แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 5557|ตอบ: 19
go

"ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรม ณ สวนปฏิบัติธรรมจิตประภัสสร อ.หนองแค จ.สระบุรี 29 - 31 ม.ค. 59" [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ณ สวนปฏิบัติธรรมจิตประภัสสร อ.หนองแค จ.สระบุรี 29 - 31 ม.ค. 59"
1. ผู้ให้กรรมฐานและสอบอารมณ์ : คุณแม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ ปัจจุบันท่านเป็นผู้อบรมและสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ วัดป่าเจดีย์เทวธรรม อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ท่านมีประสบการณ์อบรมผู้ปฏิบัติธรรม ทั้งจากวัดร่ำเปิง ตโปทาราม จ.เชียงใหม่ และสถานที่อื่นๆ มากว่า 42 ปี ท่านเปิดกว้างสอนได้ทุกแนวการปฏิบัติ ทั้งมีคำบริกรรม ไม่มีคำบริกรรม และผู้เริ่มต้นใหม่ที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน

2. การเดินทาง : สวนปฏิบัติธรรมจิตประภัสสร ตั้งอยู่เลขที่ 62 ม.1 ต.ห้วยทราย อ.หนองแค จ.สระบุรี คนละฝั่งกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลห้วยทราย ใกล้กับสำนักปฏิบัติแสงธรรมส่องชีวิต สาขา 4 มีเนื่อที่ 1 ไร่ 3 งาน สอบถามการเดินทางได้ที่ คุณแม่ชีสมทรง 0852989594   
ดูแผนที่การเดินทางจากกรุงเทพฯ ได้ที่   http://pantip.com/topic/34613142/comment18

3.การเตรียมตัว : สามารถเข้าร่วมปฏิบัติธรรมได้ตามวันเวลาที่ตนเองสะดวก สิ่งของที่ต้องเตรียมไป คือ เครื่องนอน เต้นท์หรือเต้นท์มุ้ง ชุดขาว หรือเสื้อผ้าสีอ่อน ของใช้ส่วนตัว ยาทากันยุง น้ำปานะชงต่างๆ (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

4. อ่านแนวทางการสอนและการสอบอารมณ์ของคุณแม่ชีเกณฑ์ ได้ที่...

- http://pantip.com/topic/34613142/comment18
- เฟสบุค สวนปฏิบัติธรรมชมวิว  https://web.facebook.com/%E0%B8% ... 03876685810/?ref=hl


5. สอบถามรายละเอียดและแจ้งชื่อลงทะเบียน : ***เปิดรับผู้ปฏิบัติธรรมเพียง 25 คนเท่านั้น***
แจ้งชื่อจริง นามสกุล ชื่อเล่น เบอร์โทร วันที่ไปและกลับ จำนวนคน ได้ที่

          1. คุณแม่ชีสมทรง(ผู้ก่อตั้งสวนปฏิบัติธรรมจิตประภัสสร)  0852989594
          2. ทางเฟสบุค คุณ  Yokgy Chanyaphorn Masrinaul  : https://www.facebook.com/yokgy (สามารถส่งข้อความได้เลยโดยไม่ต้องสมัครเป็นเพื่อน)

6. สอบถามการปฏิบัติและแนวทางการสอนของ คุณแม่ชีเกณฑ์ โดยตรง ได้ที่ 062-1270465(12call) , 0868540049(dtac) 10.00-22.00 น.

****การปฏิบัติธรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมรวมตัวกันได้ถึง 15 คนเท่านั้น****


Rank: 1

"ทำไมคุณแม่ต้องสอบอารมณ์ทีละคน"

มีคนถามคุณแม่ว่า ทำไมท่านต้องสอบอารมณ์ทีละคน ให้รวมกลุ่มกันคุยไม่ได้หรือ และการสอบอารมณ์เป็นอย่างไรเหมือนคุยปกติไหม ท่านบอกเสมอ ผู้สอบอารมณ์นั้นจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ยังเดินทางอยู่ 

เห็นชัดจากตัวเอง ตอนแรกไม่ได้คุยกับท่าน ตอนนั้นเริ่มไปปฏิบัติที่วัดแล้ว มีแต่ความตั้งใจแต่ยังไม่มีหนทาง พอเริ่มเดินแบบเอาจริง กลับพบปัญหาว่าเดินแบบเดิมที่ทำมานานแล้วไม่ทำให้เราสงบลงเลย ยิ่งเดินยิ่งคิด แต่แบบไหนหนอที่เหมาะกับเรา เราไม่มีความรู้อะไร ไม่เคยไปอบรมที่ไหน แล้วใครจะให้คำตอบเราได้ พระที่วัดท่านก็บอกให้เดินแบบปกติ แต่ในใจเรารู้สึกว่าไม่ใช่                          

เมื่อมีโอกาสได้คุยกับคุณแม่ ท่านจึงบอกลองแบบนี้สิ เมื่อลองแล้วเห็นผลเราจึงโทรหาท่านอีก คราวนี้ท่านจะมีคำถามให้เราไปสังเกตดูเช่น เสียงมาหาหูหรือหูไปหาเสียง ท่านมีวิธีสอนให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าไม่ไปตามความคิดที่ฟุ้งซ่าน เมื่อได้เริ่มปฏิบัติจริง เราจะมีทั้งสิ่งที่จะเล่าให้ท่านฟังและสิ่งที่จะถามท่าน ล้วนแต่เรื่องที่เกิดบนทางจงกรมหรือนั่งสมาธิ  โดยเฉพาะเริ่มแรกที่นั่งสมาธิแล้วหายเงียบสงบเรานึกว่าดีเป็นอย่างนั้นอยู่ 2 อาทิตย์จนมีโอกาสถามท่านจึงหลุดมาได้

เมื่อมาเจออาการโงกง่วงก็ท่านอีกที่ให้คำแนะนำ แรกๆเรื่องที่คุยจะเป็นเรื่องนอกกายของที่พะรุงพะรัง อยู่รอบตัว เมื่อเราวางสิ่งของนอกกายได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงเรื่องละเอียดอ่อนที่ฝังอยู่ในใจ จนถึงวันนี้ใจของเราเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เราไม่รู้สึกว่าโลกนี้โหดร้ายและไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอยู่   


ท่านบอกเสมอผู้สอบอารมณ์สำคัญที่สุด หากเจอผู้ที่ชี้นำได้ถูกทางเราก็จะเดินทางพ้นจากทุกข์ได้เร็ว เป็นบุญของเราที่มีโอกาสได้คุยกับท่าน ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงปีความทุกข์ใจที่มีมานานหลายปีมะลายหายไปสิ้น มองไปข้างในเราเห็นเพียงใจว่างเปล่า ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่ในนั้น                         
  


Rank: 1

"ไม่ต่างกัน"

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ ลูกไม่มีโอกาสไปไหนเลย

คุณแม่ชีเกณฑ์ : ไปปฏิบัติที่ไหนไม่สำคัญหรอก มันสำคัญอยู่ที่ว่า เราไปแล้ว เราเอาชนะใจตัวเองได้ไหม เราเหนืออารมณ์ตัวเองได้ไหม ถ้าเอาชนะตัวเองได้ เหนืออารมณ์ตัวเองได้ จะปฏิบัติอยู่ที่บ้านหรือที่ไหนๆ มันก็เหมือนกัน ถ้าไปแล้วยังเหนืออารมณ์ตัวเองไม่ได้ เอาชนะตัวเองไม่ได้ มันก็ไม่ต่างกัน


Rank: 1

"เวลาที่เหมาะแก่การเดินจงกรมและนั่งสมาธิ"

คุณแม่ท่านถามว่า...ตื่นมาเดินจงกรมตีสามไหวมั้ย ไม่ไหวค่ะ ผ่านไปอีกอาทิตย์ท่านก็ถามอีก...ตื่นมาเดินจงกรมตีสามไหวมั้ย ก็ยังคงตอบว่าไม่ไหวค่ะ ถ้าตีห้าก็พอไหว

ผ่านไปอีกสองอาทิตย์ คุณแม่ท่านเล่าว่า...ตอนเช้าแม่ไม่ได้อาบน้ำ มันเสียเวลา ท่านพูดแค่นี้แล้วหยุดไม่บอกว่าเสียเวลายังไง ผ่านไปอีกสองวันท่านก็เล่าว่า...เวลาตีหนึ่งถึงตีสามเป็นเวลาที่เหมาะแก่การเดินจงกรมและนั่งสมาธิ เป็นเวลาที่โลกสงบเงียบไม่วุ่นวาย เป็นช่วงเวลาที่จิตว่างจากการถูกปรุงแต่ง เราจะเห็นจิตของเราได้ชัด

ผ่านไปอีกอาทิตย์เริ่มถามคุณแม่ว่า การเดินจงกรมกับการสวดมนต์ อันไหนอานิสงส์มากกว่ากัน ท่านบอกว่า...การเดินจงกรมลูกจะได้ทั้งสุขภาพที่ดี และได้สติได้ปัญญาที่จะพาให้เราหมดภพหมดชาติ

เราพยายามตื่นตีสาม ไม่ไหวก็ต้องทน ยอมรับว่าวันแรกเป็นการเดินจงกรมและนั่งสมาธิที่ทรมานที่สุด ช่วงแรกนั่งสมาธิแล้วง่วงมาก จึงเลือกที่จะเดินจงกรมอย่างเดียว ที่เคยคิดว่าเดินจงกรมตอนตีสามคงไม่ไหว ผิดคาดยิ่งเดินจิตยิ่งตื่น วันไหนที่เริ่มต้นชีวิตด้วยการเดินจงกรมแต่เช้า วันนั้นทำงานอย่างไม่รู้จักเหนื่อย ไม่ง่วงหาวนอน ไม่ต้องกินกาแฟ ไม่ฟุ้งซ่าน จิตเบิกบาน ไม่หงุดหงิดง่าย และใจเย็น

บอกคุณแม่ว่าเดินจงกรมตอนเช้าไม่เห็นอะไรวิเศษ เห็นแต่ใจตัวเอง ท่านบอกว่าของวิเศษที่สุดคือได้เห็นจิตเห็นใจตัวเองนี่แหละ เห็นใจตัวเอง เราจะเข้าใจตัวเอง เตือนตัวเองสอนตัวเองได้ ไม่หลงตัวเอง เมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น ลูกว่าจะมีอะไรที่วิเศษไปกว่านี้อีกไหม


Rank: 1

"เมื่อเบื่อหน่ายกายนี้ พลิกให้เกิดปัญญา อย่าให้ถลำลึกลงไปจนเกิดความทุกข์"

ยิ่งปฏิบัติธรรมไป ยิ่งเห็นความจริงในร่างกายนี้ ยิ่งเห็นภาระหนักที่ต้องแบกไว้ ยิ่งเกิดความเบื่อหน่าย จนไม่อยากจะมีร่างกายนี้แล้ว มันเป็นภาระอย่างแสนสาหัส เราทำทุกอย่างเพื่อร่างกายที่มันไม่จีรังยั่งยืน ร่างกายที่นำมาแต่ความทุกข์ อยู่กับมันซ้ำแล้วซ้ำอีก นับชาติไม่ถ้วน

เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายนี้เกาะกินใจ คุณแม่ท่านว่าเราต้องพลิกความเบื่อหน่ายให้เกิดปัญญา อย่าให้มันปรุงแต่งจนทุกข์หนักเข้าไปอีก มองให้เห็นโทษของมัน มองให้เห็นความไร้สาระของมัน แล้วอย่าไปยึดมัน เบื่อมันให้จริงๆ ไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว

กายเรามันไร้สาระเช่นนี้ เราก็ต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดสิ พามันปฏิบัติ เอาความเพียรชนะกิเลส จนไม่ต้องเกิดมามีกายนี้อีก พามันทำความดี ทำกุศลให้ถึงพร้อม ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ศาสนา พามันทำสิ่งที่ควรทำที่สุด พามันปฏิบัติจนออกจากวังวนแห่งทุกข์นี้ให้ได้

เราไปจากโลกนี้ ร่างกายที่มันเน่าๆ ก็ถูกทิ้งไว้ ตามไปได้คือบุญบาปที่เราสร้างมา ถ้าเบื่อมันจริงๆ จนไม่อยากมาเจอมันอีก ทำให้ถึงที่สุดสิ ย้อนกลับมามองตัวเอง สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ จะกิน จะพูด จะคิด จะซื้อ เราเบื่อมัน แล้วเราทำไปแต่ละอย่างเพื่อกลับมามีมันอีกมั้ย แม้แต่คิดจะโกรธ จะเกลียด จะรัก จะชอบ จะอาฆาตใคร เราทำไปเพื่อกลับมาอีกมั้ย ถ้าไม่อยากกลับมาอีก ก็ละมันเสียเถิด


Rank: 1

"วิธีแก้อาการโงกง่วงโยกไปโยกมา"

เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ คุณแม่ชีเกณฑ์ให้แก้ด้วยการให้ตั้งเวลาให้นั่งสมาธิ 5 นาที เดินจงกรม 5 นาที สลับไปมาจนครบชม. ถ้านั่ง 5 นาทียังเป็นอยู่ให้หดเวลาลงมาอีกเหลือนั่ง 3 นาที เดิน 3 นาที ถ้านั่งลงไปแล้วยังเป็นอยู่ก็หดเวลาลงมาอีก หรือให้เดินอย่างเดียว ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ถ้ายังเป็นอีกก็ให้ทำแบบเดิม ต่อเมื่อหายจากอาการนั้นค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นมาให้เหมาะสม แต่อย่ากลับไปนั่งนานๆ อีก มันจะไหลลงไปที่เดิม

คุณแม่ท่านว่าอาการเช่นนี้อาจด้วยวิบากกรรมของเรา และสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ให้เราดูปรับเวลาให้ร่างกายได้พักบ้าง มันโยกตัวลงไปเพราะสติมันน้อย ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวของร่างกายได้ และท่านให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของตัวเราเองทุกครั้งที่ไปปฏิบัติ และให้ทำบุญตักบาตรกับข้าวอาหารให้เขาด้วย

ถามคุณแม่ว่าทำแบบนี้แล้วทำไมจึงหาย ท่านว่าขนาดเราให้ลุกนั่งอย่างนั้น ใจมันยังหงุดหงิดจนแทบทนไม่ได้เลยใช่ไหม แต่ต้องทนเพราะอยากหาย แล้วคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้มีอาการแบบนั้น เขาจะทนอยู่ได้หรือ เขาก็ร้อนเหมือนกันที่เราผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น แต่เราอย่าไปปฏิบัติไล่เขาอย่างเดียว เราต้องแผ่เมตตาและทำบุญให้เขาได้อิ่มอาหารอิ่มใจด้วย จะได้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน การทำอย่างนี้ทำให้มีเราความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดระยะนับชม. จะทำให้สติเราตั้งมั่นและบริบูรณ์ครบถ้วนมากขึ้น การลุกนั่งเสมอกันช่วยปรับธาตุดินน้ำลมไฟในร่างกายให้สมดุล โรคที่เป็นอยู่ก็จะถูกขับออก เลือดลมไหลเวียนสะดวก หายง่วง หายซึม กระปรี้กระเปล่า ไม่ขี้เกียจ นั่งแล้วไม่ฟุ้งไม่จม ตื่นตัวรู้สึกอยู่ตลอด

ขณะที่มีอาการเช่นนี้ในใจคิด เราคงไปปฏิบัติให้ใครเห็นไม่ได้แล้ว โยกไปโยกมาน่าอายมาก รู้ตัวแต่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ช่างแสนยาก ตอนผลุบเข้าไปก็ไม่รู้ตัว นั่งได้แค่อึดใจก็ไปติดกับเสียแล้ว 3 อาทิตย์ที่ต้องลุกนั่งอยู่อย่างนั้น ใจก็ไม่หงุดหงิด เป็นปกติเพราะมันชินแล้ว อาการง่วง ฟุ้งซ่าน ตัวโยกหายไป สติตื่นจนไม่ยอมหลับทั้งกลางวันกลางคืน นอนก็เหมือนไม่นอน เป็นอย่างนั้นเกือบเดือนกว่าจะเป็นปกติ

ต้องกราบขอบพระคุณ คุณแม่มากๆที่ทำให้หายจากอาการเช่นนี้ การปฏิบัติเองคนเดียว จำเป็นมากๆ ที่จะต้องมีผู้สอบอารมณ์ ไม่อย่างนั้นเราคงติดอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่


Rank: 1

"หนูเดินจงกรมแบบช้าๆ ได้ไหมค่ะ"

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ หนูเดินจงกรมแบบช้าๆ ได้ไหมค่ะ หนูรู้สึกว่าหากเดินเหมือนในชีวิตปกติ ยิ่งฟุ้งและร้อนที่ใจ พอมาเดินช้าๆ ใจมันกลับเย็น

คุณแม่ชีเกณฑ์ : การเดินช้าๆ เป็นการขัดจิต ขัดกิเลส แต่บางคนยิ่งเดินช้า ยิ่งง่วง แม่ก็ให้เขาเดินให้เร็วขึ้น แล้วลูกเดินจงกรมแบบไหน แบบพุทโธหรือไม่มีอะไรเลย 
ผู้ปฏิบัติธรรม : เดินไปเรื่อยๆ บริกรรมพุทโธค่ะ

คุณแม่ชีเกณฑ์ : ให้ลูกสังเกตเวลาเดิน ยกเท้าขึ้น เอ่ยคำว่าพุท ให้การรับรู้เท้าที่กำลังยก กับคำว่าพุทที่เอ่ยออกมา ให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ก่อนเท้าจะลงให้หยุดค้างไว้ ลูกจะเห็นคำว่าโธ ผุดขึ้นในใจ ให้มันดับไปก่อน แล้วค่อยเอาเท้าลง พร้อมกับเอ่ยคำว่าโธขึ้นมาใหม่ ให้การรับรู้ที่เท้า กับคำว่าโธเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

.......ผ่านไป 1 วัน.....

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ หนูเดินอย่างที่คุณแม่บอก พอขายกขึ้น หนูหยุดค้างไว้ หนูเห็นคำว่าโธผุดขึ้นในใจ ทั้งๆ ที่เท้ายังค้างไว้ พอคำว่าโธในใจดับ หนูก็เอ่ยขึ้นมาใหม่ พร้อมๆ กับเอาเท้าลง หนูเห็นคำสั่งบอกให้ไปข้างหน้าด้วย หนูไม่ทำตาม แล้วหนูก็เห็นมันดับลง บางทีก็มีความคิดเข้ามาแทรก บางทีก็ปวดขาขึ้นมาค่ะ

คุณแม่ชีเกณฑ์ : ถ้าความคิดเกิดขึ้น ก็ให้หยุดขาค้างไว้ทันที ถ้าความปวดเกิดขึ้นก็ให้หยุดค้างไว้เช่นกัน

....ผ่านไป 3 วัน....

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ พอมันคิด หนูหยุดขาค้างไว้ทันที หนูเห็นความคิดดับลง พอมันดับหนูก็ไปต่อ มันมาอีก หนูก็หยุดอีก หยุดๆ ไปๆ อยู่อย่างนี้ ตอนนี้มันไม่ค่อยโผล่มาแล้วค่ะ พอความปวดเกิดขึ้น หนูก็หยุดค้างไว้ หนูเห็นความปวดมันดับลง หนูนึกว่ามันจะปวดตลอด มันก็มีช่องว่างเหมือนกัน

คุณแม่ชีเกณฑ์ : การเห็นการเกิดดับในตัวเรานี่แหละ เป็นต้นทางของการวิปัสสนา เป็นปัญญาขั้นแรกที่จะพาเราออกจากวัฏสงสาร ถ้าไม่มีคำบริกรรม ก็ให้สังเกตจุดเดียวกัน จะยกเท้าก็ให้มีสติรู้ ก้าวไปก็ให้มีสติรู้ เหยียบไปก็ให้มีสติรู้ ขณะรู้จิตอยู่กับขามั้ย มีสติรู้อยู่กับปัจจุบันมั้ย ยกขาก็ให้รู้ว่าจิตออกไปมั้ย อยู่กับปัจจุบันกับขามั้ย ขาขวายก มันอยู่กับขาหรือวิ่งออกไปข้างนอก มันออกไปก็ให้ใช้สติปัญญาดึงมันกลับคืนมา

ถ้าหยุดขาค้างไว้มันไม่กลับมา ก็ให้กำหนดคิดหนอๆๆ หรือฟุ้งหนอๆๆ จนกว่ามันจะกลับมา ถ้าเกิดความรู้สึกขึ้น ก็ให้กำหนดตามความรู้สึกนั้น เพื่อหยุดไม่ให้มันปรุงแต่งต่อ ถ้าฟุ้งมากก็ให้เดินแค่ 5 - 10 นาที แล้วนั่ง นั่ง 5 - 10 นาที แล้วลุกขึ้นเดิน สลับไปมาอย่างนี้จนครบชม. หรือจะบริกรรมออกเสียงดังๆ ก็ได้


Rank: 1

"เวลานั่งสมาธิ ควรกำหนดอย่างไรค่ะ"

ผู้ที่บริกรรมพุทโธ หายใจเข้าก็จับดูพุท หายใจออกก็โธ 
ผู้ที่พอง หายใจเข้าก็ดูอาการท้องพอง หายใจออกก็ดูอาการท้องยุบ 
ผู้ที่ไม่ปรากฏพองยุบ เห็นแต่อาการลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ก็ดูแต่อาการและให้มีสติระลึกรู้ประคองตั้งจิตไว้

คำว่าประคองคือ มีสติให้ต่อเนื่อง ให้เห็นว่าขณะนี้ ที่เรากำลังบริกรรมพองหรือยุบ จิตของเราวิ่งออกไปหาอารมณ์อื่นมั้ย มีอารมณ์พอใจ และอารมณ์ยินร้าย เข้ามาแทรกในจิตเรามั้ย

ถ้าเข้ามาแทรกก็พิจารณาว่า รู้หนอ ๆ หรือกำหนดไปตามอาการที่มันคิด ที่มันมีความรู้สึก คิดถึงอะไรก็คิดหนอ ๆ อย่างเดียวก็ได้

ถ้าหงุดหงิด ก็หงุดหงิดหนอ ๆ ทุกข์ก็ทุกข์หนอ ๆ มีความทุกข์ มีความคับแค้นใจ นิวรณ์ 5 ชอบใจ ไม่ชอบใจ ง่วง ฟุ้ง สงสัย 6 คือนิมิต ให้กำหนดอารมณ์ที่อยู่ในใจ แล้วให้กลับมาดูพอง ดูยุบ พอหูได้ยินเสียง ก็ได้ยินหนอ ๆ แต่ให้หยุดพอง หยุดยุบ ให้ไปกำหนดแต่อาการที่มันแทรกเข้ามา แล้วก็กลับมาดูพองยุบ

สงบก็รู้ว่าสงบ ไม่สงบก็รู้ว่าไม่สงบ รู้สึกเห็นอาการทุกอย่างในกาย เวทนาเกิดขึ้น เจ็บปวดก็รู้ มีสติรู้ว่า เออ มันเป็นธรรมดาของมัน พระพุทธองค์ท่านชี้แนวโลกุตตระ รู้อะไรละอย่างเดียว ไม่ยึด ไม่ติด ไม่เกาะ เพราะการยึด การติด เป็นภพเป็นชาติ

ผู้ใดที่เข้าฌานเพื่อระงับจากนิวรณ์ทั้งหลายได้ง่าย มันก็ยังเป็นณานที่ไม่ใช่ทางหลุดพ้น เป็นณานโลกีย์ที่ยังยึด ยังติดอยู่ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ออกมาถึงรู้ ถ้าตายจะไปอยู่ในอรูปพรหม ไม่มีหู ไม่มีตา จมูกก็ไม่มี มีช่องเล็กๆ เหมือนน้ำเต้า มีรูให้ลมออกจากตรงนั้น มีแต่ความรู้สึกอย่างเดียว ตั้งอยู่เหมือนก้อนหิน ไม่กระดุกกระดิกหลายหมื่นปี ออกจากนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดอีก

ทำไมไม่มีแข้งไม่มีขา เพราะตอนนั่งเข้าณาน รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ความรู้สึกลมหายใจเข้าลมหายใจออก อะไรมาต้องกายก็ไม่รับรู้ หูได้ยินเสียงไม่รับรู้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเรามีกายหยาบอยู่ จำเป็นต้องรู้ตัวทั่วพร้อม เราถึงจะทำลายขันธ์ได้ พระพุทธองค์ท่านไม่สรรเสริญ เพราะทำให้เราไปยึด ไปเกาะไปติดอยู่ เมื่อถึงเวลามันก็จะเป็นไปเองจากสมาธิที่มีสติ และจะเป็นณานที่เป็นสัมมา มีสติครบถ้วนบริบูรณ์


Rank: 1

"รู้แล้วให้ดับ ให้วาง"

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ หนูก็รู้ทันทุกครั้งที่คิด รู้ทันทุกครั้งที่อยาก แต่ทำไมถึงยังหลงอยู่ ยังยึดอยู่ละค่ะ

คุณแม่ชีเกณฑ์ : รู้เท่าทันว่าตัวเองกำลังหลงอะไรก็ต้องวางสิ ตัวเองกำลังยึดอะไรอยู่ แม้แต่ยึดความสุขที่เสพสุขที่ไปสัมผัสนั้นสัมผัสนี้ ก็ต้องวาง ถ้าไม่วางก็ไปเตลิดเปิดเปิง มันทันนะ แล้วปัญญามันทันรึเปล่า มันเห็นทางสว่าง มันเห็นทางนิพพานหรือมันไปหลงโลกีย์ คำว่ารู้เท่าทันจิตมันต่างจากคำว่าทัน

ครูบาอาจารย์ท่านให้รู้เท่าทันจิต ไม่ให้ปรุงแต่ง ให้วาง รู้ดับรู้วาง...รู้เท่าทันจิตแล้ว รู้ให้ดับ ให้เห็นอาการเกิดดับเสียก่อน ใหม่ๆ ก็ต้องฝึกสติให้ทันจิต ให้เห็นอาการเกิดดับ ไม่ใช่ไปต่อกับมัน ที่ยังหลงอยู่อันนั้นรู้แล้วไม่ดับ

เห็นเท่าทันจิตก็คือให้ดับ รู้เท่าทันจิตแล้วให้ดับ ให้วาง ไม่ให้ไปยึด ไม่ให้เอา ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่ให้เอา แล้วพากันไปเอาอยู่ใช่มั้ย เดี๋ยวก็เอาโสดาบัน เดี๋ยวก็เอาสกิทาคา เดี๋ยวก็เอานั้นเอานี้ ถ้ายังเอาอยู่แล้วจะไปได้อะไร นี่เราสอนให้ละให้วาง ถึงจะรู้ว่ามรรคมีองค์ 8 เป็นอย่างนี้เอง

เห็นชอบ เห็นว่าตัวเองกำลังหลงโลกีย์ ตัวเองก็ต้องวาง ถ้าเห็นอยู่ว่าตัวเองหลงอันนี้ แล้วไม่วาง อันนั้นตัวเองเห็นไม่ชอบ เป็นมิจฉาทิฎฐิไม่ใช่เห็นสัมมาทิฎฐิ

เห็นสัมมาทิฎฐิก็คือ เออ อันนี้เราหลงนี่ เราติดดีนี่นา เรามาติดสุขที่เราสัมผัสได้ แปลว่าเรายังพอใจอยู่ นิวรณ์ 5 ไง นิวรณ์ 5 เป็นทางขวางกั้นแก่ผู้ปฏิบัติ ไปหลงติด ชอบใจไม่ชอบใจใช่มั้ย คำว่า...ยินดีในทางดี มันก็ชอบใจทั้งนั้นใช่มั้ย


Rank: 1

"หนูรู้เท่าทันอารมณ์ หนูเอาจิตตามรู้ หนูไม่กำหนดอะไร ได้ไหมค่ะ"

ได้ แต่ให้เธอรู้เท่าทันว่า จิตโกรธ จิตเกลียด นานกี่นาที มันวิ่งออกไปแล้วเราออกไปกับมันมั้ย หรือว่าเราพยายามที่จะระงับมัน มีสติยับยั้งหรือคิดตามไปเลย

ถ้าคิดตาม อันนั้นมันไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเราไปปรุงแต่งด้วย จะเป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อรู้ว่าตัวเองปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน คิดตามอารมณ์ตัวเองแล้ว อันนั้นมีสติยับยั้งตัวเอง...โอ อันนี้ไม่ใช่ มันจะทำให้ตัวเองฟุ้งซ่าน มันจะทำให้ตัวเองจิตเป็นอกุศล...อย่างนี้ถือว่า รู้เท่าทันอารมณ์ว่ามันเป็นกุศลหรืออกุศล

ถ้าเป็นเรื่องไม่ใช่อกุศลก็คิดเพลิน อยากมีรถให้มันสำเร็จ อยากมีบ้านอย่างนั้นอย่างนี้ คิดปรุงแต่ง มันไม่ใช่อกุศลเพราะไม่ได้ไปอิจฉาใคร ทีนี้ถ้าเราไปหลงกับมัน แปลว่าตามใจกิเลสเรา ตามใจความอยาก แต่เราไม่มีสติคุม มันก็หลงอารมณ์ ก็เพลิดเพลิน อันนั้นก็ไม่ใช่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะมันคิดหลงไปกับอารมณ์

แต่ถ้าคิดมาก วกวนไปวกวนมา ไม่ได้ดั่งใจเรา มันก็ทุกข์ มันชอบอยากให้เป็นไปตามนั้น ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นมันก็ไม่ชอบ มันก็เลยน้อยอก น้อยใจ เสียใจ เศร้าโศกไปก็เป็นทุกข์ นี่มันเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็เลยไม่อยากให้คิดตาม ให้เอาปัจจุบันถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ



‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-12-30 01:38 , Processed in 0.030824 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.