แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ณ สวนปฏิบัติธรรมจิตต์ประภัสสร อ.หนองแค จ.สระบุรี [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"อสรพิษ"           

เล่าให้คุณแม่ชีเกณฑ์ท่านฟังว่าเวลาขับรถ มักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ทั้งที่เป็นเวลาที่มีสติมากที่สุด เจอรถจอดขวางทาง รถขับช้า รถผิดเลนส์ อารมณ์ขึ้นมาทันที บีบแตรใส่เขาด้วยความมีอารมณ์ ถามท่านว่าทำอย่างไรจึงจะบีบแตรไปแบบไม่มีอารมณ์ปนไปด้วย ท่านบอกว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะสติเราช้ากว่าใจ พอตาเห็นใจก็ถูกปรุงแต่งทันที ห้ามไม่ทันจนเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา           

ท่านบอกว่าถ้าตายขณะนั้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ดุร้ายหรืออสรพิษ เช่น งูเห่า งูจงอาง หมาบ้า เสือ ตะขาบ แมงป่อง คงเคยเกิดเป็นงูเห่ามาก่อน จึงมีใจที่ร้ายเช่นนั้น พร้อมที่จะฉกกัดทุกคนที่ไม่พอใจ มันเกิดเพราะยังมีอัตตาตัวตนอยู่ข้างใน เห็นไหมของข้างนอกวางได้แต่ของข้างในมันยังไม่ขาด เราต้องเห็นโทษเห็นภัยมันอย่างแท้จริง จึงจะขาดจากมันได้                       

ถามท่านว่าแล้วทำอย่างไรจึงจะห้ามมันทัน ท่านบอกว่าต้องให้สติถี่ยิบทันกับสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้ง 6 ให้สติหนาแน่นประดุจกำแพงปูน แค่รูขุมขนไม่พอเพราะความมีตัวตนมันแทรกขึ้นมาได้ทุกรูขุมขน ท่านแนะวิธีดึงใจให้ช้าลงและให้มีสติมากขึ้น ด้วยการกำหนด เห็นหนอๆๆ ได้เย็นหนอๆๆ คิดหนอๆๆ กำหนดทุกอิริยาบถเท่าที่จะกำหนดได้ หากไม่ทันโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องกำหนด โกรธหนอๆๆเพื่อดึงขามันไว้            

การหนอเป็นการสะกัดกั้นความปรุงแต่งต่อ เช่นตาเห็นหากเรากำหนดทันมันก็จะไม่ไปต่อ ว่าเธอทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะหยุดอยู่แค่นั้น หรือหูได้ยิน เราก็กำหนดได้ยินหนอๆๆ ไม่อย่างนั้นมันจะคิดต่อว่าเขาว่าเราหรือเปล่า ท่านบอกว่าแค่รู้ทัน มันแค่ห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้น ถ้าวันใดสติอ่อนกำลัง มันก็จะโกรธขึ้นมาอีก ถามท่านว่าแล้วทำอย่างไรให้มันขาดไปเลย ท่านบอกว่าเราต้องเห็นโทษเห็นภัยของความมีอัตตาตัวตนอย่างแท้จริง มันจึงจะขาดไปได้ ปัญญาที่เกิดในขณะเดียวกันกับสติที่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะตัดขาดได้      

ถามท่านอีกว่าแล้วจะทำอย่างไรให้สติถี่ยิบและเร็วขึ้นอย่างที่ท่านว่า ท่านบอกว่าความต่อเนื่องคือเรื่องใหญ่และสำคัญมาก หากต้องทำงานให้แบ่งเวลาปฏิบัติบ้างทุกวัน วันละเล็กน้อยเพื่อความต่อเนื่อง ไปทำงานก็ต้องเจริญสติต่อไม่ให้ขาด ต้องรู้ทุกขณะที่มีอารมณ์มากระทบใจ โดนตำหนิรู้สึกอย่างไร หิวเป็นยังไง เห็นผู้ชายผู้หญิงรู้สึกอย่างไร ขับรถไปรถติดเป็นยังไง นั่งนานเป็นยังไง ไม่กินกาแฟเป็นยังไง เห็นอาหารแล้วเป็นอย่างไร เห็นเงินในกระเป๋ารู้สึกยังไง ถึงบ้านแล้วเป็นยังไง ให้รู้ไปจนกระทั่งหลับ ตื่นขึ้นมาก็ให้รู้ต่อ ความต่อเนื่องจะทำให้สติมีกำลัง ในคนทำงานต้องใช้เวลา เดือนหรือ 3 เดือนจิตจึงจะมีกำลังขึ้นมา            

เราตั้งใจแล้วที่จะทำตามท่านบอก จะขยันกำหนดไม่ขี้เกียจไม่ขี้ลืม ไม่อิดออดอ้างโน่นอ้างนี่เพราะไม่อยากทำ เราทนกับนิสัยอันเลวร้ายของตัวเองไม่ได้แล้ว ตายไปไม่แคล้วเป็นงูเห่าแน่นอนหากปล่อยไว้เช่นนี้

Rank: 1

"มัจจุราชมาเตือน"

เช้าหนึ่งเกิดความเบื่อ เบื่อที่จะกิน ไม่สนใจเรื่องตัวเอง เบื่องานบ้านที่ทำไม่จบสิ้น เบื่อแต่ไม่ขี้เกียจ ยังคงทำทุกอย่างตามปกติ แต่ใจทำแบบงั้นๆ พูดคุยงานตามปกติ ไม่สนใจมากนัก ตอนบ่ายไปซื้อของที่ตลาดริมน้ำ เห็นป้าคนหนึ่งอายุ 50 กว่าๆ ในมือถือของ เดินไปได้ไม่ถึง 5 ก้าว แกก็นั่งพักตามรถที่จอดแถวนั้น หน้าบ้านคนอื่นบ้าง 

เราเดินไปซื้อของ ขากลับยังคงเห็นป้าเดินบ้างพักบ้าง ที่ว่ามัจจุราชมาเตือนนั้นคือ ใช่วันใดวันหนึ่งเราอาจจะเดินได้แค่ 5 ก้าวอย่างป้าเขา ถ้าเราไม่รีบคงจะไม่ทันการณ์ ขาเรายังเดินได้อยู่ก็จงเดิน มือเรายังเขียนได้อยู่ก็จงเขียน ใครจะไปรู้ว่าวันข้างหน้า ตาเราอาจจะบอดหรือความจำเสื่อม หรืออาจจะเคลื่อนที่ไม่ได้ทั้งตัวก็เป็นได้ 

สิ่งใดที่ยังไม่ทำก็ทำเสียก่อนจะหมดโอกาส เวลาไม่คอยท่าใคร ใจเราพลิกกลับในทันที ความเบื่อโลกหายไป เรารีบทำในสิ่งที่ค้างอยู่ ตัดสินใจในเรื่องที่คาอยู่ ใจไม่ไปข้องแวะอยู่ที่ใดนานๆ ช่วงเวลาที่ยังมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณแม่ชีเกณฑ์ เราไม่รีรอที่จะทำตามคำที่ท่านแนะนำ เพราะไม่รู้ว่าเวลาของเราจะหมดลงเมื่อใด


Rank: 1

"เราหรือกาแฟที่ทำความเพียร"

เมื่อก่อนก่อนที่จะได้มาปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ชีเกณฑ์ ฉันมักดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร เช้าก่อนทำงาน ๑ แก้ว ประมาณบ่าย ๒ โมงดื่มอีก ๑ แก้ว ครั้นเริ่มปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ชีเกณฑ์ เมื่อต้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทุกครั้งที่มีการเสวนาธรรม คุณแม่มักจะบอกผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกครั้งที่ร่วมกันปฏิบัติธรรมว่า ให้ละการดื่มกาแฟ...

ซึ่งตอนแรกฉันก็นึกสงสัยและเกิดคำถามว่าเพราะอะไร...และทำไมคุณแม่จึงให้หยุดดื่มกาแฟ เฉกเช่นเดียวกับบทความนี้ที่มีผู้ปฎิบัติธรรมท่านหนึ่งได้เสวนาธรรมเรื่องนี้กับคุณแม่ เมื่อได้คำตอบผู้ปฏิบัติธรรมผู้นี้ก็สามารถหยุดการดื่มกาแฟได้ แต่หาได้หยุดความเพียรของตนไม่

วันนี้...จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ทุกคนที่สงสัยได้อ่านร่วมกัน ดังนี้

“…ตั้งแต่เริ่มต้นคุยกับคุณแม่ชีเกณฑ์ เราบอกท่านว่าวันไหนดื่มกาแฟแล้วจะมีแรงปฏิบัติดีมาก ขยันเดินขยันนั่งไม่เบื่อหน่าย วันไหนไม่ได้ดื่มกาแฟ จะเกิดความรู้สึกตื้อๆ ไม่เห็นสภาวะอะไรเลย เราจึงถามตัวเองว่านี่เราทำความเพียรหรือให้กาแฟมันทำความเพียรกันแน่ 

คุณแม่จึงบอกให้เราหยุดดื่มกาแฟ และสอนให้อยู่ได้ด้วยสติของตัวเราเอง แรกๆ เราก็ยังไม่กล้าที่จะตัด ไม่ดื่มเลย มีดื่มบ้างไม่ดื่มบ้าง หลังๆ ก็เป็นโอเลี้ยง แต่มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ จึงตัดสินใจที่จะหยุดดื่มกาแฟ... 

๓ วันแรกที่หยุดดื่ม รู้สึกปวดหัวมาก หงุดหงิดฉุนเฉียว ปฏิบัติไปมีแต่ความขี้เกียจ ไม่ตื่นตัว แต่ก็อดทนฝืนมันไว้ พอเข้าวันที่ ๕ เริ่มดีขึ้น พยายามเคลื่อนไหวตัวเองตลอดเพื่อกระตุ้นสติให้มีกำลัง ตอนนี้แหละที่เราเข้าใจคำพูดของคุณแม่แล้ว ทำไมให้เลิกดื่มกาแฟ เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ มีผลต่อจิตใจ ทำให้เราอ่อนแอไม่ยอมพึ่งตัวเอง ตอนนี้เราเลิกแล้ว...ไม่ยอมตกเป็นทาสของกาแฟอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่าคิดไปเองที่ว่าอยู่ได้เพราะกาแฟ 

ตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบปี เราไม่ดื่มกาแฟเลย ทั้งๆ ที่เคยดื่มกาแฟมาเกือบครึ่งชีวิต และพบว่าการมีสติอยู่กับตัวให้มากขึ้น ทำให้ตื่นยิ่งกว่าการดื่มกาแฟเสียอีก ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งตื่น ไม่ปวดท้อง ไม่ห่วงเรื่องน้ำตาล ไม่ง่วงแม้จะนอนน้อย และที่สำคัญไม่หงุดหงิดฉุนเฉียวเช่นเดิม

ทุกอย่างต้องใช้เวลาและความเพียร บวกกับความตั้งใจจริง หากเราไม่ละแล้ว เราจะเห็นตัวจริงของใจได้อย่างไร เราต้องยืนได้ด้วยตัวเองหาใช่ยืนได้ด้วยกาแฟ”

หลายคนคงไม่สงสัยแล้วใช่ไหมว่า เหตุใดคุณแม่ชีเกณฑ์จึงมักบอกผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนให้หยุดดื่มกาแฟ


Rank: 1

"ทำให้การเกิดครั้งนี้...เป็นครั้งสุดท้ายนะลูก"

เล่าให้คุณแม่ฟังว่า ฝันเห็นจานบินมีสำแสงส่องมาและดูดคนที่โดนแสงนั้นขึ้นไป วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน เอาคุณพ่อที่นอนป่วยอยู่ซ่อนไว้ใต้เตียง แล้วตัวเองวิ่งหนีแสงนั้นออกไปนอกบ้าน หนีไปซ่อนตัวตรงนั้นตรงนี้ แต่หนีไปซ่อนตรงไหนมันก็หาเจอ ไม่มีทางหนีมันได้เลย

ถามคุณแม่ว่าสิ่งที่เราหนีไม่ได้ก็คือความตายใช่ไหม ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลกนี้เราไม่มีทางหนีมันพ้น ในใจคิดจะมีวันใดหนอที่เราจะยืนรอรับมันอย่างสง่าผ่าเผย ไม่วิ่งหนีมันเช่นนี้

ถามท่านอีกว่า ทำอย่างไรถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับความตายอย่างสง่าผ่าเผย ท่านบอกตั้งใจปฏิบัติไปนะ อย่าทิ้งความเพียร ทำให้สม่ำเสมอ เมื่อสติแก่กล้าและเข้าใจในความเป็นจริงของสรรพสิ่ง วันนั้นลูกจะกล้าเผชิญหน้ากับความตายอย่างสง่าผ่าเผย

หัดตายเสียตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ตาย ทุกข์ใจแค่นี้ยังทนไม่ได้ แล้วเมื่อถึงเวลานั้นที่ต้องจากทุกสิ่งไป จะทนได้หรือ เห็นแล้วใช่ไหมไม่ว่าเราจะไปซ่อนที่ไหนมันก็หาเจอ ไม่มีของวิเศษอันใดจะทำให้เราหนีมันได้ มีทางเดียวที่จะไม่ต้องหนีมันอีกไปตลอด ลูกก็ต้องไม่กลับมาเกิดอีก ทำให้การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะลูก


Rank: 1

"หนูไม่มีเงินทำบุญเลย แล้วการแผ่เมตตาของหนูจะมีกำลังได้อย่างไรค่ะ"

คุณแม่เราป่วยหนักมานานแล้ว ท่านร้องครวญครางเสียงดังทั้งวันทั้งคืน นอกจากการดูแลรักษา คุณแม่ชีเกณฑ์ท่านให้แบ่งเวลาเพื่อปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ ทุกวัน แล้วแผ่เมตตาเจาะจงให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ของเรา

ตอนนี้เราแทบจะไม่มีเงินทำบุญเลย ถามท่านว่าแล้วจะมีบุญแผ่เมตตาให้เขาได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่เป็นไร อย่าได้กังวลในเรื่องนั้น ให้นึกถึงทานทุกอย่างที่เคยทำไว้มากมายในอดีต แล้วแผ่เมตตาออกไป

เรายังบอกท่านอีกว่า บางวันยุ่งมากจนไม่มีเวลาปฏิบัติ บางวันก็เหนื่อยมากจนปฏิบัติไม่ไหว นั่งสมาธิ พอสงบสักนิดก็หลับทุกที แล้วการแผ่เมตตาจะมีกำลังได้อย่างไร

ท่านบอกว่าแม้จะไม่ได้ปฏิบัติมากมายนักด้วยความจำเป็น แค่ปฏิบัติเดินจงกรมและนั่งสมาธิด้วยใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ตั้งมั่น แน่วแน่ เป็นหนึ่งเดียว แค่เพียง 20 นาทีก็เพียงพอที่จะทำให้การแผ่เมตตานั้นมีกำลังแล้ว หรือในแต่ละวัน จิตเราไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่ฟุ้งซ่าน ก็จะทำให้การแผ่เมตตานั้นมีกำลังเช่นกัน

ท่านให้เราส่งจิตไปถึงเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ของเรา บอกเขาว่าหากเขายินดีปลดปล่อยแม่ของเรา ไม่ให้ท่านทุกข์ทรมาน เราจะบวชและปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆจังๆ แล้วอุทิศบุญให้พวกเขาได้พ้นจากความทุกข์ทรมานและภพภูมิที่เป็นอยู่

ถามคุณแม่อีกว่า จะเจรจาขอเจ็บป่วยทุกข์ทรมานแทนคุณแม่ของเราได้ไหม ท่านถามกลับว่าเวลาเราโกรธใคร หากลูกเขามาบอกให้ไปโกรธเขาแทน เราเปลี่ยนคนโกรธได้ไหม มันเป็นคนละคนกัน ใจเราก็ไม่โกรธ หากไปทำอะไรเขาก็เท่ากับสร้างกรรมให้ตัวเองเสียอีก ทางเดียวที่จะแทนกันได้คือปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ อย่างถูกทางและแผ่เมตตาให้กับพวกเขา

เราไม่รอเวลา แม้จะยังไม่ได้บวช เราก็ขอตั้งจิตอธิฐานปฏิบัติธรรมอย่างจริงๆ จังๆ ทุกวัน แล้วแผ่เมตตาให้กับพวกเขา เพื่อให้ความทุกข์ทรมานของคุณแม่ของเราได้คลายลงบ้าง ขอแบ่งปันความรู้เล็กๆน้อยๆ นี้ ไปยังเพื่อนๆ ทุกท่าน เผื่อว่าอาจจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง


Rank: 1

"อาการที่เรียกว่าปิติมีอะไรบ้างค่ะ เกิดเพราะอะไร ดีหรือไม่ดี และแก้ไขอย่างไร"

อาการซาบซ่านทั่วร่างกาย  ตัวเบาเหมือนจะลอย  น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง  ตัวโยกไปมา  คันเหมือนมดไต่ ตัวแข็งเหมือนหิน  ลมหายใจหายไป  ตัวหายไป  ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายนี้อยู่เลย ตัวลอยขึ้น ตัวสั่น มือมาตีหน้าผาก หัวโขกพื้น ตัวยืดตัวยาว ตัวขยายใหญ่กว้าง เห็นสีแสงสว่าง สั่นเป็นเจ้าเข้า นี้เป็นอาการของปิติ เกิดเพราะสติเราอ่อน หนักสมาธิไป 


เมื่อเกิดสมาธิที่ไม่มีสติเท่าเทียมกัน ทำให้เราไม่มีสติพอที่จะประคองร่างกายให้ตั้งไว้ได้ หรือหากน้ำตาไหล สติเราไม่ทันกับใจที่ถูกปรุงแต่ง และด้วยวิบากกรรม เมื่อสติไม่พอวิบากกรรมจะเข้าแทรก ปิติก็เป็นนิวรณ์หรือเครื่องข้องที่ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า หยุดอยู่ตรงนั้น พอนั่งสมาธิก็ผลุบเข้าสู่สภาวะนี้เหมือนไปติดอยู่ในอีกภพหนึ่ง รู้ตัวอยู่แต่ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านหรือพาตัวเองออกมา ต้องปล่อยให้คลายตัวลงเองจึงจะออกมาได้ 


นั่นเพราะสติเราอ่อนยังไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้าน บางคนไปติดภาวะแบบนี้เป็น 10 ปีเพราะไม่รู้จะแก้อย่างไร ทำให้เลิกนั่งสมาธิไปเลยก็มี สรุปว่าไม่ดี แรกๆบางคนอาจจะตื่นเต้นเพราะไม่เคยเจอภาวะเช่นนี้ จากปกติมีแต่ภาวะฟุ้งซ่าน พอจิตสงบมาเจอสภาวะเช่นนี้ เลยคิดไปว่าตัวเองก้าวหน้าขึ้น ไม่ฟุ้งซ่านแล้ว 


บางคนอาจคิดไปว่ากำลังเข้าฌานนั้นฌานนี้ ไม่มีหรอกฌานตัวโยกไปโยกมา มีแต่ฌานโลกีย์ นั่งแล้วไม่มีสติรู้ตัวหรือควบคุมตัวเองไม่ได้ หากตายขณะนั้นคิดว่าจิตจะไปไหน ก็ไปแบบคนไม่มีสติ ไปตามบุญตามกรรมที่ทำมา หรือวิบากกรรมเก่าเข้าแทรกพอดี ก็ไปตามกรรมนั้นเลย น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง  เห็นสีแสงสว่าง คันเหมือนมดไต่ ให้กำหนดรู้หนอๆ ไปจนกว่าอาการจะหาย อย่าไปปรุงแต่งต่อ 


ส่วนอาการอื่นๆทางร่างกาย ให้เดินจงกรม 5 นาที นั่ง 5 นาที ทำสลับไปสลับมาจนครบ 1 ชม. การทำแบบนี้ทำให้สติตื่นและตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน ขจัดนิวรณ์ในใจ และทำให้ไม่ติดในความชอบที่จะนั่งนานๆ กระฉับกระเฉง ไม่ขี้เกียจ ช่วยปรับสมดุลร่างกาย โรคที่เป็นอยู่ถูกขับออก เป็นการรักษาโดยธรรมชาติ ทำเช่นนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการทุกอย่างก็จะหายไป เมื่อสติมีมากขึ้นก็เพิ่มเวลาตามสมควร หากเป็นอีกก็แก้กันอีก 


บางคนวิบากกรรมเข้าแทรกขณะนั่งสมาธิเกิดนิมิต ไม่รู้ว่าต้องกำหนด เจ้ากรรมนายเวรมาแสดงตัวและดึงเธอไป หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนสติเลื่อนลอย ไม่รับรู้อะไรอีก เขาก็มาปฏิบัติแก้ด้วยการลุกนั่ง 5 นาที มาเป็นนิมิตมาอีกก็ให้กำหนดรู้หนอๆ อย่างเดียว ทำอยู่ปีกว่าและแผ่เมตตา อาการก็เป็นปกติ


ช่วงแรกอาจต้องตั้งเวลา เราต้องทนกับใจที่มันดิ้น มันขัดใจ มันไม่เอา มันไม่ยอม  ก็เพราะไอ้ใจที่มันดิ้นนี้ไม่ใช่หรือที่พาเราเดือดร้อน หากเราทนได้ ฝืนได้ มันก็จะหยุดดิ้นเอง เพราะมันชินแล้ว เมื่อจำระยะเวลาที่ต้องลุก ต้องนั่งได้ เราก็ลุกนั่งเองโดยไม่ต้องตั้งนาฬิกา  ทุกครั้งหลังการปฏิบัติ คุณแม่จะให้แผ่เมตตาเจาะจงให้กับเจ้ากรรมนายเวรตัวเอง แผ่ไปจนกว่าเราจะพ้นสภาวะตรงนี้ จึงเริ่มแผ่เมตตาให้คนอื่น


Rank: 1

"สมาธิกับวิปัสสนาต่างกันยังไงค่ะ"

ถ้าสมาธิอย่างเดียวก็นิ่ง ไม่รู้ตัวเอง เสึยงเข้ามาก็ไม่รับรู้ เย็นร้อนอ่อนแข็งมาสัมผัสกายก็ไม่รับรู้ นั่งนิ่งอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นอารมณ์วิปัสสนา วิ แปลว่าตัวปัญญา รู้แจ้งในอารมณ์ ที่นิ่งก็รู้ว่านิ่ง วิปัสสนามีสติและปัญญาปนอยู่กับสมาธิ มีสติรับรู้อารมณ์ 

ที่เป็นสมาธิก็รับรู้ว่าเป็นสมาธิ รู้ว่ามันสงบ แต่ถ้ามีอารมณ์มากระทบทางหูก็รับรู้ ถ้าลืมตา ตาไปกระทบรูปก็รับรู้ทันที หรือว่ากายอยู่ในองค์สมาธิ หูได้ยินเสียงก็รับรู้ ได้ยินเสียงมาสัมผัสหู เย็นมา มีลมผ่านมา กายเย็นก็รับรู้ว่ากายเย็น กายร้อนก็รับรู้ว่ากายร้อน มีมดมีอะไรมาแตะต้องตัวก็รับรู้ มีอะไรก็รับรู้หมด พร้อมกับปัญญาคอยพิจารณาในสิ่งนั้น รู้แล้วก็วาง

วิ แปลว่าตัวปัญญา รู้เท่าทันอารมณ์นิ่ง อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ นิ่งในสมาธิ จิตเสพอารมณ์ เบิกบานในอารมณ์สมาธิก็รู้ รู้แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา ถอนออกจากความยินดียินร้าย ไม่ให้ไปติดในอารมณ์ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ เพราะอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจนี้ เป็นนิวรณ์เครื่องขวางกั้นให้ผู้ปฏิบัติธรรมเนิ่นช้า หรือติดอยู่แค่ตรงนั้น


Rank: 1

"ผมพยายามศึกษาพระธรรมคำสอน แล้วก็ศึกษาไปไกลโพ้นพอสมควร เพื่อหวังเข้าให้ถึงแก่น แต่ก็เข้าไม่ถึงสักที แก่นพระพุทธศาสนา... อยู่ตรงไหนหนอ? "

แก่นพระพุทธศาสนาก็อยู่ที่ใจคุณต่างหาก คุณทำใจให้ผ่องแผ้ว ไม่คิดไม่ปรุงไม่แต่ง ทำใจให้สะอาดหมดจด ให้ขาวรอบอยู่ทุกขณะ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่พยาบาท ให้ลดละปล่อยวาง ว่างอยู่ตลอด ไม่อุปาทาน ไม่ยึดมั่นในตัวกูของกู ทำแต่จิตตัวเองให้ขาวสะอาด หมดจดผ่องแผ้วอยู่ทุกขณะลมหายใจ

แล้วก็ให้เห็นตามความเป็นจริง กับทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรรพสัตว์ทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง มีแต่ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ทำจิตให้ขาวรอบผ่องแผ้วหมดจด ทุกลมหายใจเข้าออก ลดละปล่อยวางตัวกู อัตตาตัวตน นี่คือแก่นแท้ของพระพุทธศานา.


Rank: 1

"รู้เท่าทันจิต"

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ ปฏิบัติธรรมยังไงให้ถึงธรรมค่ะ
คุณแม่ชีเกณฑ์ : ก็วางสิ วางทุกอย่างมันก็ถึงเท่านั้นเอง ถ้าจิตไม่ว่างมันจะไปถึงได้ยังไง มัวแต่วุ่นนั่นวุ่นนี่ คิดโน่นคิดนี่ กังวลนั้นกังวลนี้...วาง ทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้เป็นกลางๆ มีหน้าที่รู้เท่าทันจิต จิตมันมีหน้าที่คิด แต่เราทำใจเป็นกลางๆ เราพยายามว่า...เราจะปล่อยวางทุกอย่าง แต่มันก็ปล่อยไม่ได้ พอทำใจเป็นกลางๆ มีหน้าที่รู้เท่าทันจิต เราจะปล่อยมัน รู้เท่าทันทุกอย่าง มันก็พ้นทุกข์ ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็หลงใช่มั้ย

ผู้ปฏิบัติธรรม : แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าถึง มรรคมีองค์ 8 ค่ะ
คุณแม่ชีเกณฑ์ : จะเข้าสู่มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องเดินอย่างนี้เสียก่อน รู้เท่าทันจิตเสียก่อน ถ้าไม่รู้เท่าทันจิต มันจะไปได้อย่างไรเล่า เริ่มต้นมันก็ต้องไปรู้เท่าทันจิตก่อน มันถึงจะเข้าถึงมรรคมีองค์ 8

จะให้มันเข้าสู่มรรคมีองค์ 8 มันไม่ไป ไม่มีทางหรอกคนเรา กิเลสไม่ยอมหรอก ใช่ไหม เหมือนที่แม่บอกให้เราปฏิบัตินั่นนะ อันน้นมันตายตัวอยู่แล้ว มันจะไปของมันเอง

การตามรู้จิตนี่แหละมรรคมีองค์ 8 จิตจะผิดศีลมันก็รู้ใช่มั้ย มรรคมีองค์ 8 ให้เว้นจากการฆ่าก่อนใช่มั้ย แล้วก็ห้ามคิดชั่วคิดร้ายต่อผู้อื่นใช่มั้ย ลงวาระสุดท้าย ให้รู้กายในกาย ให้รู้จิตในจิต รู้เวทนาในเวทนาใช่มั้ย ถึงจะไปได้ ให้ตั้งสติมั่น ตามรู้จิต ถ้าไม่ตามรู้จิต ไม่ตั้งสติมั่น มรรคมีองค์ 8 จะเกิดไหมนั่น

ต้องบอกให้เขาตามรู้จิตก่อน มรรคมีองค์ 8 ถึงจะสมบูรณ์ ถึงจะเกิดขึ้น เขาจะรู้ของเขาเอง ทำจิตให้ว่างให้บริสุทธิ์ มรรคมีองค์ 8 อยู่ในนั้น เขาจะเข้าใจเอง บอกไปก็มีแต่ไปท่องมรรคมีองค์ 8 แต่ไม่เข้าใจ มันต้องเดินก่อน ทำจิตให้เป็นกลางๆ ว่างๆ มรรคมีองค์ 8 ก็จะเกิดเอง ปฏิบัติแล้วมีสติเดี๋ยวก็เข้าใจเอง

มรรคมีองค์ 8 มันมีหลาย มีสติรู้เท่าทันจิตก่อนก็แล้วกัน ทันคิดชั่วคิดดีก็ให้รู้ รู้ไปก่อนมันจะไปเอง ทำใจเป็นกลางๆ ปล่อยวาง ว่างทุกอย่าง ทำจิตให้สะอาดหมดจด ผ่องแผ้ว ก็ศีล 5 ศีล 8 บอกอยู่แล้ว เดี๋ยวมันปฏิบัติ ถ้ามันไปเจอทุกข์ เจอเวทนา ทำไมเราถึงทุกข์ เพราะเราทำกรรม เออ อันนี้ท่านจึงให้เว้นจากการฆ่า

เพราะความบริสุทธิ์ หมดจด มันจะเป็นศีล มีสมาธิ มันจะรู้ของมันเอง แม่รู้ของแม่เอง นี่ละ ลงมรรคมีองค์ 8 แจ้งเลย อ่านจนหูแตก แม่ก็เคยอ่าน หนังสืออ่านกันมานานแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเข้าใจมั้ย มันเข้าใจลึกซึ้งมั้ย

ต้องบอกให้มันตามรู้จิต จิตคิดชั่ว จิตคิดดี ให้รู้จิตพยาบาท อาฆาต จิตคิดฆ่าอะไร จิตมันโกรธ มันเกลียด ให้มันรู้ มันจะรู้เอง ไปอ่านมรรคมีองค์ 8 มันไปท่อง อ่านแล้วมันไม่ซึ้งในธรรมะ มันไม่เห็น ต้องให้มันเห็นด้วยฐานแท้ นั่นละ มรรคมีองค์ 8 อยู่ตรงนี้ ถึงจะเข้าใจ

ถ้าไม่มีสติ แล้วไม่รู้เท่าทันจิต มรรคมีองค์ 8 จะเกิดมั้ย มันก็ไม่เกิดใช่มั้ย ให้มีสติตามรู้เท่าทันจิตเสียก่อน มรรคมีองค์ 8 ถึงจะเกิดขึ้น ปัญญาถึงจะเข้าใจ ปัญญาถึงจะถ่องแท้ รู้แล้วก็วาง ดีก็วาง ชั่วก็วาง ติดสุขติดดีก็วาง รู้แล้วไม่วาง มันก็ไม่ใช่มรรคมีองค์ 8


Rank: 1

"การเดินจงกรม 6 จังหวะ สำหรับผู้ที่ทุกข์ใจและฟุ้งมาก"

1. ยกส้น...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
2. ยก...(หยุด)....หนอ...(หยุด)
3. ย่าง...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
4.ลง...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
5. ถูก...(หยุด)....หนอ...(หยุด)
6. เหยียบ...(หยุด)....หนอ...(หยุด)

นอกจากจะรับรู้ที่เท้า ปาก ใจ หูก็ยังคงได้ยินเสียง บางทีมันก็รู้ลมหายใจ ตาก็เห็นสัตว์ที่เดินบนพื้นดิน รู้อากาศร้อนเย็น จิตแว่บออกไปคิดก็รู้

ออกเสียงดังทุกจังหวะและคำว่าหนอ ให้การรับรู้ของเท้า ปากและใจตรงกัน หากความคิดเข้าแทรกหยุดค้างไว้ทันที ความคิดดับจึงไปต่อ หากมันไม่ยอมดับก็ค้างไว้เลย เมื่อขาเริ่มเกร็งมันจะทิ้งความคิดมารับรู้อาการที่ขา การเดินจงกรมเช่นนี้ เป็นวิธีที่ขัดใจมากสำหรับผู้ที่ใจร้อน อารมณ์รุนแรง มันจะดิ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะที่หยุดค้างไว้ ให้เราดูใจที่มันดิ้น มันหยุดดิ้นเมื่อไหร่จึงจะไปต่อ อดทนฝืนจิตไม่ทำตามที่มันสั่งให้ได้ 1-2 อาทิตย์มันก็จะหยุดดิ้น ยกเว้นคนที่ไม่สม่ำเสมอและไม่เอาจริง เมื่อมันหยุดดิ้นความสงบเย็นจะเกิดขึ้น 4 วันแรกจะปวดเมื่อยไปทั้งตัว เริ่มแรกตัวจะเอียงซ้ายเอียงขวาให้ทำความรู้สึกไปตามอาการเอียง ถ้ามันคิดติดกันเป็นลูกโซ่ ให้กำหนด คิดหนอๆเอาจนมันหยุด

วิธีนี้เป็นวิธีหักดิบ ผู้ที่ความอดทนน้อยมักจะถอยไปเสียก่อน สิ่งที่จำเป็นมากคือความต่อเนื่อง อย่างน้อยวันละ 1 ชม. เป็นเวลา 2 อาทิตย์จึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจน หลังการปฏิบัติทุกครั้ง คุณแม่ท่านให้แผ่เมตตาเจาะจงให้เจ้ากรรมนายเวรเราก่อน เมื่อจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นจึงจะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ และหมั่นตักบาตรให้เขาด้วย

เรื่องใดที่ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้พิจารณาไตร่ตรอง ทำไมใจเรายังคิดเรื่องนี้ ยังคาใจตรงไหน ตัดสินใจเด็ดขาดกับมันว่าจะทำยังไงแล้วก็วางมัน และคอยเตือนตัวเองหากตายขณะนี้ ต้องไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าอยู่บ้านเขาแน่นอน การรับรู้หลายจุดถี่ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดสติและให้สติเร็วขึ้น

เมื่อมีสติ ก็จะเกิดสมาธิ และปัญญาในการแก้ไขปัญหาก็จะตามมา ส่วนการหยุดนั้น เพื่อให้เห็นการเกิดดับของการรับรู้และความคิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับในทันที เมื่อเข้าใจในความเป็นจริง มันก็จะค่อยๆ ยอมรับว่าทุกสิ่งมันจบไปแล้ว และเลิกที่จะไปขุดคุ้ยขึ้นมาอีก เมื่อถึงเวลาที่จิตเขาก้าวเดินเองได้ คำบริกรรมก็จะค่อยๆ เลือนหายไป


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-15 11:18 , Processed in 0.042957 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.