ป้ายวัดถ้ำตับเตา หน้าเชิงเขาถ้ำตับเตา วัดถ้ำตับเตา
ที่มาชื่อของวัดถ้ำตับเตา
ที่เรียกขานกันว่า วัดถ้ำตับเตา เป็นชื่อที่เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า ตับเต้า คือหมายถึง ดับขี้เถ้า ที่เกิดจากการเผาไหม้ของป่าด้วยไฟ ทั้งนี้เมื่อเรียกกันนานๆ ก็เพี้ยนไปเป็น ตับเตา
คนในภาคอื่นไม่ทราบความหมายเรียกขานว่า ถ้ำตับเต่า ซึ่งมีความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง คือตับของสัตว์ชนิดหนึ่ง ตับเตา เพี้ยนมาจากคำในภาษาพูดของคนในภาคเหนือที่ว่า ดับเต้า คือดับขี้เถ้า
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : อินทร์ศวร แย้มแสง ผู้ค้นคว้าเรียบเรียง. ประวัติวัดถ้ำตับเตา, หน้า ๖.)
ถ้ำตับเตา หรือ ถ้ำดับเถ้า
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้กล่าวว่า ถ้ำตับเตาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระอรหันต์สมัยครั้งพุทธกาล ๒ รูป มาละขันธ์นิพพาน คือ พระภัคคุ และ พระกิมพิละ
ซึ่งทั้ง ๒ พระองค์ เป็นสองในกษัตริย์ ๖ พระองค์ คือเจ้าศากยราชกุมารที่ออกบวชพร้อมกัน ๖ พระองค์ ได้แก่ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระภัททิยะ พระเทวทัต -ภิเนษกรมณ์)
แม้กระนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็เคยมาจำพรรษาพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกอยู่ที่ถ้ำตับเตา ๑ พรรษา และหลวงปู่จาม มหาปุญโญ (วัดป่าวิเวกวัฒนาราม จ.มุกดาหาร) ก็ได้เคยมาภาวนาที่ถ้ำตับเตาแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : เกร็ดประวัติและปกิณกธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ๔ จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : http://www.dharma-gateway.com/mo ... mun-hist-06-04.htm. และธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ : กลับเหนือเครือคร่าววัยธรรม ๔ ตอนที่ ๒๖๖. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก : http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=543. (วันที่ค้นข้อมูล : ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙))
*ติดตามประวัติ พระภัคคุ (ตอนที่ ๔๓) และพระกิมพิละ (ตอนที่ ๔๔) ได้ที่ :
http://www.dannipparn.com/thread-673-5-1.html
ตำนานถ้ำตับเตา
ในสมัยตอนปลายสมัยพุทธกาล ขณะที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระชนมพรรษาชราภาพมากแล้ว หลังจากพระพุทธองค์ทรงตรากตรำพระวรกายในการเที่ยวประกาศพระศาสนาในถิ่นฐานต่างๆ จนมีพุทธสาวกและพุทธบริษัทสี่เป็นปึกแผ่น และจวนจะได้เวลาเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานตามคำทูลอาราธนาของพญามาร
พระพุทธองค์ได้เสด็จรับบิณฑบาตอาหารที่ประกอบขึ้นด้วยสุกรมัทวะจากนายจุนทะ เป็นเนื้อหมู (น่าจะเป็นเนื้อหมูเป็นโรค บ้างก็ว่าอาหารประกอบขึ้นจากเห็ดที่งอกจากหลุมฝังศพหมูตายด้วยโรค)
หลังจากรับบิณฑบาต พระพุทธองค์ก็ทรงประชวร มีอาเจียนบ่อย เพราะอาหารเป็นพิษ ขณะที่ทรงประชวรอยู่นั้น ก็ได้เสด็จมาประทับอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ พร้อมด้วยพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก (ถ้ำแห่งนี้ยังไม่มีชื่อในขณะนั้น ก็คือถ้ำตับเตาในปัจจุบันนี้เอง)
ขณะที่พระองค์ประทับพักพระวรกายที่ถ้ำ ความได้ทราบถึงพระสงฆ์สาวกจำนวนหนึ่ง ๕๐๐ รูป ก็พากันเดินทางมายังถ้ำแห่งนี้ เพื่อเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการประชวร พระสงฆ์เหล่านี้ บ้างเป็นพระอรหันต์สำเร็จอภิญญา บ้างเป็นพระอริยเจ้าระดับรองลงมา บ้างเป็นพระสุปฏิปันโนที่เป็นกัลยาปุถุชนก็มี
เมื่อทราบว่าพระพุทธองค์พระอาการหนักหนาสาหัส ก็มีความเห็นตกลงกันว่าให้พระสงฆ์สาวกผู้สำเร็จพระอรหันต์ทรงอภิญญา เหาะไปบอกหมอชีวกโกมารภัจจ์ (แพทย์ประจำพระองค์) ให้มารักษาพยาบาลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฝ่ายหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็เดินทางมาพร้อมพระอรหันต์เจ้า ให้โอสถเพื่อรักษาพระอาการประชวรหวังจะให้หายจากพระโรคนั้น แต่รักษาอยู่ได้ ๓ วัน พระอาการก็ไม่บรรเทามีแต่ทรุดลง ก็ให้พระอรหันต์เจ้ารูปเดิมนั้นเดินทางไปเชิญพระฤาษีผู้เป็นอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทวิชาการแพทย์แก่ตน ให้เดินทางมาทำการรักษาพยาบาลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฝ่ายพระฤาษีผู้เป็นอาจารย์ของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้เดินทางมาพร้อมด้วยยาสมุนไพรจำนวนมาก เมื่อมาถึงก็ขอตรวจอาการ โดยการสำรวจตรวจดูสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงอาเจียนออกมา ก็ทราบว่าเป็นการประชวรด้วยพาร้ายจากอาหารสุกรมัทวะ จะรักษาด้วยยาธรรมดาไม่ได้ แต่มียาอยู่ขนานหนึ่งเรียกว่าเป็นยาวิเศษก็สามารถรักษาได้ เพราะเป็นโอสถทรงคุณค่าสูง รักษาอาการป่วยได้ทุกอย่างไม่ว่าอาการจะหนักหนาประการใดก็สามารถรักษาให้หายขาดได้
พระฤาษีจึงขออาราธนาพระอรหันต์เจ้ารูปเดิมนั้นไปเอายามาให้ พระพุทธสาวกอรหันต์รูปนั้นเวียนไปเอายาถึง ๓ รอบ ก็ไม่ตรงตามความต้องการ ตกลงหมอชีวกโกมารภัจจ์ต้องเดินทางกลับไปเอามาด้วยตนเอง โดยอาศัยอิทธิฤทธิ์ของพระอรหันต์เจ้าองค์นั้นช่วยพาไปและกลับมาโดยเร็ว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ไม่อาจรอดพ้นจากข่ายพระญาณของสมเด็จพระสุคตเจ้าไปได้ พระองค์ก็ปรารภแก่พระอานนท์ พุทธอนุชาว่า ตถาคตได้รับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้วหนึ่งประการ และยังได้รับบิณฑบาตอาหารมื้อสุดท้ายที่ทำให้สำเร็จผลานิสงส์อันมากแก่ผู้ถวาย คือนายจุนทะ ผู้ถวายอาหารสุกรมัทวะ
สมเด็จพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า อาหารสองมื้อที่ให้ผลานิสงส์เป็นอันมากแก่ผู้ถวายบิณฑบาตพระพุทธเจ้า คืออาหารมื้อแรกที่ทำให้สำเร็จพระโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอาหารมื้อสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าฉันแล้วก็จะเสด็จเข้าสู่การดับขันธปรินิพพาน
ดังนั้นถ้าพระองค์ทรงรับโอสถจากพระฤาษีมาฉันทำให้ทรงหายจากพระอาการประชวร ก็จะไม่เป็นการรักษาสัจจะแก่พญามาร หนึ่งประการ และจะทำให้อาหารมื้อสุดท้ายที่พระองค์ได้รับบิณฑบาตไม่มีผลานิสงส์แก่ผู้ถวายเต็มที่
ดังนั้นพระองค์จำเป็นที่จะต้องหาทางออกไปจากถ้ำแห่งนี้ เพื่อแสวงหาสถานที่อันเหมาะสมแก่การดับขันธ์สู่ปรินิพพาน สมเด็จพระพุทธองค์จึงได้ทรงตั้งสัจจาธิษฐานว่า ขอให้เพดานถ้ำจงบังเกิดเป็นโพรงเพื่อจักพาพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก เสด็จเหาะหนีไปทางอากาศได้
ครั้นเมื่อพระฤาษีนำเอาโอสถวิเศษนั้นให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ มาถวายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็พาเอาพระอานนท์เหาะขึ้นสู่อากาศหายไปและเสด็จไปยังเมืองกุสินารา
การที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเหาะหนีไปนั้น ทำให้พระสงฆ์สาวกทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชนพากันโศกเศร้าร่ำไห้คร่ำครวญอื้ออึงไป ส่วนที่เป็นพระอริยเจ้าก็สงบสำรวมพิจารณาเหตุการณ์ด้วยธรรม และต่างพากันแสวงหาสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมต่อไปตามควรแก่ตน
เมื่อพระสงฆ์สาวกเหล่านี้ได้สำเร็จพระอรหัตผลแล้วครบถ้วน ก็พากันมายังบริเวณถ้ำแห่งนี้พร้อมกันดับขันธ์นิพพานหมดสิ้น ทิ้งให้ซากศพทอดร่างไว้บนพื้นปฐพี และส่งกลิ่นเน่าเหม็นตลบไปทั่วป่าบริเวณนั้น
พระอินทร์จึงให้เทพบุตรผู้มเหศักดิ์ตนหนึ่งนำเอาไฟทิพย์จากสวรรค์มาเผาผลาญซากศพพระอรหันต์เหล่านั้น ไฟทิพย์ที่มีความร้อนแรงยิ่งนัก เผาไหม้กินอาณาเขตกว้างขวางปริมณฑลถึง ๘,๐๐๐ วา ไหม้ลงไปในแผ่นดินลึก ๑,๐๐๐ วา
ความร้อนแรงของไฟทิพย์นี้ส่งความร้อนไปถึงเมืองบาดาลแห่งหนึ่ง อันเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อว่า อุรุนาคราช พญานาคตนนี้จึงนำบริวารพันหนึ่งชำแรกพื้นดินขึ้นมา ปล่องที่พญานาคนำบริวารชำแรกพื้นดินขึ้นมานั้น คือตาน้ำผุดที่ได้ก่อให้เกิดหนองน้ำเล็กๆ ด้านหลังถ้ำนั้นเอง
หนองน้ำแห่งนี้ได้ไหลเป็นลำธารใสสะอาดผ่านบริเวณวัดและไหลลงสู่แม่น้ำฝางในที่ไกลออกไปทางทิศตะวันออก ได้หล่อเลี้ยงบำรุงพื้นที่เกษตรกรรมหมู่บ้านถ้ำและบ้านศรีดงเย็น บ้านอ่าย ดังนั้นพื้นดินบริเวณวัดถ้ำตับเตาและบริเวณใกล้เคียงจึงเป็นพื้นที่มีขุ่นขาว มีลักษณะคล้ายขี้เถ้าปนอยู่ และจะมีลักษณะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงยุคสมัยพระศรีอริยเมตไตรยภายหน้า
พระพุทธองค์ยังได้ทรงทำนายไว้อีกว่า สถานที่แห่งนี้จะได้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เมื่อกาลเวลาผ่านกึ่งพุทธกาลไปแล้ว สถานที่ถ้ำแห่งนี้จะได้รับการปรับปรุงพัฒนาเจริญมากขึ้น ผู้คนพุทธมามกะทั้งหลายจากทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำแห่งนี้ และได้ชื่อว่า ถ้ำดับเถ้า และจะเป็นสถานที่รื่นรมย์ด้วยกระแสแห่งรสธรรมอันวิเศษ เป็นสถานที่ชำระจิตใจให้สะอาดจากธุลีมลทินอาสวกิเลส
อนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงอดีตของพระอรหันต์เจ้าทั้ง ๕๐๐ รูป ที่พากันมาถวายบังคมเยี่ยมพระอาการประชวร และต่อมาสำเร็จพระอรหัตผลและพากันมาดับขันธ์นิพพาน ณ ที่แห่งนี้พร้อมกัน ว่า
ครั้นในสมัยพุทธกาลแห่งองค์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓) ในภัทรกัป เมื่อพระองค์ยังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ได้ทรงนำพระสงฆ์สาวกเดินทางมาพักพระอริยาบถ ณ ถ้ำแห่งนี้ และได้สวดท่องบทพระธรรมเทศนาที่ได้รับฟังมาด้วยเสียงอันไพเราะกังวาน ฝูงค้างคาวจำนวน ๕๐๐ ตัว ที่เกาะอยู่ตามเพดานถ้ำได้ฟังกระแสเสียงอันไพเราะกังวานนั้นก็มีความเคลิบเคลิ้มจิตตกภวังค์หล่นลงมากระทบพื้นหินตาย
ด้วยอำนาจแห่งบุญที่เหล่าค้างคาวนั้นได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนาก็พากันบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีปราสาทวิมานสูง ๑๒ โยชน์ รุ่งเรืองงดงามด้วยความเป็นทิพย์ ในแดนสวรรค์แห่งนั้นมีปราสาทเรียงรายกันไปดุจนิ้วมือถึง ๕๐๐ องค์ เหล่าเทพบุตร ๕๐๐ องค์นี้ จึงมีชื่อว่า อังคุลีเทพบุตร
ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์ได้ลงมาบังเกิดเป็นพระสิทธัตถะกุมาร เมื่อเจริญวัฒนาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะได้ออกผนวชเป็นนักบวชในพระศาสนาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า และพระมหาบุรุษได้ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยครบถ้วน
ฝ่ายพระฤาษีผู้เป็นอาจารย์ของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เมื่อไม่อาจจะถวายพระโอสถอันวิเศษแก่พระพุทธองค์ให้หายจากพระอาการประชวรได้ ก็มีความเสียใจยิ่งนัก ยกมืออันสั่นเทาที่กำถ้วยโอสถขึ้นพร้อมพลางกล่าวว่า อันโอสถวิเศษของตูนี้จะไม่มีไว้สำหรับรักษาผู้ใดอีกต่อไป ไม่มีประโยชน์อันใดแล้วจะรักษาไว้ ว่าแล้วก็สาดโอสถนั้นทิ้งไปทั่วบริเวณนั้น
ทำให้พื้นดินบริเวณถ้ำตับเตานี้มีพืชสมุนไพรขึ้นจำนวนมากมายหลายชนิด แต่เพราะอำนาจคำกล่าวที่คล้ายคำสาปว่าไม่มีประโยชน์อันใดจะรักษาไว้ จึงทำให้พืชสมุนไพรที่เกิดขึ้นบริเวณภูเขาถ้ำตับเตามีคุณภาพในการประกอบขึ้นเป็นยารักษาโรคต่างๆ อ่อนมาก ไม่เหมือนสมุนไพรชนิดเดียวกันที่เกิดขึ้นในที่อื่นมีคุณภาพดีกว่า
.....การเรียบเรียงเรื่องราวประวัติวัดถ้ำตับเตา คุณอินทร์ศวร แย้มแสง ผู้ค้นคว้าเรียบเรียงได้ข้อมูลจากเอกสารแผ่นปลิวของวัดถ้ำตับเตาที่ท่านเจ้าอาวาสวัดได้พิมพ์โรเนียวแจกญาติโยม มาจากเอกสารตำนานถ้ำตับเตาที่ได้เรียบเรียงขึ้นมาของคุณ ส. สุจิตโต ซึ่งท่านพระครูโสภณเจติยารามได้พิมพ์ขึ้นมานานแล้ว จากหนังสือตำนานเมืองโยนกเชียงแสน เมืองฝาง ไชยปราการฯ ของคุณสงวน โชติสุขรัตน์ หนังสือสมัยพระปิยมหาราชของ มร.คาร์บล็อก แปลโดย เสถียร พันธรังสี และอัมพร จุลานนท์
ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านดังกล่าวนามมาแล้วทุกท่าน บุญกุศลและความดีงามทั้งหลายจะพึงบังเกิดขึ้นจากข้อเขียนของข้าพเจ้าครั้งนี้ ขอบุญกุศลนั้นจงได้เป็นส่วนแห่งกุศลแก่ท่านเหล่านั้นด้วยเทอญ
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : อินทร์ศวร แย้มแสง ผู้ค้นคว้าเรียบเรียง. ประวัติวัดถ้ำตับเตา, หน้า ๙-๑๓.)
ประวัติวัดถ้ำตับเตา
ถ้ำตับเตา เป็นศาสนสถานโบราณนานนับเวลาหลายร้อยปีมานานแล้ว ตั้งอยู่ในเขตบ้านถ้ำตับเตา หมู่ที่ ๑๓ ตำบลศรีดงเย็น อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณวัดมีเนื้อที่ดินประมาณ ๓๕ ไร่ มีลำธารน้ำใสสะอาดไหลผ่านกลางบริเวณวัด ไหลจากหนองน้ำเล็กๆ ที่เกิดจากตาน้ำผุด ห่างไปทางด้านหลังถ้ำ ประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ
ตาน้ำผุดและสระน้ำเล็กๆ นี้เกี่ยวพันกับตำนานของวัดถ้ำตับเตา วัดนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาถ้ำตับเตา และเป็นภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาที่กั้นเขตอำเภอไชยปราการกับอำเภอเชียงดาวทางทิศใต้และเป็นเทือกเขาหลายลูกสลับซับซ้อนกันกั้นเขตแดนไทยกับพม่าทางทิศตะวันตก
วัดถ้ำตับเตาจะสร้างในสมัยใด และใครเป็นผู้สร้างไม่ปรากฏแน่ชัด เพียงแต่สันนิษฐานเอาตามหลักฐานที่เป็นสิ่งก่อสร้างในวัด คือพระพุทธรูปไสยาสน์องค์ใหญ่ ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า ๙ เมตร สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนพอกด้วยยางไม้รักปิดทองในแบบศิลปะอยุธยา
ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ท่านสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ คราวเมื่อพระองค์ยกกองทัพหน้าเพื่อจะเข้าตีพม่าและตีเมืองตองอูในประมาณปี พ.ศ.๒๑๓๕ และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกกองทัพหลวงไปทางเชียงดาวพักพลที่เมืองหาง ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองในราชอาณาจักรไทย
และทราบจากปลัดอาวุโส คุณปลายมาศ พิรดาภา ว่า มีผู้เฒ่ามีอายุมากท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนถ้ำนี้มีป้ายเขียนบอกไว้ว่า ณ ถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับพักกองทัพของสมเด็จพระเอกาทศรถ
ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตาสันนิษฐานว่า ด้วยเหตุผลที่พระพุทธรูปไสยาสน์องค์นี้มีอายุเก่าแก่โบราณ เพราะว่าคนสมัยโบราณแต่ละถิ่นแคว้นจะมีลักษณะศิลปะก่อสร้างเป็นของตนเอง ถ้าสร้างโดยช่างฝีมือชาวล้านนา คงจะต้องมีลักษณะแบบล้านนา ถ้าสร้างเสร็จแล้วก็คงจะมอบให้เจ้าเมืองฝางเป็นผู้อุปัฏฐากดูแลวัดแห่งนี้ และเป็นวัดร้างมาหลายครั้งเพราะภัยสงคราม
จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการบูรณะสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งในสมัยเจ้าหลวงมหาวงศ์ เจ้าหลวงเมืองฝางคนที่ ๒ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๓๔-๒๔๓๕ เพราะมีปรากฏในตำนานโยนกเชียงแสน เมืองฝาง ไชยปราการฯ ของคุณสงวน โชติสุขรัตน์ กล่าวว่า
เจ้าหลวงมหาวงศ์ ได้เดินทางมารับหน้าที่และมาพักที่ถ้ำแห่งนี้ (คงจะต้องบูชาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำด้วย) และต่อมาก็ได้สั่งให้มีการบูรณะศาสนสถาน คือบูรณะสร้างวัดพระบาทอุดมและวัดถ้ำตับเตาทั้งสองแห่งเป็นลำดับแรกหลังจากร้างไปนาน
ก่อนที่เจ้าหลวงมหาวงศ์จะสั่งให้บูรณปฎิสังขรณ์สร้างวัดถ้ำตับเตาขึ้น ได้มีฝรั่งชาวนอร์เวย์ ชื่อ มร.คาร์บล็อก มาสำรวจธรรมชาติในดินแดนล้านนาไทย และเข้ามาพักที่เมืองฝางในยุคสมัยเจ้าหลวงสุริโยยศ ซึ่งเป็นเจ้าหลวงที่มาแผ้วถางก่อสร้างเมืองฝาง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๒๔-๒๔๓๔
มร.คาร์บล็อก ได้บันทึกถึงความสำคัญของสถานที่นี้ไว้ว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนามามากกว่าร้อยปีขึ้นไป มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นพระนอน ก่อด้วยอิฐโบกปูนทาด้วยยางไม้และปิดทอง ชำรุดทรุดโทรมมาก ยางไม้และทองหลุดร่อนลงเป็นแห่งๆ รอบๆ องค์พระนอน โดยล้อมรอบองค์พระนอนใหญ่นี้มีพระสาวกนั่งประนมมือฟังคำสวดมากมาย (คงหมายถึงฟังคำสอนเทศนามากกว่า)
ตรงมุมสุดของโถงถ้ำแจ้ง มีพระพุทธรูปนั่งองค์ขนาดย่อมๆ ปางประทานพร ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงสุดของถ้ำ และใกล้ๆ มีบันไดไม้โทรมๆ พาดเพื่อให้คนเดินขึ้นไปถ้ำเล็กชั้นบนได้ นอกนั้นมีพระพุทธรูปหินแกะขนาดต่างๆ ที่มีพระธุดงค์และพวกพ่อค้าเดินทางนำมาจากเขตไทใหญ่นำมาถวายที่ถ้ำแห่งนี้
ตามบริเวณพื้นถ้ำมีเศษจีวรเก่าๆ หมอน เสื่อเก่า คนโทน้ำ ธูปเทียน และอื่นๆ ที่มีผู้นำมาบูชาสักการะ ตรงทางเข้าปากถ้ำมีคนมาสร้างตกแต่งไว้อย่างหยาบๆ ดูเก่าและนาน ใช้อิฐและปูนขาวสร้างเป็นประตูเข้าถ้ำ ตรงเหนือประตูมีหินแกะเป็นรูปหนุมานและรูปนกยูง
มร.คาร์บล็อก กล่าวว่า ก่อนๆ นี้คงเป็นพวกชาวไทใหญ่มาสร้างเป็นศาสนสถาน เพราะการที่สลักรูปนกยูงนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่ชาวไทใหญ่และพม่าใช้ในพิธีสำคัญ เขาเล่าว่า คนเมืองฝางได้บอกเขาว่า พวกชาวเงี้ยวนับถือถ้ำนี้มาก
พวกพ่อค้ามาจากต่างแดนในเขตไทใหญ่มาค้าขายในดินแดนล้านนาก็ดี พวกพ่อค้าชาวล้านนาเดินทางไปค้าขายในเขตไทใหญ่ก็ดี ล้วนแต่ต้องเดินทางผ่านมาทางนี้ และจะเข้ามาแวะนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำนี้เสมอ
จากคำบอกเล่าของเขาทำให้เราทราบว่า วัดถ้ำตับเตานี้คงจะสร้างมานานนับเป็นอายุกว่าร้อยปี และเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา และถือกันว่าเป็นสถานที่ที่เจ้าเมืองเมื่อเดินทางมาปกครองเมืองฝาง หรือเดินทางไปราชการยังเมืองเชียงใหม่ต้องเดินทางผ่านมาทางนี้ และเมื่อพักที่ถ้ำแห่งนี้ต้องสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำเสมอ
บรรดาพระพุทธรูปทั้งใหญ่และเล็กในถ้ำตับเตาตามที่บรรยายมาแล้ว ยังมีพระพุทธรูปไม้แกะองค์สูงประมาณเมตรเศษอีกจำนวนมาก ที่สำคัญคือยังมีสถูปเจดีย์องค์ขนาดย่อมๆ มีลวดลายปูนสวยงามมาก แต่มีรอยถูกเจาะเอาปูนสมัยใหม่มาโบกปิดตรงรอยเจาะ สังเกตปูนที่มาปิดทับนั้น อายุเก่าประมาณ ๓๐ ปีเศษ
สิ่งที่ขาดหายไปจากถ้ำตับเตา คือพระปางประทานพร ที่มร.คาร์บล็อกกล่าวถึง หินแกะสลักรูปหนุมานและรูปนกยูง ตลอดจนหินจารึกด้วยอักษรโบราณที่ยังไม่มีใครอ่านออกได้ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ตลอดจนรูปปั้นพระสาวกรอบๆ องค์พระนอนก็ถูกทำลาย ที่เห็นปัจจุบันนี้ก็ทราบจากท่านเจ้าอาวาสว่า ปั้นขึ้นมาใหม่แทนองค์เดิมที่สูญหายไป
วัดถ้ำตับเตา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๒ และได้มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลพัฒนาปรับปรุงต่อเนื่องกันมาหลายรูปจนถึงในปัจจุบัน
สิ่งสำคัญในถ้ำที่ยังคงเหลือจากมนุษย์ใจบาปที่มาลักขโมยไป ได้แก่ พระไสยาสน์ พระเจ้าตนหลวง พระเจ้าทันใจ สถูปเจดีย์เก่าแก่สวยงาม พระพุทธรูปหินอ่อนขนาดกลางๆ ไม่กี่องค์ พระพุทธรูปไม้แกะขนาดเมตรเศษ
ในส่วนลึกของถ้ำมืด มีเจดีย์องค์หนึ่ง ลึกเข้าไปในถ้ำประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นเจดีย์เปียกชุ่มและนิ่ม ผู้เข้าไปสักการะมักเอาเหรียญเงินแถบ (รูปี) เหรียญบาทสตางค์แดง เหรียญโบราณต่างๆ ติดองค์เจดีย์ไว้ ใกล้ๆ องค์เจดีย์มีแอ่งน้ำตื้นๆ ถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ชำระบาปได้
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : อินทร์ศวร แย้มแสง ผู้ค้นคว้าเรียบเรียง. ประวัติวัดถ้ำตับเตา, หน้า ๑-๕.)
ลักษณะของถ้ำตับเตา
ถ้ำตับเตา แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ดังนี้
๑. ถ้ำแจ้ง เป็นห้องโถงถ้ำกว้างใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ พระเจ้าตนหลวง พระเจ้าทันใจ สถูปเจดีย์ และพระพุทธรูปไม้แกะสลัก พระหินแกะ พระพุทธรูปองค์เล็กองค์น้อย มีโพรงที่ลอดไปยังถ้ำขนาดเล็กที่เรียกว่า ถ้ำแม่ครัว (หรือถ้ำเสบียง) ซึ่งอยู่ติดไปทางทิศตะวันออกติดกัน
๒. ถ้ำมืด อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก มีลานหินแคบๆ เป็นทางเดินจากหน้าถ้ำแจ้งไปยังถ้ำมืดได้ ถ้ำมืดนี้มีลักษณะเป็นโพรงชอนลึกเข้าไปในภูเขา ภายในมีหินงอกหินย้อยสองข้างทางเหมือนฉากท้องพระโรงงดงามมาก มีความลึกเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตร
ส่วนลึกของถ้ำมีเจดีย์เปียก (เจดีย์นิ่ม) ดังกล่าวมานานแล้ว ถ้ำมืดนั้นสมัยก่อนต้องอาศัยคบเพลิงหรือตะเกียงเจ้าพายุส่องให้แสงสว่าง เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึง ปัจจุบันทางวัดได้เดินสายไฟโยงไปตามที่ต่างๆ ในถ้ำแล้ว (ติดต่อขอเข้าชมถ้ำมืด ทำบุญค่าเปิดไฟฟ้า ๑๐๐ บาท ต่อคณะ)
รายนามลำดับเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตา
วัดถ้ำตับเตาได้มีเจ้าอาวาสปกครองดูแลพัฒนาปรับปรุงต่อเนื่องกันมาหลายรูป เท่าที่ทราบชัดเจนในยุคหลังดังนี้
๑. หลวงพ่อประภา พ.ศ.๒๔๕๐
ท่านมีเชื้อเจ้าลาว เรียกว่า สมเด็จประภา ขณะที่ท่านมาอยู่เป็นเจ้าอาวาสนั้น มีลูกศิษย์ตามมาด้วยรูปหนึ่งเป็นภิกขุ ชื่อ แก้ว ซึ่งได้เป็นกำลังช่วยเหลือในการบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างพระเจ้าตนหลวง ซึ่งมีศิลปะแบบล้านนา
ต่อมาพระลูกศิษย์รูปนี้คือ หลวงปู่แก้ว สุทโธ ต่อมาท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดพระธาตุดอยโมคคัลลานะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ (ติดตามประวัติวัดพระธาตุดอยโมคคัลลานะ ได้ที่ http://www.dannipparn.com/thread-873-1-2.html)
๒. พระครูวรเวทย์วิสิฐ (ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย) พ.ศ.๒๔๙๒
ท่านได้สร้างวิหารพระนอนในถ้ำ ตลอดจนพัฒนาบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งปลูกสร้างและปูชนียวัตถุต่างๆ เช่น รูปปั้นพระสาวกล้อมรอบพระพุทธไสยาสน์หลายสิบองค์ สร้างที่พักสงฆ์ สร้างศาลา สร้างสถานที่พักสำหรับประชาชน พัฒนาซ่อมแซมถนนเข้าสู่ถ้ำระยะทาง ๔ กิโลเมตร เป็นระยะเวลา ๕ ปี สิ้นเงินไปถึง ๑๔๓,๙๐๐ บาท ต่อมาท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
๓. พระครูมงคลรัตน์ (ครูบาสิทธิ อภิวัณโณ) พ.ศ.๒๔๙๗
ท่านมาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำตับเตาไม่นานนัก ต่อมาท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดปางต้นเดื่อ (ดอยลาง) อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
๔. พระครูโสภณเจติยาราม (เจ้าคณะอำเภอฝางในขณะนั้น) พ.ศ.๒๕๐๐
ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสเพื่อดำเนินการบูรณะวัดถ้ำตับเตาแห่งนี้ โดยสร้างบันไดขึ้นถ้ำจากพื้นราบขึ้นไป เพราะเดิมไม่มีบันได ใครจะเข้าถ้ำต้องปีนเขาขึ้นไป
๕. พระครูวิทิตธรรมรส (เจ้าอาวาสวัดพระบาทอุดมในขณะนั้น) เป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตา พ.ศ.๒๕๑๒
ท่านได้สร้างกุฏิสงฆ์ในบริเวณด้านหน้าวัด
๖. พระครูประดิษฐ์พรหมคุณ (หลวงปู่บุญเย็น ฐานธมฺโม) (อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าไม้แดง (พระเจ้าพรหมมหาราช))
ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสได้สร้างกำแพงด้านหน้าวัด และสร้างซุ้มประตูวัด
๗. พระอาจารย์บุญช่วย ฐิตสาโร พ.ศ.๒๕๒๔-๒๕๔๐
ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสได้สร้างบันไดขึ้นถ้ำใหม่แทนบันไดเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม และทำการบูรณะในถ้ำด้วยการเทปูนปูพื้นที่ด้วยกระเบื้อง สร้างศาลาอเนกประสงค์ และเสนาสนะสงฆ์อื่นๆ
๘. พระอธิการศิลปชัย ญาณโว พ.ศ.๒๕๔๑-ปัจจุบัน
ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสได้เริ่มทำการสร้างบูรณะกุฏิสงฆ์ด้านฝั่งตะวันออกของลำธารและด้านหลังถ้ำ พัฒนาสถานที่ให้น่าดูและงดงาม
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : อินทร์ศวร แย้มแสง ผู้ค้นคว้าเรียบเรียง. ประวัติวัดถ้ำตับเตา, หน้า ๔-๕. และเว็บแดนนิพพาน ดอทคอม เรียบเรียงใหม่ (๒๕๖๘, มกราคม))
ภาพวาดพระครูประดิษฐ์พรหมคุณ (หลวงปู่บุญเย็น ฐานธมฺโม) (อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าไม้แดง (พระเจ้าพรหมมหาราช)) อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตา
สรีระสังขารพระครูประดิษฐ์พรหมคุณ (หลวงปู่บุญเย็น ฐานธมฺโม) (อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าไม้แดง (พระเจ้าพรหมมหาราช)) อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตา
พระภิกษุสงฆ์ผู้ที่ถือกำเนิดมาเพื่อพัฒนาสร้างสรรค์คุณประโยชน์อย่างมากมายต่อมวลมนุษย์ โดยยึดถือคติธรรมที่ว่า “เมตตาค้ำจุนโลก”
ภาพถ่ายพระอาจารย์บุญช่วย ฐิตสาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตา (พ.ศ.๒๕๒๔-๒๕๔๐)
ภาพถ่ายพระอาจารย์บุญช่วย ฐิตสาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำตับเตา (พ.ศ.๒๕๒๔-๒๕๔๐)
ถวายภาพโดย ร.ต.ต.นเรศ ฉุยฉาย พร้อมครอบครัว