C

% ]; ~$ V, ?1 Q# p$ l; j

Rank: 8Rank: 8

2#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:01 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
& I2 F3 r1 L# {" H8 d9 M& o
วิปัสสนาญาณ ๙9 r& d" J- z( Z# P
๑.
6 d6 z4 v9 W  R/ `& T: R9 Z/ o! ?% c4 e๒.5 U8 Z; _1 L  p7 [
๓.
, y( U1 A2 {8 D- n๔.
! p2 n, v3 Y3 n  Q0 T0 _3 W' k3 }๕.
1 W& Z  |8 }. r" K9 r/ I- C๖.
) |$ V9 g; J5 j( Z9 g6 F) L' V๗.! k1 [8 Y  D! @: c' @, b( `' [3 e
๘.: D7 m% q5 M  o2 Z; w/ M
๙.
$ i/ H: K- y+ w+ K: K7 g

9 o: h6 M* m$ X+ z1 p+ K% j6 e4 P% xญาณ ๘
" u" g$ |- \3 `. Z0 j3 j๑. 4 ?* A5 g9 F/ p7 w7 \
๒.
  l- j. k# J' ]: y# e1 t) m5 w  w๓.5 {" ~! b5 P8 F5 l. F: m
๔.  z, L' d4 L9 H6 Q& W- \( S
๕.
' b& K( v2 d, {! z1 A0 Y+ `๖.
: @) O( \  J" J) o- w* [0 B* K๗.
1 P" f2 D4 n4 i( ?; Q( c5 R6 l8 C๘.
- s% }& i- {. T7 L
5 ~1 \8 g. R2 \, I
ปีติ ๕ ได้แก่
1 \( p0 T- a# Z+ C1 T๑.
6 }* u/ e0 M! U/ S๒. : g+ D  V' G9 d9 J$ s
๓.# S. V* {* I. X; ^, A& N
๔.
" D) q) i7 d0 |* r๕.

* o( F: `8 j! `3 H' j' H; @ ) d# F' A. g4 F  M7 j
มรรค ๘ ได้แก่* Q% H6 U& J+ A
๑.
, ~5 v! I5 U1 m. }" C  s๒. 2 V$ W; z. M" E( G7 Z
๓.
$ g7 z5 M: b' t! d7 o2 l๔.) M2 n9 v- Q+ N
๕.
* n( P9 Y, a4 f3 C+ H  l' b, A๖.* d# {* X" r1 y  T9 k
๗.
1 ^" @/ S# i9 ~8 h! ^& `๘.

' ]5 t) Q' f2 Z7 R: q1 }
4 Q4 p3 _2 N1 c$ t4 l+ Tอิทธบาท ๔
. ~. ]8 X: A/ e  S% r1 T๑. ฉันทะ มีความพอใจ/ P4 Z0 _+ n1 R% e" B; O: c9 g  @
๒. วิริยะ มีความพากเพียรในการทำลายอุปสรรคไม่ถ้อถอย
( ]6 [. w# W" O, L( y8 S  b8 B๓. จิตตะ จดจ่อสนใจในสิ่งนั้น ไม่วางมือ
8 H6 {0 }1 z$ U" P7 l1 g๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจ
3 Y8 r. a4 C' K1 T" ~) T) ^

) t7 H" U2 y; t! c1 t4 {จรณะ ๑๕ ได้แก่7 L' |- h/ b9 J, u$ w
๑.
% A+ F4 q- _; l; V. j7 o๒.
& Q( h1 W; j3 C9 S: Z๓.
; v9 i( q" g8 S๔.
: n: @' P: Z2 t  v- i๕.* M0 H& N+ k3 m- p
๖.; r9 w8 q3 q, C" e
๗.# f% Q+ i4 \; `; `6 [$ y
๘.( f5 H% M0 d5 D; t4 k. x. t  H
๙.  u2 A" r! x) c8 C4 `5 M, i7 {! b
๑๐.; ^. O4 B% Q) A! \! W0 e: H
๑๑.. ~$ p/ `- C* ^( h, P/ L4 ^
๑๒.7 C" U7 `- G. `: @2 e& t% b
๑๓.
( g. E' S2 o/ l1 C9 C๑๔.
( y2 C1 h/ ]0 m๑๕.

7 @. ~( _4 Y$ n& f
- q" x) g1 l- q/ E  Q# i3 ~: ]7 tโพชฌงค์ ๗ ได้แก่( B; ~0 o/ q$ F6 Y
๑.
( c% u; U8 _: u' h๒. ; ~6 X/ E) e0 L# K
๓. ( o! k: N/ _2 H0 b) E7 R
๔. . [# ~2 j; s, Y, Q0 _2 p: F
๕.
$ d( t* ]5 z" r1 ^๖.# g% T9 X' c3 r$ ?8 W* l
๗.
3 z# {% t7 S) x๘.4 _& M0 }6 M) D6 }' r! f$ X' y
๙.8 O2 S/ J) G# e+ t9 G
๑๐.
6 h. P) O8 ~( ]4 [/ o

- D+ o& M/ @, b# Bจริต ๖3 }9 C  ?( B1 N
๑.' v, C: j0 E8 R* z. N2 c+ \6 a0 U' c; T# x
๒.
0 w" h: x5 \, Z, F8 m  v๓.
  L2 u1 }9 `) ^- l* D3 Y9 z) T, b๔.
- v; q: H& ]1 S) `1 p  _๕.
7 c- g4 D. b6 N* B๖.1 {8 U$ z4 b7 T
๗.

8 t, p& _' l. F+ c. ]$ n
) f4 T& f% _) Yปลิโพธ ๑๐ (ความเป็นห่วง ความข้องในอารมณ์)
$ J* L2 e% r  w& U3 w๑.
- o7 N; K, t5 o, X% |๒.  p, f! A& P! N. F
๓.* A. }% c/ v  W; M2 k& j
๔.
  U) P6 ~7 w3 p; A) H3 K% {๕.2 {$ ~" V1 n& x' `  T
๖.  F+ x3 i) Z7 m
๗.7 n: L# w* n. j2 Y* z& B+ R
๘.% D2 i" E  C' _- U5 m2 P
๙.
* z# U% }2 i; D/ G8 Y๑๐.& m  j' P: k  x' }, i3 [+ `

' K7 z% }, z6 Y# H

Rank: 8Rank: 8

3#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:02 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
5 a* Y( Z1 L& {
พละ ๕
% C, J4 ]- ?& L3 j9 y3 l, ~  O๑.
) |# Q! t' e; ?. o: r๒. ' K$ m0 s4 c9 i
๓.5 W9 S+ X/ c7 u: W, O7 A, i: P0 S& F
๔.   ^4 J% \+ k* Q( H' V: t
๕.

8 P% a2 x" ~4 ?8 O
( S# j+ c- R+ T  c
6 D/ ^7 \9 f. d# g) `ทีปนีกรรม ๑๒
" G1 g6 X% A+ C* V๑.
% G0 D; r1 h: i- y4 ~/ m๒. + {8 L& F& {! X9 f
๓.- v  ?5 }1 a. n* l1 `
๔.
# q* Z3 P0 Y( B5 P๕.
7 i, m3 p' j6 H6 ?8 A๖.
* u6 z8 n6 \* @5 U+ q9 @( J' u๗.
# X5 J. Y8 v5 f- G8 a. k๘.& K) [- _$ t; c2 N* q2 f9 ^. g
๙.0 X1 a$ P: f9 B0 r
๑๐.# x. s% }: F; W) ^5 ~, \
๑๑. & R# g4 H' l$ K' j8 X
๑๒.
/ J! G% H  Y3 o1 H
" ^2 |$ {9 L' Y2 r. M
: A0 l; @  t" O3 b. B+ ^
มละ ๙ (มลทิน ๙ อย่าง)
# z5 h8 V, b2 a, m; [! \# @ . h5 q/ B* Q7 i+ z9 w

# W/ ^0 C  u0 @! o! {5 C9 U
0 \5 b4 ?+ D; ?9 `# hอายตนะ ๑๒ คือเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ มีดังนี้
( k* f& I4 w7 K8 M๑. จักขายตนะ ประสาทตา
$ N* R. s0 l' t3 m๒. รูปายตนะ แสงสีที่มากระทบตา
8 A7 Q; y! E0 y/ l& G! B๓. โสตายตนะ ประสาทหู
7 [2 G( u! s- @๔. สัททายตนะ เสียงต่างๆ
+ [+ ]# Z% C0 `: |4 W# |๕. ฆานายตนะ ประสาทรับกลิ่น( p& a: B& x0 L/ ]. ]) a( }( k
๖. คันธายตนะ กลิ่นต่างๆ
- E4 [* m  h3 p1 |๗. ชิวหายตนะ ประสาทรับรส
' d4 A0 Y3 I* P๘. รสายตนะ รสต่างๆ  t7 V3 e& t' C) n1 Z) Y8 g' w
๙. กายายตนะ ประสาทตามผิวกาย- q; v+ q0 a7 K: a
๑๐. โผฏฐัพพายตนะ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่กระทบกาย, y6 ]* D7 c0 A( k1 m" m, P; i5 R
๑๑. มนายตนะ จิตซึ่งเป็นผู้สัมผัสกับความคิด7 Q- W  F' X1 ?
๑๒. ธัมมายตนะ ความคิด ความรู้สึกต่างๆ

5 b& o/ H; d' }( v# D1 h
5 q( ?5 j1 I6 c# F4 D$ W1 G- U# Yอายตนะทั้ง ๑๒ นี้ แบ่งออกเป็น ๒ จำพวกคือ อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน
$ D  h1 l6 [( ?& p& k( \ 8 K( z5 @1 E  G& L5 I
อายตนะภายนอก คือ เครื่องรับรู้ ได้แก่ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ตามข้อ ๓ ๕ ๗ ๙ และ ๑๑ ข้างต้น)
9 \5 {' E" h/ v" H
5 H) T; j! q6 R' zอายตนะภายใน คือ สิ่งที่รู้ เช่น รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย ธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ (ตามข้อ ๒ ๔ ๖ ๘ ๑๐ และ ๑๒ ข้างต้น)
* o+ Y$ W9 q1 M& }$ c 2 k/ [$ a% X: {9 y/ E, @& |  G

8 i. Z6 y/ e8 l$ |' wความปรารถนาของบุคคลในโลกที่ได้สมหวังด้วยยาก ๔ อย่าง2 R! }, Q- b2 G6 H6 ?5 V# b
๑. ขอสมบัติจงเกิดแก่เราโดยทางชอบ4 Z: S) e; f3 j" r, x
๒. ขอยศจงเกิดแก่เรากับญาติพวกพร้อง* E- I8 E( Y: }. K; ~- ^# i/ _
๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน4 T. y8 V) y8 }8 B8 W# ^
๔. เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์

9 ?  u& F2 g% x. f* Qธรรมเป็นเหตุให้สมหมายมีอยู่ ๔ อย่าง
$ D+ u! {9 m% m; t+ B* B& F, ]) u; T6 F  V4 h
๑. สัทธาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา" p4 B3 X0 l! \0 J6 B
๒. สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล
! L5 r; `3 F$ A  Z+ T+ l2 R๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยบริจาคทาน
( o2 Y- y+ O  Y  W  F/ X8 P. q๔. ปัญญาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (เข้าใจเหตุและผล)9 H8 x/ P9 N2 H! g
" d0 h5 j6 f& a0 p
ตระกูลอันมั่นคงจะตั้งอยูานานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ได้แก่. C2 S) |2 G6 Z5 N& ^! I3 I, T3 ~7 X$ o
๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว+ y$ o, d: C) b5 x( n
๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
1 H. ~5 _! m0 W3 E๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ) y2 P8 b- b% f3 _( r! @
๔. ตั้งสตรีทุศีลหรือบุรุษทุศีล ให้เป็นแม่เรือน พ่อเรือน
3 E* V/ m- b9 s& O) J
1 H! i! l% j8 \% {7 @/ E; b
ธรรมของฆราวาส ๔ ได้แก่  }1 x# w, l& z! R; X
๑. สัจจะ ซื่อสัตย์แก่กัน9 ]# \! O7 e6 g1 X& [6 v" y9 a$ C  L
๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน6 x: L- R$ x. D# e) W5 `
๓. ขันติ มีความอดทน อดกลั้น
0 h4 O7 d" g0 L๔. จาคะ สละให้ ปันสิ่งของๆตนให้แก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
; ?# h# t! O  F+ _! H' y

* N8 e  b+ r$ A7 Dสังคหวัตถุ ๔ อย่างได้แก่ (คุณทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผู้อื่นไว้ได้)' L* E' F# c' j4 }. ]% a' I! h
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของๆตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
/ [2 ]4 {0 Z( _! a1 X& ^* ]๒. ปิยวาจา เจรจาด้วยวาจาที่อ่อนหวาน
6 b2 M+ X! d4 B. [; A) R๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น% [5 G; g( y  q8 U2 U
๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว

/ `9 R. ~) ~6 q: O  h# L) v) a( F8 x0 s
สุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ได้แก่3 M! m2 C3 X* K  }
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
: H* u( m  e+ X8 F6 d* u๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค
. ^, ^* c( G9 d& a๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้, C6 g2 j8 ]8 ^# \4 E% c! L
๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ
  ]0 B* k+ P2 v$ W- q, k) U' |
! Z, ~: G) E  O  n" q

Rank: 8Rank: 8

4#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:05 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ 1 ~- r' W/ o8 c
+ f) J/ e8 q% P* b1 S3 [
บุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำต่อไปนี้
% l& q$ t6 ?3 [
๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม8 Q: b7 M. ^: ?/ e
1 S: d% c& p" E6 g8 n
๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือ การตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด  ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการได้แก่ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม
% W, J9 l  e" A5 j8 ^7 g
3 G, C) f7 Q! P) O9 |๓.
0 {5 U/ D. q9 y" l0 z5 V4 N๔.
, [. `* s) F9 P2 C0 I- T! ?๕.
1 O/ O; K% s# `4 N1 g3 R" T7 t๖.
# K( T: ?  q: T7 C% u  @๗.
# W) e; {" `' l๘.
( F6 ?. k5 _3 ~3 u2 N๙.2 ^) W8 z7 ]5 P( N
๑๐.

. S  W. {# @8 w 9 h/ A. ?2 n: E; [0 |# [! e8 w
และให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทมาให้เข้าใจ 0 Z& J6 P2 L/ S; L
รูป นาม วิญญาณ
. p, L; V' {% Z4 `3 s' t8 D: d: ?ภพ - ชาติ4 d' z, `9 E& W/ B
เสขะ อเสขะ

  J$ _0 _" X  D1 T2 p6 r8 i & K9 |. H2 d8 C6 ?
***ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะออกข้อสอบวัดผลความรู้ด้านปริยัติ นักเรียนอภิญญา มีทั้งอัตนัย(แบบมีตัวเลือก) และปรนัย(ข้อเขียน อธิบายมาให้มากที่สุด) + [  D) a9 {: E4 q4 D9 u( D8 k% u2 W" e

Rank: 8Rank: 8

5#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-8-5 20:21 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ มารน้อย ตั้งกระทู้
. j& b4 b. k% z+ j& B, p0 J8 w: @* v3 C- ~( M5 b7 p5 H2 T' f

9 v( n7 ]9 K2 S! j4 Y. [
3 h! q4 p* y5 b  Aตัวอย่างที่ยกมาของ "ท่านพระโปฐิละ" เป็นตัวอย่างของพระที่มุ่งศึกษาแต่ปริยัติอย่างเดียว จนเกิดทิฐิมานะเกาะกินใจ ว่าตนเป็นผู้มีคนศรัทธามาก และไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง   {: ?/ E" u; ~) [" d9 R
' ^3 ]. @# M, G4 f4 m- E4 f
" Z' N; n7 Z" \% F+ s
แต่ในเรื่องของการฝึกฤทธิ์อภิญญาแล้ว มันค่อนข้างจะต่างกัน เพราะในกรณีของท่านอาจารย์วิเชียร ที่จำเป็นต้องให้มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อนนั้น มันมีที่มาที่ไป คือ.....
! o( _3 H# {: l4 q  u2 P2 b
4 I% H. f. v7 u5 `" U2 s" P- R
๑. เคยมีลูกศิษย์ฆราวาสท่านหนึ่ง มาขอเรียนอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์วิเชียร แต่ด้วยความที่เขาเน้นแต่ปฏิบัติเพื่อให้ได้เกิดฤทธิ์อย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องการศึกษาหลักธรรมเลย
6 _" D# X! o2 A# I
" x; k7 J4 i0 ]1 \  U7 T. a, Iผลลัพธ์หลังจากที่เขามุ่งเน้นแต่จะเอาฤทธิ์ก่อน คิดว่าธรรมะไปศึกษาเอาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาสามารถฝึกพลังจิตจนสำเร็จแล้ว จึงเป็นเหตุให้ลูกศิษย์ท่านนี้ไปเป็นพนักงานอยู่ที่บ่อนการพนันฝั่งลาว มีหน้าที่ในการใช้พลังจิตเพื่อให้คนที่ไปแสวงความร่ำรวยเสียเงินหมดสิ้นเนื้อปะดาตัว เพ่งแกนสล็อตเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ฯลฯ พร้อมกับทำผิดศีลธรรมทุกชนิด ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย และสุดท้าย อภิญญา ๕ ที่ได้มาก็เสื่อมหมด, Q" h) Y5 X  w, Z2 Q- [

' a* a. T. `7 Y7 z0 M1 gด้วยเหตุนี้คนที่จะมาขอฝึกอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงต้องตั้งกฎใหม่ว่า ลูกศิษย์ของท่านทุกคนจะเป็นต้องเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าศีลแม้แต่ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ยังถือไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอเรียนอภิญญา 7 b8 A2 |% u" v5 Z/ t1 A( I% s- N3 o

( }9 k- T5 H0 g2 S2 ^/ t, N8 G0 G! ?, X9 f5 H! W
๒. ส่วนธรรมข้ออื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ลูกศิษย์ฝึกอภิญญาง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญของลูกศิษย์ที่จะฝึกอภิญญาสำเร็จ คือ ต้องมีความเพียร มีความอดทน อดกลั้น (อิทธิบาท ๔) ไม่ย่อท้อต่อการถูกทดสอบต่างๆนาๆจากเทพพรหม จิตใจต้องแน่วแน่ เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อพญามารและกิเลสตัณหาของตนเอง และต้องทรงให้ได้ซึ่งความ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาพร้อม (พรหมวิหาร ๔ + ศีล ๕ )+ S. ?* r9 g9 `% ^4 }

- X# @+ e# G/ s6 X: i  w* N! S๓. ส่วนปริยัติข้ออื่นจะอธิบายในเรื่องอาการของสมาธิที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงอรูปฌาน รวมไปถึงขั้นตอนของการวิปัสสนา เพื่อปูพื้นฐานให้ลูกศิษย์รู้ว่าหลังจากได้อภิญญา ๕ แล้ว วิปัสสนาตัวใดที่เหมาะกับจริตของตนเอง การรู้จักใช้วิปัสสนาที่ถูกกับจริตของตนมาร่วมด้วย เพื่อให้ลูกศิษย์สามารถยกระดับจิตของตนไปสู่ อภิญญา ๖ ต่อได้ในที่สุด (เช่น การพิจารณาอาหาเรปฏิกูล และมรณานุสสติ เพื่อให้มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะไป)
  ?5 g# U' X: h! q
& ], t% r9 q4 h+ j  E& J
และอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ลูกศิษย์จำที่ต้องศึกษาปริยัติไว้ล่วงหน้าก็เพราะเวลาที่ลูกศิษย์ไปสอบถามระดับกรรมฐานหรืออาการสมาธิของตนกับท่าน เมื่อท่านอาจารย์ตอบมาเป็นภาษาบาลี (เช่น ได้ถึงขั้นตติยฌาน หรือขั้นทุติยฌาน อรูปได้ถึงขั้น....)  ตัวลูกศิษย์เองจะได้มีความเข้าใจทันที ว่าตนเองพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว
: w4 U0 b1 z7 [- }
- e& t  u+ x% ^2 y๔. ที่ท่านอาจารย์ให้ศึกษาปริยัติก่อนนั้น ท่านไม่ใช่บอกให้ศึกษาหมดทั้ง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ แต่บอกเพียงให้ศึกษาเป็นบางข้อที่นักปฏิบัติที่ดีจำเป็นต้องรู้ไว้ เพื่อลูกศิษย์ของท่านจะได้เป็น คนดีของสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และเมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
& h+ |/ M% ?! ]0 ?" _$ `' t% D: b2 Z
๕. ท่านอาจารย์มักพูดเป็นนัยบ่อยครั้งว่า ปัจจุบันนี้ผู้ที่มาขอฝึกอภิญญา ส่วนมากที่ไม่สำเร็จกัน เพราะมักมาด้วยความโลภ อยากได้ฤทธิ์และอยากเป็นผู้วิเศษ อยากมีชื่อเสียงได้ศรัทธาจากคนหมู่มาก ซึ่งท่านอาจารย์เองก็รู้ว่าหากคนเหล่านี้ได้ฤทธิ์ไปแล้วจะนำไปใช้ในทางใด ท่านอาจารย์จึงจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจลูกศิษย์ของท่านให้สะอาดมากพอเสียก่อน นั้นคือการให้ศึกษาธรรม และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เช่นนั้น ถ้าปล่อยให้ฝึกได้ไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาอาวุธไปใส่มือโจร  b& y) P/ o! O
0 a5 w7 X: m! V
๖. พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีสอนปรยัติก่อนที่จะสอนกรรมฐานให้ทุกครั้ง ถ้าสังเกตุดีๆ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเรียนมโมยิทธิ ท่านจะบอกให้รู้จักการถือศีล ๕ และ ศีล ๘ จากนั้นก็จะสอนให้รู้จักกับการตัดสังขารร่างกาย สอนให้พิจารณาความตายก่อนทุกครั้ง ไม่ให้ยึดติดสิ่งสมมุติใดๆทั้งหลายในโลก เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงค่อยสอนฤทธิ์มโนมยิทธิให้ เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านนำวิชามโนมิยทธินี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อความบรรลุมรรคผล ไม่ใช่นำวิชาของท่านไปใช้ในทางมิชอบมิควร ใช้ฤทธิ์เพื่อสนองตัณหาตนเอง ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น
  y! h& p: A1 ^0 X
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-6-18 06:01 , Processed in 0.044952 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.