แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 37425|ตอบ: 12
go

เที่ยว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

  เที่ยว วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
(ย้ายมาจากบอร์ดเก่า กระทู้นี้ถูกโพสเมื่อ 2006-07-25 )

เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอลี้ เป็นวัดประจำหมู่บ้าน พระพุทธบาทห้วยต้ม ตั้งอยู่หมู่ที่ ๘ ตำบลนาทราย จังหวัดลำพูน บริเวณทางเข้าทีอนุสาวรีย์พระครูบาชัยวงศาตั้งอยู่ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีสิ่งก่อสร้างทำจากศิลาแลงที่ขุดได้จากบ่อศิลาแลงของวัด และมีองค์พระธาตุที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม บูรณะก่อสร้างจากศรัทธาของบรรดาชาวกะเหรี่ยงที่มีต่อพระครูบาชัยวงศา พระอาจารย์ชื่อดังทางภาคเหนือ

ในกระทู้ท่องเที่ยงวัดพระพุทธบาทห้วยต้มนี้ จะนำเสนอภาพในมุมมองต่างๆ ของวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ตอนแรกตั้งใจว่าจะนำกระทู้วัดนี้ขึ้นมานานแล้วเพราะเริ่มรวบรวมภาพมาตั้งแต่เมื่อประมาณ ๒ ปีก่อน แต่ไม่ได้เอาขึ้นซะที และรู้สึกว่ายังไม่เคยนำภาพวัดภาคใต้ มาลงเลย ตั้งใจว่าประมาณเดือนกันยายนนี้ก็จะเริ่มทยอยลงภาพวัดที่ภาคใต้ที่ภาคใต้บ้างนะครับ


1.jpg

วิหารที่ประดิษฐานศพของครูบาชัยวงศา ภายในโลงแก้วที่ไม่เน่าไม่เปื่อย ผมและคณะเคยมากราบท่านในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีก่อนได้ และก็ไม่ได้ขึ้นมาอีกเลยจนกระทั่งมาทราบอีกทีว่าท่านได้มรณภาพเสียแล้ว........

2.jpg

ศพของครูบาชัยวงศาอยู่ภายในโลงแก้ว...........

3.jpg

หอเก็บพระไตรปิฏก

4.jpg

ประวัติพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

พระเจดีย์องค์นี้มีฐานกว้าง ๒๐ เมตร สูง ๓๔ เมตร เริ่มสร้างเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมีท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาเป็นประธานการก่อสร้าง ได้มอบหมายให้นายโต๊ะโน่ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงเป็นช่างดำเนินการก่อสร้าง ในระยะนั้นก็ได้มีครูบาบุญทืม จากวัดจามเทวี อ.เมือง จ.ลำพูน ได้มากราบเยี่ยมครูบาชัยยะวงศาพัศนา ก็มาเห็นทางวัดกำลังก่อสร้างพระเจดีย์ และได้นั่งพูดคุยกับท่านครูบาเจ้าว่า ท่านครูบาจะเอาปัจจัยที่ไหนมาสร้าง ครูบาเจ้าก็ตอบว่าไม่รู้จะเอาปัจจัยที่ไหนมาสร้าง หลังจากนั้น ท่านครูบาบุญทืมกลับไปวัดจามเทวี แล้วท่านก็ได้อาพาธ ข่าวการอาพาธของครูบาบุญทืมได้ไปถึงหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หลังจากนั้น ครูบาบุญทืมได้ทราบข่าวว่า หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร จะขึ้นมาเยี่ยมท่าน (ท่านหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ได้บอกกับคณะศิษยานุศิษย์ว่าครูบาบุญทืมอดีตชาติเป็นพี่ชายของท่าน) ส่วนองค์ท่านครูบาบุญทืมก็ได้นึกถึงคำพูดของครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาเรื่องสร้างพระเจดีย์ แล้วท่านครูบาบุญทืมก็ได้สั่งให้คณะศิษย์นำองค์ท่านไปส่งที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม (สมัยนั้นการติดต่อยากลำบากมาก) พอท่านครูบาบุญทืมมาถึงวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ก็ไม่อยู่วัด

ต่อมาท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาได้ทราบข่าวว่า ครูบาบุญทืมมาเยี่ยมที่วัด ท่านก็ได้กลับมาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม พอมาถึงท่านครูบาบุญทืมก็ได้มากราบท่านครูบาเจ้าที่บนกุฏิ พร้อมกับเรียนว่า "ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยสบาย พอได้ข่าวว่าหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร จะขึ้นมาเยี่มข้าพเจ้าที่วัดจามเทวี ข้าพเจ้าก็ได้นึกถึงคำพูดของท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาเรื่องสร้างเจดีย์ ข้าพเจ้าก็อุตส่าหอบสังขารที่ป่วยมาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มแห่งนี้ เพื่อที่จะให้หลวงพ่อพระมหาวีระตามมาเยี่ยมที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม" ต่อมาได้ ๔ - ๕ หลวงพ่อพระมหาวีระก็ได้ตามมาเยี่ยมครูบาบุญทืมที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และได้พบกับครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ต่อมาหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ก็ได้นิมนต์ท่านครูเจ้าไปโปรดญาติโยมที่วัดท่าซุง และกรุงเทพฯ ต่อมาศรัทธาญาติโยมของพระมหาวีระ ถาวโร ก็ได้เลื่อมใสในองค์ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาและได้ถวายปัจจัยเพื่อสร้างพระเจดีย์นี้มาเรื่อยๆ สิ้นงบประมาณการทั้งสิน ๑๒ ล้านบาทเศษ เสร็จเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเจิมหินเพื่อบรรจุในองค์พระเจดียนี้ ปฏิหาริย์ขององค์เจดีย์นี้ ได้มีชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงได้มาเวียนเทียนทุกๆ วันพระ บางครั้งก็จะได้เห็นเป็นแสงสว่างพุ่งออกมาจากองค์เจดีย์และบางครั้งจะได้ยินเสียงสวดมนต์รอบๆ เจดีย์ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆก็ไม่เห็นมีใครสักคนหนึ่ง


5.jpg

รอบๆ จะเป็นคล้ายวิหารคตสี่มุม ซึ่งจะเขียนภาพประกอบคำบรรยายของประวัติท่านแม่จามเทวี ผู้ปกครองนครหริภุญชัย

6.jpg

ประวัติวิหารครอบรอยพระพุทธบาท

ถึงเดือน ๑๐ เหนือ(๘ใต้) ขึ้น ๑๐ ค่ำ วันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ได้บูรณะปฏิสังขรณ์รอยพระพุทธบาท ต่อมาถึงพรรษาที่ ๒ เดือน ๑๒ เหนือ(๑๐ ใต้) ขึ้น ๑ ค่ำ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ปีกุนก็ได้วางศิลาฤกษ์สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทขึ้น มาถึง พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่านครูบาเจ้าก็ได้สร้างต่อมาเรื่อยๆ รวมระยะเวลา ๕๓ ปี ตามคำบอกกล่าวของ ท่านครูบาเจ้าว่าพระวิหารหลังนี้ ตัวของท่านเองจะไม่ได้ฉลองจะมีเจ้าของมาฉลองเอง พอมาเมื่อประมาณเดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่านก็ได้ปรารภว่าอยากจะ ฉลองพระวิหารหลังนี้ก็มีกระเหรี่ยงคนหนึ่งเข้ามากราบท่านครูบาเจ้า ท่านก็บอกกับกระเหรี่ยงชอยผู้นั้นว่า "ให้ไปหาหัวปลีกล้วยที่ต้นเดียวมีหัวปลี ๓ หัว มาเพื่อจะเอามาฉลองพระวิหารหลังนี้" แล้วกระเหรี่ยงชายผู้นั้นก็หายไปประมาณ ๑ อาทิตย์ ก็กลับมาพร้อมหัวปลีมาถวายครูบาเจ้า กระเหรี่ยงผู้นั้นก็พูดขึ้นว่า "ตอนที่ครูบาเจ้าได้บอกกับข้าพเจ้าไปเอานั้น ข้าพเจ้าก็นึกว่า ท่านครูบาเจ้าพูดเล่นพอไปหาก็ได้จริงๆ เสมอเหมือนกับว่าเทวดานำไป"

หลังจากนั้นท่านครูบาเจ้าก็ได้สั่งพระที่อยู่ใกล้ชิดท่านว่า "ต่อไปภายหน้าถ้าได้ฉลองวิหารหลังนี้ ก็ให้เอาหัวปลีต้นเดียวมี ๓ หัว นี้ไปฉลองพร้อมวิหารหลังนี้ด้วย"

ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ท่านครูบาเจ้าก็ได้อาพาธด้วยโรคชรา คณะศิษยานุศิษย์ก็ได้นิมนต์ท่านครูมาเจ้าไปรับการรักษาที่ โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ ถึงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๓ อาการอาพาธของท่านก็ไม่ดีขึ้นทางคณะแพทย์ มีความเห็นว่า ควรนิมนต์ให้ท่านครูบาเจ้าไปทำการรักษาต่อที่ ร.พ. มหาราชนครเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อเวลา ๐๑.๐๐ น. ของวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ตรงกับวันวิสาขบูชา ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ได้มรณะภาพด้วยอาการสงบ

จากนั้นคณะศิษยานุศิษย์ มีท่านพระครูพินิจสารธรรม(ครูบาพรรรณ) เป็นต้น ได้ปรึกษาหารือกันว่าจะฉลองพระวิหาร เพื่อจักทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปหาท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา จึงได้บอกบุญไปยังศิษยานุศิษย์ จะบูรณะซ่อมแซมพระวิหารหลังนี้ เพื่อให้ทันงานทำบุญครบรอบ ท่านครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนามรณภาพครบ ๑ ปี ตรงกับวันที่ ๓ - ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕


7.jpg

นมัสการรอยพระพุทธบาทที่อยู่ด้านใน

9.jpg



8.jpg



10.jpg

ทางขวาของวิหารนี้จะมีทางเดินออกไปทางป่า สังเกตได้ว่าจะมีรูปปั้นยักษ์ สององค์ยืนอยู่ แล้วจะมีทางแยกไปทางซ้ายมือจะเป็นทางไปบ่อน้ำทิพย์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

11.jpg

บ่อน้ำทิพย์(ห้ามผู้หญิงเข้าครับ)

12.jpg

เดินออกประตูที่อยู่ตรงข้ามจากวิหารที่ครอบรอยพระพุทธบาท เพ่อที่จะเดินต่อไปยังพระบาทกบ

13.jpg

มณฑปที่ครอบรอยพระบาทกบ

14.jpg

ตำนานพระบาทกบ

มีพญากบตนหนึ่งได้อาศัยอยู่แถวห้วยแม่ละใกล้ๆ กับพระพุทธบาทห้วยต้มไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕๐ วา ยังมีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่งได้ท่องธุดงค์มาเรื่อยๆ จนมาพักอยู่ใกล้บริเวณนั้นภายใต้โคนไม้อยู่รุกขมูล ณ ที่แห่งนั้นตกค่ำพระมหาเถระเจ้าก็ได้สวดมนต์หรือเทศนาธรรมสวดมาติกาตามปกติ วันนั้นพญากบได้ขึ้นมาจากห้วยแม่ละมาถึงที่ กบหินอยู่ในปัจจุบัน ก็ได้ยินเสียงพระมหาเถระเจ้าเทศนาธรรมอยู่ก็นั่งฟังด้วยเข้าใจว่าเสียงธรรมที่ได้ยินอยู่นี้คงเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เสียงเทศนาธรรมของพระมหาเถระเจ้านั้นสดใสกังวาลไพเราะมากและเข้าอกเข้าใจดี ยิ่งฟังยิ่งซาบซึ้งติดใจเพลิดเพลิน จึงหยุดนิ่งตั้งใจฟังด้วยใจจดจ่อ ไม่ได้สนใจเสียงอื่นใใดเลยคงจับอยู่ในเสียงของพระมหาเถระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ในขณะนั้นเองได้มีหมอพรานปลาผู้หนึ่งซึ่งหากินด้วยการจับสัตว์นี้เลี้ยงชีพ พรานนั้นได้เดินมาจนถึงบริเวณที่พญากบฟังธรรมอยู่ พอมาถึงก็ได้ยินเสียงของพระมหาเถระเจ้า ก็เกิดสนใจที่จะเข้าไปนั่งฟัง แต่จะถือเอาฉมวกเข้าไปด้วยก็เกรงว่าจะเป็นการไม่สมควรจึงได้ปักเหล็กแหลมทิ่มเข้าไปในพุ่มไม้ไปโดนใส่พญากบโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะไม่รู้ว่ามีพญากบอยู่ตรงนั้น พญากบนั้นแม้ถูกเหล็กทิ่มแทงก็ไม่ได้รู้สึกตัวเพราะกำลังเพลิดเพลินในธรรมนั้นอยู่

เมื่อหมอพรานเดินเข้าไปฟังธรรมเทศนาจนจบและรับศีลรับพรเรียบร้อยแล้ว ก็กราบลาพระมหาเถระเจ้าและเดินไปเอาเหล็กแหลมที่ปักไว้ จึงได้เห็นว่าเหล็กนั้นแทงใส่กบจนตาย ก็ถอนพลางร้องว่า "โอ้หนอ....เหล็กนี่แทงถูกกบตายเสียแล้ว"

ส่วนพระมหาเถระพอได้ยินเสียงเข้า จึงได้เดินไปดู ท่านก็พิจารณาแล้วก็บอกว่า "อ้าว..หมอพรานทำไมแทงใส่กบ กบนี่ไม่ใช่กบธรรมดา มันเป็นพญากบมาดักนิ่งฟังธรรมเทศนาอยู่" หมอพรานก็บอกว่า "ข้าพเจ้าไม่รู้ ไม่เห็นว่าพญากบอยู่ที่นี่...."

พระมหาเถระเจ้าก็เกิดสงสารกบตัวนั้น จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานเอาเท้าเหยียบหลังกบให้เป็นรอยพระบาทไว้ให้เป็นอนุสรณ์ต่อไปในภายหน้า ต่อมาพญากบตัวนั้นได้กลยเป็นหินเป็นรูปร่างกบ มีรอยพระบาทประทับอยู่ที่หลัง

พญากบตัวนั้นเมื่อถูกแทงก็ไม่รู้ตัวว่าตาย มารู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นเทพบุตรเสวยสุขอยู่ในชั้นฟ้าดาวดึงส์มีนามว่า เมณฑกะเทวบุตร มีปราสาทสูง ๑๒ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์ มีเทพยดาเป็นบริวารมากมาย ทั้งนี้เนื่องจากบุญที่ได้ตั้งใจฟังเทศนาธรรม

เสวยสุขมาจนถึงสมัยของ พระโคตมะพุทธเจ้า (สมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) จักลงมาเกิด เมณฑกะเทวบุตรได้ลงมาเกิดก่อนเป็นมหาเศรษฐีมีชื่อว่า เมณฑกะมหาเศรษฐี หรืออีกนามหนึ่งคือ ท่านอนาถบิณฑกะเศรษฐี เป็นใหญ่กว่าเศรษฐีทั้งหมดอยู่รอพระโคตมะพุทธเจ้า......


Rank: 1

สาธุ

Rank: 1

สาธุ อนุโมทนามิ
ทั้งโลกสามนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีความสงบงามอันแท้จริงเลยเราทุกชีวิตต่างมาหลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ทั้งหมด พระอริยเจ้า ครูบาอาจารย์ผู้เป็นนักปราชญ์ทั้งหลายท่านมีจิตเมตตาเตือนเราทั้งหมดทุกวิถีทาง ว่าร่างกายของท่านก็ดี ร่างกายเราก็ดี ต่างก็ไม่ใช่ของเรา วัตถุทั้งหมดก็ดี ต้องทิ้งไว้ไม่สามารถเอาไปได้เลย ชะยะวะยะธรรมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ ความตายต้องมาถึงเราแน่นอน เราทุกคนไม่ควรประมาท รีบเดินทางกันเถิด
ธรรมมะที่พระมอบไว้ต่างหากคือทางตรงที่ท่านให้เราทั้งหมดตามท่านไปยังแดนอมตะ นิพพาน ขอโมทนาทุกดวงจิตเข้าถึงซึ่งทางพระนิพพานเทอญ สาธุ
ขอบคุณค่ะที่นำมาลง


   

Rank: 1

เคยไป2ครั้งแล้วครับ โมทนา

Rank: 8Rank: 8

อนุโมทนาบุญค่ะ

Rank: 1

ใครมีความคืบหน้าพระพุทธรูป9 นิ้วที่บรรจุในพระเจดีย์ศรีเวียงชัย
ได้ข่าวว่าใกล้ปิดเต็มทีแล้ว เหลือไม่ถึง พันองค์ใช่ไหมครับ แล้วกำหนดวัน ฉลองเจดีย์เมื่อไร
อย่าลืมแจ้งให้สมาชิกทราบกันทั่วถ้วนหน้านะครับ

Rank: 1

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ ขอบคุณที่นำเสนองานบุญดีดีครับ

nalatae สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

อนุโมทนาด้วยครับ สาธุ

Rank: 1

กราบโมทนาด้วยครับ(ข้อมูลดีมากๆ)

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-12-1 01:56 , Processed in 0.070667 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.