แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ครั้งที่ 7 4-7 เม.ย. 57 มูลนิธินิธิกร สมุทรปราการ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"รู้ปัจจุบันที่แม่ว่าคืออะไรค่ะ"

" ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาในใจ โกรธขึ้นมาในใจ ก็ให้รู้ว่ามันโกรธ แล้วก็ใช้ปัญญาดับมันทัน ทุกข์เกิดขึ้นให้รู้เท่าทันแล้วก็วางมันหรือปล่อยมันไป ก็เหมือนว่าปล่อยให้มันดับไป  รู้เท่าทันมันโกรธ มันเกลียด มันพยาบาท มันอาฆาต มันพอใจ รัก ชอบ ชัง ให้คุณรู้หมด รู้แล้วคุณก็วางมัน อารมณ์มันดีคุณก็อย่าไปหลงมัน "

Rank: 1

"ทำไมจึงต้องสอบอารมณ์ทีละคน"

มีคนถามว่าทำไมแม่ชีเกณฑ์ท่านต้องสอบอารมณ์ทีละคน ให้รวมกลุ่มกันคุยไม่ได้หรือ และการสอบอารมณ์เป็นอย่างไรเหมือนคุยปกติไหม เราตอบไปว่าแม่ชีเกณฑ์ท่านบอกเสมอ ผู้สอบอารมณ์นั้นจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ยังเดินทางอยู่ เห็นชัดจากตัวเอง ตอนแรกไม่ได้คุยกับท่าน ตอนนั้นเริ่มไปปฏิบัติที่วัดแล้ว มีแต่ความตั้งใจแต่ยังไม่มีหนทาง พอเริ่มเดินแบบเอาจริง กลับพบปัญหาว่าเดินแบบเดิมที่ทำมานานแล้วไม่ทำให้เราสงบลงเลย ยิ่งเดินยิ่งคิด แต่แบบไหนหนอที่เหมาะกับเรา เราไม่มีความรู้อะไร ไม่เคยไปอบรมที่ไหน แล้วใครจะให้คำตอบเราได้ พระที่วัดท่านก็บอกให้เดินแบบปกติ แต่ในใจเรารู้สึกว่าไม่ใช่                          

เมื่อมีโอกาสได้คุยกับแม่ชีเกณฑ์ ท่านจึงบอกลองแบบนี้สิ เมื่อลองแล้วเห็นผลเราจึงโทรหาท่านอีก คราวนี้ท่านจะมีคำถามให้เราไปสังเกตดูเช่น เสียงมาหาหูหรือหูไปหาเสียง ท่านมีวิธีสอนให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าไม่ไปตามความคิดที่ฟุ้งซ่าน เมื่อได้เริ่มปฏิบัติจริง เราจะมีทั้งสิ่งที่จะเล่าให้ท่านฟังและสิ่งที่จะถามท่าน ล้วนแต่เรื่องที่เกิดบนทางจงกรมหรือนั่งสมาธิ  โดยเฉพาะเริ่มแรกที่นั่งสมาธิแล้วหายเงียบสงบเรานึกว่าดีเป็นอย่างนั้นอยู่ 2 อาทิตย์จนมีโอกาสถามท่านจึงหลุดมาได้

เมื่อมาเจออาการโงกง่วงก็ท่านอีกที่ให้คำแนะนำ แรกๆเรื่องที่คุยจะเป็นเรื่องนอกกายของที่พะรุงพะรัง อยู่รอบตัว เมื่อเราวางสิ่งของนอกกายได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงเรื่องละเอียดอ่อนที่ฝังอยู่ในใจ จนถึงวันนี้ใจของเราเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เราไม่รู้สึกว่าโลกนี้โหดร้ายและไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอยู่   ท่านบอกเสมอผู้สอบอารมณ์สำคัญที่สุด หากเจอผู้ที่ชี้นำได้ถูกทางเราก็จะเดินทางพ้นจากทุกข์ได้เร็ว เป็นบุญของเราที่มีโอกาสได้คุยกับท่าน ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงปีความทุกข์ใจที่มีมานานหลายปีมะลายหายไปสิ้น มองไปข้างในเราเห็นเพียงใจว่างเปล่า ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่ในนั้น                        
  
และอีกคำถามหนึ่งที่อื่นเขามีผู้สอบอารมณ์ไหม ท่านบอกว่าที่ไหนเข้าปฏิบัติยาวๆ จะมีผู้สอบอารมณ์ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่เลื่อนอาจารย์ของท่านก็สอบอารมณ์ท่านเช่นนี้ ท่านเคยบอกจะช่วยงานหลวงปู่เลื่อนเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน แต่หลวงปู่เลื่อนกลับบอกให้ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ก็เท่ากับตอบแทนคุณท่านแล้ว

Rank: 1

" ไม่เคยฝึกสติมาก่อนค่ะ "

แม่ก็จะพานั่ง พาเดิน ให้ดูทุกอิริยาบถ ถ้าไม่เดิน ไม่นั่ง คุณจะทำงานก็ให้รู้เท่าทัน ขณะนี้คุณอยู่กับปัจจุบันไหม จิตของคุณออกไปที่อื่นไหม คุณจะทำอะไร จะคิดอะไร คุณโกรธ คุณเกลียด คุณรัก คุณชอบ ก็ให้คุณรู้เท่าทัน ให้คุณรู้เท่าทันที่จิตมันคิด มันปรุง มันแต่ง

Rank: 1

"วิธีแก้อาการโงกง่วงโยกไปโยกมา"
            
                     เริ่มแรกของการปฏิบัติเมื่อผ่านเรื่องการเดินจงกรมมาได้แล้ว เหลือเพียงเรื่องการนั่งสมาธิที่ยังไม่ดีนัก เริ่มแรกนั่งแล้วเงียบหาย ตัวก็หาย สถานที่ก็หาย ตอนแรกคิดว่าดีเพราะไม่ฟุ้งซ่าน แต่รู้สึกไม่มั่นใจ ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่านั่งแบบนี้ถูกไหม ท่านบอกว่าไม่ได้แล้ว หายเงียบไปแบบนั้นหาใช่ดีไม่ การนั่งสมาธิที่ดีต้องมีสติรู้กายรู้ใจอยู่ครบถ้วน ต้องตื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หายไปไหน ท่านบอกว่าขณะกำลังเกิดภาวะเช่นนั้น ให้แก้ด้วยการลุกเดิน อย่าปล่อยให้ดิ่งหายไปแบบนี้               

 เมื่อไม่หายไปไหนกลับมาเจออีกภาวะหนึ่งคือโงกง่วงโยกไปโยกมา น่าอายมากหากใครมาเห็น แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะสติมันอ่อนเลยทำให้เสียการทรงตัว ให้เราสำรวจว่าเป็นเพราะร่างกายเราเหนื่อยอ่อนเพลียไหม หรือจะเป็นนิวรณ์ไม่เหนื่อยไม่เพลีย แต่พอเริ่มนั่งก็เริ่มง่วง อันนี้เป็นนิวรณ์แล้ว กลับมาดูตัวเองอาจจะใช่ปกติแล้วเวลาบ่าย 2 ของทุกวัน เราจะงีบหลับ แต่นี่เราไม่ได้นอน และพบว่าหลังอาหารเที่ยง เราจะรู้สึกง่วงอย่างหนัก              เมื่อเริ่มเห็นจุดที่จะแก้การโงกง่วงของตัวเองได้แล้ว จึงเปลี่ยนเวลาการกินอาหารให้เสร็จก่อนเที่ยง ประมาณบ่ายโมงเขาจะง่วงพอดี นอนเสียครึ่งชม.ก่อนไปปฏิบัติธรรม  ทำให้อาการโงกง่วงหายไปและท่านยังบอกอีกว่าอย่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นมันจะติดเป็นนิสัย เราต้องขัดมัน ถ้ามันโงกง่วงให้เราลุกเดินทันที อย่านั่งต่อต้องฝืนลุกขึ้นมา                เมื่อผ่านอาการโงกง่วงมาแล้ว หากนั่งนานเกินไปจะมีการจมแช่อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ระยะหลังท่านให้นั่ง 5 นาที เดิน 5 นาที เพื่อไม่ให้จมแช่ทั้งขณะเดินและขณะนั่ง นั่ง 5 นาทียังไม่ทันง่วงและไม่จมในความคิด เดิน 5 นาทีก็ยังไม่ทันออกนอกวัด ทำแบบนี้แล้วทำให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดตอน แต่กว่าจะแก้ได้ไม่ใช่แค่วันเดียวนะ เราใช้เวลาร่วมๆ 3 เดือนกว่าจะแก้ได้                ถามท่านว่านั่งสมาธิลืมตาได้หรือไม่เพราะหลับตาแล้วจะพาหลับ ท่านบอกว่าจะลืมตาก็ได้ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ เราก็เลยนั่งหลังตรงและลืมตา หากวันไหนง่วงทั้งเดินและนั่งจนเอาไม่อยู่ จะด้วยสภาพร่างกายหรือสภาพอากาศ เราแก้ด้วยการจับไม้กวาดกวาดใบไม้ไปจนหมดชม. ดีกว่าทนนั่งง่วงเดินง่วงอยู่อย่างนั้น           ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่ามีความคิดเกิดขึ้นมากขณะเดินและนั่ง บางทีคิดไปข้างหน้า บางทีคิดไปข้างหลัง แม่ท่านบอกว่าพอมีความคิดเกิดขึ้นก็ให้หยุดเช่นกำลังจะก้าวเท้าลงหากเห็นมันก็หยุดคาอยู่อย่างนั้น เราทำตามที่ท่านบอกแล้วเราก็เห็นมันดับลงไป และอีกวิธีหนึ่งที่ท่านแนะนำเวลาที่ฟุ้งมากๆให้กำหนดไปเลยคิดหนอ คิดหนอ หลายๆครั้ง หรืออยากหนอ อยากหนอ ถ้ามันอยากขึ้นมา จะช่วยให้หายฟุ้งได้            แม้ขณะนี้จะไม่ดีเลิศมากนักแต่เบาบางจากความฟุ้งซ่านไปมาก เสียงข้างในเงียบขึ้นมากเหลือเพียงแต่เสียงภายนอก แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าผู้ใดไปร่วมปฏิบัติธรรมไม่ได้ หากมีปัญหาอารมณ์ใจท่านยินดีจะให้คำแนะนำผ่านทางโทรศัพท์

Rank: 1

"ทำไมต้องไปที่วัด"

                 มีคนถามว่าทำไมต้องไปปฏิบัติที่วัดให้ยุ่งยาก ทำที่บ้านก็ได้ มันก็ถูกของเขาแต่เรายังตอบไม่ได้ว่าทำไม เราเข้าไปเดินจงกรมในป่า ลึกเข้าไปอีก มีทางเดินโล่งๆอยู่ในนั้น ตรงนั้นไม่มีกุฏิ มีแต่พื้นดินและต้นไม้             เราเล่าให้แม่ชีเกณฑ์ท่านฟังว่าเราพบความแตกต่างของการปฏิบัติที่บ้านและในป่าที่วัดแล้ว ในป่าไม่มีพัดลมเมื่อร้อนก็ต้องทน ในป่าไม่มีที่นอนเมื่อง่วงก็ต้องทน ในป่าไม่มีของกินเมื่อหิวก็ต้องทน           อยู่บ้านเราตามใจกิเลส หิวขึ้นมาก็เดินไปที่ตู้เย็นเอาของออกมากิน หรือเดินไปรู้สึกร้อนก็เปิดแอร์แค่พัดลมไม่พอ ยิ่งง่วงหนักๆไม่ทนเลยเดินไปที่หมอน และที่บ้านมีแต่ความคุ้นเคยขาดความระแวดระวังภัย ไม่มีความตื่นตัว แต่ในป่ามีสัตว์ร้ายเราจะเผลอไม่ได้           ถึงตอนนี้เราจะมีคำตอบตอบคนนั้นแล้วแต่เราไม่คิดจะบอกเขา เพราะคำตอบนี้แจ้งอยู่ในใจเราเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว จนกระทั่งเวลาแห่งฝนตกมาถึง เราต้องเดินอยู่เพียงระเบียงเล็กๆหน้ากุฏิที่เคยคิดว่าแคบเดินไม่ได้ แต่กลับเดินได้เป็นปกติ เราคิดได้แล้วว่าที่นี่เดินได้ ที่บ้านกว้างกว่านี้อีกทำไมจะเดินไม่ได้ เรารู้แล้วว่าการเดินจงกรมไม่ได้อยู่ที่สถานที่ อยู่ที่ใจต่างหาก           แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าแรกๆก็ต้องหาสถานที่ เพราะทำอยู่ที่บ้านใจเรายังไม่ได้ แต่เมื่อมันเข้าใจแล้วที่ไหนก็เป็นวัดได้ หากมีเหตุไปไม่ได้เราเริ่มทำบ้านให้เป็นวัดได้แล้ว

Rank: 1

"ท่านครับผมจะนั่งขัดสมาสไม่ได้ เส้นตึงมาก เป็นมาแต่เด็กแล้วครับ"         

มีคนถามว่าเขานั่งขัดสมาสไม่ได้ จะให้เขาปฏิบัติเช่นไร แม่ชีเกณฑ์ท่านจึงบอกว่า อย่าไปนั่งนานถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นมาตั้งแต่เด็กอย่างนี้คงเป็นวิบาก ให้เดินบริหาร ใหม่ๆต้องอดทน มีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ท่านตาบอดตาใสเห็นลางๆ มาตั้งแต่เกิด ปฏิบัติได้ปีที่สิบ ท่านเหลือกตาขึ้นลงเป็นประจำ อัศจรรย์ตาท่านมองเห็นกระจ่างจ้าไปหมด ท่านบริกรรมรู้ไปด้วย เหลือกตาไปด้วย       

 มีโยมคนหนึ่งมาช่วยท่านดูแลเหล่าโยคี เขาเป็นเจ้าของเซ็นทรัลที่แม่สอด อายุ 65 ปี เจ็บขาอยู่ข้างเดียวมานานแล้ว หมดเงินรักษาไปเป็น10 ล้าน เมืองนอกก็ไปมาแล้วแต่ยีงไม่ดีขึ้น  ท่านให้เดินสามขาคือใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เดิน 5 นาที นั่ง 5 นาที แล้วสอบอารมณ์ทุกวัน เวลาผ่านไป 3 เดือนเขาก็หายหมดวิบากกรรมไป

ท่านบอกว่าหากอายุยังน้อย ยังเดินไหวก็ให้เดินนั่งสลับไปสลับมา  เส้นจะยืดโดยปริยาย เราต้องฝืน ถ้าไม่ฝืนก็จะแก้อะไรไม่ได้ ปฏิบัติภาวนาไปอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร และต้องบริหารขาไปด้วย วันหนึ่งที่ทุกอย่างเต็มเปี่ยมแล้วเราก็อาจจะหายได้

Rank: 1

"จำเป็นด้วยไหมเราต้องเห็นอสุภะภายในให้ได้"         

ถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าจำเป็นด้วยไหมที่ต้องนั่งอ่านหนังสืออสุภะและท่องกาย 32 เพื่อให้เห็นภายในกายให้ได้ เพราะรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติและยากมากที่ต้องมานั่งนึกให้เห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น คำแรกที่ท่านตอบ เห็นแล้วใจมันวางได้ไหม มันสำคัญตรงนี้ ทำไมพวกคุณหมอเห็นกันประจำแต่ยังยินดีกับมันอยู่ การอ่านหรือท่องจำมันไม่เห็นด้วยใจ เห็นจนตาแฉะถ้าไม่เห็นโทษไม่เห็นภัยของร่างกายนี้จริงๆ ใจมันก็ไม่วาง ของข้างนอกที่เห็นด้วยตาเนื้อก็สกปรกไม่ต่างจากข้างใน เห็นกันตรงนี้ให้ชัด         

ตื่นขึ้นมาทำไมต้องแปรงฟัน ทำไมต้องล้างหน้า ทำไมต้องอาบน้ำ ทำไมต้องทาหน้า ใจยังยินดีให้มันดูดีใช่ไหม อึออกมาเหม็นไหม ใจรังเกียจไหม ผมไม่สระหลายๆ วันใจเป็นอย่างไร ไม่พามันกินข้าวใจเป็นยังไง ปวดขี้ปวดเยี่ยวไม่พามันเข้าห้องน้ำมันทุกข์ไหม หน้าเป็นสิวใจกังวลไหม แต่งตัวไม่สวยใจมันเป็นยังไง เวลาป่วยใจกังวลห่วงมันไหม เราต้องหมดเงินไปกับสิ่งที่มาดูแลกายนี้ให้ดูดีมากเพียงไร เป็นภาระไหม แล้วหยุดไม่ให้มันแก่ไม่ให้มันเหี่ยวได้ไหม        

ท่านเน้นให้เห็นทุกความรู้สึกที่ใจของเรา ท่านบอกว่าไม่ต้องไปเห็นที่คนอื่น เห็นที่ใจของเรานี่แหละ เรายังยินดีกับมันมากน้อยแค่ไหน ท่านบอกเสมอใจยึดติดอะไรนั่นละคือภพชาติ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราไม่พยายามหาอ่านและฟังเรื่องที่เกี่ยวกับอสุภะ เราดูของจริง ดูทุกวัน ดูทุกความรู้สึกที่ใจในยามอาบน้ำ กินข้าว แต่งหน้า หวีผม ใส่เสื้อผ้า เลือกอาหาร ดูทุกกิจกรรมที่ตัวเองทำในแต่ละวัน มันล้วนแต่เนื่องมาจากกายนี้ เมื่อเห็นความจริง ใจจะค่อยๆ ละออกไปทีละอย่าง โดยไม่ฝืนใจและบังคับ ทำด้วยความเข้าใจในธรรมชาตินั้น การวางด้วยใจที่มันเห็นโทษเห็นภัยและเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง มันไม่คิดจะย้อนกลับมาถืออีก      
      
เรารู้แล้วว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะใจเข้าไปยึดถือไว้ หากจะปล่อยก็ต้องปล่อยที่ใจวางตัวเองได้ก็จะวางคนอื่นและสิ่งอื่นนอกกายได้เช่นกัน สุดท้ายเงินเหลือมากขึ้น เพราะไม่ไปวุ่นวายกับการซื้อของดีๆมากินมาใช้อีก ดูแลเขาตามธรรมชาติที่ควรเป็น พอให้อาศัยอยู่กันไปได้ เริ่มคลายปมของใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่มาเจอกับมันอีก

Rank: 1

"สอบถามการนั่งสมาธิ ก่อนนั่งต้องสวดมนต์ไหม หากจะจับพุทโธให้กำหนดตามดูยังไงครับ"           

ไม่สวดอะไรเลยก็ได้ เมื่อจะนั่งสมาธิพึงสำรวจจิตของตัวเองว่าพร้อมที่จะนั่งแล้วพยายามวางอารมณ์ทุกอย่าง ความกังวล ทำใจให้เป็นกลาง แล้วสำรวจจิตว่าตอนนี้จิตมันวอกแว่กคิดฟุ้งซ่านไหม ให้วางอารมณ์ที่เราเป็นนักเรียนหรือนักธุรกิจ หน้าที่การงาน เมื่อพร้อมแล้วไปนั่งในที่สงบ จะกราบระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย3 ครั้ง ระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ  พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณของท่าน แล้วก็ตั้งจิตว่าจะนั่งจะดูลมหายใจเข้า จะดูลมหายใจออก ทำใจให้ว่าง จิตว่อกแว่กไปที่อื่นไหม เมื่อเห็นแล้วก็สูดลมหายใจ ทำตัวให้ตรง ดำรงสติไว้ที่ลมหายใจเข้าพุทธ            

ถ้าเป็นผู้ฝึกใหม่สมควรที่จะต้องจับดูลมหายใจเข้าเหมือนอานาปานสติ หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจแผ่วเบาก็รู้ หายใจไม่มีลมหายใจก็รู้ จำเป็นที่สุดคือเป็นกลาง คุณจะต้องมีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าพุทธ ยาวคุณก็ต้องรู้ว่ายาว สั้นคุณก็ต้องรู้ว่าสั้น ให้คุณสังเกตดูต่อไป  แผ่วเบาก็ให้รู้ เพราะเวลานั่งใจจะได้ไม่ไปติดสุข ใจจะได้ไม่ยึด มันจะสงบอย่างเดียวไม่รับรู้อะไร เป็นมิจฉาทิฏฐิ              
ขณะที่คุณจดจ่อพุทกับโธ คุณอย่าไปซีเรียส อย่าไปคิด ทำสบายๆ เหมือนนั่งทำงานไป คุณมีสติระลึกรู้ตามลมหายใจเข้า ตามลมหายใจออก คำบริกรรมว่าพุทโธ อาการของท้องลมมันเข้ากับอาการออกคุณรู้เท่าทันทุกขณะไหม มันมีความรู้สึกโล่งขัดฝืดเคืองคุณรู้สึกทุกขณะไหม         

คุณจำเป็นต้องดูตามความรู้สึกรู้ทุกขณะที่เคลื่อนไหวของลมต้นทางจนถึงที่สุด ในขณะที่คุณนั่งจ้องพุทกับโธอยู่นั้นคุณได้ยินเสียง คุณมีสติรู้ไหมว่า เออ เสียงมาแล้ว เสียงมากระทบที่หู คุณก็รู้ว่า เออเสียงมากระทบที่หู ดูสิว่าคุณไปยินดียินร้ายกับเสียงไหม คุณพอใจในเสียงไหม เสียงมากระทบคุณหงุดหงิดไหม คุณก็ให้มีสติรู้ตาม ถ้ามันหงุดหงิดคุณก็มีสติรู้ว่ามันหงุดหงิดหรือคุณจะบริกรรมว่า "หงุดหงิดหนอ"  "ได้ยินหนอ" คุณจะอุทานหรือไม่อุทานก็แล้วแต่ความพอใจของคุณ         

ทีนี้เวทนาเกิดขึ้น ถ้านั่งมันเจ็บมันปวดก็บอกว่า "โอ้เวทนาเกิดขึ้นแล้ว" ดูสิว่าเราเอาจิตไปจดจ่อกับมันมั้ย มันทรมานมั้ย ว่าคุณนี่ทุกข์ ถ้าทุกข์คุณทนไม่ได้ ก็ลุกมาเดินพุทโธ พุทยกขึ้นย่างเหยียบลงไป พอเท้าจะถึงพื้นก็โธ แล้วให้คุณมีสติรู้เท่าทันกับจิตกับปัจจุบันทุกขณะ  กายกระทบกับลมก็เย็น ให้คุณรู้ว่าเย็น ร้อนก็ให้รู้ว่าร้อน ถ้านั่งสมาธิ ถ้าอยากรู้ว่ามันร้อนว่ามันเย็นก็อย่าเปิดพัดลม อย่าอยู่ในห้องแอร์ มันจะได้เห็นความเป็นจริง  ร้อนแล้วคุณหงุดหงิดไหม ลมพัดมาเย็นยินดีไหม       

พุทแล้วมันเข้า เวลาออกทันมันมั้ย จะให้การบ้านว่า พอหายใจเข้า พุทมันหยุดก่อนมั้ยก่อนที่มันจะออกโธ คุณแยกแยะพิจารณาสิ อันนี้เป็นการเจริญสติและปัญญาที่มีไหวพริบ บางคนพุทโธไปแล้วมันไม่จับจุดก็ไปได้ช้า กำหนดอะไรมาก็ได้ แม่มีคำถามของแม่ทั้งนั้น  เธอไม่เอาหนอ เธอรู้มั้ยหูมาหาเสียงหรือเสียงไปหาหู ตอบเสียงไปหาหู  ผู้ปฏิบัติบางคนนิ่งชะจนไม่ได้ยินเสียง แต่พอได้ยินตอบว่าหูไปหาเสียง แม่ให้พิจารณาดีๆ พอเข้าลึกๆแล้วไม่ได้ยินเสียง มันดับไปเลย บางคนได้ณาน ก็ตอบหูไปหาเสียง การนั่งสมาธิที่ถูกไม่ใช่เงียบหาย ตัวหาย ไม่รับรู้อะไรเลย หูได้ยินเสียง กายรู้สัมผัสร้อนเย็น จมูกได้กลิ่น รู้ความรู้สึกที่ใจอยู่ทุกขณะ ฟุ้งก็ให้รู้ว่ามันฟุ้ง เราต้องเห็นความจริงทุกอย่างที่ใจเมื่อมีสิ่งมากระทบ เพื่อที่จะค่อยๆถ่ายถอนออกไป

Rank: 1

"เมื่อแบกคนอื่นไปเดินจงกรม"       

3 เดือนแรกที่เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังที่บ้าน บ่อยครั้งบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าแบกคนนั้นมาเดินจงกรมด้วย เดินไปมีแต่คำพูดเก่าๆ เวียนไปเวียนมา ถามท่านว่าทำอย่างไรจึงจะวางลงได้ ท่านบอกว่าก็เรายังยินดีพอใจที่จะนึกถึงอยู่แม้จะเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงก็ตาม ใจมันยังไม่ขาดมันยังมีเยื่อใยกันอยู่ นี่เป็นนิรณ์ขวางกั้นผู้ปฏิบัติธรรม มันขึ้นมาเป็นเรื่องดีเสียอีก จะได้รู้ว่ามีอะไรค้างอยู่ในใจ               
 ท่านสอนให้เข้าไปดูเหตุว่าทำไมเรายังนึกถึงเขาอยู่เพราะใจเรายังยึดยังไม่ปล่อย เรายังไม่เห็นโทษเห็นภัยอย่างแท้จริง วิธีง่ายๆที่ท่านสอน เมื่อมันขึ้นมาบ่อยๆ ท่านให้กำหนด "คิดหนอๆๆ" เอาจนมันหายไป ในชีวิตปกติก็ต้องใช้คาถาคิดหนอ จะกี่ครั้งกี่วันหรือกี่เดือนก็ใช้คาถานี้ ถ้าเราไม่ละความเพียรวันหนึ่งมันก็ไม่ขึ้นมาอีก ความจริงอีกอย่างที่ท่านบอกคือจิตสุดท้ายขณะที่ออกจากร่าง คิดถึงใครหรือสิ่งใดวินาทีนั้น มันจะไปเกาะที่นั่นทันที คิดถึงเขาก็จะไปเกิดเป็นตุ๊กแกจิ้งจกหรือหมาในบ้านเขา ยังอยากเจออีกหรือ ยังทุกข์ไม่พอหรือ สิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้เราขยาดกลัว               

ขณะเดินจงกรมท่านสอนให้สังเกตธรรมชาติเช่นเสียง ท่านชี้ให้เห็นการเกิดดับของทุกสิ่ง มีอยู่ทุกขณะเกิดแล้วดับในทันที เห็นจนแจ้งและยอมรับว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับลงทันทีอย่างที่ท่านพูด แล้วท่านก็บอกว่าทุกสิ่งดับลงไปแล้ว จะไปเอามาคิดทำไมอีก ทำไมไม่อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันที่มีแต่เกิดแล้วดับทุกขณะ ทุกครั้งที่เรื่องเก่าขึ้นมา สติที่มีมากขึ้นยับยั้งไม่ให้คิดต่อจนเกิดความรู้สึกที่ใจ และเริ่มมีปัญญามาสอนตัวเองได้ทัน มองทุกเรื่องอย่างใจเย็นมากขึ้น เช่น ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้เราจะไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง เราต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราเห็นความจริงในชีวิต ถ้าไม่มีเรื่องในวันนั้นก็จะไม่มีเราในวันนี้  เริ่มจากปัญญาเล็กๆ จนวันหนึ่งจะเป็นปัญญาของเราเองที่ทำให้ใจขาดสะบั้นลงได้          

อาจจะยากและฝืนใจ วันหนึ่งเราพบว่าความเจ็บปวดที่เกิดกับร่างกาย เวลาหิวมากๆ หรือปวดท้องอึแล้วต้องกลั้นไว้ มันทรมานกว่าความรู้สึกที่ใจเสียอีก เราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กลง  หากไม่ท้อเพียรพยายามไป วันหนึ่งก็จะถอดถอนออกจากใจได้อย่างสิ้นเชิง หากตายลงขณะนี้เรามั่นใจว่าจะไม่นึกถึงเขาอีกเพราะไม่อยากไปเกิดเป็นตุ๊กแกหรือหมาที่บ้านเขา 

Rank: 1

"แม่ชีป๋า วิบากกินเลือดกินเนื้อสดๆ"       

แม่ชีเกณฑ์เล่าถึงแม่ชีคนหนึ่งที่มาบวชอยู่ที่วัดเมื่อปี 2541 แม่ชีคนนี้วิบากกรรมหนักกินเลือดและกินเนื้อสดๆ ไม่ใช่บอปและไม่ใช่คนเล่นคาถาอาคม แต่เป็นวิบากกรรม แม่ชีคนนี้ชื่อป๋า บ้านเดิมอยู่ที่ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ด แอบไปหาของดิบๆมากินแอบซ่อนอยู่ในบ้าน มีหลวงพ่อทักว่าเขามีวิญญาณอยู่ในตัว มีทั้งวิญญาณดีและวิญญาณร้าย เธอไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้มีแต่ความทุกข์ความร้อน แม่ก็เลยนำไปมอบให้เป็นลูกบุญธรรมพระ พระองค์นั้นเกิดป่วยพอรับเขาเข้าวัด เลยให้พ่อแม่มารับกลับ พอนำออกมาหลวงพ่อก็หาย           

แม่เขาเอาไปไว้กับแม่ชีรูปหนึ่ง แม่ชีคนนี้ไม่ป่วย พอ9 ขวบท่านก็นำไปฝากไว้กับอีกวัดหนึ่ง ที่วัดมีเด็กอยู่ 60 คน เขาเข้าไปหลังอาหารก็กินแบบอดๆอยากๆ บางทีก็ไม่ได้กิน อยู่ได้ 15 วันมีเด็ก 4 คนไปขอเป็นเพื่อน ผ่านไป 3 วันป๋าจึงยอมเป็นเพื่อน เด็กทั้ง 4  ไปเล่นและนำขนมมาให้ป๋ากินทุกวัน ป๋าไม่รู้เลยว่า 4 คนนี้เป็นใครมาจากที่ไหนคิดว่าคงเป็นเด็กแถวนั้น  วันหนึ่งขณะยืนคุยกับเพื่อนทั้ง 4 มีคนเห็นป๋ายืนพูดอยู่คนเดียวและว่าคงเป็นบ้า ป๋าบอกเพื่อนว่ามีคนหาว่าเขาพูดคนเดียวทั่งที่ยืนคุยกับพวกเธอ เด็กทั้ง 4 บอกว่าเขาคงอิจฉา คราวนี้เวลาจะพูดไม่ต้องขยับปากใช้วิธีนึกคำพูดเฉยๆ        

เมื่อครบ 9 ขวบทางวัดให่พ่อแม่มารับกลับบ้าน ป๋ายังคงคิดถึงเพื่อนทั้ง 4  พอคิดถึงเด็ก 4 คนนี้ก็จะแอบไปหาที่บ้านโดยไม่มีใครรู้ เด็ก 4 คนนี้มีชื่อว่า แก้ว(ผู้หญิง) แกละ อ้วน จุก แล้วเพื่อนทั้ง 4 ก็ชวนป๋าไปเรียน โดยพาไปแต่จิต ไปกันทางนิ้วชี้ ป๋าไม่รู้ว่าไปแต่จิต พอป๋าออกไปแก้วก็เข้ามาอยู่ในร่างของป๋า ทำงานบ้านทุกอย่างจนพอแม่ไม่สงสัย พอป๋ากลับมาแก้วก็ออกไป ป๋าไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันหนึ่งไอ้อ้วนเข้ามาแทน มันกินมากจนผิดสังเกต พอป๋ากลับมา ก็มาขอข้าวกินอีก พ่อแม่ผิดสังเกตเพราะเพิ่งกินไป ความแตกวันที่แกละเป็นคนเข้ามาแทนที่ แกละบอกกับพ่อแม่ป๋าด้วยเสียงผู้ชาย บอกว่าถ้าไม่เชื่อจะให้ป๋าไป 7 วัน ป๋าหายไป 7 วันจริงๆ แกละแทนที่ป๋าอยู่ 7 วันตามที่พูด มันบอกว่าอย่าบอกป๋าเพราะป๋าไม่เคยรู้ว่าพวกตนเป็นวิญญาณ ป๋าเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าไปเรียนเกี่ยวกับยารักษาโรคต่างๆ มีครูผู้หญิงหน้าตาดีเป็นคนสอน มีแต่เด็กเรียนกัน บางทีก็ไปนั่งสมาธิที่น้ำตก                      

 จนอายุ 15 ปีป๋าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพ ฯ เขาให้ปีนขึ้นไปซ่อมฝ้าเพดานแล้วเกิดตกลงมาในกะทะที่มีน้ำมันร้อนๆ ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานแผลเน่าพุพอง จึงกลับมาที่บ้าน แม่ป๋าใช้ยาสมุนไพรทาให้จนหายดี ก็ให้ป๋าไปบวชที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งในชุมพร พอไปถึงหลวงพ่อท่านบอกว่าเธอจะรั้งพวกเขาไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยเขาไป ป๋าถึงรู้ว่าเพื่อนทั้ง 4 ไม่ใช่คนแต่เป็นวิญญาณ เธอจึงไม่ยอมคิดถึงเพื่อนทั้ง 4 อีกพวกเขาเข้าวัดไม่ได้ ได้แต่ส่งสัญญาณเรียกอยู่หน้าวัด อยู่ที่นี่ป๋านั่งสมาธิแล้วระลึกชาติได้เป็นสิบๆชาติ เห็นคนใส่กางเกงสีต่างๆ มีญาณรู้เกิดขึ้น พอของหายก็มีคนไปถามให้หาของให้ มีคนให้เงินเป็นล้าน แต่ป๋าถวายกับวัดทั้งหมด         

 จนเมื่อสิ้นหลวงพ่อ ป๋าก็ออกจากวัดนั้น  ป๋ารู้จักสนิทกับคนที่ทำงานอยู่ในไปรณีย์ที่ร้อยเอ็ด จึงชวนกันมาอยู่ที่ร้อยเอ็ด แต่ก่อนจะมาป๋าไปอยู่ที่สถาบันแม่ชีไทย วิบากเกิดขึ้นกับเธอ วันหนึ่งมีแม่ชีไปเห็นเธอกำลังแอบกินเนื้อสดๆอยู่ใต้โต๊ะ เขาเข้าไปกระชากเนื้อออกจากปากป๋า เธอใช้มือตบหน้าเขาอย่างแรก เธอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เธอถูกขับออกจากที่นั่นและเข้ามาอยู่ที่ร้อยเอ็ดบ้านของคนที่เธอรู้จัก ตอนแรกเธอจะไปอยู่วัดหลวงปู่สี ที่นั่นไม่มีแม่ชีจึงไปไม่ได้ บังเอิญมีคนมาเห็นป้ายของวัดเข้า จึงพาเธอมาที่นี่      ปีนั้นเป็นในพรรษาพอดี เธออายุ 29 ปี เธอไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับเธอ กลัวท่านจะรังเกียจ อยู่ได้ 15 วัน เธอบอกกับท่านว่าอยากจะปฏิบ้ติ หนูติดในสมาธิ หนูอยากแก้ หนูไม่อยากติดในสมาธิ เพราะนั่งแล้วกระโดดเหมือนลูกบอล ไม่มีใครแก้ให้ได้เลย แม่ชีเกณฑ์จัดพานธูปดอกไม้พาแม่ชีป๋าขึ้นกรรมฐาน แต่ก่อนจะย่างเท้าขึ้นศาลาแม่ชีป๋ายืนตัวแข็งทื่อ ตาขวาง และทิ้งพานดอกไม้ลง เดินถอยหลังไป แม่ชีเกณฑ์จึงพูดขึ้นมาว่าทุกดวงจิตไม่ว่าจะอยู่ภพภูมิใดต่างก็หวังความหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ขังตัวเองกันทั้งนั้น หากเจ้ายังอยากอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่เป็นไร วิญญาณที่อยู่ในร่างแม่ชีป๋าย้อนกลับมาและยอมไปขึ้นกรรมฐานต่อหน้าพระพุทธรูป สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเกณฑ์ท่านขอให้ตั้งสัจจะ คือต่อแต่นี้ห้ามกินเลือดกินเนื้อสดๆอีก มันรับคำ ท่านบอกให้ฝืนไว้เมื่อเกิดอาการอยากขึ้นมา แม่ชีป๋าตัวจริงบางขณะก็รู้ตัวบางขณะก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะเวลากินเนื้อสดๆ       

 แม่ชีป๋ายินดีให้เอาเชือกมัดมือมัดขาไว้ขณะที่เกิดอาการ  แม่ชีเกณฑ์ฝึกแม่ชีป๋าอย่างเข้มข้นทั้งเดินและนั่ง ท่านไม่ให้นั่งนาน เพราะถ้านานแม่ชีป๋าตัวลอยขึ้นจากพื้นกระเด้งไปชนโน่นชนนี่ จนท่านต้องยืนขวางเอาไว้ ท่านบอกว่าไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่มีสติรู้ตัว จะไปชนเสาชนตอก็ไม่รู้เรื่อง วิธีแก้คือให้นั่ง 5 นาทีแล้วลุกเดิน 5 นาที ยังไม่หายท่านก็ลดเวลาลงมาอีกจนเหลือเป็นวินาที บางครั้งแม่ชีป๋าไม่ยอมกินอะไรเลย นอนแผ่อย่างหมดแรง ท่านสงสารหยิบน้ำแดงให้กินแทนเลือดหรือบางครั้งเป็นปลากระป๋อง เวลาผ่านไปนับเดือน วิญญานที่แฝงในร่างแม่ชีป๋าเผยตัวออกมาในวันที่สิ้นวิบาก เป็นคู่อริเก่าที่ไปขัดขวางความรักของเขา เป็นพวกใช้คาถาอาคมและเป็นเสือสมิงถึงได้กินเลือดกินเนื้อสดๆ         

เมื่อหายจากอาการกินเลื้อดกินเนื้อแม่ชีป๋าเจอวิบากใหม่ จะนั่งก็หลับจะเดินก็หลับ แม่ชีเกณฑ์ท่านพาไปนั่งตากแดดก็หลับทำอย่างไรก็ปฏิบัติไม่ได้จะหลับอย่างเดียว มีวิญญาณฝ่ายดีต้องการให้แม่ชีป๋าเป็นสื่อให้เขาสร้างบารมีด้วยการช่วยคน แม่ชีป๋าไม่ยอมและพยายามฝืน แม่ชีป๋าบอกกับคุณแม่ว่าเงินกับคำสรรเสริญไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการอย่างเดียวคือความเป็นอิสระ ไม่ให้ใครมาใช้เป็นสื่ออีก เมื่อเป็นวิบากทำให้ปฏิบัติไม่ได้แม่ชีป๋าจึงยอม แม่ชีป๋าไปอยู่กับโยมท่านหนึ่งที่จ.ลำปาง แม่ชีเกณฑ์บอกอย่างหนึ่งว่าให้ปฏิบัติไป เพื่อเป็นการสะสมบุญบารมีของตัวเอง จนถึงวันหนึ่งเมื่อหมดวิบาก ก็จะเป็นอิสระไปได้           

จากเรื่องนี้แม่ชีเกณฑ์ท่านชี้ให้เห็นว่า ความแค้นของคนติดตามข้ามภพข้ามชาติ อย่าได้ไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกับใครเขาไว้ แม้จะเป็นแค่คำพูดก็ตามจะคนใกล้ตัวหรือไกลตัวเราก็ต้องระวังคำพูด หากเขาตายในขณะที่ผูกใจเจ็บกับเรา จิตของเขามาเกิดอยู่ใกล้ๆกับเราแน่นอน อาจจะเป็นงูเห่าที่แอบเข้ามาในบ้านก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ก็มีเกิดขึ้นได้ในโลกนี้แล้วแต่วิบากกรรมของเขา ให้ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าได้ไปสร้างกรรมไว้กับใครเขา ไม่ว่าจะด้วยกายหรือวาจาก็ตาม 

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-15 12:01 , Processed in 0.108988 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.