ตำนานพระธาตุ ๔ จอม
(จอมมอญ จอมกิตติ จอมทอง จอมแจ้ง)
อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ในอดีตสมัยครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพุทธกิจเพื่อหิตานุหิตประโยชน์แก่ประชาชนพลโลกทั้งมวล โดยไม่จำกัดชาติ ชั้น วรรณะ นับว่าเป็นพรรษาที่ ๒๕ หลังจากตรัสรู้แล้ว พระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา พระองค์ได้เสด็จจาริกสั่งสอนเวไนยสัตว์ไปตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ทั้งหลาย
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปสู่เมืองยวม (อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน) พม่าเรียกเมืองยวมว่า "ไมลองยี" แปลว่า เมืองหินแร่ใหญ่ เพราะมีเหมืองแร่หลายชนิด) พระองค์ทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ ๑ รอย (ปัจจุบันเรียก "พระพุทธบาทถ้ำพระเจ้า" อยู่ที่บ้านแม่ต๊อบเหนือ หมู่ที่ ๗ ตำบลบ้านกาศ)
เมื่อมาถึงตอนนี้จะขอกล่าวถึงตำนานพระธาตุ ๔ จอม ที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสู่กันฟังต่อๆ มา มีแม่เฒ่าหม่อนเหมย วงค์น้อย อายุ ๘๐ กว่าปี กล่าวว่า คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่เมืองยวมนี้ พระองค์ได้ทรงหยุดยืนนิ่ง พร้อมเพ่งมองไปทางทิศเหนือยังดอยลูกหนึ่ง ดอยลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า “ดอยจอมมอง”
ต่อมายามเกิดภัยสงคราม ผู้คนจึงนำเงินทองบรรทุกเกวียนมาฝังไว้ในถ้ำมากมายถึง ๓ เกวียน ถ้ากองรวมกันก็เป็นม่อนดอย บางส่วนได้สร้างเจดีย์ครอบไว้ จึงเรียกว่า “ดอยจอมม่อน” กาลต่อมาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกวาดต้อนพม่า มอญ ไทใหญ่ (เงี้ยว) กะเหรี่ยง (ยาง) บัญชาให้ช่างชาวมอญบูรณะพระเจดีย์ขึ้นใหม่ จึงเรียกชื่อว่า “พระธาตุจอมมอญ” มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ย้อนกล่าวถึงเมื่อพระพุทธองค์เพ่งมองที่ดอยจอมมอง แล้วเสด็จต่อไปเอาพระหัตถ์ไปแตะที่ดอยลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก กิริยาที่มือแตะหรือจับต้อง ภาษาพื้นเมืองโบราณเรียกว่า “ติ” จึงมีชื่อว่า “ดอยจอมกิตติ” มาจนทุกวันนี้
แล้วพระองค์ก็ไปประทับพระหัตถบาทไว้ยังดอยอีกลูกหนึ่งอยู่บนถ้ำ (ปัจจุบันเรียก "รอยพระพุทธหัตถ์ สำนักสงฆ์รอยพระพุทธหัตถ์ อุทยานหินยุคออร์โดวิเชียน (๔๔๓-๔๘๘ ล้านปี)" อยู่ที่บ้านดงสงัด หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สะเรียง)
จากนั้นพระองค์ก็ท่องเที่ยว (ต้องเตียว) ต่อไปยังดอยอีกลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก จึงมีชื่อเรียกว่า "ดอยจอมท่อง" (จอมต้อง) ต่อมาเพี้ยนเป็น "ดอยจอมทอง" มาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นพระองค์ก็จาริกเดินทางต่อไป มาสว่างยังดอยอีกลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองยวมเดิม จึงเรียกว่า "ดอยจอมแจ้ง" มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ต่อมาในยุคของพระฤาษี ประมาณ พ.ศ.๑๐๐๐ กว่า (เข้าใจว่าจะอยู่ในสมัยเดียวกันกับพระฤาษีวาสุเทพแห่งอุจฉุบรรพต (ดอยสุเทพ) ส่วนที่เมืองยวมยังมีพระฤาษี ๔ ตน เป็นพี่น้องกัน
พระฤาษีผู้พี่ (องค์ที่ ๑) พำนักอยู่ดอยจอมกิตติ เก่งทางหมอยา สามารถชุบชีวิตผู้ที่พึ่งตายใหม่ๆ แล้วให้ฟื้นคืนชีพได้ โดยสอนให้ศิษย์ทำการผสมสูตรยาชุบชีวิตไว้เป็นอย่างดี แล้วก็กระโจนลงสู่หม้อยาที่กำลังร้อนเดือดอยู่ ร่างฤาษีได้ละลายหายไปในหม้อยานั้น ศิษย์ตกใจเป็นอย่างยิ่งจึงผสมสูตรยาผิดๆ ถูกๆ ด้วยลืมขั้นตอนการใส่ยาชุบชีวิต ทำให้พระฤาษีผู้เป็นอาจารย์ต้องมาจบชีวิตลงในหม้อยานั่น ปัจจุบันยังมีผู้พบยาฤาษีผสมเป็นก้อนหิน เมื่อทุบดูข้างในจะมีผงยาสีขาวบ้าง สีเหลืองบ้าง สามารถนำมาแช่น้ำเป็นยาวิเศษรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ตามความเชื่อของคนเจ็บป่วยที่รักษาที่อื่นไม่หาย ก็มาหายกับยาฤาษีผสมนี้ก็มี
พระฤาษีองค์รอง (องค์ที่ ๒) พำนักอยู่ดอยจอมทอง เก่งทางเล่นแร่แปรธาตุ สามารถซัดตะกั่วให้กลายเป็นทองคำก็ได้
พระฤาษีผู้น้องที่สาม (องค์ที่ ๓) พำนักอยู่ดอยจอมแจ้ง เก่งทางวิชาอาคมไสยเวทย์ทุกประการ
พระฤาษีผู้น้องสุดท้อง (องค์ที่ ๔) พำนักอยู่ดอยจอมมอญ เก่งทางเรียกฝนเรียกลม สำเร็จกสิณน้ำกสิณลม บันดาลให้มีน้ำหรือให้บังเกิดเป็นน้ำบ่อทิพย์ขึ้นบนเขาที่แห้งแล้งก็ได้ (มีผู้พบบ่อน้ำทิพย์บนเขาดอยจอมมอญ ๒ ราย ให้ดื่มกินได้ เมื่อพาผู้อื่นไปเอา กลับหายไปหาไม่พบ ปัจจุบันเจาะบ่อบาดาล น้ำใต้ดินได้ไหลพุ่งขึ้นมาเอง ไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ พระฤาษีผู้นี้อาจบันดาลให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ เป็นน้ำบ่อทิพย์ใช้เป็นประโยชน์ได้ทั้งวัดเลยทีเดียว)
พระฤาษีทั้งสี่พี่น้องนี้ยังได้สร้างเจดีย์สำเร็จด้วยหินอยู่บนเขาทั้งสี่จอม ไว้เป็นที่สักการบูชาของสาธุชนอีกด้วย และมีอาจารย์ของพระฤาษีเป็นอาจารย์ใหญ่ที่ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้พระฤาษีทั้ง ๔ ตนนี้ ท่านพำนักอยู่ถ้ำเหง้า (หรืออาจเป็นถ้ำพระเจ้า ซึ่งอยู่ในป่าทางทิศเหนือที่พบรอยพระพุทธบาทนั้นก็ได้) เมื่อหมดยุคของพระฤาษีแล้ว ก็รกร้างเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา และหนีภัยสงครามกันด้วย
กาลต่อมาถือเอาบุพนิมิตที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชาวเมืองยวมพยากรณ์จอมดอยสี่แห่ง จึงได้สร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น ๔ มุมเมือง โดยที่ชาวอำเภอแม่สะเรียงเป็นอำเภอชายแดนติดเขตพม่า แต่ก่อนเคยเป็นถิ่นฐานอาศัยของชนเผ่าลัวะ (ละว้า) ยาง (กะเหรี่ยง) ต่อมามีชนพื้นเมือง พม่า ไทใหญ่ (เงี้ยว) มอญ (เม็ง) อพยพมาอาศัยอยู่ด้วย เพื่อความสมัครสมานสามัคคีกันในหมู่คณะ ต่างก็ถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง จึงปรึกษาหารือกันให้
ชาวมอญ สร้าง “พระธาตุจอมมอญ” ไว้สักการบูชา ประมาณปี พ.ศ.๒๑๔๓ (สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
ชาวพม่า สร้าง “พระธาตุจอมกิตติ” ไว้สักการบูชา ประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๐
ชาวไทใหญ่ (เงี้ยว) สร้าง “พระธาตุจอมทอง” ไว้สักการบูชา ประมาณปี พ.ศ.๒๒๐๑
ชาวพื้นเมือง สร้าง "พระธาตุจอมแจ้ง" ไว้สักการบูชา ประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๗
พระธาตุ ๔ มุมเมืองทุกแห่ง ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศพม่ามาบรรจุไว้ในพระเจดีย์อีกด้วย และปรากฏเหตุการณ์อัศจรรย์ คือ มีแสงพระธาตุเสด็จลอยไปมาหาสู่กันระหว่างพระธาตุ ๔ จอมนี้อยู่เสมอ ในคืนวันพระและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าสืบๆ กันมา ผูกเป็นคำกลอนพูดติดปากกันว่า “จอมมอญ มาจอมมะติ มาต้องที่นี่ และมาแจ้งที่นี่” ก็คือ พระธาตุจอมมอญ จอมกิตติ จอมทอง และจอมแจ้ง นั่นเอง ผู้เฒ่ากล่าวว่า พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้ว่า “หากพระธาตุ ๔ จอมนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเมื่อใด ชาวเมืองยวมและพุทธศาสนาจะมีความเจริญรุ่งเรืองถึงที่สุด จะได้อยู่เย็นเป็นสุขถ้วนหน้ากัน”
ปัจจุบันพระธาตุ ๓ แห่ง ได้บูรณปฏิสังขรณ์ มีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ยังคงค้างพระธาตุจอมกิตติที่ยังไม่ค่อยเจริญเท่าใดนัก ถึงกระนั้นอำเภอแม่สะเรียงก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าเก่ามาก นับว่าเจริญเป็นอันดับ ๒ รองจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนเลยทีเดียว
ดังนั้นพระธาตุ ๔ จอม จึงถือเป็น "พระธาตุคู่บ้านคู่เมือง" แม่สะเรียง สมดั่งคำขวัญของอำเภอแม่สะเรียงว่า.....
ผ้าทอกะเหรี่ยง เสนาะเสียงสาละวิน
งามถิ่นธรรมชาติ พระธาตุสี่จอม
ดอกไม้หอมเอื้องแซะ
แวะบูชารอยพระหัตถ์ พระบาทเมืองยวม
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : นาคฤทธิ์ รวบรวมชำระสะสาง (๒๕๔๐-๒๕๔๕). (๒๕๔๕, ตุลาคม). พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสาง (พิมพ์ครั้งที่ ๑). เชียงใหม่: ลานนาการพิมพ์, หน้า ๒๒๐-๒๒๑.)
ประวัติวัดพระธาตุจอมกิตติ
วัดพระธาตุจอมกิตติ ตั้งอยู่ที่บ้านจอมกิตติ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลแม่ยวม อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ในเนื้อที่ ๘๐ ไร่ ทำการสร้างวัดพระธาตุจอมกิตติ เมื่อปี พ.ศ.๒๒๕๖ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มาจากหนังสือประวัติทั่วราชอาณาจักร เล่มที่ ๙ โดยฝ่ายศาสนสถาน กองพุทธศาสนสถาน กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ ๑๐๐๙ บรรทัดที่ ๑-๔
วัดพระธาตุจอมกิตติ เดิมทีเรียกว่า วัดพระธาตุจอมมาติ หรือ วัดพระธาตุจ๋อมมาติ ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น “ไทยเมือง” หรือ “คนเมือง” ส่วนชาวไทใหญ่และชาวพม่าเรียกวัดนี้ว่า “จ๋อมมาเต่” ซึ่งแปลว่า วัดพระฤาษี ด้วยคำว่า “จ่วอง” แปลว่า วัด ส่วนคำว่า “หม่าเต่” แปลว่า พระฤาษี
จากตำนานที่ได้พูดสืบต่อกันมาว่า มีพระฤาษี ๔ ตน เป็นพี่น้องกัน ได้มาศึกษากับครูพระฤาษีที่เก่งกาจทรงมหาอิทธิฤทธิ์ เหนือเมืองยวม พระฤาษี ๔ ตนพี่น้อง ศึกษาวิชาจากท่านพระฤาษีจนจบวิชาที่ร่ำเรียน จนชำนิชำนาญ ท่านครูพระฤาษีจึงบอกให้พระฤาษีลูกศิษย์ทั้ง ๔ พี่น้อง ไปบำเพ็ญเพียรและไปโปรดชาวเมืองยวม โดยให้ไปอยู่ ณ ดอยสี่มุมเมือง หรือ ม่อนจ๋อมสี่มุมเมืองนั้น คือ
พระฤาษีพี่ใหญ่ ได้พำนักอยู่ที่ม่อนจ๋อมมาติ หรือ "ดอยจอมกิตติ" พระฤาษีผู้น้องรองลงมา ได้พำนักอยู่ที่ม่อนจ๋อมต้องหรือจ๋อมตอง หรือ "ดอยจอมทอง" พระฤาษีผู้น้องที่สาม ได้พำนักอยู่ที่ม่อนจ๋อมแจ้ง หรือ "ดอยจอมแจ้ง" พระฤาษีผู้น้องตนสุดท้าย ได้พำนักอยู่ที่จ๋อมม่อนกุ ดอยก้อนเส้า หรือ "ดอยจอมมอญ” ซึ่งสมัยก่อนโน้นเรียกกันว่า ดอยสามเส้า เพราะเป็นภูเขาสามลูกตั้งอยู่ใกล้กัน มีลักษณะคล้ายก้อนเส้านั่นเอง และเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดอยหัวเกวียน หรือดอยสามเกวียน
และหลังจากนั้นพระฤาษี ๔ ตนพี่น้อง ก็ได้ทำการประชุมปรึกษาหารือกันว่าควรที่จะสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้น ณ จ๋อมทั้งสี่จ๋อม สี่มุมเมืองยวม เพื่อที่จะให้คนชาวเมืองยวมได้มากราบไหว้สักการบูชาเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองยวม คอยปกป้องคนชาวเมืองยวม
จากนั้นก็ได้ลงมือสร้างพระธาตุเจดีย์องค์แรกขึ้น ณ ม่อนจ๋อมมาติ ซึ่งเป็นสำนักของพระฤาษีพี่ใหญ่อาวุโสกว่า จากนั้นเป็นต้นมาก็เรียกเป็น พระธาตุจ๋อมมาติ หรือ พระธาตุจอมกิตติ ต่อมาพระฤาษีก็ได้ช่วยกันสร้าง พระธาตุจ๋อมตอง หรือ พระธาตุจอมทอง หลังจากนั้นก็ได้ช่วยกันสร้าง พระธาตุจ๋อมแจ้ง หรือ พระธาตุจอมแจ้ง และ พระธาตุจ๋อมม่อนกุ หรือ พระธาตุจอมมอญ ตามลำดับ จนครบพระธาตุเจดีย์ ๔ องค์ กลายเป็นพระธาตุสี่จอม เพื่อให้ลูกหลานชาวเมืองยวมได้กราบไหว้สักการบูชามาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๐ พระธาตุจอมกิตติได้รับการสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่โดย ปู่พะและ ชาวพม่า
และพระธาตุจอมกิตตินี้ได้บูรณะใหม่อีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๖ ขึ้น ๙ ค่ำ เริ่มลงมือตามฤกษ์ เวลา ๑๐.๒๕ น. โดยการนำของ หลวงพ่อขิ่นตอง โฆสวโร (พระครูอนุสรณ์ศาสนคุณ) เจ้าอาวาสวัดอมราวาส บ้านโป่ง ตำบลบ้านกาศ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : ป้ายประวัติวัดพระธาตุจอมกิตติ และพระอาจารย์สวัสดิ์ นริสฺสโร อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกวัดพระธาตุจอมมอญ เรียบเรียงประวัติ ๒๕๔๔. เอกสารประวัติพระธาตุสี่จอมและวัดพระธาตุจอมมอญ. ได้รับความอนุเคราะห์เอกสารจาก คุณลุงตีแอ ผู้ดูแลวัดพระธาตุจอมมอญ อายุ ๖๘ ปี (พ.ศ.๒๕๕๖))