แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

วัดกานโถม (ช้างค้ำ) บ.ช้างค้ำ ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

DSC00785.jpg


DSC00786.jpg



หอพญามังราย วัดกานโถม (วัดช้างค้ำ) ค่ะ


DSC00783.jpg


รูปพ่อขุนมังรายมหาราช ประดิษฐานภายใน หอพญามังราย วัดกานโถม (วัดช้างค้ำ) ค่ะ


พระคาถาบูชา พ่อขุนเม็งรายมหาราช
(กล่าวนะโม ๓ จบ) สาธุ สาธุ สาธุ อะหัง พันเต มะมะมาติปินัง อิวะ มหาพรหม ราชานังปาหัง วันทามิ (๓ จบ)



Rank: 8Rank: 8

DSC00745.jpg


กรุของมีค่าสมัยโบราณ วัดกานโถม (วัดช้างค้ำ) พึ่งค้นพบเมื่อพ.ศ.๒๕๓๐ โดยปลูกต้นไม้ไว้เป็นเครื่องหมายลายแทง อยู่บริเวณใกล้ ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ได้หน่อจากศรีมหาโพธิ์ วัดกานโถม (วัดช้างค้ำ) ค่ะ


DSC01945.jpg


31122010024.jpg



บ่อน้ำทิพย์ กำเนิดขึ้นแต่พ.ศ.ใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นพร้อมกับวิหารวัดกานโถมแห่งนี้ ขุดพบเมื่อพ.ศ.๒๕๒๖ ค่ะ


Rank: 8Rank: 8

DSC00751.jpg


DSC01944.jpg



ฐานสถูปเจดีย์ ทรงมณฑปบนฐานลานปทักษิณเตี้ย วัดกานโถม อยู่ด้านหลังวิหารโถงและซุ้มประสาท สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตกตามคติการก่อสร้างวัดแบบพม่าดั้งเดิม ภายใต้รากฐานของสถูปเจดีย์ขนาดเล็ก-วิหาร ได้ขุดพบพระพิมพ์ดินเผา สกุลช่างหริภุญชัยที่เป็นพระสามหอม พระคง พระสิบสองจำนวนหนึ่ง (รวมๆ ประมาณ ๖ ปี๊บจากคำบอกเล่า) ค่ะ


DSC01218.jpg


ลักษณะของการกระจายพระพิมพ์ดินเผา ที่ฝังอยู่สถูปเจดีย์ขนาดเล็ก-วิหาร วัดกานโถม ตรวจสอบชั้นดินทางโบราณคดีพบว่า กลุ่มดินเผาดังกล่าวเป็นสิ่งที่อยู่มาก่อน และไม่มีความสัมพันธ์กับการก่อสร้างวัดกานโถมและสถูปเจดีย์หลักฐานดังกล่าว ค่อนข้างจะแน่ชัดและเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ก่อนที่พญามังรายจะมาสร้างเวียงกุมกามในบริเวณแห่งนี้เคยเป็นชุมชนสมัยหิริภุญชัยมาก่อนอย่างน้อยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นต้นมา ค่ะ


DSC00749.jpg


ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ ได้หน่อจากต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ วัดกานโถม (วัดช้างค้ำ) อาจารย์ อมร บุญชัย ปลูกเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๐ ค่ะ


Rank: 8Rank: 8

DSC00774.jpg



างเข้าไปยังจุดแรกที่ค้นพบเวียงกุมกาม วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC00779.jpg


จุดแรกที่ค้นพบเวียงกุมกามในพ.ศ.๒๕๒๗ วัดกานโถม ค่ะ


DSC00780.jpg



ประวัติวัดกานโถม

(โบราณสถานกลุ่มแรก อยู่ทางด้านทิศใต้)



ในสมัยพระเจ้ามังรายมหาราชยังครองเวียงกุมกามอยู่ คือประมาณปีพ.ศ.๑๘๓๑ ได้มีพระเถระชาวลังกา จำนวน ๕ รูป ซึ่งนำโดยพระมหากัสสปะ ได้จาริกมาจากกรุงสุโขทัยขึ้นไปจนถึงเวียงกุมกามบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ต้นมะเดื่อใหญ่ เมื่อพระเจ้ามังรายมหาราชทรงทราบ พระองค์ก็ได้เสด็จไปนมัสการพระเถระ แล้วทรงสนทนาธรรมกับพระมหาเถระ พระมหาเถระเจ้าได้ถวายพระธรรมเทศนาเรื่อง "ปัฏฐังคุลีชาดก" คือชาดกที่เกี่ยวกับอานิสงส์พระหัตถ์พระพุทธรูป เมื่อพระเจ้ามังรายได้สดับฟังก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงโปรดให้สร้างพระอารามถวายแก่พระเถระ

ขณะเดียวกันพระองค์ทรงหล่อพระพุทธรูปสำริดขึ้น ๕ องค์ เป็นพระนั่ง ๓ องค์ และพระยืน ๒ องค์ โดยมีองค์หนึ่งสูงใหญ่เท่าพระองค์จริงของพระเจ้ามังรายมหาราช สำหรับพระพุทธรูปองค์นั่งนั้นเท่าที่สืบค้นทราบได้ในปัจจุบันมีเพียง ๑ องค์เท่านั้นคือ พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดช้างค้ำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสำริดปางมารวิชัย ลักษณะเป็นพระสิงห์ สกุลช่างเชียงใหม่ที่มีอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย ส่วนพระพุทธรูปยืน ๑ องค์นั้น ปัจจุบันยังประดิษฐานอยู่ในมณฑปวัดพระเจ้ามังราย (วัดกาละคอด หรือ วัดคานคอด)


จากเอกสารพงศาวดารโยนก ระบุว่าพญามังรายโปรดให้สร้างวัดกานโถมขึ้นในราวปีพ.ศ.๑๘๓๓ ประกอบด้วยฐานเจดีย์มีฐานกว้าง ๑๒ เมตร สูง ๑๘ เมตร ทำซุ้มคูหาที่ทิศใช้พระพุทธรูปซ้อนเป็นสองชั้น ชั้นล่างไว้พระพุทธรูป ๔ องค์ ชั้นบนไว้พระพุทธรูปยืนองค์หนึ่ง มีรูปอัครสาวกโมคคัลลานะ สารีบุตร และพระอินทร์ รูปพระแม่ธรณีไว้สำหรับพระพุทธรูปด้วย หลังจากที่พระเจ้ามังรายมหาราชได้สร้างพระอารามและหล่อพระพุทธรูปทองสำริดแล้ว ก็พอดีเวลานั้นพระองค์ท่านกำลังทรงเตรียมการจะกรีฑาทัพเสด็จไปตีเมืองรามัญ (เมืองมอญหรือเมืองหงสาวดี) แต่ก่อนที่พระองค์จะยกทัพไปนั้น พระองค์ทรงตั้งสัตยาธิษฐานเอาไว้ว่า “หากพระองค์ยกทัพไปตีประเทศรามัญในครั้งนี้และได้รับชัยชนะต่อพญารามัญแล้ว กลับมาจะสร้างพระวิหารให้เป็นที่สถิตแก่พระพุทธรูปสำริดทั้ง ๕ องค์นั้น” (สันนิษฐานว่าทรงกระทำพิธีบวงสรวงที่หอพระเจ้ามังราย)

พระองค์ทรงยกกองทัพไปทางแม่สะเรียง ข้ามแม่น้ำคงไปถึงแม่น้ำอาสา ตั้งทัพอยู่ที่นั่น ครั้งนั้นพระเจ้าหงสาวดีชื่อ สุตตโสม รู้ข่าวว่าพระเจ้ามังรายมหาราชมาตั้งทัพอยู่ในแคว้นแดนตน ประกอบกับได้ยินอานุภาพศักดาของกองทัพอันกล้าหาญของพระองค์ พระเจ้าสุตตโสมก็มีความเกรงกลัวไม่คิดจะต่อสู้แต่อย่างใด จึงได้แต่งเสนาอำมาตย์อันเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการออกไปถวายพระเจ้ามังรายมหาราช ขอเจริญพระราชไมตรีด้วยพร้อมกันนั้นได้ทรงถวายพระราชธิดาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระนางปายโค” หรือ “ตะละแม่ศรี” ให้เป็นบาทบริจาริกาแด่พระเจ้ามังราย พระเจ้ามังรายมหาราชทรงน้อมรับด้วยไมตรีอันดียิ่ง พระเจ้าสุตตโสมจึงได้จัดส่งพระราชธิดาพร้อมด้วยข้าทาสชาย หญิง ช้างม้าอย่างละ ๕๐๐ ถวายแด่พระเจ้ามังรายมหาราช พระองค์ทรงรับแล้วเสด็จยกกองทัพกลับเวียงกุมกามและได้ทรงอภิเษกพระนางปายโคไว้ในที่พระราชเทวี

เมื่อพระเจ้ามังรายมหาราชเสด็จกลับเวียงกุมกามแล้ว พระองค์ได้ทรงโปรดให้ช่างไม้คนโปรดของพระองค์ชื่อ “นายช่างกานโถม” ซึ่งขณะนั้นพระองค์ได้สถาปนาให้เป็น “หมื่นเจตรา” ออกไปครองเมืองรอย (ได้เปลี่ยน ชื่อเป็นเมืองเชียงแสนในเวลาต่อมา) คิดอ่านสร้างพระวิหารขึ้นมา โดยปรุงตัวไม้ส่วนต่างๆ ของวิหารจนสำเร็จรูปขึ้นที่เมืองเชียงแสน จากนั้นก็ขนย้ายลงมาสร้างพระวิหารที่เวียงกุมกาม โดยพระเจ้ามังรายมหาราชทรงโปรดให้ตั้งชื่อพระวิหารตามชื่อของช่างไม้คนโปรดว่า “วิหารกานโถม” ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงซากของวิหารที่หันหน้าลงสู่ทิศตะวันตกของแม่น้ำปิงสายเก่า

จากการศึกษาของอาจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล ได้เสนอว่าเวียงกุมกามน่าจะสร้างขึ้นในปีพ.ศ.๑๘๓๗ และเชื่อว่าน่าจะเป็นชุมชนโบราณมาก่อนตั้งแต่สมัยหริภุญชัย เนื่องจากมีการขุดพบพระพิมพ์ดินเผาศิลปะสมัยหริภุญชัยระหว่างการขุดค้นที่วัดกานโถมในปีพ.ศ.๒๕๒๗

พื้นที่ประวัติศาสตร์เวียงกุมกาม ปัจจุบันตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก พื้นที่สันนิษฐานว่าเป็นเขตของเวียงกุมกาม มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ ๘๕๐ คูณ ๖๐๐ เมตร ภายในพื้นที่พบหลักฐานของแนวกำแพงเมือง คู่น้ำ-คูดิน และกลุ่มโบราณสถาน ซึ่งกรมศิลปากรได้เข้ามาทำการขุดค้นตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๒๗ โดยได้รับการสำรวจขึ้นทะเบียนและทำการบูรณะขุดแต่งเป็นระยะจนถึงปัจจุบัน

DSC01943.jpg


ผังรูปแบบการก่อสร้างวัดกานโถม (ช้างค้ำ)   อาจแบ่งโบราณสถานของวัดได้ ๒ กลุ่ม ที่พิจารณาว่ามีอายุของการก่อสร้างในระยะต่างกัน ๒ สมัย คือ

กลุ่มแรก อยู่ทางด้านทิศใต้ เป็นกลุ่มสร้างขึ้นในระยะก่อนสมัยการสร้างเวียงกุมกามของพญามังราย อันเป็นกลุ่มโบราณสถานที่พบพระพิมพ์แบบหริภุญชัย และกรมศิลปากรขุดแต่ง-บูรณะในปีพ.ศ.๒๕๒๗ ซึ่งเราสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัดกานโถมเดิม ประกอบไปด้วย ฐานวิหารและเจดีย์แปดเหลี่ยม หันด้านหน้าของอาคารไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นรูปแบบการวางผังที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากการวางผังของงานสถาปัตยกรรมล้านนาโดยทั่วไป

ส่วนกลุ่มที่สอง อยู่ทางด้านทิศเหนือ เป็นโบราณสถานซึ่งเป็นเป็นพระเจดีย์และพระวิหารที่ใช้ประโยชน์ของวัดในปัจจุบัน ที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พิจารณาว่าน่าจะเป็นรูปแบบของวัดที่สร้างในสมัยเวียงกุมกาม วิเคราะห์ตามจารึกที่กล่าวถึงชื่อวัดกานโถม (พ.ศ.๒๐๔๒) อันเป็นวัดที่สืบเนื่องมาตั้งแต่รัชกาลพญามังราย ที่นายช่างกานโถมได้ปรุงเครื่องไม้จากเมืองเชียงแสนมาสร้างวิหาร วัดกานโถม แต่ทั้งสองกลุ่มนั้นมีรูปแบบการก่อสร้างแบบมีเจดีย์ตั้งอยู่ตอนหลังวิหารเช่นเดียวกัน


DSC01219.jpg



วัดกานโถม มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และประกอบไปด้วยงานสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง ในตำนานมีการกล่าวถึงการบูชาต้นไม้เดื่อศักดิ์สิทธิ์ก่อนการสร้างเวียงกุมกาม แสดงให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้อาจจะเป็นศูนย์กลางของชุมชนมาตั้งแต่อดีต จากการเข้าไปปฏิบัติงานขุดแต่ง-บูรณะโบราณสถานของกรมศิลปากรในปีพ.ศ.๒๕๒๗ ได้พบชิ้นส่วนของศิลาจารึกจำนวน ๕ ชิ้น สลักบนศิลาทรายแดง บริเวณซากวิหาร วัดกานโถม

จากการศึกษาของดร.ฮันส์ เพนธ์ ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศของสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สรุปว่า ศิลาจารึกทั้ง ๕ ชิ้นนี้ เดิมคงเป็นจารึกอยู่ในหลักเดียวกันและจารึกในช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกัน แต่ต่อมาได้กระจัดกระจายออกจากกันไม่สามารถนำมาประกอบรวมกันได้ และมีส่วนที่ขาดหายไปหลายชิ้น ทั้งนี้เนื่องจากเดิมซากโบราณสถานดังกล่าวเป็นเนินดินสูง และได้มีการไถปรับพื้นที่ฝังอยู่ในดินทั่วไปเมื่อประมาณ ๖๐ กว่าปีมาแล้ว

DSC00137.jpg



ชิ้นส่วนของจารึกทั้ง ๕ ชิ้น ปรากฏว่ามีลักษณะอักษรแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ


๑. อักษรมอญ ซึ่งเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุด ประมาณว่ามีอายุที่จารึกขึ้นในราว พ.ศ.๑๗๕๐-๑๘๕๐


๒. อักษรที่มีลักษณะระหว่างอักษรมอญกับอักษรไทย ซึ่งนับได้ว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญมากที่สุดที่ยังไม่เคยปรากฏพบในที่แห่งใดมาก่อน เป็นลักษณะของอักษรที่แสดงวิวัฒนาการในช่วงเวลาที่คนไทยยืมอักษรมอญมาเปลี่ยนแปลงเป็นอักษรไทยใหม่ๆ เพื่อใช้เขียนเป็นภาษาไทย ประมาณว่าจารึกในราว พ.ศ.๑๘๒๐-๑๘๖๐ นับเป็นอักษรไทยยุคต้นที่ยังไม่เคยพบที่ใดมาก่อน


๓. อักษรสุโขทัยและฝักขามรุ่นแรก เป็นจารึกครั้งหลังสุดก่อนประมาณ พ.ศ.๑๙๔๐




Rank: 8Rank: 8

DSC01941.jpg



DSC00753.jpg



อุ
โบสถ
วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


อุโบสถ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ตั้งอยู่ระหว่างโบราณสถานทั้ง ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มวัดกานโถมเดิม และวัดช้างค้ำนั้น พิจารณาว่าสร้างหรือซ่อมบูรณะในระยะรัชกาลที่ ๕ หรือราว ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา โดยสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เช่นเดียวกับอุโบสถของวัดศรีบุญเรือง วัดหนองผึ้ง และอีกๆ หลายวัดที่ช่างพม่าได้มาซ่อมบูรณะ
  

DSC00754.jpg


ประตูทางเข้า/ออกด้านหน้า อุโบสถ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC01942.jpg


รูปปั้นครุฑ อยู่ด้านหน้า อุโบสถ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC00752.jpg



DSC01940.jpg



รูปปั้นหงส์ อยู่ด้านข้าง อุโบสถ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC00743.jpg


DSC00744.jpg



รูปปั้นราชสีห์ อยู่ด้านหลัง อุโบสถ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) และเราจะเห็นร่องรอยของกำแพงแก้วของอุโบสถที่เหลืออยู่ด้วยค่ะ


Rank: 8Rank: 8

31122010022.jpg


จุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ ลูกแก้วจักรพรรดิ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา  และขอโมทนาบุญกับผู้สร้าง ผู้บูรณะ  หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในบุญกุศล ณ สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต และตั้งจิตอธิษฐานเพื่อให้  ณ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งอยู่คู่กับพระพุทธศาสนาสืบต่อไปจน ๕๐๐๐ ปี ค่ะ สาธุ สาธุ



DSC01915.jpg



เดี๋ยวเรามากราบนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโกม (ช้างค้ำ) พร้อมกันเลยนะคะ


นะโม ตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า ๓ จบ)   

         อะหัง วันทามิ อิธะ ปติฏฐิตา  พุทธะ  ธาตุโย  ตัสสานุภาเวนะ  สะทา โสตถี  ภะวันตุเม

         ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอกราบนอบน้อมบูชาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเสียสละสั่งสมบารมีนับชาติมิถ้วน ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศธรรมนำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏ พร้อมกราบพระธรรม  และพระอริยสงฆ์ ขอตั้งสัจจะอธิษฐานด้วยอานิสงส์ผลแห่งบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน แม้ต้องเกิดในทิพย์จุติใดๆ ขอเกิดภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้พบสัตบุรุษผู้รู้ธรรมอันประเสริฐ มีกรรมสัมพันธ์ที่ดี ได้เกิดท่ามกลางกัลยาณมิตรห่างไกลจากพาล มีโอกาสฟังธรรมประพฤติธรรม จนเป็นปัจจัยให้เจริญด้วยสติและปัญญาญาณตามส่งชาตินี้และชาติต่อๆไป จนถึงพระนิพพานในกาลอันควรเทอญ กรรมใดๆ ที่ล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม  พระอริยสงฆ์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในอดีตชาติก็ตามปัจจุบันชาติก็ตาม กราบขออโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ขออุทิศกุศลผลบุญให้แด่ท่านผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนท่านที่ขวนขวายในกิจที่ชอบในการดำรงรักษาไว้ซึ่งประเทศชาติ  พระพุทธศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ ขอให้ท่านทั้งหลายดังกล่าวนามมานั้นจงประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์และมีความสุขฯ ทั่วกันทุกท่านเทอญ



Rank: 8Rank: 8

DSC01920.jpg


DSC00758.jpg



พระพุทธรูปปางลีลา ๑ องค์ ประดิษฐานด้านหน้า พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ



DSC01917.jpg



ซุ้มพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม ค่ะ



DSC01926.jpg



พระพุทธรูป และเจดีย์พระธาตุประจำปีเกิดจำลอง ประดิษฐานด้านหน้า พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC01924.jpg



พระพุทธรูป และรูปเหมือนหลวงปู่ทวด
(เรียงจากบน-ล่าง) ประดิษฐานด้านหน้า พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ  


DSC01922.jpg



รูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ประดิษฐานด้านหน้า พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC01923.jpg



พระพุทธรูปปางต่างๆ และรูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย
ประดิษฐานด้านหน้า พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


Rank: 8Rank: 8

DSC01173.jpg



พระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ในสมัยที่เป็นเมืองขึ้นของพม่า พม่าได้มาสร้างหัวช้างไว้ที่พระบรมธาตุเจดีย์ทั้งสี่ด้าน เลยเรียกกันต่อมาเรื่อยๆ ว่า วัดช้างค้ำ ค่ะ  


DSC01172.jpg




ประวัติพระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ)


เมื่อปีพ.ศ.๑๘๓๓ พระเจ้ามังรายมหาราช ทรงดำริที่จะยกกองทัพไปตีเมืองพุกาม (เมืองอังวะของพม่า) พระองค์จึงได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานขึ้นว่า “หากพระองค์ทรงมีชัยชนะต่อพระเจ้าอังวะกลับมาแล้วไซร้ พระองค์ก็จักได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นที่วัดกานโถม” หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงยกกองทัพไปยังเมืองพุกาม ประเทศพม่า เมื่อพระเจ้าอังวะทราบข่าวศึกก็มีความวิตกและหวั่นไหว จึงได้จัดแต่งตั้งราชทูตอันเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระเจ้ามังราย เพื่อขอเจริญพระราชไมตรีด้วย

พระเจ้ามังรายก็ทรงรับไว้ด้วยดีและทรงขอช่างฝีมือต่างๆ จากพุกาม ได้แก่ ช่างทองคำ ช่างเงิน ช่างหล่อ ช่างเหล็ก และช่างอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อพระเจ้ามังรายยกกองทัพกลับมา พระองค์ก็ทรงแยกย้ายเอาช่างทองคำไปไว้ยังเมืองเชียงตุง เอาช่างหล่อไปไว้ยังเมืองเชียงแสน เอาช่างเหล็กและอื่นๆ ไว้ในเวียงกุมกาม ตั้งแต่นั้นมาวิชาการต่างๆ ก็เจริญขึ้นในล้านนา

เมื่อพระองค์กลับมาถึงเวียงกุมกามแล้ว จึงได้โปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นที่วัดกานโถมตามที่ได้ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้ว่า ถ้ายกกองทัพไปตีพม่าจนได้ชัยชนะแล้วจะสร้างพระเจดีย์ แล้วจึงได้สร้างเจดีย์ขึ้นในปีพ.ศ.๑๘๓๓ มีฐานกว้าง ๘ วา สูง ๙ วา และสร้างซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ทิศ ๒ ชั้น เมื่อพระเถระได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาจากลังกา พญามังรายจึงโปรดให้อัญเชิญมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ชั้นล่างไว้ประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนพระเจดีย์เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดนั่งที่หล่อโดยพระเจ้ามังราย



Rank: 8Rank: 8

DSC01166.jpg


DSC01918.jpg



วิหาร และพระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ   


วิหาร และพระบรมธาตุเจดีย์ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) เป็นโบราณสถานกลุ่มที่สองในวัด สร้างในสมัยของเวียงกุมกาม หรือระยะหลังมา คือกลุ่มวิหารใหม่และพระเจดีย์ที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยเฉพาะในส่วนพระเจดีย์ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงมณฑลยอดระฆังที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยช่างชาวพม่าในสมัยหลัง ประมาณระยะเวลาเดียวกับการซ่อมบูรณะพระเจดีย์ของวัดเจดีย์เหลี่ยมที่ได้คงรูปทรงโครงสร้างเดิมที่เป็นเจดีย์ทรงมณฑปไว้ แต่ได้ซ่อมดัดแปลงในส่วนฐานให้มีลักษณะย่อเก็จตื้นแบบพม่า (ที่ได้พบเหรียญสมัยรัชกาลที่ ๕ และเครื่องแก้วสีในกรุที่อยู่ภายในองค์ระฆัง คราวที่องค์เจดีย์ร้าวที่ทางวัดได้ซ่อมปิดทับไว้เหมือนเดิม) รวมถึงการตกแต่งประดับใหม่ด้วยลวดลายในศิลปะพรรณพฤกษาเกี่ยวสอด รูปแบบการทำซุ้มพระ ลักษณะพระพุทธรูป ฯลฯ ส่วนวิหารของวัดปัจจุบันเป็นงานบูรณปฏิสังขรณ์ของวัดในระยะกว่า ๑๕ ปี ที่ผ่านมา



DSC01913.jpg



ประวัติวัดกานโถม (ช้างค้ำ)

(โบราณสถานกลุ่มที่สอง อยู่ทางด้านทิศเหนือ)



หลังจากที่เวียงกุมกามถูกทิ้งร้างไปนานร้อยปีนับตั้งแต่เกิดภัยสงครามและน้ำท่วมใหญ่ในระหว่างปี พ.ศ.๒๐๑๐ - ๒๓๑๑ เป็นต้นมา และกลับมีสภาพเป็นชุมชนอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยมีลักษณะเป็นชุมชนหรือสังคมเกษตรเล็กๆ มีชื่อว่า วัดช้างค้ำ


จากคำสัมภาษณ์ผู้สูงอายุที่เกิดในเวียงกุมกาม ได้เล่าถึงการเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในเวียงกุมกามเป็นเวลานานต่อกันถึงสามชั่วคน หากเทียบกับระยะเวลาตรงกับรัชกาลที่ ๕ หลักฐานจากฐานเจดีย์วัดกานโถมอยู่ในรุ่นเดียวกับการซ่อมแซมเจดีย์วัดกู่คำ ซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงเป็นศิลปะพม่าเช่นกัน แสดงว่าอย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ในเวียงกุมกามมีผู้คนได้ย้ายเข้ามาอยู่อาศัยกันแล้ว จึงมีการซ่อมแซมวัดกานโถมให้พ้นจากสภาพวัดร้าง


การซ่อมแซมเจดีย์วัดกานโถม เป็นรูปวัดช้างค้ำ ทำให้เวลาต่อมาหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้ชื่อว่า บ้านช้างค้ำ และเรียกชื่อวัดช้างค้ำ แทนเดิมคือวัดกานโถม เนื่องจากชาวบ้านที่ย้ายมาอยู่ใหม่ไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของวัดกานโถมและเวียงกุมกาม เนื่องจากเวียงกุมกามได้ถูกทิ้งรกร้างไปเป็นเวลานาน หมู่บ้านช้างค้ำมีวัดกานโถมหรือวัดช้างค้ำ เป็นวัดประจำหมู่บ้าน


ปัจจุบันเชื่อว่า วัดช้างค้ำเป็นวัดๆ เดียวกับวัดกานโถม ตามที่ได้กล่าวถึงในเอกสารประเภทตำนานพงศาวดารและเรื่องเล่าขานในท้องถิ่น วัดได้ก่อสร้างในระยะที่พญามังรายประทับและปกครองแคว้นล้านนาอยู่ที่เวียงกุมกาม โดยโปรดให้นายช่างประจำราชสำนักที่ชื่อกานโถม ไปปรุงเครื่องไม้จากเมืองเชียงแสน เพื่อให้มาสร้างวิหารไว้ที่วัดแห่งนี้ แม้ว่าได้พบจารึกที่ปรากฏชื่อวัดกานโถมหลายชิ้น ซึ่งทางวัดได้เคยเก็บรวบรวมไว้ (ปัจจุบันกระจายตัวไปอยู่ในที่ต่างๆ) ก็ไม่แน่ว่าเป็นของที่ได้ขุดพบในเขตวัดนี้ เพราะบางทีอาจมีผู้นำมาจากที่ต่างๆ ในเขตเวียงกุมกาม หรือที่อื่นๆ ก็ได้


แต่หลักฐานสิ่งก่อสร้างฐานอาคารวิหาร-เจดีย์ที่พบฝังตัวอยู่ใต้ดิน (สนามโรงเรียนวัดช้างค้ำเดิม) และกรมศิลปากรได้เข้ามาดำเนินงานขุดแต่ง-บูรณะในปีพ.ศ.๒๕๒๗ นั้นสามารถยืนยันถึงความเก่าแก่ของชุมชนในเขตพื้นที่นี้ว่าอยู่ร่วมสมัยเดียวกันกับชุมชนเมือง/แคว้นหริภุญชัย จากหลักฐานพระพิมพ์ ภาชนะดินเผา จารึกอักษรมอญ ฯลฯ อีกทั้งลักษณะรูปแบบพิเศษของการสร้างวิหารให้หันหน้าไปทิศตะวันตก อันแตกต่างจากรูปแบบการก่อสร้างของวัดอื่นๆ ในเขตเวียงกุมกามที่ส่วนใหญ่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามคติการก่อสร้างเดิม และวัดที่สร้างให้หันหน้าไปทางทิศเหนือเข้าไปสู่แม่น้ำปิงที่เคยไหลผ่านในแนวทิศเหนือตัวเวียง ซึ่งในชั้นนี้พิจารณาว่าน่าจะเป็นวัดที่สร้างหรือซ่อมแซมบูรณะในภายหลัง



รายนามเจ้าอาวาส วัดกานโถม (ช้างค้ำ) เท่าที่ทราบคือ


• ครูบาวงค์                               (พ.ศ. ๒๔๓๐ – ๒๔๓๓)

• ครูบาใจ อภิวงโส                      (พ.ศ. ๒๔๖๕ – ๒๔๖๙)

• พระหมู                                  (พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๗๓)

• พระสุ่ม ธมมสโร                       (พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๔๘๐)

• เจ้าอธิการ สิงห์คำ สิริจนโท         (พ.ศ. ๒๔๘๓ – ๒๕๐๓)

• พระบุญตัน จนทวโส                  (พ.ศ. ๒๕๐๓ – ๒๕๐๔)

• พระดวงดี รตนโชโต                  (พ.ศ. ๒๕๐๕)

• พระอธิการบุญมี ยสสทินโน         (พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๑๒)

• พระอธิการบุญปั๋น ปุสสธมโม       (พ.ศ. ๒๕๑๒)

• และพระแสนยอด ญาณธมโม      (พ.ศ. ๒๕๓๖)




Rank: 8Rank: 8

DSC00731.jpg


ตู้เก็บเครื่องใช้ และโบราณวัตถุต่างๆ ที่ขุดพบในเวียงกุมกาม แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ ภายใน วิหาร วัดกานโถม (ช้างค้ำ) ค่ะ


DSC00736.jpg



ชั้นบนสุด ตู้เก็บเครื่องใช้ และโบราณวัตถุต่างๆ จะเป็นโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูปปูนปั้นสมัยโบราณ กระดิ่ง ฯลฯ ค่ะ


DSC00737.jpg



ชั้นกลาง ตู้เก็บเครื่องใช้ และโบราณวัตถุต่างๆ จะเป็นพระเครื่องสมัยโบราณ มีรูปปั้นสิงห์เล็กๆ และพระพุทธรูปปูนปั้น ฯลฯ เป็นต้น ค่ะ


DSC00733.jpg



ชั้นล่างสุด ตู้เก็บเครื่องใช้ และโบราณวัตถุต่างๆ จะเป็นเครื่องใช้โบราณต่างๆ  เช่น  เครื่องใช้ทำกับข้าว จาน หม้อดินเผา ฯลฯ เป็นต้น ค่ะ



‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-5 23:36 , Processed in 0.104908 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.