แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 5374|ตอบ: 27
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ 4-8 ธันวาคมนี้ มูลนิธินิธิกร เยื้องวัดอโศการาม [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1



1. ผู้นำปฏิบัติ  :    แม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ จาก วัดป่าเจดีย์เทวธรรม(สำนักวิปัสสนากรรมฐานขุนศึกเทพพญา)  ติดตามรายละเอียดของท่านได้ที่ แม่ชีเกณฑ์ วัดป่าเจดีย์ | Facebook   
https://www.facebook.com/profile.php?id=100006281232950&ref=ts&fref=ts

  ประวัติของท่าน
                   คุณแม่ชีเริ่มสนใจศึกษาพระธรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี คุณแม่ชีได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านบอกว่า มนุษย์เกิดมามีแต่ความอยาก มีแล้วก็อยากมีอีก คนฟังธรรม 100 คน ฟังแล้วหลุดพ้นได้มีไม่กี่คน ต้นไม้ที่มีรากก็จะสามารถออกดอก ออกผล มีลูก ต่อยอดไปไม่มีวันจบสิ้น เปรียบกับมนุษย์ที่...มีครอบครัว ก็มีทั้งลูก หลาน ญาติ พี่น้อง หากใครต้องการหลุดพ้น ต้องออกจากการมีครอบครัว ด้วยการตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลังจากได้ฟังหลวงปู่ศรีแล้วนั้นท่านแม่ชีก็ตั้งใจปฏิบัติ เดินทางไปฟังเทศน์จากหลวงปู่ และใส่บาตรกับหลวงปู่อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งอายุ 18 จึงตัดสินใจบวชชี เพราะต้องการหลุดพ้น คุณแม่ชีได้ออกบวชตั้งแต่ท่านอายุ 18 ปี ที่วัดบูรพาพิราม และได้เดินทางมากรุงเทพ มาปฏิบัติธรรมที่วัดบุญศรีมณีกรณ์ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งเป็นวัดเป็นเพียงสำนักปฏิบัติธรรม เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยมีหลวงปู่เลื่อนจากวัดถ้ำผ้าห่อ จ.นครศรีธรรมราช เป็นวิปัสสนาจารย์และเป็นผู้สอบอารมณ์
                  ในการปฏิบัติ คุณแม่ชีได้มองเห็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เห็นทางพ้นทุกข์ เป็นอย่างไร หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไปอยู่ที่วัดร่ำเปิง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ประมาณ 16 ปี โดยทำหน้าที่เป็นผู้สอบอารมณ์แก่ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่นั่น และไปอยู่ที่อื่นๆรวมระยะเวลาที่อยู่ทางเหนือประมาณ 20 ปีหลังจากนั้นจึงได้กลับมาอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด
                 ตลอดระยะเวลา 36 ปี แห่งการบวชชีเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนา ท่านแม่ชีได้พบและเรียนรู้คำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ท่านแม่ชีจีงต้องการถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธองค์ให้กับผู้ที่สนใจได้รู้และนำไปปฏิบัติ สิ่งที่ท่านแม่ชีสอนคือแนวทางการปฏิบ้ติสติปัฎฐานสี่ เบื้องต้น เพื่อให้รู้กาย รู้จิต รู้สติ รู้ลมหายใจ เพื่อให้เกิดปัญญา.....
                ปัจจุบันท่านเป็นผู้อบรมและเป็นผู้สอบอารมณ์ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าเจดีย์เทวธรรม จ.ร้อยเอ็ด และเคยมาเปิดอบรมการปฏิบัติธรรมที่สมุทรปราการเมื่อเดือน กย. ที่ผ่านมา



Rank: 1

"แท้งเด็กหนึ่งคนเท่ากับฆ่าผู้มีกิเลส 100 คน"
แม่ชีเกณฑ์ท่านเล่าถึงพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านไม่ได้เจอพี่คนนี้มา 10 กว่าปีแล้ว เมื่อสักเดือนที่ผ่านมาเขาไปเห็นชื่อและรูปของท่านในเฟสบุคที่เขียนเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์การเปิดอบรมที่สมุทรปราการ เขาเปิดเข้าไปดูเห็นชื่อของท่าน วัดที่ท่านอยู่ แล้วเขาก็จำได้ว่าท่านคือผู้ที่ชุบชีวิตใหม่ให้กับเขา เขาคิดว่าท่านไม่ได้อยู่ที่ร้อยเอ็ดแล้วเพราะตอนนั้นท่านบอกว่าจะอยู่เพียงแค่ปีเดียว เขาไปกราบท่านและเล่าเรื่องราวทั้งหมดหลังจากนั้นให้ท่านฟัง เขาบอกว่ายินดีที่จะเปิดเผยเรื่องของตัวเองให้ผู้อื่นได้อ่านเป็นเรื่องสอนใจ ย้อนหลังไปปี 2537 มีคนพาผู้หญิงคนหนึ่งมาจากอำเภออื่นในร้อยเอ็ดเพื่อมาปฏิบัติธรรมกับท่าน เขามาด้วยหน้าตาดำเศร้าหมอง ท่านพานั่งพาเดินจนจิตของเขาสงบขึ้น แล้วเขาก็แสดงอาการปวดท้องออกมาอย่างหนักจนเหยื่อยางตายออก ท่านจึงถามว่าเธอเคยทำแท้งมาไหม เขาจึงบอกท่านว่าเขาเพิ่งไปทำแท้งมาได้สัก 1 เดือนก่อนจะมาที่นี่ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาอยู่กับแฟนที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ผู้ชายไปมีคนอื่น ทำให้เขาทุกข์ใจมากทั้งในท้องก็มีลูกน้อย เขาตัดสินใจทำแท้งลูกเพราะตนเองยังไม่พร้อม หลังจากนั้นชีวิตราวกับดิ่งลงเหว หลังจากทำแท้งเจ็บปวดอยู่เกือบตาย เขาทุกข์มากทั้งทางกายทางใจ ทำสิ่งใดมีแต่อุปสรรคขัดขวาง เขาเคยกินยาฆ่าตัวตายแต่ช่วยไว้ทัน เขาอยู่ด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ราวกับคนเสียสติ เขามาปฏิบัติกับท่านอยู่1 เดือน เจ็บหนักมากอยู่ 3 วัน เจ็บนิดๆหน่อยๆกว่าจะหายก็ 7 วัน เขาไม่ได้กินยาแก้ปวดและไปหาหมอ ท่านบอกว่าเป็นกรรมทำเขาไว้ก็ต้องชดใช้ พอเจ็บปวดก็รู้ก็แผ่เมตตาไปให้กับเด็ก กำหนดไป จากหน้าดำคร่ำเครียด ชำระได้ ใจก็สบายขึ้น จิตก็สงบขึ้น ปล่อยวางได้ หน้าตาก็แจ่มใสขึ้น ได้ชีวิตใหม่ไป สิ้นวิบาก ทำอะไรก็สำเร็จไปได้ง่าย และมีสัมผัสพิเศษเกิดขึ้น ชีวิตหลังจากนั้นสามารถสอบบรรจุครูได้และเรียนต่อจนจบปริญญาโท เขาอยากจะขอเตือนเพื่อนๆใครที่ยังไม่ทำหรือกำลังคิดจะทำจะสร้างกรรมใหญ่ กรรมนี้จะขวางกั้นการปฏิบัติทุกอย่าง ตั้งแต่ทำแท้งมาชีวิตของเขาไม่เคยมีความสุข มีแต่อุปสรรคจะทำอะไรก็ถูกขัดขวาง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทุกข์ทั้งทางกายและทุกข์ทั้งทางใจ ไม่มีอะไรดีขึ้นด้วยกรรมที่ทำมา แต่เขายังไม่ปล่อย ยังตามตัวเองไปเรื่อยๆแผ่เมตตาให้เขาไป ไม่ทุกข์ไม่ขวางไม่เศร้าหมองทำอะไรก็รุ่งโรจน์ไปได้ง่าย แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าคนที่ทำแท้งแล้วโอกาสที่จะดีขึ้นคือต้องมาปฏิบัติอย่างเดียว อุทิศให้เขาอย่างเดียว แล้วก็ทำบุญทำทานให้เขาด้วย ชดใช้วิบาก การบวชนี่ล่ะที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้อย่างน้อย 15 วันหรือทำไปเรื่อยๆ แต่ต้องปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เดินนั่ง เดินนั่ง อยู่อย่างนั้น 15 วันเขาก็ปล่อย แต่ก็ขึ้นกับความแค้นของเด็กแต่ละคน ปฏิบัติไปเรื่อยๆเขาก็จะปล่อยของเขาเอง คนที่พลาดแล้วอย่าได้คิดฆ่าเขาถ้าบอกใครไม่ได้หากไม่อยากเลี้ยงดูก็ไปฝากไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าหรือที่วัดที่มีผู้ดูแลหรือญาติพี่น้อง หรือคุณจะเลี้ยงดูเองก็จะเป็นบุญของคุณ ดีกว่าไปฆ่าเขาชีวิตจะตกต่ำมาก ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์กล่าวถึงจิตของเด็กที่มาเกิดเหมือนเทวดาที่ไม่มีกิเลสมาปรุงแต่งอะไรเลย ยอมรับแล้วก็เลี้ยง เลี้ยงไม่ได้ก็ต้องไปไว้บ้านอนาถาดีกว่าจะฆ่า เมื่อพาเด็กไปก็ต้องขออโหสิกกรรมอย่าได้เป็นเวรเป็นกรรมแก่กันและกันเลย แล้วให้ชีวิตของเรารุ่งเรืองขึ้นไป ให้เธอมีจิตใจเมตตา ตัวเองมีชีวิตดีขึ้นถ้าลูกยังอยู่ที่นี่จะมาเยี่ยมเยียน มีเงินก็จะเอามาให้ที่นี่ ให้อธิฐานอย่างนี้แล้วชีวิตตัวเองจะได้ดีขึ้นแต่ต้องทำตามสัจจะชีวิตจะได้ไม่มีอุปสรรคนานาประการ นี่คือทางออกที่ดีที่สุด ท่านบอกว่าดวงจิตที่มาเกิดเป็นเด็กในท้องเป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ไม่เศร้าหมองเหมือนเรา หากเราฆ่าเด็กในท้องบาปกรรมเท่ากับการฆ่าผู้มีกิเลส 100 คน ซึ่งในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวถึงสิ่งนี้ไว้ จึงไม่ต้องแปลกใจกับวิบากที่เราจะได้รับว่ามากมายขนาดไหน จึงควรหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ มันไม่คุ้มกันเลยกับความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิตอย่างไม่มีวันหยุด

Rank: 1

ตารางการปฏิบัติสมาธิภาวนา ครั้งที่ 4   การปฏิบัติไม่มีค่าใช้จ่ายอันใด

พุธที่ 4 ธ.ค.56 ผู้มาปฏิบัติทยอยเดินทางเข้าที่พัก (วันแรก)- 18.00 น. ผู้ปฏิบัติรวมกันที่ศาลาเพื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็น และรับศีล - 19.00 - 22.00 น. เริ่มต้นการอบรมการปฏิบัติธรรม     
*****สำหรับท่านที่มาในวันถัดๆไปจะมีการรับศีลวันละ 2 รอบคือช่วงเช้าและช่วงค่ำ

วันพฤหัสที่ 5 – เสาร์ที่ 7 ธันวาคม 56- 4.30 น. ถึงห้องอบรมเพื่อเตรียมตัวทำวัตรเช้า - 5.00 ทำวัตรเช้า- 7.00 รับประทานข้าวต้ม - 9.00 ฟังบรรยายการฝึกปฏิบัติพร้อมตอบคำถาม โดยแม่ชีเกณฑ์- 11.00 รับประทานอาหาร - 13.00 ฝึกการปฏิบัติ (อาจมีพักเบรค /พักผ่อนอิริยาบท)- 15.30 – 17.00 น. เน้นการสอบอารมณ์กับแม่ชีเกณฑ์ - 16.30 น. น้ำปานะ + รับประทานอาหาร (สำหรับผู้ถือศีล 5 และผู้ที่ต้องทานยา)- 18.00 - 22.00 น. ทำวัตรเย็น และฝึกปฏิบัติ

อาทิตย์ ที่ 8 ธันวาคม (วันสุดท้ายของการปฏิบัติ)- 4.30 น. ถึงห้องอบรมเพื่อเตรียมตัวทำวัตรเช้า - 5.00 ทำวัตรเช้า- 7.00 รับประทานข้าวต้ม - 9.00 ฟังบรรยายการฝึกปฏิบัติพร้อมตอบคำถาม โดยแม่ชีเกณฑ์- 11.00 รับประทานอาหาร - 13.00 ฝึกการปฏิบัติ (อาจมีพักเบรค /พักผ่อนอิริยาบท)- 15.00 น. ลาสิกขา ปิดการอบรมปฏิบัติธรรม หรือท่านใดมีความจำเป็นต้องกลับแต่เช้าก็สามารถลาศีลกลับก่อนได้

*****สำหรับในวันสุดท้ายเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว มีบางท่านขออนุญาติท่านอยู่ต่อ ถ้ามีเกินหนึ่งคนท่านแม่ชีเกณฑ์จะพิจารณาดูอีกครั้งอาจจะเพิ่มจำนวนวันให้ แต่สำหรับท่านใดที่ไม่สามารถอยู่ต่อได้ก็สามารถลากลับได้ ท่านใดที่ต้องการอยู่เพิ่มจากวันที่กำหนดไว้ สามารถแจ้งความประสงค์กับท่านแม่ชีได้ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้

Rank: 1

ท่านแม่ชีเกณฑ์บอกว่าใครที่ลงชื่อลงทะเบียนไม่ได้ ไม่เป็นไรเข้าไปได้เลย ที่นั่นรองรับคนได้เป็นพัน แจ้งชื่อที่ท่านหรือคุณแก้วได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายอันใด ใครมีเต้นท์ก็เอาไปกางนอนได้เลย มีมุ้งก็เอาไปไม่มีก็มีให้ จะเข้าไปวันไหนก็ได้ที่สะดวกและในวันสุดท้ายหากใครมีธุระต้องกลับก่อนหรือต้องการอยู่ต่อก็แจ้งท่านได้ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ ตอนนี้ผู้ดูแลเฟสบุค งานยุ่งมากทุกอย่างจึงล่าช้าและกำลังจะแก้ไขให้ทุกคนเข้ามาพิมพ์ชื่อได้ ขอบคุณค่ะ
แม่ชีเกณฑ์ 0868540049 (ดีแทค) 0861009373 เอไอเอสคุณแก้ว 0852310550

Rank: 1

19.เรื่องเล่าจากผู้ปฏิบัติธรรมทางบ้าน

"วิธีแก้อาการโงกง่วงโยกไปโยกมา"

เริ่มแรกของการปฏิบัติเมื่อผ่านเรื่องการเดินจงกรมมาได้แล้ว เหลือเพียงเรื่องการนั่งสมาธิที่ยังไม่ดีนัก เริ่มแรกนั่งแล้วเงียบหาย ตัวก็หาย สถานที่ก็หาย ตอนแรกคิดว่าดีเพราะไม่ฟุ้งซ่าน แต่รู้สึกไม่มั่นใจ ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่านั่งแบบนี้ถูกไหม ท่านบอกว่าไม่ได้แล้ว หายเงียบไปแบบนั้นหาใช่ดีไม่ การนั่งสมาธิที่ดีต้องมีสติรู้กายรู้ใจอยู่ครบถ้วน ต้องตื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หายไปไหน ท่านบอกว่าขณะกำลังเกิดภาวะเช่นนั้น ให้แก้ด้วยการลุกเดิน อย่าปล่อยให้ดิ่งหายไปแบบนี้ เมื่อไม่หายไปไหนกลับมาเจออีกภาวะหนึ่งคือโงกง่วงโยกไปโยกมา น่าอายมากหากใครมาเห็น แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะสติมันอ่อนเลยทำให้เสียการทรงตัว ให้เราสำรวจว่าเป็นเพราะร่างกายเราเหนื่อยอ่อนเพลียไหม หรือจะเป็นนิวรณ์ไม่เหนื่อยไม่เพลีย แต่พอเริ่มนั่งก็เริ่มง่วง อันนี้เป็นนิวรณ์แล้ว กลับมาดูตัวเองอาจจะใช่ปกติแล้วเวลาบ่าย 2 ของทุกวัน เราจะงีบหลับ แต่นี่เราไม่ได้นอน และพบว่าหลังอาหารเที่ยง เราจะรู้สึกง่วงอย่างหนัก เมื่อเริ่มเห็นจุดที่จะแก้การโงกง่วงของตัวเองได้แล้ว จึงเปลี่ยนเวลาการกินอาหารให้เสร็จก่อนเที่ยง ประมาณบ่ายโมงเขาจะง่วงพอดี นอนเสียครึ่งชม.ก่อนไปปฏิบัติธรรม ทำให้อาการโงกง่วงหายไปและท่านยังบอกอีกว่าอย่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นมันจะติดเป็นนิสัย เราต้องขัดมัน ถ้ามันโงกง่วงให้เราลุกเดินทันที อย่านั่งต่อต้องฝืนลุกขึ้นมา เมื่อผ่านอาการโงกง่วงมาแล้ว หากนั่งนานเกินไปจะมีการจมแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ระยะหลังท่านให้นั่ง 5 นาที เดิน 5 นาที เพื่อไม่ให้จมแช่ทั้งขณะเดินและขณะนั่ง นั่ง 5 นาทียังไม่ทันง่วงและไม่จมในความคิด เดิน 5 นาทีก็ยังไม่ทันออกนอกวัด ทำแบบนี้แล้วทำให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดตอน แต่กว่าจะแก้ได้ไม่ใช่แค่วันเดียวนะ เราใช้เวลาร่วมๆ 3 เดือนกว่าจะแก้ได้ เมื่อดีขึ้นท่านก็ให้เพิ่มเวลาเป็น อย่างละ 10 นาที 15 นาที แล้วครึ่งชม.ให้เราดูตามความเหมาะสมด้วยตัวเราเองหรือช่วงไหนที่ไม่ไหวจริงๆนั่งแล้วจมและง่วง ถามท่านว่าเดินอย่างเดียวได้ไหม ท่านบอกว่าได้ ผ่านไปเป็นอาทิตย์กลับมานั่งก็เริ่มมีสติขึ้นไม่หายไปไหนและไม่โงกง่วง ถามท่านว่านั่งสมาธิลืมตาได้หรือไม่เพราะหลับตาแล้วจะพาหลับ ท่านบอกว่าจะลืมตาก็ได้ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็เลยนั่งหลังตรงและลืมตา หากวันไหนง่วงทั้งเดินและนั่งจนเอาไม่อยู่ จะด้วยสภาพร่างกายหรือสภาพอากาศเราแก้ด้วยการจับไม้กวาดกวาดใบไม้ไปจนหมดชม. ดีกว่าทนนั่งง่วงเดินง่วงอยู่อย่างนั้น ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่ามีความคิดเกิดขึ้นมากขณะเดินและนั่ง บางทีคิดไปข้างหน้า บางทีคิดไปข้างหลัง แม่ท่านบอกว่าพอมีความคิดเกิดขึ้นก็ให้หยุดเช่นกำลังจะก้าวเท้าลงหากเห็นมันก็หยุดคาอยู่อย่างนั้น เราทำตามที่ท่านบอกแล้วเราก็เห็นมันดับลงไป และอีกวิธีหนึ่งที่ท่านแนะนำเวลาที่ฟุ้งมากๆให้กำหนดไปเลยคิดหนอ คิดหนอ หลายๆครั้ง หรืออยากหนอ อยากหนอ ถ้ามันอยากขึ้นมา จะช่วยให้หายฟุ้งได้ แม้ขณะนี้จะไม่ดีเลิศมากนักแต่เบาบางจากความฟุ้งซ่านไปมาก เสียงข้างในเงียบขึ้นมากเหลือเพียงแต่เสียงภายนอก แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าผู้ใดไปร่วมปฏิบัติธรรมไม่ได้ หากมีปัญหาอารมณ์ใจท่านยินดีจะให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์

Rank: 1

18......คำถามจากผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งทางอินเตอร์เนต                       

  "นั่งสมาธิแล้วสั่นแบบเจ้าเข้า" 

คือผมมีปัญหานั่งสมาธิแล้วเกิดอาการสั่นนะครับ ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้จริงจังกับการนั่งสมาธิมากนัก ...แต่ผมพึ่งมาฝึกนั่งจริง ๆ จัง ๆ ระยะหลังมานี้เอง เบ็ดเสร็จก็ผ่านมา 1 ปี เห็นจะได้ แต่ปัญหาคือ นั่งแล้วเกิดอาการสั่นแบบเจ้าเข้านะซิครับอาการมีดังนี้ครับ... แขนสองขาจะสั่นแรงมาก ๆ ... แต่หน้าไม่สั่น... บางครั้งมือทั้งสองข้างก็สบัดขึ้นมาตบเข่าซะงั้น... บางครั้งขามันก็ร่วมสั่นกับเขาด้วย เรียกว่ามันสั่น จนตีกับพื้นเสียงดังเชียว... นึกถึงภาพเวลาคนทรงเจ้าเข้าผี อาการสั่นป็นอย่างนั้นเลยครับ... แม้กระทั่งตอนนั่งสมาธิแล้วกำลังสั่น ๆ ผมลองลืมตาขึ้นมาดูตัวเอง ก็ยังเห็นแขนตัวเองสั่นอยู่เลย ...งงเลย... บางครั้งสวดมนต์ไป โดยไม่ได้หลับตาแต่ประการใด ... พอเกิดสมาธิขึ้นมา ร่างกายผมก็สั่นแล้วครับ... หรือบางครั้งอยู่ในท่ายืน หรือแม้แต่ท่านั่ง แค่ลองรวมสมาธิเล่น ๆ ... มันก็สั่นได้ง่าย ๆ แล้วครับ... แถมเวลาสั่นนี้ห้ามเอาสติไปข่มให้มันหยุด ... มิฉะนั้นจะสั่นแรงกว่าเดิม... อาการปิติเหล่านี้มีใครเป็นบ้างครับนี้คืออาการเมื่อก่อนผมเลยต้องใช้วิธี สั่นก็ช่างมัน ไม่สนใจ ปล่อยมันไป... ทุกวันนี้ก็ดีขึ้นครับ... แต่มันก็ยังสั่นอยู่ดี ....ยังไม่หายซักที ... แต่ความแรงของการสั่น มันเบากว่าเมื่อก่อนเยอะ... คือมันจะสั่นได้ซักพัก ... เดี่ยวก็หยุดไป ... แต่อยู่ดี ๆ ก็จะสั่นขึ้นมาอีก ... ไม่รู้มันจะสั่นเมื่อไร เวลาใด ไม่สามารถบอกได้... เท่าที่สังเกตอาการสั่นของตัวเอง จะเริ่มมาช่วงท้าย ๆ ของการนั่งสมาธิ... เพราะช่วงท้าย ๆ ของการนั่งสมาธิ ผมจะเริ่มคุมสติไม่อยู่ ...ไม่รู้เกี่ยวกันหรือป่าว... อาการปิติจากการนั่งสมาธิ ไม่ว่า จะเหน็บชา ปวดแข็ง ปวดขา นั่งแล้วหลับ ตกภวังค์ น้ำลายไหล เห็นนิมิต เห็นแสงสี รู้สึกเหมือนแขนขาหายไป ขนลุกซู่ คันตามเนื้อตามตัว ผมก็ผ่านมาหมด... เหลือเจ้าอาการสั่นนี้แหละ ทำยังไง มันไม่หายซักทีรบกวนผู้ทรงความรู้ในห้องนี้ช่วงชี้แนะหน่อยครับอาการปีติแบบนี้ มันเกิดจากอะไร และช่วยชี้ทางแก้ที่ถูกวิธีหน่อยครับ สำหรับวิธีการฝึกขอเล่าอย่างละเอียด จะได้เป็นข้อมูลประกอบ... ผมจะสวดมนต์ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง ... บทสวดประจำก็คือ อิติปิโส กับ ชินบัญชร (หันหน้าไปทิศตะวันตก)... จะนั่งขัดสมาธิธรรมดาบนพื้นกระเบื้องนี้แหละ... ใช้มือซ้ายและขวา วางผาดไปบนขา ... ไม่ได้ใช้วิธีวางมือขวาทับมือซ้าย แต่ประการใด...เมื่อก่อนพยายามฝึกแบบเพ่งกสิณแต่ไม่ถูกจริต... เลยใช้วิธีดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีคำ ภาวนา แต่อย่างใด... จากเริ่มแรกนั่งได้เต็มที่ 20 นาที ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น จนทุกวันนี้นั่งได้ 2 ชั่วโมง... ไม่ว่าจะกลางดึก หลังเที่ยงคืน ตอนเช้าตรู่ ตอนเที่ยง ตอนบ่าย นั่งได้ทุกเวลา แล้วแต่ความสะดวก... ผมฝึกนั่งเองไม่มีใครสอนตั้งแต่ไหนแต่ไรครับ... พอออกจากสมาธิ ก็จะรีบอธิษฐาน อุทิศส่วนบุญกุศลทุกครั้งขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบครับ สารภาพนะครับ ผมอ่านทุกความเห็น ...ที่มาตอบทุกกระทู้เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขอาการนั่งสมาธิแล้วเกิดสั่นบอกตามตรงผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรอุปมาเหมือนคนโน่นคนนี้ บอกว่าทานยาโน่นดี ทานยาตัวนี้ซิดี ... แต่มันก็แก้ไม่ตรงจุดแต่พอคุณพี่อธิบาย เหมือนชี้ทางสว่างมาก ๆ ครับขอบพระคุณมากครับ

คำตอบจากท่านแม่ชีเกณฑ์

ท่านแม่ชีเกณฑ์บอกว่าเป็นนิวรณ์ผสมด้วยวิบากของคุณ ทำให้มีอาการเช่นนั้น สติคุณอ่อน คุณต้องเจริญสติจนเป็นมหาสติจนข้ามพ้นมันได้ ให้เดิน 5 นาที นั่ง 5 นาที จนสติมีกำลังอย่าเพิ่งเพิ่มเวลา ถ้าหากว่า 5 นาทียังเป็นอีกให้ลดเวลาลงจนเหลือ 2 นาที ให้สติถี่ยิบและต่อเนื่องให้นานที่สุด พอกำลังจะเกิดอาการเช่นนั้นให้เปลี่ยนอิริยาบถทันที อย่าไปฝืนจมแช่อยู่เช่นนั้น คุณนั่งสมาธินานไปจมแช่อยู่ในสมาธิจนสติอ่อน ถ้าเรามีสติมากพอมันจะรู้ความเจ็บความปวดที่เกิดจากการนั่งนาน ต้องฝึกจนมีสติให้รู้ทันก่อนที่อาการจะเกิด ถึงมันจะเกิดขึ้นมาอย่าไปยินดียินร้ายกับมัน สติเท่านั้นที่จะแก้มันได้ คุณปล่อยให้เป็นนานเกินไป หากมีผู้แก้อารมณ์ให้ตั้งแต่เริ่มต้นจะไม่เป็นนานขนาดนี้ บางคนเป็นมากกว่านี้เช่นเอาหัวโขกพื้นหรือเอามือตบหน้าผาก ก็เพราะสติอ่อนและด้วยวิบาก แต่ไม่ต้องไปสนใจว่าวิบากอะไร อาการเหล่านี้มันไม่เที่ยงมันก็หายได้ สติเท่านั้นที่จะช่วยได้ ที่นั่งจะนั่งอย่างไรก็ได้จะลืมตานั่งก็ได้ถ้าอยากให้มีสติมากขึ้นส่วนเรื่องสวดมนต์หยุดไว้ก่อนแค่สั้นๆก็พอบางคนติดปิติ นิมิต สุข ฌาน มาเป็น 10 ปีไปหาผู้ที่จะช่วยได้มาทั่วประเทศก็ยังแก้ไม่ได้ ท่านก็บอกให้แก้ด้วยวิธีนี้ ให้หยุดสวดมนต์ยาวๆและนั่งสมาธินานๆก่อนเพราะจะทำให้จมในสมาธิอาการก็ไม่หาย ให้สวดมนต์สั้นๆบูชาพระรัตนตรัยและแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรแค่นั้นพอ ให้รู้ตัวในอิริยาบถย่อยต่างๆ ลมมากระทบกายก็รู้สึก หูได้ยินเสียงก็รู้ ท่านฝากคำถามให้คุณหาคำตอบว่า
1.ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออกเป็นขณะเดียวกันหรือคนละขณะ
2. พอมันเข้าแล้วก่อนจะออกมามันหยุดก่อนหรือออกมาทีเดียวเลย 
3.เสียงมาหาหูหรือหูไปหาเสียง กลิ่นมาหาจมูกหรือจมูกไปหากลิ่น ภาพมาหาตาหรือตามาหาภาพ 
ทุกคำถามที่ให้หาคำตอบเป็นวิธีการฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันและอยู่กับตัว บางคนใช้เวลานานถึง 3 เดือน บางคนแค่ 15 วันหรือ 1 เดือนก็หาย ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมเวลานั่งนั่งให้ตัวตรงหลังตรง คุณขาดสติหนักสมาธิและจมแช่อยู่นานเลยมีอาการเช่นนั้น

Rank: 1

*****ต้องขอยกเลิกการไปเปิดปฏิบัติธรรมที่วัดเขาถ้ำค่ะเพราะสถานที่ยังไม่พร้อมค่ะ*****

Rank: 1

17..........                 

1. แม่ชีเกณฑ์ท่านถามว่าดอกอะไรที่บานแล้วไม่โรยแต่กลับหอมฟุ้งไปไกล และดอกอะไรที่บานแล้วหอมชั่วขณะแล้วโรยไปและดอกอะไรที่ดังแล้วไม่ดับและดอกอะไรที่ดังแล้วดับคำเฉลยของแม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าดอกที่บานแล้วไม่โรยและมีกลิ่นหอมฟุ้งไปไกลเปรีบบเหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงฝั่งพระนิพพานอย่างแท้จริง ลูกศิษย์มากมายไม่มีสิ่งใดทำให้ชื่อเสียงของท่านมัวหมองลงได้และดอกที่บานหอมชั่วขณะแล้วโรยไปเปรียบเหมือนอาจารย์ที่ยังไม่ถึงฝั่ง มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ชั่วขณะแล้วมีบางสิ่งทำให้ชื่อเสียงนั้นมัวหมองไป

2.แม่ชีเกณฑ์ท่านถามว่า เมล็ดอะไรที่หว่านลงพื้นแล้วไม่เกิดทั้งทางโลกและทางธรรม ผู้ปฏิบัติธรรม : หากตอบทางโลกหมายถึงเมล็ดที่ฝ่อแล้วรดน้ำพรวนดินเพียงใดก็ไม่มีวันงอกเป็นต้นขึ้นมาได้อีก หากตอบทางธรรมหมายถึงใจที่หมดสิ้นกิเลสแล้ว ไม่เหลือเชื้อใดที่จะพาไปเกิดเป็นภพเป็นชาติได้อีก แม่ชีเกณฑ์ท่านตอบว่าใช่เมล็ดลีบหรือเมล็ดที่ฝ่อแล้วหมดเชื้อที่จะไปงอกเป็นต้นใหม่ได้อีกก็เหมือนใจที่หมดเชื้อแห่งกิเลสตัณหาก็ไม่สามารถพาไปเวียนว่ายตายเกิดได้อีก

Rank: 1

16.............."ลูกประคำ 109 ลูกไหนเป็นของพระพุทธ"

มีปราชญ์ท่านหนึ่งถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่า ลูกประคำ 109 ลูกที่เท่าไหร่เป็นของพระพุทธ ท่านถามกลับไปว่ามีแค่ 108 ไม่ใช่หรือ แต่เขาบอกเขาจะเอา 109 ท่านไม่เคยได้ยินคำถามเช่นนี้ ท่านขอเวลานั่งสมาธิหนึ่งอึดใจ แล้วตอบออกไปว่าลูกสุดท้ายคือลูกที่เก้าเป็นของพระพุทธ แต่เรียงไม่ถูก ลองเรียงให้ฟังหน่อยเถิด เขาไล่ไปว่าลูกที่ 1 ระลึกถึงคุณแม่นางธรณี ลูกที่ 2 ระลึกถึงคุณแม่คงคา ลูกที่ 3 ระลึงถึงคุณเทพเจ้าเหล่าเทวาลูกที่ 4 ระลึกถึงคุณพระเพลิง ลูกที่ 5 ระลึกถึงคุณบิดามารดา ลูกที่ 6 ระลึกถึงคุณอุปัชฌย์าอาจารย์ ลูกที่ 7 ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ ลูกที่ 8 ระลึกถึงคุณพระธรรม ลูกที่ 9 คือพระพุทธ เอาลูกที่ 9 เป็นของพระพุทธเพราะท่านเป็นผู้ที่ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรแล้วที่ข้องที่ขัด พระธรรมก็มาก่อนพระพุทธเพราะพระพุทธเจ้าเห็นพระธรรมก่อน อริยสงฆ์ก็มาทีหลัง พระพุทธเจ้าจึงเป็นที่สุดของอันนี้

Rank: 1

15...........การเดินทางตอนที่ 4                   

เมื่อเริ่มต้นไปวัดทุกวัน เกิดความมานะพยายามรีบทำงานทุกอย่างให้เสร็จเพื่อไปวัดให้ทันในตอนบ่าย ยิ่งออกมาเดินนอกศาลายิ่งชอบบรรยากาศในวัด  ขณะนั้นเดินจงกรมแบบพุทโธไปด้วย เดินแบบปกติทางจงกรมยาวประมาณ 20 ก้าว นานวันยิ่งกลับพบว่ายิ่งเดินเร็วใจยิ่งร้อนไม่เห็นจะเย็นได้เลย                               
เดินเร็วก็เกิดความเบื่อแม้จะพุทโธไปด้วยเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย เดินตั้งหลายรอบแล้วยังไม่ถึงครึ่งชม.เลย คิดหาวิธีให้ตัวเองหายเบื่อด้วยการเดินไม่ให้เหยียบใบไม้บ้าง ตอนที่เดินในศาลาบอกว่าแคบเดินไม่ได้ พอออกมาข้างนอกบอกว่าแคบอีก ขยายเส้นทางเดินกว้างออกไปอีก ขนาดนั้นยังหยุดความอยากของใจไม่ได้ ทำอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงชม.สักที                                     สุดท้ายเดินแบบนับรอบจงกรมให้ได้ 20 รอบและเดินพุทโธช้าๆเพื่อฆ่าเวลา พบว่าการเดินช้าขึ้นกลับทำให้ใจเย็นลงได้ ใจไม่ไปพะวงกับเรื่องเวลา หลวงพ่อและคนอื่นๆบอกให้เดินตามปกติแต่เรารู้สึกอย่างนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าในชีวิตจริงเราเดินแบบปกติก็ต้องฝึกสติในท่าเดินจริงๆ การเดินแบบไหนเหมาะกับเรา เราคิดถูกหรือผิด ใครหนอจะให้คำตอบเราได้  คิดถึงแม่ชีเกณฑ์แต่ช่วงนั้นยังติดต่อท่านไม่ได้                                    
ครึ่งเดือนแรกคิดว่าท่านคงไม่ว่างเพราะต้องไปกรุงเทพฯ ท่านกลับมาแล้วจึงโทรหา เริ่มแรกที่คุยไม่พูดอะไรมากถามท่านตรงประเด็นเลยว่าตัวเองรู้สึกว่าการเดินช้าทำให้ใจเย็นลง และเหมาะกับการเดินแบบไหน ขอคำชี้แนะจากท่าน                              ท่านตอบว่าการเดินช้าๆเป็นการขัดกิเลส และท่านถามต่อว่าเดินแบบไหนพุทโธหรือไม่มีอะไรเลย บอกท่านว่าบริกรรมพุทโธ  ท่านบอกให้สังเกตเวลาเดิน เท้ายกขึ้น คำว่าพุทกับการรับรู้ที่เท้ายกขึ้นให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน และก่อนเท้าจะลงให้หยุดไว้ก่อน จะเห็นคำว่าโธผุดขึ้นในใจให้มันดับไปก่อนแล้วค่อยเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธ ให้การรับรู้ทั้งที่เท้าและคำว่าโธเกิดขึ้นพร้อมๆกัน                                     
ทำตามที่ท่านบอกเห็นคำว่าโธผุดขึ้นก่อนที่เท้าจะลงเสียอีก ไม่ทำตามมัน ค้างเท้าไว้แล้วเราเห็นคำว่าโธดับลงไป แล้วจึงเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธที่ตั้งใจเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เกิดดขึ้นพร้อมๆกัน เราเห็นใจที่มันสั่งให้ไปข้างหน้าแต่เราไม่ทำตามมัน แล้วมันก็ดับลง ตอนเย็นท่านโทรมาสอบอารมณ์ทุกวัน ท่านบอกต่อว่าถ้าความคิดเกิดขณะยกเท้าให้หยุดค้างไว้หรือความปวดเกิดขึ้นก็ให้หยุดค้างไว้ ท่านไม่บอกว่าทำไม  พอเริ่มเดินช้าไม่เหมือนคนอื่นจึงพาตัวเองไปเดินไกลๆ ได้ทำเลเหมาะเป็นฮวงซุ้ยของคนจีนอยู่บนเนินเขาติดกับชายป่าห่างศาลาวัดเข้าไปอีก ไม่มีความรู้สึกว่าที่นี่น่ากลัวแต่กลับเย็นเพราะมีไอเย็นออกมาจากป่า ไม่มีใครจะเดินท่าไหนใครก็คงไม่ถาม                                  
เริ่มเดินอย่างที่ท่านบอกพอมีความคิดเกิดขึ้นหยุดค้างไว้เราเห็นความคิดดับลง เราไม่กลัวมันแล้วเป็นครั้งแรกที่ไม่กลัวความคิดเกิด พอปวดขาก็หยุดค้างไว้เราเห็นความปวดดับลงไป ปวดมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดมันก็มีช่องว่างเหมือนกัน แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าการเห็นการเกิดดับนี่ละ เป็นต้นทางของการวิปัสสนา

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-15 13:24 , Processed in 0.078844 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.