วิหารพระเมืองแก้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
วิหารนี้เป็นสถานที่ประดิษฐานสรีระสังขารของพระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (พระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา หรือหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา) อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม โดยคณะศรัทธาวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม สร้างถวาย
รูปเหมือนพระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ประดิษฐานด้านหน้าวิหารพระเมืองแก้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ภายในวิหารพระเมืองแก้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
พระประธาน (พระพุทธรูปปางเปิดโลก) ประดิษฐานภายในวิหารพระเมืองแก้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
คำขอขมาพระรัตนตรัย
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า ๓ จบ)
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
สรีระสังขารพระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา (อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม) ประดิษฐานภายในวิหารพระเมืองแก้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ภาพวาดพระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (พระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา, หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม รูปที่ ๑
พระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ชาตะ วันอังคาร ปีฉลู (ปีเป้า) ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖ มรณภาพ วันพุธ ที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ (ตรงกับวันวิสาขบูชาในปีนั้น) ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (สวนดอก) จ.เชียงใหม่ สิริอายุรวมได้ ๘๗ ปี ๖๑ พรรษา
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๙ ที่หลวงปู่ได้เข้ามาทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จนกระทั่งมรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๔๓ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นเวลาถึง ๕๔ ปี
คำไหว้หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
(ว่านะโม ๓ จบ) สาธุ อะหัง นะมามิ พระชัยยะวงศาภิกขุ พระอาจาริเยนะ อังคะละวิชัยโย ปัญฑิตโต ทะสะปาระมีโย ทะสาอุปะปาระมีโย ทะสะปะระมัตถะปาระมีโย กะตัง ปุญญังโน เมถาโถ เมนาโถ เมนาถัง สิระสา นะมามิ
ประวัติของพระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา
(พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์)
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน
จากหนังสือชัยวงศาปูชนียาลัย
พระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา นามเดิมมีชื่อว่า ด.ช.ชัยวงศ์ ต๊ะแหงม เกิดเมื่อ วันอังคารที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖ ตรงกับวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ เหนือ (เดือน ๕ ใต้) ปีฉลู ณ บ้านก้อหนอง ม.๒ ต.ก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน บิดาชื่อ พ่อน้อยจันทะ ต๊ะแหงม มารดาชื่อ แม่บ่อแก้ว เป็นบุตรคนที่ ๓
ด.ช.ชัยวงศ์ อยู่กับพ่อแม่ เจริญอายุขึ้นมาถึง ๑๒ ปี ก็ได้ไปอยู่วัดแม่ปิงเหนือ (วัดก้อท่า) ขณะนั้นมีพระภิกษุนามว่า พุทธิมา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า เป็นเจ้าอาวาส ได้อยู่กับหลวงน้าพุทธิมาราว ๔ เดือน หลวงน้าพุทธิมาก็ได้พาไปช่วยสร้างพระธาตุเกศสร้อย (แก่งสร้อย)
ซึ่ง ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้ไปทำการบูรณะก่อสร้างอยู่ ด.ช.ชัยวงศ์ ได้ช่วยแรงย่ำดินปั้นดินจี่ (อิฐดินเผา) อยู่เป็นเวลา ๓ เดือน ระหว่างนั้นก็ได้พบกับพระครูบาชัยลังก๋า ซึ่งไปนั่งหนักเป็นประธานสร้างพระธาตุเกศสร้อยด้วย และได้มอบตัวเป็นศิษย์
พระครูบาชัยลังก๋า จึงได้ให้ ด.ช.ชัยวงศ์ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพุธที่ ๖ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ (เดือน ๖ ใต้) ณ วัดแก่งสร้อย ต.มืดกา อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ (ปัจจุบันคือวัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย ต.บ้านนา อ.สามเงา จ.ตาก) โดยมีพระครูบาชัยลังก๋า เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งชื่อให้ว่า “ชัยยะลังก๋าสามเณร”
เมื่องานก่อสร้างวัดพระธาตุเกศสร้อยเสร็จแล้วไปส่วนใหญ่ ท่านพระครูบาชัยลังก๋า ได้พาสามเณรชัยยะลังก๋าออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองตื๋น (รวมเวลาเดินธุดงค์ได้ ๔ ปี) ระหว่างทางก็ได้แวะไปกราบรอยพระพุทธบาทห้วยช้างต้มด้วย ขณะนั้นยังรกร้างอยู่
เดินธุดงค์มาถึงวัดจอมหมอก ก็ได้พบกับครูบาพรหมจักร จึงได้พำนักอยู่จำพรรษากับครูบาพรหมจักรได้ ๑ พรรษา พอออกพรรษาแล้วอยู่ถึงเดือน ๕ เหนือ (เดือน ๓ ใต้) ขึ้น ๒ ค่ำ พระครูบาชัยลังก๋าก็ได้มอบสามเณรชัยยะลังก๋าให้อยู่อุปัฏฐากและศึกษาเล่าเรียนกับท่านครูบาเจ้าพรหมจักร ที่วัดจอมหมอก
จากนั้นมาก็ได้ติดตามครูบาเจ้าพรหมจักรออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนถึงเจตอังกฤษ (ปัจจุบันเป็นประเทศพม่า) ที่บ้านกะเหรี่ยงยางแปง ต.บ้านใหม่ อ.เล็งปอย จ.ผาอ่าง และอยู่จำพรรษาที่บ้านยางแปง ได้ ๑ พรรษา
อยู่มาถึงเดือน ๕ เหนือ (เดือน ๓ ใต้) ขึ้น ๘ ค่ำ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๕ ปีวอก สามเณรชัยยะลังก๋ามีอายุครบ ๒๐ ปี ก็อุปสมบทที่นั่น โดยมีท่านครูบาเจ้าพรหมจักร เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระจันทร์ กับพระจัยยา เป็นพระคู่สวดกรรมวาจาจารย์ ตั้งฉายาว่า “พระชัยยะวงศาภิกษุ”
ครั้นถึงเดือน ๕ เหนือ (เดือน ๓ ใต้) แรม ๑ ค่ำ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๕ พระชัยยะวงศาก็กราบลาท่านครูบาเจ้าพรหมจักรกลับมาอยู่วัดจอมหมอก และอยู่จำพรรษาที่นั่น ได้ ๒ พรรษา
พอถึงเดือนยี่เหนือ (เดือน ๑๒ ใต้) ขึ้น ๓ ค่ำ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๗ ก็ออกจากวัดจอมหมอกไปช่วยท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ที่เชียงใหม่ ได้ ๗ เดือนก็สำเร็จ แล้วก็ลาครูบาเจ้าศรีวิชัยกลับไปจำพรรษาที่วัดจอมหมอกตามเดิม
พอออกพรรษาอยู่มาถึงเดือนยี่เหนือ (เดือน ๑๒ ใต้) ขึ้น ๓ ค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๙ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๘ ปีกุน พระชัยยะวงศาก็ออกจากวัดจอมหมอกไปยังวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปร่วมทำบุญฟังธรรมมหาชาติ ในงานครบอายุ ๕๘ ปี ของท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ถึงเดือนยี่เหนือ (เดือน ๑๒ ใต้) แรม ๑ ค่ำ ก็กลับมาอยู่วัดจอมหมอกตามเดิม
ถึงเดือน ๗ เหนือ (เดือน ๕ ใต้) ขึ้น ๖ ค่ำ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๘ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๙ พระสิทธิอ้าย เจ้าคณะหมวด (เจ้าคณะตำบล) เป็นเจ้าอธิการวัดดอนชัย ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้จัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๑ นาย มาเกาะเอาพระชัยยะวงศา (ขณะนั้นอุปสมบทได้เพียง ๒ พรรษา) พาไปที่วัดดอนชัย
เจ้าคณะหมวด (เจ้าคณะตำบล) ได้เรียกพระชัยยะวงศาเข้าพบ แล้วพูดมาว่า “พระวงศ์ท่านไม่ดี เพราะท่านคบคิดกับพระศรีวิชัย ไม่ลงรอยคณะสงฆ์ คือ ไม่ส่งรายชื่อให้เจ้าคณะหมวด ไม่มีใบกองเกิน และไม่มีใบสุทธิ ท่านจงสึกเดี๋ยวนี้แหละ”
แล้วพระชัยยะวงศาก็ตอบว่า “วัดจอมหมอกนี้เป็นวัดป่า เป็นวัดชั่วคราวของครูบาพรหมจักร ไม่มีทะเบียนวัด จึงไม่ได้ส่งเส้น (ชื่อ) พระ เณร เพราะกระผมอยู่องค์เดียว และระยะนี้ก็ไม่มีใบสุทธิทั่วไป ส่วนใบกองเกินนั้น กระผมก็ได้ไปคัดเลือกที่อำเภอลี้มาแล้ว ส่วนใบสุทธินี้ กระผมขอรับกับท่านเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ”
เจ้าคณะหมวดก็ตอบว่า “ไม่ได้ ท่านต้องสึกให้ได้เดี๋ยวนี้” เจ้าคณะหมวดก็เอาผ้าขาวยาว ๓ ศอกมาให้นุ่ง แล้วดึงผ้าเหลืองออกทันที แล้วก็พูดว่า “ของวัดจอมหมอกมีพระพุทธรูปเป็นต้น ฉันจะยึดเอามาทั้งหมด” แล้วขับพระชัยยะวงศาผ้าขาวกลับไปวัดจอมหมอก บอกให้เวลาภายใน ๒ คืน ต้องหนี
เมื่อพระชัยยะวงศาผ้าขาวอยู่ในระยะ ๒ คืน พวกญาติโยมชาวกะเหรี่ยง คนเมือง และคนจีน ก็ได้เย็บผ้าจีวรขาวมาถวาย พระชัยยะวงศาก็รับบังสุกุลมาห่มดอง เมื่อเดือน ๗ เหนือ ขึ้น ๙ ค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘ พระชัยยะวงศาก็ทำพิธีสักการบูชา สุมมาพระรัตนตรัย ก็ขอลาออกจากวัดจอมหมอก
แล้วก็เดินทางขึ้นไปตามหาครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่วัดบ้านปาง ต.แม่ตืน อ.ลี้ จ.ลำพูน เพื่อช่วยครูบาเจ้าศรีวิชัยสร้างวิหาร ได้ช่วยงานสร้างวิหารอยู่ระยะหนึ่ง
ถึงเดือน ๑๐ เหนือ (เดือน ๘ ใต้) ขึ้น ๙ ค่ำ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๘ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๙ พระชัยยะวงศาผ้าขาวก็ขอลาครูบาเจ้าศรีวิชัย จากวัดบ้านปาง เพราะพวกกะเหรี่ยงชาวเขาได้นิมนต์ท่านไปโปรดเข้าพรรษาที่บ้านดอยห้วยเปียง
ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยก็อนุญาตเพื่อไปโปรดพวกชาวเขา และให้ไปอยู่จำศีลภาวนาให้สงบในป่าเขา ถึงเมื่อคณะสงฆ์และบ้านเมืองสงบดีแล้วจึงค่อยกลับมาวัดบ้านปางเหมือนเดิม
พระชัยยะวงศาผ้าขาวก็เดินทางไปทางทิศตะวันตก ผ่านเมืองตื๋นถึงบ้านดอยห้วยเปียง เมื่อเดือน ๑๐ เหนือ (เดือน ๘ ใต้) ขึ้น ๑๓ ค่ำ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๙
พวกชาวเขาและญาติโยมก็ยินดีพากันรับทำกระต๊อบในป่าหลังดอยให้อยู่จำพรรษาที่นี่ ไม่ให้ครูบาเจ้าไปไหนอีก พระชัยยะวงศาก็รับนิมนต์อยู่จำพรรษาที่วัดป่าดอยห้วยเปียง เป็นเขต ต.แม่ตื่นใต้ อ.แม่ระมาด จ.ตาก อยู่กับชาวเขา ได้ ๔ พรรษา
เมื่อเดือน ๑๒ เหนือ (เดือน ๑๐ ใต้) แรม ๖ ค่ำ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๒ ก็ลาจากอรัญญวาสชาวเขาดอยห้วยเปียง กลับคืนมาเยี่ยมโยมแม่ที่บ้านก้อหนอง อ.ลี้ จ.ลำพูน แล้วเลยเดินทางต่อไปยังวัดบ้านปาง เพื่อช่วยครูบาอภิชัยขาวปีเหมียด (เก็บ) พระศพท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย บรรจุไว้ในหอเมรุ
ถึงเดือนยี่เหนือ (เดือน ๑๒ ใต้) แรม ๗ ค่ำ เป็นวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๒ ครูบาอภิชัยขาวปีและพระชัยยะวงศาผ้าขาวก็ลาออกจากวัดบ้านปางไปอยู่บ้านกะเหรี่ยงห้วยหละและบ้านห้วยโทก ต.ป่าพลู อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เป็นกำลังสำคัญในการสร้างถนนตั้งแต่บ้านห้วยหละ-บ้านห้วยโทก เป็นระยะทาง ๓ กิโลเมตร รวมเป็นเวลาได้ ๗ เดือน แล้วทำบุญฉลองถนน
จากนั้นครูบาเจ้าอภิชัยขาวปีก็ลาจากบ้านห้วยหละไปอยู่ที่วัดพระบาทตะเมาะ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดเดิมของท่านครูบาอภิชัยขาวปี ส่วนพระชัยยะวงศาผ้าขาวก็อยู่จำพรรษาที่อารามสบหละ ตามคำนิมนต์ของพวกยางบ้านห้วยหละอีก ๑ พรรษา ก็พอดีปีนั้นเกิดสงครามกับญี่ปุ่น (สงครามโลกครั้งที่ ๒)
ออกพรรษาแล้วถึงเดือนยี่เหนือ (เดือน ๑๒ ใต้) เป็นวันแรม ๒ ค่ำ วันพุธที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๓ ก็ลาออกจากวัดป่าห้วยหละ เพราะมีคณะศรัทธาวัดป่าพลูมานิมนต์ให้ไปอยู่ที่ วัดป่าพลู ต.ป่าพลู อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เพื่อไปสร้างกำแพงและพระวิหาร
ถึงเดือน ๙ เหนือ (เดือน ๗ ใต้) ขึ้น ๑๓ ค่ำ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๔ คณะศรัทธาวัดป่าพลูได้นิมนต์ให้พระชัยยะวงศาผ้าขาวอุปสมบทต่อนิสัยขึ้นอีกใหม่ ที่วัดป่าพลู โดยมีเจ้าอธิการบุญมา (เจ้าอาวาสวัดบ้านโฮ่ง) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระจันทร์ กับพระมหาทองคำ เป็นพระคู่สวดกรรมวาจาจารย์ ให้ฉายาว่า “จันทวังโสภิกขุ”
ทางคณะสงฆ์บัญญัติให้พระจันทวังโส อยู่จำพรรษาที่วัดป่าพลู ๕ พรรษา พระจันทวังโสได้อยู่จนครบ ๕ พรรษา ในช่วงออกพรรษาก็ได้ออกจากวัดป่าพลูไปช่วยพระครูบาเจ้าอภิชัยขาวปีคุมงานการก่อสร้าง ที่วัดพระบาทตะเมาะ พอใกล้เข้าพรรษาก็กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าพลูตามเดิม
หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา อายุได้ ๓๓ ปี นายอำเภอลี้และคณะสงฆ์ในอำเภอลี้ ได้ให้ศรัทธาญาติโยมวัดนาเลี่ยง มานิมนต์ท่านครูบาอภิชัยขาวปี หรือหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา องค์ใดองค์หนึ่ง เพื่อไปอยู่เมตตาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม แต่ครูบาเจ้าอภิชัยขาวปีไม่ยอมไป และบอกว่า “ไม่ใช่หน้าที่”
ครูบาเจ้าศรีวิชัย เคยพูดไว้ว่า “วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มนั้น เป็นหน้าที่ของครูบาชัยยะวงศ์องค์เดียว”
ด้วยเหตุนี้ครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี จึงขอให้หลวงปู่ชัยยะวงศาพัฒนาไปอยู่โปรดเมตตาสร้างวัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม ซึ่งต่อมาภายหลังท่านได้เปลี่ยนชื่อวัดให้สั้นลง เป็น “วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม” และหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ท่านจึงได้มาอยู่จำพรรษาและบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๙ เป็นต้นมา
นับตั้งแต่หลวงปู่ได้มาอยู่พัฒนาวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๙ ท่านก็ได้บุกเบิกปฏิสังขรณ์และก่อสร้างถาวรวัตถุหลายๆ อย่างเช่น วิหารครอบรอยพระพุทธบาท วิหารหอสวดมนต์ มณฑปพระบาทกบ ศาลายาว โรงครัว ฯลฯ โดยส่วนใหญ่ใช้วัสดุจากศิลาแลง ซึ่งหาได้ง่ายในแถบนั้น
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๔ พวกกะเหรี่ยงได้อพยพจากป่าเข้ามาพึ่งใบบุญอยู่กับหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนาเป็นจำนวนนับร้อยๆ หลังคาเรือน ก่อนที่พวกกะเหรี่ยงเหล่านี้จะมาอยู่ในหมู่บ้านห้วยต้ม หลวงปู่เคยไปโปรดเมตตาสงเคราะห์เป็นครั้งคราว
สาเหตุที่โยกย้ายกันมา เนื่องจากการไปมาติดต่อลำบาก จะมาทำบุญกับหลวงปู่สักครั้งหนึ่ง ก็สิ้นเปลืองเงินทองและเวลาเป็นอย่างมาก การอพยพมาอยู่ในระยะแรกมีความลำบาก เพราะพื้นที่บางส่วนเป็นหินศิลาแลงและแห้งแล้ง อีกประการหนึ่งพวกกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เคยสูบฝิ่นและกินเนื้อสัตว์มาก่อน
ผู้จะมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ หลวงปู่ให้ตั้งคำสัตย์ว่า ต้องเลิกสูบฝิ่นและเลิกกินเนื้อสัตว์ทุกคน เพราะสถานที่แห่งนี้ตามตำนานในอดีต พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ไม่ทรงเสวยเนื้อสัตว์ และยังได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทเอาไว้ด้วย จึงถือเป็นประเพณีตั้งแต่นั้นสืบมา
ผู้ที่ไม่เชื่อฟังมักจะอยู่อย่างไม่เป็นสุข มีเรื่องทุกข์ใจ ทุกข์กาย ร้อนใจ และเจ็บป่วยอยู่เสมอ กะเหรี่ยงบางคนไม่สามารถทนอยู่ได้ ก็ต้องอพยพกลับไปอยู่ที่อื่น พวกที่ทนอยู่ได้ก็ตั้งหน้าทำความดี ทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนา มีความขยันขันแข็งต่อสู้อุปสรรคอันแห้งแล้งกันดารของธรรมชาติ มีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ไปวันหนึ่งๆ ด้วยความมุ่งมั่นศรัทธาในคำสอน
ก่อนหน้านั้นพื้นที่แถบนี้เคยมีชนชาวกะเหรี่ยงที่มีคุณธรรม มีความเชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ให้ไว้กับหลวงปู่ก็รักษาศีลภาวนา ละเว้นการกินเนื้อและเบียดเบียนสัตว์ทุกชนิด ภาวะน้ำที่เคยแห้งแล้งก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สภาพของดินตามอันแข็งกระด้าง ค่อยเปลี่ยนสภาพเป็นร่วนซุย เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมากขึ้น เพราะผลจากการปลูกพืชหมุนเวียน ทนต่อสภาวะความแห้งแล้งได้ดี
หลังจากที่เก็บเกี่ยวพืชผลและไถกลบผืนหน้าดินเสียใหม่ ซากลำต้นพืชของเดิมก็เสื่อมสลายกลายเป็นปุ๋ยได้ดี ประกอบกับฝนฟ้าตกต้องตามฤดูมากขึ้น ทำให้พื้นที่กลับอุดมสมบูรณ์ขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป เหมือนกับพลิกแผ่นดินที่แห้งแล้งให้กลับกลายมาเป็นผืนแผ่นดินที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคุณธรรมความดีที่พวกเขาพยายามสร้างสรรค์และสั่งสมนั่นเอง
---------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : พระอ่อนแก้ว ชัยยะเสโน, พระพงษ์ศักดิ์ คัมภีรธัมโม และคุณธนกร สุริยนต์. (๒๕๔๔, ๑ พฤษภาคม). ชัยวงศาปูชนียาลัย (พิมพ์ครั้งที่ ๑). กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. สัมพันธ์พาณิชย์.)
“ ปัจจุบันแม้ว่าหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนาสิ้นไปแล้ว แต่พระบารมีของหลวงปู่ก็ยังครอบคลุมสงเคราะห์หมู่ชาวกะเหรี่ยง บรรดาศิษย์และวัดพระพุทธบาทห้วยต้มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
.....ตราบใดที่พวกเรายังมีหลวงปู่ครูบาเจ้าอยู่ในท่ามกลางใจเสมอ ตราบนั้นความเจริญย่อมมีเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้แก่ทุกคน ”
บูชะยะ ชะยะวงศา โลกุหาวมุตุรุโวะ
“ขอบูชาพระชัยยะวงศา ผู้ฉุดคนให้พ้นจากนรก”
รูปเหมือนองค์เล็กพระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ประดิษฐานภายในวิหารพระเมืองแก้ว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม