วัดพระยืน
ม.๑ ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลำพูน
[พระยืนศิลา]
----------------------
(กำลังรอแก้ไขข้อมูล : มีนาคม 2566)
วัดพระยืน มีชื่อเดิมว่า “วัดอรัญญิการาม” มีฐานะเป็นวัดประจำทิศตะวันออกในบรรดา “วัดสี่มุมเมือง” ที่พระแม่เจ้าจามเทวีทรงโปรดสร้างขึ้นในพ.ศ.๑๒๑๓ เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระสังฆเถระที่ติดตามมาจากเมืองละโว้ ในช่วงเวลาแรกๆ ของการเสด็จขึ้นครองหริภุญชัย โดยในครั้งนั้นได้ทรงสร้างวิหาร พระพุทธรูป และเสนาสนะขึ้นภายในวัดด้วย
เมื่อพ.ศ.๑๖๐๖ พระเจ้าอาทิตยราชครองนครหริภุญชัย ได้ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสำริดประทับยืนสูง ๑๘ ศอก หรือพระอัฏฐารสขึ้น และโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ด้านหลังพระวิหารวัดอรัญญิกกรัมมาการาม ทรงสร้างปราสาทสถูปประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น แล้วเรียกชื่อว่าวัด “พุทธาราม”
ในพ.ศ.๑๙๑๓ ครั้งพระเจ้ากือนาครองเมืองเชียงใหม่ ได้ทรงนิมนต์สุมนเถระจากกรุงสุโขทัยขึ้นมาเผยแผ่พระพุทธศาสนารามัญวงศ์ (ลังกาวงศ์เก่า) ยังล้านนา โดยโปรดให้พำนักอยู่ที่วัดพระยืน ในครั้งนั้นได้ทรงปฏิสังขรณ์องค์พระพุทธรูปที่พระเจ้าอาทิตยราชสร้างขึ้น และได้สร้างพระพุทธรูปอีก ๓ องค์ ประดิษฐานในทิศทั้ง ๓ คือ ทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ และสร้างมณฑปองค์ใหม่ด้วย ร่องรอยจากนิราศหริภุญชัยซึ่งรจนาโดยกวีชั้นสูงในราชสำนักเชียงใหม่ราวพ.ศ.๒๐๖๐ พบว่าเจดีย์ที่สร้างขึ้นในครั้งนั้นเป็นเจดีย์ทรงมณฑป มีโขงโล่งทะลุถึงกันทั้ง ๔ ด้าน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืน ๔ องค์ ซึ่งหมายความถึงอดีตพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคม พระกัสสปะ และพระสมณโคดม
พระสุมนเถระพำนักอยู่ที่วัดพระยืนจนพ.ศ.๑๙๑๖ พระเจ้ากือนาจึงทรงอาราธนาไปพำนักอยู่ที่วัดสวนดอกฝั่งตะวันตกของนครเชียงใหม่ จวบจนกระทั่งเมืองลำพูนและล้านนาทั้งปวงตกอยู่ใต้การปกครองของพม่า วัดพระยืนและชุมชนบริเวณนี้ถูกทิ้งร้างไปเนื่องจากความวุ่นวายของบ้านเมืองยามสงคราม จนพ.ศ.๒๓๔๙ พระยาคำฝั้นได้นำไพร่พลจากเมืองยองมาตั้งมั่นอยู่ในจังหวัดลำพูน โดยเฉพาะบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกวงในเขตตำบลเวียงยองในปัจจุบัน เมืองลำพูนและชุมชนวัดพระยืนจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ในพ.ศ.๒๔๔๓ พระคันธวงค์เถระ (ครูบาวงศ์) ภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูศีลวิลาส เจ้าคณะแขวงจังหวัดลำพูน และเจ้าอินทยงยศโชติผู้ครองเมืองลำพูนในขณะนั้น (พ.ศ.๒๔๓๘-๒๔๕๔) ได้ออกแบบก่อสร้างเจดีย์วัดพระยืนขึ้นอีกครั้ง มีหนานอุปประบ้านสันต้นธงและหนานอายุเป็นผู้ช่วยในการควบคุมการก่อสร้าง โดยมีชาวลัวะจากบ้านศรีเตี้ย ตำบลหนองล่อง เป็นแรงงานสำคัญ โดยการบูรณะในครั้งนั้นได้ก่ออิฐครอบองค์พระพุทธรูปเดิมไว้ภายใน และเพิ่มความสูงส่วนฐานของเจดีย์พร้อมปั้นพระพุทธรูปประดับในซุ้มจระนำทั้ง ๔ ด้านขึ้นใหม่และตกแต่งด้วยศิลปะพม่าแบบพุกามดังปรากฏในปัจจุบัน
ในพ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๔๙ กรมศิลปากรจึงได้ทำการบูรณะและปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์เจดีย์วัดพระยืนขึ้น แต่ในระหว่างปฏิบัติงานได้พบแนวอิฐโบราณสถานใต้ชั้นดินหลายจุด สำนักงานศิลปากรที่ ๘ จึงได้ระงับการปรับปรุงภูมิทัศน์พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปแบบรายการงานปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บางส่วนเป็นงานขุดแต่งทางโบราณคดี โดยหลังการขุดแต่งได้พบอาคารโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญหลายประการที่แสดงให้เห็นว่าวัดพระยืนนี้สร้างในสมัยอาณาจักรหริภุญชัยมีความสำคัญในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐานพุทธศาสนาของอาณาจักรหริภุญชัยสืบมาจนถึงล้านนาและปัจจุบัน สอดคล้องกับเอกสารตำนานฉบับต่างๆ และศิลาจารึกวัดพระยืน