แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

วัดสวนดอก (บุปผาราม) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (พระเกศาธาตุ, พระบรมธาตุส่วนกลางกระหม่อม องค์ที่ ๑) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:33 โดย pimnuttapa

  

DSC09562.jpg

ศาลาทำบุญพระประจำวันเกิด อยู่บริเวณด้านข้าง อุโบสถ วัดสวนดอก ค่ะ   


DSC09563.jpg

พระประจำวันเกิด ประดิษฐานภายใน ศาลาทำบุญพระประจำวันเกิด วัดสวนดอก ค่ะ   


DSC09568.jpg

พระพุทธรูปองค์เล็ก ประดิษฐานด้านข้าง ประตูทางเข้า/ออกด้านหน้า อุโบสถ วัดสวนดอก ค่ะ





Rank: 8Rank: 8

แก้ไขล่าสุด pimnuttapa เมื่อ 2009-10-4 06:32  

DSC09559.jpg

อุโบสถ วัดสวนดอก ค่ะ  

อุโบสถ กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๗ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อ ได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยหลวงปู่คำแสน (พระครูสุคันธศีล) เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๕ – ๒๕๑๖ เดิมเป็นอุโบสถของวัดพระเจ้าเก้าตื้อ เมื่อไม่นานมานี้มีการรวมวัดสวนดอกกับวัดพระเจ้าเก้าตื้อเข้าเป็นวัดเดียวกัน


DSC09560.jpg

อุโบสถ วัดสวนดอก จะไม่มีระเบียงคด (เพราะระเบียงคดเป็นอิทธิพลเขมรซึ่งขึ้นมาไม่ถึงภาคเหนือ จะอยู่แค่ภาคกลาง) ค่ะ


อุโบสถมีการผูกพัทธสีมา รวมทั้งหมด ๗ ครั้ง มีดังนี้

ครั้งที่ ๑ ปฐมสังฆนายก คือสมเด็จพระมหาสุมณวันรัตนสวามี ทำพิธีผูกครั้งที่ ๑
ครั้งที่ ๒ พระมหานันทปัญญา สังฆนายกของวัดสวนดอกองค์ที่ ๓ เห็นว่าสีมาของวัดมีขนาดเล็กเกินไป จึงทำพิธีถอนแล้วผูกใหม่
ครั้งที่ ๓ พระมหาพุทธญาณ สังฆนายกองค์ที่ ๔ พิจารณาเห็นว่าสีมานั้นเป็นนครสีมา ไม่ได้เป็นคามสีมาอย่างที่พระมหาเถรบุญวงศ์แห่งลำพูนคัดค้านไว้ จึงทำพิธีถอนแล้วผูกใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ครั้งที่ ๔ พระมหาติปิฎกสังฆราช สังฆนายกของวัดองค์ที่ ๗ ทราบมาว่าเมื่อตอนที่มีการปลูกสีมานั้น พระองค์หนึ่งอาพาธอย่างหนัก ไม่สามารถเข้าร่วมหัตถบาสในพิธีการถอนและปลูกได้ จึงต้องมีการถอนแล้วปลูกใหม่

ครั้งที่ ๕ พระมหาพุทธาทิจจะ (พระมหาพุทธรักขิต) สังฆนายกองค์ที่ ๘ พิจารณาเห็นว่าการถอนและปลูกครั้งก่อนไม่ถูกต้อง จึงทำพิธีถอนและปลูกใหม่
ครั้งที่ ๖ พระมหานาคเสน สังฆราชองค์ที่ ๑๐ ถูกพระสุวัณณ์ บ้านพรหมกุมกาม คัดค้านว่าเมื่อตอนที่มีพิธีถอนและปลูกนั้น ท่านไม่ได้เข้าร่วมด้วยแต่อยู่ที่วิหาร เมื่อสมมุตินทีสีมาไม่ถูกต้อง คนที่บวชในสีมานั้นก็ไม่เป็นพระ สังฆนายกจึงต้องทำพิธีถอนและปลูกใหม่อีก
ครั้งที่ ๗ พระมหาสุชาโตหรือธรรมโพธิ์ ทำพิธีถอนปลูกและสีมาใหม่แทนของเก่า เป็นครั้งสุดท้ายในระหว่าง พ.ศ. ๒๐๔๔ เนื่องจากอุโบสถมีขนาดเล็กและคับแคบเกินไป

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขล่าสุด pimnuttapa เมื่อ 2009-10-4 06:29  

DSC09555.jpg

สถาบันวิทยบริการ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ วัดสวนดอก ค่ะ


DSC09554.jpg

สำนักงานศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มจร. วัดสวนดอก (พระอารามหลวง) ค่ะ

Rank: 8Rank: 8

DSC09553.jpg

กุฏิไชยลังการ วัดสวนดอก ค่ะ

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:33 โดย pimnuttapa

  

DSC09552.jpg

อาคารเสนาสนะของวัดสวนดอกซึ่งมีอยู่มากมายนั้นประกอบด้วย กุฏิหลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก ค่ะ



Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:30 โดย pimnuttapa



DSC09858.jpg
DSC09861.jpg
DSC09862.jpg
DSC09863.jpg

พระเจ้าทันใจปางต่างๆ ประดิษฐานภายใน ซุ้มจระนำทั้งสี่ทิศ พระเจดีย์ วัดสวนดอก ค่ะ



Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:30 โดย pimnuttapa



DSC09852.jpg

พระเจดีย์  ประดิษฐานรอบทั้งสี่ทิศ พระบรมธาตุเจดีย์ วัดสวนดอก ค่ะ   



ประวัติพระเจดีย์

ครูบาศรีวิชัยเป็นเค้าพร้อมด้วยพระภิกษุ สามเณร และนางหลวงมารดานายตรี ศรีอุปโย กับศรัทธาทั้งหลายได้ช่วยกันสร้างพระเจดีย์องค์นี้ขึ้นไว้เพื่อเป็นที่สักการบูชาแก่ปวงเทพเทวา และหมู่คนทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕


DSC09856.jpg

พระเจดีย์ ประดิษฐานด้านหลัง พระบรมธาตุเจดีย์ วัดสวนดอก ค่ะ






Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:26 โดย pimnuttapa

  

DSC09885.jpg

นอกจากตำนานและพงศาวดารต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีตำนานวัดสวนดอกซึ่งได้รับการปริวรรตโดยฝ่ายวิจัยคัมภีร์ใบลานในภาคเหนือ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องในโอกาสที่เชียงใหม่จะมีอายุครบ ๗๐๐ ปีมีใจความดังต่อไปนี้ คือ

“วันนึ่ง ออกวัสสาแล้ว พระพุทธเจ้าวิหรดิชวนเอาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ๔ ตน ออกเทศนาธรรมตามเมืองต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงเมืองพิงค์ (เชียงใหม่) ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองแห่งทมิฬหรือชาวลวะ พระองค์ทรงประทับนั่งอยู่เค้าไม้บุนนาคบุปผารามที่นั้นเป็นเค้า ไว้พระเกศธาตุพระพุทธเจ้าเส้นหนึ่งให้แก่ชาวลวะผู้หนึ่งเพื่อบรรจุไว้ที่บุปผารามเป็นเค้าจากนั้นเสด็จไปทางทิศใต้เป็นระยะทางประมาณ ๗๐๐ วา แล้วไว้พระเทศธาตุเส้นหนึ่งแก่ชาวลวะ สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่า บุปผาราม…หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปได้ ๑๙๐๙ วัสสาตรงกับจุลศักราช ๗๒๙ ปี ท้าวกือนาได้เป็นกษัตริย์เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ เป็นราชวงศ์มังรายองค์ที่ ๗ ในยามนั้นเมืองเชียงใหม่มีความสงบสุขและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร อนึ่ง เนื่องด้วยท้าวกือนาเป็นผู้ที่มีพระภิกษุผู้รู้วจนา สามารถกระทำกรรมน้อยใหญ่ได้ทุกประการมาไว้ในเมืองเชียงใหม่ และในครั้งนั้นพระไทยสองตนชื่ออโนมรสี (ที่ถูกต้องคืออโนมทัสสี) และสุมนได้พากันไปเรียนพระไตรปิฎกที่นครศรีอยุธยาและที่นครสุโขทัย ภายหลังพระภิกษุสองรูปนี้ได้ข่าวเกี่ยวกับพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี พระมหาเถระชาวรามัญ ผู้ตั้งศาสนาคณะลังกาวงศ์ ณ เมืองรามัญประเทศ ท่านทั้งสองจึงไปศึกษาในสำนักของมหาเถรอุทุมพรบุปผามหาสวามีแล้วกลับมาสู่สยามประเทศ โดยพระมหาสุมนเถรเจ้าอยู่ที่เมืองสุโขทัยและพระอโนมรสีอยู่ที่เมืองสะเรียงหรือกำแพงเพชร ”

จากนั้น “อยู่มาวันหนึ่ง พระมหาสุมนเถรเจ้ามีนิมิตฝันว่าเทวดาตนหนึ่งมาบอกสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งอยู่ ณ เมืองบางจาในเขตเมืองศรีสัชนาลัย โดยพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในซากเจดีย์ปรักหักพังและมีกอดอกเข็มรูปร่างเหมือนม้าขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง พระมหาสุมนเถระจึงออกเดินทางไปยังเมืองบางจาและขอให้พระบรมธาตุแสดงปาฏิหาริย์ ตกกลางคืนก็ปรากฏรัศมีของพระบรมธาตุขึ้นที่กอดอกเข็มอย่างโชติช่วงตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าของวันใหม่ เมื่อคนทั้งหลายทำการขุดหาพระบรมสารีริกธาตุซึ่งบรรจุในโกศแก้วซ้อนด้วยโกศเงินและโกศทองจนพบแล้ว ก็ทำการสักการบูชาแล้วเปิดโกศแก้วออกดู พบว่ามีพระบรมสารีริกธาตุขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวบรรจุอยู่ จากนั้นมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือพระบรมสารีริกธาตุได้กระทำปาฏิหาริย์ แยกออกเป็น ๒ องค์ ๓ องค์ ครั้นพระญาสัชนาลัยทราบเรื่องดังกล่าว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาสู่เมือง จากนั้นทรงแจ้งข่าวไปยังพระญาสุโขทัยทราบ ซึ่งพระองค์ทรงรำพึงว่า หากพระบรมสารีริกธาตุกระทำปาฏิหาริย์ปรากฏให้เห็น พระองค์จะสร้างเจดีย์ทองคำให้เป็นที่ประดิษฐาน แต่เมื่อพระองค์ทำการสักการบูชาแล้วสรงน้ำธาตุพระชินมารพระบรมสารีริกธาตุกลับไม่กระทำปาฏิหาริย์ พระองค์จึงให้พระมหาสุมนเถรเจ้าเป็นผู้เก็บรักษาไว้”

ภายหลัง เมื่อพระญากือนา เจ้านครพิงค์เชียงใหม่ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระอุทุมพรบุปผามหาสวามี พระองค์จึงอาราธนาพระมหาสวามีเจ้ามาสืบพระศาสนาในเมืองเชียงใหม่โดยตอนแรกโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาสวามีพำนักอยู่ที่วัดพระยืนจังหวัดลำพูน ต่อมาหลังจากที่พระญากือนาและพระมหาสุมนเถระได้ร่วมกันสร้างพระพุทธเจ้ายืนไว้ที่วัดพระยืนในปีจุลศักราช ๗๓๑ พระมหาสุมนเถรเจ้าได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุซึ่งท่านนำติดตัวมาแต่พระญากือนา พระองค์จึงใคร่สร้างวัดถวายพระสุมนเถระ ซึ่งบังเอิญทรงมีนิมิตฝันว่าเทวดามาบอกให้พระองค์สร้างวัด ณ สวนดอกไม้ซึ่งเป็นสถานที่อันดี ดังนั้นพระองค์จึงนิมนต์พระมหาเถรเจ้าไปดูสวนบุปผา ซึ่งพระมหาเถรเจ้าเห็นว่าเป็นที่อันดี อีกทั้งท่านมีนิมิตฝันว่ามีดอกบัวหลวงดอกหนึ่งบังเกิดขึ้นในอุทยานแห่งนั้น พระญากือนาจึงโปรดเกล้าฯให้เบิกสวนอุทยานใหญ่กว้างและให้สร้างเท่าอารามเชตวัน โดยลวงยาวมี ๓๓๑ วาเขตอากาศ โดยลวงกว้าง ๓๑๑ วาขาดแท้ดีหลี ในปีรวงไก๊ จุลศักราชได้ ๗๓๓ ปีดีงามและให้ชื่อว่า วัดบุปผารามสวนดอกไม้ นอกจากนี้ พระญากือนายังโปรดเกล้าฯให้สร้างกุฏิ ๑ หลังถวายแด่พระสุมนเถรเจ้า พร้อมทั้งมีการผูกพัทธสีมาหนวันออกจ๊วยใต้ แห่งสวนดอกไม้บัวหลวงซึ่งพระญากือนาฝันเห็น”

จากนั้น “พระญากือนาและพระมหาสุมนเถรเจ้าได้ร่วมกันก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในวัดสวนดอกไม้ เมื่อมีการอาราธนาพระบรมธาตุมาใส่โกศทองคำ พระบรมธาตุเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์ บังเกิดเป็นแสงสว่างสดใสให้คนทั้งหลายได้เห็นโดยทั่วกัน บางคนเห็นว่ามี ๒ องค์ ๓ องค์ และหลายองค์ต่างๆ กันไป ทั้งสีทอง นาก และสีอื่นๆ ในขณะนั้นท้องฟ้าก็พลันมืดมิด เมื่อพระมหาสุมนเถระเจ้านำพระบรมธาตุออกจากน้ำที่สรง ปรากฏว่ามีพระบรมธาตุจำนวน ๒ องค์ ท่านจึงเลือกเอาพระบรมสารีริกธาตุที่มีลักษณะอันงามสมบูรณ์บรรจุในองค์เจดีย์ จากนั้นจึงก่อกำแพงปราการที่ชั้นนอกและทั่วข่วงตลอดจนทำการก่อสร้างมหาวิหารไว้ที่วัด ท้ายสุดมีการเฉลิมฉลองพระอารามที่สร้างขึ้นใหม่อย่างยิ่งใหญ่ นับจากนั้นเป็นต้นมา ภิกษุทั้งหลายทั้งในเมืองเชียงใหม่และอาณาจักรใกล้เคียงได้มาเรียนธรรมที่วัดสวนดอกไม้อย่างไม่ขาดสาย” จึงอาจกล่าวได้ว่าคณะสงฆ์วัดสวนดอกไม้เริ่มขึ้นครั้งแรกในสมัยพระญากือนานี้เองและมีความรุ่งเรืองอย่างเห็นได้ชัด จากรูปแบบและการศึกษาของวัดที่ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของคณะสงฆ์พื้นเมืองล้านนา รวมทั้งการที่พระสงฆ์ - สามเณรจากเชียงตุงพะเยา ลำปาง เชียงราย และเมืองอื่นๆ ได้เดินทางมาศึกษาพระศาสนาในสำนักสงฆ์วัดสวนดอกไม้ ซึ่งถอดรูปแบบการศึกษามาจากคณะสงฆ์พระอุทุมพรบุปผามหาสวามี เมืองพันทุกอย่าง รวมทั้งการอุปสมบทของคณะสงฆ์ในสำนักนี้ที่กระทำครั้งแรกในรัชกาลของพระญากือนาเช่นกัน โดยพระสุมนเถระได้กระทำพิธีด้วยวิธีที่เรียกว่า “สมมุตินทีสีมา” หรือการบวชในแพขนานในลำน้ำปิง (แพโบสถ์น้ำ) ซึ่งเป็นการรับอิทธิพลมาจากลังกาโดยตรง ทั้งนี้การจัดพระราชพิธีอุปสมบทหลวงของคระสงฆ์มักได้รับการส่งเสริมจากกษัตริย์ล้านนาแทบทุกพระองค์

อนึ่ง การปกครองวัดบุปผารามในฝ่ายคณะสงฆ์สมัยพระสุมนเถระ มีการลดหลั่นตามชั้นอำนาจ คือพระมหาสวามี (สังฆราช) ซึ่งมีอำนาจปกครองสูงสุดในฝ่ายอรัญวาสี รองลงมาคือพระสังฆราชา ซึ่งมีบทบาทดูแลคณะสงฆ์ในคณะ จากนั้นจึงจะเป็นตำแหน่งเจ้าอาวาสและพระอุปัชฌาย์   


DSC09890.jpg

นอกจากนี้ มีข้อความตอนหนึ่งใน พงศาวดารโยนก ซึ่งกล่าวถึงวัดบุปผาราม โดยมีใจความว่า

“…เจ้าท้าวกือนาเจ้านครพิงค์เชียงใหม่ได้ทัศนาดังนั้น ก็มีพระทัยเลื่อมใสศรัทธาปราโมทย์เป็นนักหนา จึงให้สร้างพระอาราม ณ ป่าไม้ พะยอม ให้นามว่า วัดบุปผารามสวนดอกไม้หลวง แล้วอาราธนาพระมหาสุมนเถรเจ้ามาอยู่ครองอารามนั้น ตั้งแต่พระมหาสุมนเถรเจ้ามาจากเมืองสุโขทัยและมาพำนักอยู่ ณ วัดพระยืนเมืองลำพูนไชย ได้ ๒๑ พรรษา

จึงได้มาอยู่ครองวัดบุปผารามในเมืองนครพิงค์เชียงใหม่ แล้วพระเจ้านครเชียงใหม่ได้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุองค์หนึ่งซึ่งเสด็จมาใหม่นั้น ไว้ในวัดบุปผารามนั้น …”

ต่อมา ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๐๐ – ๒๓๐๐ วัดสวนดอกได้ทรุดโทรมลงเพราะการล่มสายของอาณาจักรล้านนา จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๒๙ เมื่อพระราชชายาเจ้าดารารัศมี โปรดให้ย้ายกู่เจ้านายและญาติวงศ์ไปไว้ที่วัดสวนดอก เจ้านายตระกูล ณ เชียงใหม่ ก็ได้ทำนุบำรุงวัดสวนดอกให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้นตามลำดับ จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านครูบาศรีวิชัยได้เป็นผู้นำการบูรณะและก่อสร้างอาคารเสนาสนะของวัดขึ้นใหม่ ภายหลังวัดสวนดอกก็มีพัฒนาการเรื่อยมาค่ะ





Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:26 โดย pimnuttapa

  

DSC09854.jpg

ประวัติวัดสวนดอก ที่ปรากฏใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ และ พงศาวดารโยนก มีโดยย่อดังนี้

พระญากือนา (ราชโอรสของพระยาผายู) ทรงเป็นกษัตริย์แห่งล้านนาองค์ที่ ๖ ในราชวงศ์มังราย ทรงเดชานุภาพทั้งในด้านยุทธศาสตร์ ศิลปศาสตร์ทั้งมวล อีกทั้งทรงมีความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา ทรงครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๙๘ - ๑๙๒๘ พระองค์ทรงทราบว่ามีพระเถระรูปหนึ่งนามว่า พระสุมนเถระ ได้เข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในกรุงสุโขทัย เมื่อพระยาทรงเกิดความสนพระทัยและเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้หมื่นเงินกองไปอาราธนาพระสุมนเถระมาเผยแผ่ศาสนา ณ นครพิงค์เชียงใหม่พร้อมกับทรงพระราชทานอุทยานดอกไม้ส่วนพระองค์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนครเชียงใหม่ให้สร้างเป็นวัดขึ้นมาเมื่อราวปี พ.ศ. ๑๘๑๔ (ตาม ชินกาลมาลีปกรณ์ ของพระรัตนปัญญา) และทรงพระราชทานนามว่า “วัดบุปผาราม” ซึ่งแปลได้ว่าวัดสวนดอกไม้ แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดสวนดอก” และในครั้งนั้นพระญากือนาได้สถาปนาพระสมุนเถระให้เป็นพระสังฆราช มีพระนามในตำแหน่งว่า “ พระสุมนสุวัณณรัตนมหาสวามี ”   


DSC09866.jpg

ประวัติวัดสวนดอก (ต่อ)

ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ. ๑๙๑๖ พระสุมนสวามีเจ้า ได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุที่นำติดตัวมาด้วยแต่พระญากือนา ซึ่งพระองค์ทรงทำพิธีสักการบูชาและสรงน้ำพระธาตุ พงศาวดารโยนก กล่าวว่า ขณะที่พระองค์กระทำการสักการะพระธาตุอยู่นั้นเองได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นคือพระธาตุแสดงปาฏิหาริย์แบ่งออกเป็น ๒ องค์ และเปล่งฉัพพรรณรังสีให้เห็น พระญากือนาและพระสุมนสวามีจึงพร้อมใจกันสร้างเจดีย์ขึ้นบรรจุพระบรมธาตุองค์หนึ่ง ณ วัดสวนดอก สำหรับพระบรมธาตุอีกองค์ได้รับการประดิษฐานไว้ ณ พระบรมธาตุดอยสุเทพ ในปี พ.ศ. ๑๘๒๗

อนึ่ง ข้อความที่ปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์ เกี่ยวกับการสร้างวัดสวนดอกมีดังนี้ คือ “ฝ่ายพระเจ้ากือนาโปรดให้สร้างพระราชอุทยานของพระองค์เป็นวัดบุปผารามมหาวิหารเมื่อจุลศักราช ๗๓๓ (พ.ศ. ๑๘๑๔) แล้วนิมนต์พระสุมนเถระมาจากวัดพระยืน หริภุญชัย มอบถวายวัดบุปผารามแก่พระเถระนั้นแล้ว โปรดให้พระเถระจำพรรษาอยู่ที่นั้น ต่อจากนั้น พระสุมนเถระซึ่งมีพระเจ้ากือนาทรงอุปถัมภ์ ได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ท่านอัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัยนั้นไว้ในวัดบุปผาราม เมื่อวันพุธ เดือน ๙ จุลศักราช ๗๓๕ (พ.ศ. ๑๘๑๖) และพระบรมสารีริกธาตุนั้นได้เป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชน พระมหากษัตริย์และคณะพระภิกษุทั้งหลายตราบเท่าทุกวันนี้ ฝ่ายพระเจ้ากือนามีพระชนมายุ ๔๖ ปี ครองราชสมบัติอยู่ ๓๐ ปีเต็มก็สวรรคต”





Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2010-12-20 08:25 โดย pimnuttapa

DSC09867.jpg

พระบรมธาตุเจดีย์ วัดสวนดอก เจดีย์ใหญ่นี้ได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์ทรงกลมของสุโขทัยทรงลังกา มีฐานสูงซ้อนกันขึ้นไปหลายชั้น, เหนือเรือนธาตุมีบัลลังก์ ๔ เหลี่ยม มีปล้องไฉนซ้อนกันขึ้นไป, ปิดด้วยแผ่นทองจังโกฎิ ภายหลังแผ่นทองนี้ถูกลอกออกไป


ตำนานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวว่า...

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลังจากเสด็จไปวัดพระธาตุดอยคำแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปประทับอยู่โคนต้นไม้บุนนาก (มณฑา) ต้นหนึ่ง มีคนแก่ ๒ คนปลูกดอกบุนนาก แล้วนำดอกบุนนากไปขายเลี้ยงชีวิต ทั้งสองคนเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่นั้น จึงนำดอกบุนนากมาบูชาพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า “สถานที่ตรงนี้ต่อไปภายหน้าคนทั้งหลายจะมาสร้างอารามใหญ่หลังหนึ่ง จะปรากฏชื่อว่า “บุปผาราม” (วัดสวนดอก) เมื่อนั้นพระอรหันต์ พระเจ้าอโศกราชก็กราบทูลว่า “ข้าแด่พระองค์ผู้ประเสริฐ ในฐานะที่ควรตั้งศาสนาที่หนึ่ง ขอพระองค์โปรดประทานพระเกศาธาตุแก่ข้าพระองค์เถิด” พระพุทธเจ้าลูบพระเศียรด้วยพระหัตถ์ขวา ได้พระเกศาธาตุ ๑ องค์แล้วตรัสว่า “สถานที่ที่จะบรรจุเกศาธาตุ ไม่ใช่มีแห่งเดียว แต่มีถึง ๓ แห่ง” ตรัสแล้วทรงวางพระเกศาธาตุไว้เหนือพระหัตย์ขวา แล้วทรงอธิษฐานว่า “หากฐานะที่นี้จะเป็นที่ตั้งพระศาสนา และจักเกิดในอารามใหญ่แท้ เกศาธาตุนี้จงกลับกลายเป็น ๓ องค์เถิด” เมื่อจบอธิษฐานแล้ว พระเกศาธาตุก็กลับเป็น ๓ องค์ มีลักษณะสั้นยาวใหญ่เล็กเสมอกัน พระยาอโศกราชทรงเห็นอัศจรรย์เช่นนั้น จึงกราบทูลขอพระเกศาธาตุหนึ่งองค์ ทรงบรรจุไว้ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง จึงปรากฏชื่อว่า “บุปผาราม” วัดสวนดอกไม้ ในกาลบัดนี้ (วัดสวนดอก อ.เมือง จ.เชียงใหม่)





‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 05:27 , Processed in 0.049487 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.