แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 9117|ตอบ: 4
go

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

หลักสูตรปริบัติที่นักเรียนพลังจิต และนักเรียนอภิญญาทุกคนต้องศึกษา* v3 j5 r5 n) Z3 Q0 f, |0 `
4 g8 E$ X- P  ]* p; f2 Y; E
เพื่อในการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นไปอย่างก้าวหน้า นักเรียนอภิญญาทุกคนจะต้องศึกษาหลักสูตรปริยัติให้เข้าใจเสียก่อน นักปฏิบัติที่เน้นแต่ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว จะเจริญก้าวหน้าในสมาธิได้ช้ากว่า นักปฏิบัติที่ศึกษาปริยัติมาจนเข้าใจแล้ว ค่อยมาเน้นการปฏิบัติกรรมฐานทีหลัง เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ การศึกษาปริยัติเปรียบเสมือนเป็นการศึกษาแผนที่นำทาง 1 U3 x1 q) I0 v. o" Z2 v9 e0 Z

0 T. P* V+ f) ]: B) M5 rก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ นักปฏิบัติควรทำความเข้าใจกับเส้นทางที่จะมุ่งไปเสียก่อน ควรรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดข้างทางบ้าง สิ่งใดที่จะเป็นอุสรรคขัดขวางการเดินทาง และจะต้องผ่านด่านทดสอบจิตใจอะไรบ้าง
/ q, v: c% Q9 ^: r, b/ S9 z. {! \- i- q$ o* \1 d1 |
แผนที่ปริยัติถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักปฏิบัติรู้เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตนมุ่งหวัง และรู้ถึงสิ่งที่ตนจะต้องประสบล่วงหน้า รู้ที่จะเตรียมใจที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อให้ได้สำเร็จอภิญญา 5 และ 6 และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด (เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือเส้นชัยของนักเรียนอภิญญาทุกคน)" T* Z; b6 ]9 C1 H9 T! ?
( x2 q) v7 ^/ H* t
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธคืออะไร?
( ?6 r6 U3 B% L0 K4 Y0 i& x2 [0 p2 n! a' Z. [" p" U
ศีล ๕ ประกอบด้วย  }" }1 o2 P, T, Z- G8 f
๑. ไม่ฆ่าสัตว์/ {7 x/ P4 ]% f: ~* x
๒. ไม่ลักทรัพย์, J- c: H- C- z' i) F
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม (ผิดลูก เมีย สามี คู่ครอง ของผู้อื่น)6 @' Z9 `/ \, Q/ Y+ j9 }
๔. ไม่พูดโกหก
, x& z# @: ~# P: h+ j8 r6 k๕. ไม่ดื่มสุราของมึนเมา
, U& `, ]+ t, j: D
7 i( `8 Y' j9 K  `7 m' K0 D
ศีล ๘ ประกอบด้วย2 h' ~. J1 {# ^: Y, X" T
๑.
; A! K  G. l5 ^0 J๒.
  k* G* O! k5 G. S๓.4 G+ v8 B( A9 d6 @2 u; D. H
๔.% L: N7 x) ^8 Y  {& p
๕.: m( _4 E+ Q# ?: E+ j
๖.
# E- Z% A2 v0 \๗.) @: f6 h; t/ O# l
๘.
: d0 J- S9 I8 N3 b4 h
1 a& n% q% H. `& {4 M9 f
- นิวรณ์ ๕ (เครื่องกั้นขวางความดี)
# n% ], c/ n1 Zผู้ที่สามารถเอาชนะนิวรณ์ ๕ ได้ คือผู้ที่ได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ หากขณะนั่งสมาธิ ไม่ว่าผู้ฝึกจะมีภาพร่างกายแบบไหน ง่วงมากๆ เพลียมากๆ ฟุ้งซ่านมากๆ หลังจากเริ่มนั่งสมาธิแล้ว อาการง่วง อาการโกรธ อาการฟุ้งซ่านไม่ปรากฏ นั้นถึงจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ฝึกกรรมฐาน ฝึกได้ปฐมฌานเป็นอย่างต่ำแล้ว
' l  X" R" q  W$ v3 V% W
, ^" M+ ~# r& B6 O+ j% ?: m1 L; T# F
กามฉันท์ คือ ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์8 c; s( J3 ?, Q( G3 \# Y6 |
พยาบาท คือ การผูกใจเจ็บ หรือผูกอาฆาตผู้อื่น0 Q' T' R) |% }# d: q, Y9 n
ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน
* g+ j" _  o" M, Nอุทธัจจะ กุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญ, @$ e/ e1 N6 o3 n4 Y# ], j) I
วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

+ M1 ]7 M. l' W( U8 j4 p7 ]$ m/ T. s/ X" G! ^
อุปกิเลส (เครื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ๑๖ ประการ)
( ^$ r7 ]% k" K4 I3 L" C, aผู้ที่สนใจการปฏิบัติทางจิต หรืออบรมสมาธิ ตามแนวของพระพุทธศาสนา ควรต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะนำมาซึ่งกิเลส หรือสิ่งที่ทำให้จิตใจตกต่ำ และเป็นเหตุทำให้1 o: `; f, a# e$ q2 j4 G
พลังจิตถดถอย หรือขุ่นมัว ฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติทุกท่านควรละทิ้ง หรือห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านทั้งหลายจะพบกับความสุข ความเจริญก้าวหน้า
% k1 I# c4 w  G  Q; I
๑. อภิฌาวิสมโลภะ คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน
# A, p+ i% H, E5 m# p( k7 e' q๒. พยาบาท (โทสะ) มีใจเดือดร้อน ความอาฆาต ผูกใจเจ็บคิดร้ายแก่ผู้อื่น
9 B6 r" A  u4 _" B๓. โกธะ ความโกรธ อาการกำเริบพลุ่งขึ้นมาในใจ จากความไม่ชอบนั้นๆ แต่ยังไม่ถึงกับบันดาลโทสะ7 K2 u$ x( F5 \7 H- w1 k
๔. อุปนาหะ ความผูกใจโกรธ เพียงแต่ผูกใจไม่ยอมลืม แต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายเขา เพราะกำลังของกิเลสยังอ่อนกว่าความโกรธ4 _8 B: ^* n9 ^+ a4 s
๕. มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน คือ ใครมีบุณคุณกับเรา แล้วไม่คำนึงถึงคุณท่าน เป็นการลบล้างหรือปิดซ่อนคุณท่าน หรือความดีของท่าน- i  m# ^4 H) b1 b, y# ~5 Q5 y
๖. ปลาสะ ความดีเสมอตัวท่าน เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไม่ย่อมให้ใครดีกว่าตน ข่มเหงรังแก
( U0 [9 F4 J' v% A๗. อิสสา ความริษยา เห็นใครดีกว่าก็ทนไม่ได้ เกิดความขุ่นมัวในจิต กลั่นแกล้งเขาทำให้เสื่อมเสีย
% w1 h4 f5 G; q) k๘. มิจฉริยะ ความตระหนี่เกินกว่าปกติ ตระหนี่ในทรัพย์ ตระหนี่ในความรู้
  q. v, q, q+ u' U! w" e๙. มายา มารยาเจ้าเล่ห์ แสดงออกได้ทุกรูปแบบ หาความจริงไม่ได้ หรือแสดงออกให้คนอื่นหลงใหล
6 v* x* U! L6 V0 ~# `8 G1 @. T๑๐. สาเถยยะ ความโอ้อวด หลอกหลวงเขา พูดจาเกินความจริง
% B# ~  r" v. \3 g๑๑. ถัมภะ ความเป็นคนหัวดื้อ รั้น กระด้าง หัวแข็ง ไม่ยอมคนทั้งผิดและถูก
" V+ z; }  g% ^/ e2 m๑๒. สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะฝ่ายเดียว ไม่ยอมแพ้  k1 A# U1 }" M# L% p7 n
๑๓. มานะ ความถือตัวทะนงตน2 i# d: o& h. x/ ]$ v
๑๔. อติมานะ ความถือตัวว่าดียิ่งกว่าเขา ดูหมิ่น ยกตนข่มท่าน- y9 V) w* h8 `. L) B. W1 M5 x5 O
๑๕. มทะ ความมัวเมาในกิเลส เช่นบ้ายศ บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าสมบัติ หลงยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น$ p# c8 v/ d# h5 j+ X
๑๖. ปมาทะ ความประมาทเลินเลิ่น ปล่อยสติให้คล้อยไปตามอำนาจของกิเลส จนได้รับทั้งความเสียหายต่อตนเอง และผู้อื่น นักปฏิบัติทุกท่าน
. }( T/ O' ]0 y; e+ uเมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ควรหลักเลี่ยงให้ห่างไกล หรือสละสลัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากกายและใจ เมื่อท่านทั้งหลายสละละทิ้งได้จริง เมื่อนั้นความสุขจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง! u* @/ }5 \4 u: v6 I5 V
และเป็นความสุขที่แท้จริง

0 v3 `( C4 W8 i* P1 m" C/ P3 F7 N
อริยสัจ ๔ ได้แก่
; H: h9 ?* ]' Q% [๑. ทุกข์ คือ การทนได้ยาก1 p8 b! D+ }: _! A  ^. P
๒. สมุทัย คือ เหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์2 B' U9 }( i7 f6 V/ A! t1 r
๓. นิโรธ คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ โดยการจะดับทุกข์ได้นั้นต้องอาศัย...
( J% o# e. i9 z6 m9 @# ]7 {8 }๔. มรรคปฏิปทา มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น และมีสัมมาสมาธิเป็น ปริโยสาน
+ C  z' ?; X0 V0 A& b" C! D

( k8 V) b+ a/ p0 }กฏไตรลักษณ์ ๓ ข้อ คือ" \! H/ h5 ?$ i* O  `
๑. อนิจัง ร่างกายและทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง  m# h+ Z8 t! P& @7 a
๒. ทุกขัง ถ้าไปยึดมั่นก็เป็นทุกข์
' S' g; x: c6 b$ x5 y๓. อนัตตา ในที่สุดก็พัง
0 z: `1 b2 h% G, O! l4 e

3 t5 w" G* y" y2 {- Q/ _" ^) o9 l# q! }5 l( L! Q7 I/ `
สังโยชน์ ๑๐
. ~( l5 D8 R7 D- q- K9 b๑.
$ _. C3 }+ U, C& |2 y) p๒.
' a1 k. h- r- p. ]๓. $ l, i/ A7 V  Z, a4 F( F5 Q# U. ?
๔.
# |7 y* ?) q8 e4 u3 h๕. 4 y- ?7 t& W2 ~" `) f5 j- L
๖.
2 q# a( J; g# R: A# E๗.
+ n& N, v# ?( o๘.
! I: m" Y& n" p& t( ^๙. 9 H0 U. G  h, l) y" ]
๑๐.
/ v+ W6 C, u" ]- a' i/ t" [) I4 g* a8 o1 H
บารมี ๑๐
$ M. j" q6 L0 e% a8 E0 k
๑.0 L% C, z; z/ H4 O6 m- t
๒.
  ]! f# N; k5 C- {. o* k  l/ E) o; k๓.
, Y" L$ c& |7 W๔.
* Q% |) Z8 Z" u; s+ R๕.& D8 U3 s. ^5 }
๖.( _) y, \7 j" A4 I% P  O( J& l- F
๗.4 _1 I- X7 F0 i1 Y4 i5 y$ O5 F
๘.5 k0 L8 U/ t" u, N. \  \
๙.
* L' E, g8 D4 e5 B5 i% B๑๐.
" k- o- ~: L8 U* s+ i  z& p/ I

6 D- Q* s9 T) W1 o' {สังขาร ๓ ได้แก่3 \  r7 E+ Z5 Q- Y( W

+ l8 D- G7 |6 Q: H( e$ I% C% F- @: W, J

9 U: f7 s& n4 D5 Z) b
' a7 x7 f! F8 _- p5 d& u
กรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๗ กลุ่มประกอบด้วย
& q* M+ P3 G% {- _- หมวดกสิน ๑๐ (๑-๑๐)

8 F8 n( I. Q3 w5 F- ^7 N- หมวดอสุภกรรมฐาน (๑๑ - ๒๐)
5 {: d# y4 j; {! l- หมวดอนุสสติกัมมัฏฐาน ๑๐ (๒๑ - ๓๑)
  A6 @! e1 f, d
- หมวดจตุธาตุววัฏฐาน (๓๒)
& R) {! X# @; n- พรหมวิหาร ๔ (๓๓ - ๓๖)
8 c& y8 G% ^& P) `: t" Z# i: F- หมวดอรูปฌาน ๔ (๓๗ - ๔๐)6 k6 _8 _$ B+ C( c

2 e9 U7 k9 B( rกามคุณทั้ง ๕ ได้แก่
+ d% E; V! m! z' u
๑.
, I5 R0 }; {! d) K' |( t: x: J๒.
# ?/ H2 V7 q7 I. v0 C9 G8 K: K๓.
% }" C% f- H) t3 Z๔.7 {! s9 ~0 ^2 L. r
๕.
  z" x: E8 y) \$ b
" h8 D* k+ G! P) j$ k3 |9 oกรรมฐาน ๔๐ กอง แบ่งเป็น ๔ หมวดได้แก่
# j+ C! T( p/ |- W๑. สุกขวิปัสสโก  u  ^! h/ f: ?
๒. เตวิชโช
# _1 I8 W1 E( x& ?$ r๓. อภิญญาหก
& C! i" E+ K& N9 C1 L; E๔. ปฏิสัมภิทาญาณ

3 r5 m4 K# a4 u
- ~) A! j0 s& W. oภวังค์ ๓ หรือสมาธิขั้นต้น ได้แก่9 c& p$ W6 }( X8 [4 k& c! t4 b
๑.
  K4 O1 q% x, S* u! x' T๒.
, u( k5 d; M, w% k๓.
/ W' Q7 o- b" H. e; x
; e  U+ B; V+ L8 g/ pรูปฌาน  ๔ ได้แก่9 H0 r& Y' W( D+ D6 _1 C* `
๑. % c& V1 K) T- L: H% h0 k
๒.
# Q7 z( R: J7 u8 \# o! G๓.
/ ]; Q! w+ ~3 V& i4 i๔.
7 Y( H+ t9 P9 A0 Q& z% T9 z- h2 M( n! a8 \& }) ~: q
อรูปฌาน ๔ ได้แก่
! b) q% H) {; o& T5 s; \๑. 0 d7 g% \5 |( t. V
๒.4 f' Z+ o* n" @7 q5 Z
๓.
6 n0 m) U' j: }- F$ q6 B" _7 V๔.
  o; |% M- H' Z8 |: ~$ l2 L$ n8 x: ~' D3 T' ^7 s
พิจารณาธาตุ ๔ ในร่างกายมนุษย์ อันได้แก่5 o2 A& v# I6 w% p* r3 T
๑. ธาตุไฟ ๔
/ G5 J! E& O0 }7 I/ {๒. ธาตุลม ๖. N7 `9 ~8 U0 O% _
๓. ธาตุน้ำ ๑๒
' Q$ w" ]- P, b) c; N๔. ธาตุดิน ๒๐ / w# ]$ U2 o9 V  d
4 `( C  u1 I( l% Q
ขันธ์ ๕ ได้แก่2 |" G5 ^" a8 p, r$ x( x0 S

$ i  ?2 [8 K& V3 c' [, {

Rank: 8Rank: 8

2#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:01 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
! f' ^: r/ B+ y' }
วิปัสสนาญาณ ๙
9 \( N4 o7 C$ I' [3 M๑.
0 x  B/ ?+ X$ }- u) `% k๒.
  O$ `! }/ V: P# G3 g' K3 ~) V& z: ?๓.8 N4 j* X# ~. u9 A# v/ ?
๔.9 O# Z/ ?" Z) A  h% `6 k
๕.
4 P) Q; W  O4 d/ X' R๖.% x5 o. \* O. J' [7 l$ u6 a9 O( i
๗.
5 H: k: Z- N- `; R' ]* m, F๘.
4 x' s- C" M8 \5 M1 H; g4 V๙.

. {+ s" ~7 K5 k! w
0 R7 r9 e1 f/ {8 C& T  d* mญาณ ๘
$ i0 O- Q* b& r4 P6 x๑.   k* [6 k& R  T  \
๒./ {$ m  B2 j! ?# ]& s# U
๓.* {, y1 |/ W# e4 E/ |3 B
๔.
- a# U7 X8 r- V* W. V1 _) l' E๕.
% S( ]+ N2 g$ L& \% a: f2 M๖.& R& g4 }, B; `8 l8 [
๗.$ y& @6 w; b; L6 @( p
๘.
/ q! G1 M9 q% O
4 M, w' _8 `$ i0 h
ปีติ ๕ ได้แก่
5 z& n+ M* E& B3 p+ `2 d๑.
9 P4 y7 Y& w: A! f๒.
1 @1 A& b" n* H- U  K* P+ F๓.- i8 b/ ]& v0 p8 l/ ^3 g' [) D7 Z+ `
๔.
6 u9 _- _0 h) R& F8 X, Y" }+ I' Z๕.
- l% ~, ]' \$ p) q" r' |/ U
" u0 J! x( g8 \3 I: _7 K4 g7 n
มรรค ๘ ได้แก่
: N9 |+ M! Y! d9 Q" x4 j+ B: D& T๑. 3 i4 ~! C. F! c5 M1 E% n7 ?
๒.
- ?& ]: p- [* c" u: V๓.
6 I! z' S0 D/ o% g% m๔.
/ A3 x) B3 y1 c+ |, q; {) b: j๕.6 ~% O$ ?8 ?6 ?% P" J! x
๖.
4 ~1 W3 i& D% ~๗.
$ `1 i, {! ^8 i๘.

4 t  c9 g# w3 {
: u/ Q3 U3 l* c6 S7 a2 v* yอิทธบาท ๔ , X4 \7 [4 J6 f) v8 u
๑. ฉันทะ มีความพอใจ
  R2 ]4 y. V8 n9 |' Y. c( Z1 b๒. วิริยะ มีความพากเพียรในการทำลายอุปสรรคไม่ถ้อถอย. n2 L2 q+ _( O! l- `5 |3 W+ I) t
๓. จิตตะ จดจ่อสนใจในสิ่งนั้น ไม่วางมือ- j1 b, ?/ z) Z" V1 f  D0 E4 A+ j
๔. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจ

8 H8 ~- p$ O  l0 Z4 G4 b9 _ / ]7 k6 L+ A5 N. S  B5 N, G# F
จรณะ ๑๕ ได้แก่4 n* h% w7 {3 O5 E
๑.. ~7 s5 p# q& m( g' {0 |" }
๒.# @$ X, ]( Y5 t8 w5 ^
๓.6 S" o) G2 R% I7 C: l( \
๔.
& ]0 E0 }, s7 q. I. X9 Z๕.; K; T" a9 L: `+ N' ?+ @
๖.
1 g- V9 d+ Y  D8 r; F๗./ H" D/ q# E# Z0 T
๘.
3 V, f; F$ n! t0 C7 q3 j+ O๙.% _$ d4 O7 x) H6 K/ T
๑๐.
. r' w$ e* u; a& T7 f๑๑.7 W' R7 W3 K4 A7 W' i* _) K
๑๒., v# a* z- _" ?
๑๓.  V( m( e- Y4 t4 r- s: M; O/ d
๑๔.% q  G2 l3 l" K0 y9 Y; ~( ^( W/ z+ G+ y
๑๕.
# m- K' n% e$ P- l: H# F
: ^2 _  T( x$ d. H* m
โพชฌงค์ ๗ ได้แก่* I$ s+ t0 ?7 m; i9 X* o! }; f
๑. 4 d8 h  v* e7 V. n/ k; [; v* r
๒. % t5 K. A+ K% Z  w7 v
๓.
  c3 K+ Q- b) h& s๔. 4 h5 J9 c) }% F& E/ g
๕.. m( p. j- D2 u# H2 ?6 ?
๖.
. Q  ?7 ~) @/ k6 g: ?; I5 y๗.
4 T* j0 N% T8 x7 k๘.4 C) [- k. @' P4 ?- b0 }
๙.) ]$ O5 ~$ o( f. {  Y; b8 ]# m
๑๐.

* ~" m* V  C4 T) r3 `1 [- A% r; R* v  d" p4 ~3 H0 r
จริต ๖
8 @1 z3 T3 Z1 [! k0 d. j๑.
1 P  p7 V9 y9 J! q6 L! l, P0 H๒.
9 f) f, a+ }" S: X0 t3 G( v๓.
4 `. b  R- a7 ^0 t๔.4 P2 J! [- p% v, h: ~; C- e1 ?# ~5 k
๕.( f$ O7 C1 L7 F. d) M( E
๖.
: s( K: E* T" n" _% \- P+ ?๗.

, b- W) h% a5 T  N
) k' v# E2 n* @( _# D3 rปลิโพธ ๑๐ (ความเป็นห่วง ความข้องในอารมณ์)9 n, X; v5 b6 n
๑. 6 U; \- x# P% c8 D7 y: C
๒.  c& a1 P1 ~# r! J3 @9 f, k! _; b
๓.8 F4 B: n8 Y- @! |; |) g& N
๔.$ z( Q/ F* p; Y  |! B
๕.: |. r9 m2 E, }. y) M- b
๖.- Z3 [8 Y0 a: g& Z
๗.
' S1 i/ [# N, f8 I! m๘.+ d& K$ o4 ]% R% _2 g
๙.
- \# w5 c0 Q) Z( N9 W1 {๑๐.6 Z6 i: K% G0 a- W8 b

. T0 _  s" w8 ~2 L: C

Rank: 8Rank: 8

3#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:02 |แสดงโพสต์ทั้งหมด

) n  k3 t! @3 Y1 ^$ aพละ ๕
1 Y& ^9 i0 d8 G! u+ p' b7 [% M7 v) z: L๑.
; a$ g7 F' O$ D* P; I( E๒.
7 F  b# R+ F5 P! E) ~# n( c๓.. }/ g0 C4 m4 ^
๔.
! k9 i. k& f$ W1 W# I๕.

( W6 Y5 ~) c4 z' ] $ i& m: n  }, U7 L
2 a8 L* O) ]" Q2 n$ v- E
ทีปนีกรรม ๑๒7 N  B" m& I# _5 Y# c
๑. 8 N  C# ?  z% |% H. |5 D
๒.
" m! U) U1 M, E/ ?3 C๓.' O$ B  y2 o) C  Y$ e, O
๔./ T. H; }" y0 ]+ N
๕.
1 K2 q0 x! A9 A- F6 U๖.% ]" p& s! _+ f. b
๗.% z% E. F, m0 F! s, V# u" B9 H* K9 b
๘.- x  x9 J/ M  j& N
๙., v; S# C& r+ }: r
๑๐.
% Z; I! [. S9 M๑๑.
" {5 E; V9 n# \" V0 f๑๒.

1 v( Z' r5 y6 [  [9 @ 1 v) j9 p0 ?  F# H( t1 ]. l

4 M0 l) v: c  q1 Cมละ ๙ (มลทิน ๙ อย่าง)
) n& x& [1 t9 c, B' a+ j 6 H% M$ _! j+ z. a4 [3 Y
4 V* e6 q# w' ~8 T) `

3 k" h! \% ?1 h6 {2 Q  Mอายตนะ ๑๒ คือเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ มีดังนี้  K: A; y) P" w  z& v
๑. จักขายตนะ ประสาทตา+ A, e0 l2 j$ T& M% X1 x# V
๒. รูปายตนะ แสงสีที่มากระทบตา
' k+ Q! h( G: d- Q3 K: r๓. โสตายตนะ ประสาทหู
5 v; G: X- c4 ~  _, a9 `๔. สัททายตนะ เสียงต่างๆ" ^8 d" s, v; |7 P
๕. ฆานายตนะ ประสาทรับกลิ่น
! ?0 N% D; h3 L& h, s๖. คันธายตนะ กลิ่นต่างๆ1 p% P, {( I% E
๗. ชิวหายตนะ ประสาทรับรส
% F- |  t7 J/ b6 W" E$ P๘. รสายตนะ รสต่างๆ
" w: z- Q9 b2 p0 q# |! T! G๙. กายายตนะ ประสาทตามผิวกาย
/ B( v. c" Z! L  {! E  Z/ `  }8 f7 Q๑๐. โผฏฐัพพายตนะ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่กระทบกาย0 |+ E0 h4 m* N! c7 d" t( G# y
๑๑. มนายตนะ จิตซึ่งเป็นผู้สัมผัสกับความคิด) ~' R9 H4 _1 o; x* W) h
๑๒. ธัมมายตนะ ความคิด ความรู้สึกต่างๆ

* q& m; G( s/ T0 ?  b
$ `0 b  b4 @7 W8 }. zอายตนะทั้ง ๑๒ นี้ แบ่งออกเป็น ๒ จำพวกคือ อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน
/ S) q$ \- T2 u1 i1 I/ Y ) x0 ]. U# C6 t! X8 Y: u
อายตนะภายนอก คือ เครื่องรับรู้ ได้แก่ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ตามข้อ ๓ ๕ ๗ ๙ และ ๑๑ ข้างต้น)* e, Y; q( ~' D; A% N: o
7 n& `/ j/ H5 m; N/ ?. N7 G
อายตนะภายใน คือ สิ่งที่รู้ เช่น รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย ธรรมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ (ตามข้อ ๒ ๔ ๖ ๘ ๑๐ และ ๑๒ ข้างต้น)7 T0 G! M5 d9 K! b/ `9 d' G

: G" r. \" {5 t" d0 p
, y* e' c  n5 l5 gความปรารถนาของบุคคลในโลกที่ได้สมหวังด้วยยาก ๔ อย่าง
, O& p8 H0 h* w7 O. B- s- P6 G, g2 b๑. ขอสมบัติจงเกิดแก่เราโดยทางชอบ6 Y, n: ]! n" \" n: N5 m
๒. ขอยศจงเกิดแก่เรากับญาติพวกพร้อง' Y% @. g, ]+ Y  q* {* k$ |5 J8 T
๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน
& c" T/ a- w  Z9 t๔. เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์

7 E( a* d9 q' u; d+ vธรรมเป็นเหตุให้สมหมายมีอยู่ ๔ อย่าง3 D0 C9 U' Q6 P& l

- f* U" J) }, l; ^% r7 ^- D๑. สัทธาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา5 L" h, q0 R2 M! u9 v
๒. สีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล$ U9 a4 P6 n* R
๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยบริจาคทาน
8 H- y5 j" @2 G0 s+ b. @๔. ปัญญาสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยปัญญา (เข้าใจเหตุและผล)
; B) n1 W9 |9 i1 ]# t
5 L: L3 J( M5 l
ตระกูลอันมั่นคงจะตั้งอยูานานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ได้แก่
2 w3 I& g- }0 N; h๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
! U7 m2 [2 N+ [, f๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า5 }, X5 e( M. c/ n+ _3 r+ l5 Q
๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ3 L2 S3 z0 c- p. r
๔. ตั้งสตรีทุศีลหรือบุรุษทุศีล ให้เป็นแม่เรือน พ่อเรือน

  W  r0 t6 F8 J( y
: `- h0 a! G- N( Iธรรมของฆราวาส ๔ ได้แก่6 W* ^8 K" j9 D, y0 ]" p9 d
๑. สัจจะ ซื่อสัตย์แก่กัน
% y; |9 ?- ~2 q( V6 ?( i4 [4 u/ Y๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน
3 M6 i6 U! X) j2 N, x๓. ขันติ มีความอดทน อดกลั้น
6 X2 z! A, E8 w+ n) B0 J๔. จาคะ สละให้ ปันสิ่งของๆตนให้แก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน

( Y/ F9 |2 R! T, N. L0 _
; g5 h! T# ~4 x8 C, F" kสังคหวัตถุ ๔ อย่างได้แก่ (คุณทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผู้อื่นไว้ได้)* R7 O+ o# S! M& E( p* z
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของๆตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
3 E% X; B! I. a) `  R/ @๒. ปิยวาจา เจรจาด้วยวาจาที่อ่อนหวาน
6 ^! i1 u6 G2 m% Z9 ~! X๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น! J9 x2 |2 W5 s! q8 ]
๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว
5 B! S3 x5 n" j# h5 a

( v) ~, j9 K: N' W2 H3 Jสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ได้แก่* ~; Y+ T, l( e
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
9 }$ `% u% l( T/ h* \8 S๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค9 T5 F' M. l' X3 Y. B$ A
๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้2 ?; m+ M" {1 s9 l; A+ z" R$ _6 c
๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ2 g3 ?5 w8 p1 x/ P) V

5 f- m& w- r# ]: U

Rank: 8Rank: 8

4#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-5-17 01:05 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ
  ?. L; Y# N5 I8 U- F7 ~, f0 [$ l; ?0 F, @8 q+ s( A* ^7 ~
บุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำต่อไปนี้

  T2 h' q. S  s0 p8 q! [1 l. v๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม# n) ~$ V, k2 L- p. X
9 I1 s! a" f  e, m$ r
๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือ การตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด  ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการได้แก่ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม
3 V# U" F% ^; D1 V8 G - r" r; M, v+ \# F
๓.
7 m0 @& d. N5 @9 h# X๔.
8 D1 C/ D$ n/ t: i: ]3 b๕.
- l6 p$ a! A& k  Y๖.
$ s% a4 x/ d2 X7 x. g๗., I$ ]( S7 j5 ], D+ x/ {6 X$ n
๘.
2 \1 P5 g9 ]  ?! i6 G  @% @) V๙.5 @6 [# v% R# k2 V2 r, d
๑๐.

8 M5 p- ^& J3 Y. |1 d0 N
. C0 T* D2 u5 F! s( L% ^0 h" [และให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทมาให้เข้าใจ 6 b. B% X! ^+ R0 k+ m1 S) V
รูป นาม วิญญาณ- g6 m& W) g" h, l, ?
ภพ - ชาติ! f4 S' t% O4 x- r7 n* D3 S
เสขะ อเสขะ

* m2 {; [( _, j  m0 x & z! ?+ `9 D' _2 D
***ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะออกข้อสอบวัดผลความรู้ด้านปริยัติ นักเรียนอภิญญา มีทั้งอัตนัย(แบบมีตัวเลือก) และปรนัย(ข้อเขียน อธิบายมาให้มากที่สุด) # h9 s, s; X- ^+ q

Rank: 8Rank: 8

5#
NOOKFUFU2 โพสต์เมื่อ 2013-8-5 20:21 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ มารน้อย ตั้งกระทู้
9 |3 T3 F, m3 K1 f1 [/ B, ]8 X+ s9 \
$ R7 G0 o9 F9 @* }3 b0 |

0 T# j! S5 T8 H2 U; H. I, oตัวอย่างที่ยกมาของ "ท่านพระโปฐิละ" เป็นตัวอย่างของพระที่มุ่งศึกษาแต่ปริยัติอย่างเดียว จนเกิดทิฐิมานะเกาะกินใจ ว่าตนเป็นผู้มีคนศรัทธามาก และไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง
. U$ u7 n5 C; ^7 A. m
" c; h8 @  i( Y  s  k' W  A- n+ o' u7 i) T* q( G
แต่ในเรื่องของการฝึกฤทธิ์อภิญญาแล้ว มันค่อนข้างจะต่างกัน เพราะในกรณีของท่านอาจารย์วิเชียร ที่จำเป็นต้องให้มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อนนั้น มันมีที่มาที่ไป คือ.....
5 b/ U* y: l, i( u  Q6 t# B" A% f% U

4 d% c4 I& E; k7 ^, G๑. เคยมีลูกศิษย์ฆราวาสท่านหนึ่ง มาขอเรียนอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์วิเชียร แต่ด้วยความที่เขาเน้นแต่ปฏิบัติเพื่อให้ได้เกิดฤทธิ์อย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องการศึกษาหลักธรรมเลย
  G( ~+ l- S$ ]5 D! d. l, }% m" \) t
ผลลัพธ์หลังจากที่เขามุ่งเน้นแต่จะเอาฤทธิ์ก่อน คิดว่าธรรมะไปศึกษาเอาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาสามารถฝึกพลังจิตจนสำเร็จแล้ว จึงเป็นเหตุให้ลูกศิษย์ท่านนี้ไปเป็นพนักงานอยู่ที่บ่อนการพนันฝั่งลาว มีหน้าที่ในการใช้พลังจิตเพื่อให้คนที่ไปแสวงความร่ำรวยเสียเงินหมดสิ้นเนื้อปะดาตัว เพ่งแกนสล็อตเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ฯลฯ พร้อมกับทำผิดศีลธรรมทุกชนิด ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย และสุดท้าย อภิญญา ๕ ที่ได้มาก็เสื่อมหมด
3 A# a3 ?# b' E0 H/ k& N- x- A7 {4 J2 m( ]; A2 g- O
ด้วยเหตุนี้คนที่จะมาขอฝึกอภิญญา ๕ กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงต้องตั้งกฎใหม่ว่า ลูกศิษย์ของท่านทุกคนจะเป็นต้องเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าศีลแม้แต่ศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ยังถือไม่ได้ก็ไม่ต้องมาขอเรียนอภิญญา
# \1 h8 @9 _# m. @0 Z6 X" s: ~: Q& c! q7 w; y; O
9 t* _6 K! |: G2 _$ E! f) j
๒. ส่วนธรรมข้ออื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมให้ลูกศิษย์ฝึกอภิญญาง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญของลูกศิษย์ที่จะฝึกอภิญญาสำเร็จ คือ ต้องมีความเพียร มีความอดทน อดกลั้น (อิทธิบาท ๔) ไม่ย่อท้อต่อการถูกทดสอบต่างๆนาๆจากเทพพรหม จิตใจต้องแน่วแน่ เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่อพญามารและกิเลสตัณหาของตนเอง และต้องทรงให้ได้ซึ่งความ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาพร้อม (พรหมวิหาร ๔ + ศีล ๕ )
7 B8 D( W* S: W1 t% Q
4 L& P* H8 t% {" S9 |* N๓. ส่วนปริยัติข้ออื่นจะอธิบายในเรื่องอาการของสมาธิที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงอรูปฌาน รวมไปถึงขั้นตอนของการวิปัสสนา เพื่อปูพื้นฐานให้ลูกศิษย์รู้ว่าหลังจากได้อภิญญา ๕ แล้ว วิปัสสนาตัวใดที่เหมาะกับจริตของตนเอง การรู้จักใช้วิปัสสนาที่ถูกกับจริตของตนมาร่วมด้วย เพื่อให้ลูกศิษย์สามารถยกระดับจิตของตนไปสู่ อภิญญา ๖ ต่อได้ในที่สุด (เช่น การพิจารณาอาหาเรปฏิกูล และมรณานุสสติ เพื่อให้มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะไป)
/ M* l7 e7 R# i( K+ U
; L9 T7 q# ]; h% G/ l7 A, y
และอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ลูกศิษย์จำที่ต้องศึกษาปริยัติไว้ล่วงหน้าก็เพราะเวลาที่ลูกศิษย์ไปสอบถามระดับกรรมฐานหรืออาการสมาธิของตนกับท่าน เมื่อท่านอาจารย์ตอบมาเป็นภาษาบาลี (เช่น ได้ถึงขั้นตติยฌาน หรือขั้นทุติยฌาน อรูปได้ถึงขั้น....)  ตัวลูกศิษย์เองจะได้มีความเข้าใจทันที ว่าตนเองพัฒนามาถึงขั้นไหนแล้ว
9 y) L" s  p4 C  T) v
  Q; u/ n* Z: J( W๔. ที่ท่านอาจารย์ให้ศึกษาปริยัติก่อนนั้น ท่านไม่ใช่บอกให้ศึกษาหมดทั้ง ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ แต่บอกเพียงให้ศึกษาเป็นบางข้อที่นักปฏิบัติที่ดีจำเป็นต้องรู้ไว้ เพื่อลูกศิษย์ของท่านจะได้เป็น คนดีของสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และเมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
1 H$ p/ M" L6 B/ p$ n5 B1 W; e
* Y: X* F. Q4 x  o8 }๕. ท่านอาจารย์มักพูดเป็นนัยบ่อยครั้งว่า ปัจจุบันนี้ผู้ที่มาขอฝึกอภิญญา ส่วนมากที่ไม่สำเร็จกัน เพราะมักมาด้วยความโลภ อยากได้ฤทธิ์และอยากเป็นผู้วิเศษ อยากมีชื่อเสียงได้ศรัทธาจากคนหมู่มาก ซึ่งท่านอาจารย์เองก็รู้ว่าหากคนเหล่านี้ได้ฤทธิ์ไปแล้วจะนำไปใช้ในทางใด ท่านอาจารย์จึงจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจลูกศิษย์ของท่านให้สะอาดมากพอเสียก่อน นั้นคือการให้ศึกษาธรรม และให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เช่นนั้น ถ้าปล่อยให้ฝึกได้ไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาอาวุธไปใส่มือโจร
  b/ x9 }8 {* [3 x7 n0 v) t5 c$ W* o( e" X5 z. s
๖. พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีสอนปรยัติก่อนที่จะสอนกรรมฐานให้ทุกครั้ง ถ้าสังเกตุดีๆ ก่อนที่ลูกศิษย์จะเรียนมโมยิทธิ ท่านจะบอกให้รู้จักการถือศีล ๕ และ ศีล ๘ จากนั้นก็จะสอนให้รู้จักกับการตัดสังขารร่างกาย สอนให้พิจารณาความตายก่อนทุกครั้ง ไม่ให้ยึดติดสิ่งสมมุติใดๆทั้งหลายในโลก เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมะที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งสิ้น จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงค่อยสอนฤทธิ์มโนมยิทธิให้ เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านนำวิชามโนมิยทธินี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อความบรรลุมรรคผล ไม่ใช่นำวิชาของท่านไปใช้ในทางมิชอบมิควร ใช้ฤทธิ์เพื่อสนองตัณหาตนเอง ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น

  X$ a- j7 ^6 B& c2 o0 _
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-5-23 15:03 , Processed in 0.069012 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.