เสด็จพ่อท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เจ้าแห่งพิธีการของโลกวิญญาณ (หัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น ตำแหน่งผู้พิชิตมาร)
พระคาถาบูชา
ชินนะปัญจะระ
ตอนที่ ๙ พระประวัติท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
รวบรวมเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๓
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นบุตรของพราหมณ์ ชื่อ ยะถะนา และบิดาท่านชื่อ มะติโตะ ท่านเป็นชาวอินเดีย แคว้นพาราณสี เกิดในสมัยพุทธกาล ท่านเห็นพระโมคคัลลาน์ ตอนพระโมคคัลลาน์ไปบิณฑบาต เห็นพระโมคคัลลาน์เดินบิณฑบาตอย่างสงบ ท่านก็เกิดความศรัทธา จึงตามไปและขอเป็นลูกศิษย์พระโมคคัลลาน์ด้วย
ต่อมาท่านก็ได้บวช แล้วท่านบำเพ็ญจนสำเร็จขั้นอรหันต์ เมื่ออายุท่านได้เพียง ๗ ขวบ ครั้นพอท่านมีอายุได้ ๒๓ ปี ๖ เดือน ได้มีสตรีกระโดดเข้ากอดท่านทางด้านหลังด้วยความหลงใหลในความงามรูปร่างท่าน ท่านจึงถอดกายทิพย์ออกสู่พรหมโลก
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นผู้มีลักษณะและคุณลักษณะตามที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อธิบายไว้ในหนังสือ “เบื้องหลังพระคาถาชินปัญชร พร้อมด้วยพระคาถาที่ถูกต้อง” ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักปู่สวรรค์ว่า ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ สมัยมีสังขารเป็นคนรูปงาม เสียงไพเราะเหมือนเสียงนกการะเวก สูง ๑๘๕ เซนติเมตร ผิวขาวละเอียดเหมือนหยก
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทูตสันติภาพ (คือ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์) แล้ว ท่านมีผิวสวยกว่าอาจารย์สุชาติ ๕ เท่า ใบหน้าของท่านแดงระรื่นเหมือนสีชมพู ผมเกล้าจุก คิ้วโก่งเหมือนคันศร ตางามเหมือนตาเหยี่ยว จมูกโด่งแบบแขก จมูกตรงลงมาไม่มีสัน ปากรูปกระจับ เดินเหมือนพญาราชสีห์ กายของท่านมีแสงเหมือนแสงอาทิตย์ จิตใจท่านงามเหมือนพระจันทร์
ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าระเบียบที่สุด ละเอียดรอบคอบที่สุด สะอาดมากที่สุด และท่านเกลียดสตรีเพศ
ท่านเป็นรูปพรหม คือเป็นพรหมที่มีรูปทิพย์ ขณะนี้ท่านเป็นหัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ท่านเป็นผู้รอบรู้พิธีการต่างๆ ของโลกวิญญาณ ท่านสามารถสวดพระคาถาคลายเวท ซึ่งถ้าท่านสวดคาถานี้ในโลกมนุษย์หรือบนสวรรค์เสียงจะก้องกังวานไปทั่วนรกสวรรค์สามสิบสามชั้น เทพพรหมได้ยินจะสะเทือนจิตออกจากสมาบัติหมด เพื่อรับทราบพิธีการที่ท่านจัดขึ้น
ท่านถือหน้าที่เป็นหน้าที่ ถ้าไม่มีหน้าที่แล้ว ท่านชอบเล่นเหมือนเด็ก ชอบร้องเพลง สมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มีสังขาร ท่านเคยปรากฏรูปร่างให้หลวงพ่อสมเด็จฯ เห็น และช่วยแนะนำหลวงพ่อสมเด็จฯ ในการสร้างพระเครื่องสมเด็จอิทธิเจ ที่ต่อมามีกิตติศัพท์ขลังนั้นด้วย
ตามความเป็นจริงแล้ว ท่าวท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไม่ประสงค์มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ เพราะมนุษย์มีจิตใจสกปรกและไร้ยางอาย แต่เมื่อหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ดิ้นรนลงมาตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ ก็ได้อัญเชิญท่านลงมาช่วยปกป้องมาร และร่วมทำงานโปรดสัตว์ด้วย
ท่านมีเมตตาจึงลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ โดยการช่วยรดน้ำมนต์รักษาโรคมารแทรก (ถูกคุณไสยถูกกระทำต่างๆ) ให้แก่มนุษย์ และช่วยจัดพิธีกรรมต่างๆ ที่เป็นงานใหญ่ๆ ให้ด้วย แม้กระนั้น ท่านก็ยังคงไม่อยากยุ่งกับมนุษย์มากนัก
ดังจะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ท่านลงมาทำงานโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ ท่านจะไม่พูดกับมนุษย์เลย เพราะท่านไม่ต้องการให้มนุษย์ติดท่าน ท่านใช้วิธีเขียนข้อความที่ประสงค์จะกล่าวตามความจำเป็นลงในกระดาษเป็นภาษาไทย แล้วให้เจ้าหน้าที่อ่านข้อความนั้นให้บุคคลที่ท่านประสงค์กล่าวด้วยฟัง และท่านจะติดต่อกับมนุษย์ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ย่อมแสดงความจริงข้อนี้ได้
ท่านได้เขียนโอวาทเหล่านี้สอนสานุศิษย์บางคนที่มาขอให้ท่านรักษาโรคให้ ซึ่งข้อความที่เป็นโอวาทเหล่านี้ ท่านเขียนแทรกอยู่ในการสั่งงานหรือแนะนำเรื่องอื่นๆ ผู้รวบรวมได้ขออนุญาตจากท่านคัดลอกมาเฉพาะเนื้อหาธรรมะเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากธรรมะได้ตัดออกไป นับเป็นการรวมโอวาทของท่านครั้งแรก ตั้งแต่ท่านลงมาทำงานในโลกมนุษย์ นับจำนวนเป็นสิบปีที่ผ่านมานี้ ท่านได้เคยให้เหตุผลในการที่ท่านไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากนักว่า
“การผูกพันกับมนุษย์มากเกินไป มีแต่ทางขาดทุน เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพอ อาศัยพรหมวิหารสี่ จึงไม่หลงมนุษย์ คือมนุษย์จะให้เทพพรหมช่วย แต่มนุษย์ไม่ช่วยตัวเอง”
ตามปกติถ้าท่านไม่ลงมาโปรดสัตว์ยังสำนักปู่สวรรค์แล้ว ชาวโลกมนุษย์ก็จะไม่มีทางรู้จักท่านอย่างแท้จริงได้เลย เพราะท่านเป็นคนสมัยพุทธกาล ไม่มีใครแจ้งประวัติของท่านเอาไว้ เมื่อนามของท่านมาปรากฏในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งที่สำนักปู่สวรรค์นี้ ก็ได้มีมนุษย์บางคนนำนามของท่านไปแอบอ้างในที่อื่นๆ นอกสำนักปู่สวรรค์ ซึ่งท่านก็ได้ปฏิเสธว่า มิได้ไปเกี่ยวข้องเช่นนั้นด้วยเลย ห้ามมิให้มนุษย์ไปหลงเชื่อการหลอกลวงนั้น
หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) เคยเทศน์เล่าที่สำนักปู่สวรรค์ครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๓ ว่า ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระเคยขอเลิกลงมาช่วยเหลือมนุษย์ เพราะระอาต่อความหน้าด้านและความไม่เอาจริงของมนุษย์ โดยท่านปรารภว่า
ท่านปกครองรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ยังไม่วุ่นวายเท่าปกครองมนุษย์เลย แต่อย่างไรก็ตาม หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ก็ได้ขอให้ท่านช่วยสำนักปู่สวรรค์ไปตามสัจจะต่อที่ท่านให้ไว้เองว่า จะช่วยจนกว่าจะถึงอย่างน้อยวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๕ และหลวงปู่ทวดได้เทศน์ชี้แจงด้วยว่า ตอนนี้ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระเลิกลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์แล้วไซร้ องค์หลวงปู่ทวดเองก็คงจะเลิกทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ด้วยอีกองค์หนึ่ง
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นหัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น บารมีท่านสูงส่ง เทพพรหมทั้งหลายขึ้นไปพบท่านได้โดยยาก จึงมักถือโอกาสเฝ้าท่าน เมื่อตอนที่ท่านลงมายังโลกมนุษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ในแต่ละครั้ง
ท่านเป็นเจ้าพิธีการแห่งโลกวิญญาณและเป็นผู้พิชิตมาร ท่านมีบารมีที่บำเพ็ญมาทำให้พวกภูติผีปีศาจมารร้ายต่างๆ เกรงกลัวท่าน หลวงปู่ทวดเคยเทศน์โปรดที่สำนักปู่สวรรค์พาดพิงถึงท่านครั้งหนึ่งว่า
“ท่านจะสังเกตเห็นว่า อย่างพวกวิญญาณไม่ดี หรือพวกสัมภเวสี พวกอมรมนุษย์ พวกโอปปาติกะชั้นต่ำ เวลาท่านเกิดพบอะไรมารังแก ท่านมาระลึกถึงอาตมา เขาไม่กลัว เขาไม่หนีหรอก แต่ถ้าท่านระลึกถึงท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เขาจะกลัว เขาจะหนี
ซึ่งก็มีตัวอย่างที่ให้ท่านดูเมื่อสองอาทิตย์ก่อน พวกวิญญาณชั้นต่ำมานั่งทะเลาะกันอยู่ข้างล่าง ทั้งๆ ที่อาตมาทำงานอยู่บนนี้ เขาไม่มีความเกรงใจ แต่พอท้าวมหาพรหมลุกขึ้นมาเท่านั้นเอง เขาเงียบกริบกันได้ นั่นเพราะอะไร เพราะบารมีคนเราบำเพ็ญมาต่างกัน”
ภาพวาดท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
ชาวจีนนับถือท่านว่า “ฮู้ฮ่วบซิ้ง” พรหมผู้พิทักษ์ธรรม
นอกจากนี้หลวงปู่ทวดยังได้เทศน์เล่าถึงลักษณะของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไว้ดังนี้ด้วยว่า
“ท่านจะเห็นว่า ถ้าอารมณ์อุเบกขาและเด็ดเดี่ยวแล้ว ก็มีตัวอย่างให้ท่านดู คือ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ คำสั่งท่านสั่งออกไปแล้ว แม้แต่เทวดาที่ท่านขี้จะมากอดขาอ้อนวอนว่า สงสารเด็กของเขาเถิด ท่านยังเฉย อันนี้คือลักษณะของผู้นำพรหมโลก...พรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น มีรูปพรหมเป็นโกฏิๆ มนุษย์ทั้งโลกรวมกันยังไม่เท่ากับพรหมโลก ๑ ชั้น....”
หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี เองก็เคยเทศน์เล่าถึงท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไว้บ้างในบางครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อตอนช่วงปลายปี พ.ศ.๒๕๒๒ ศูนย์ประสานงานสมาคมศาสนาสัมพันธ์ประจำจังหวัดพิจิตร ได้จัดธรรมทัศนาจรพาชาวจังหวัดพิจิตรไปบำเพ็ญกุศลที่อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ขาไปก่อนจะถึงอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาก็ได้แวะเที่ยวชมและนมัสการพระที่วัดโพธิ์แมนคุณาราม ถนนสาธุประดิษฐ์ กรุงเทพมหานครก่อนด้วย
วัดโพธิ์แมนคุณารามนี้ เป็นวัดชาวจีนซึ่งถือพุทธศาสนานิกายมหายาน วัดนี้มีโบสถ์และอาคารต่างๆ สะอาดสวยงามอย่างยิ่ง ตรงประตูทางเข้านี้ มีรูปกษัตริย์นักรบชาวจีนหล่อหรือรูปปั้นไว้ด้วย ๑ องค์ เป็นรูปประทับยืนหันพระพักตร์สวนไปทางพระประธานในโบสถ์ ซึ่งรูปปั้นเช่นนี้จะพบเสมอตามวัดของชาวพุทธนิกายมหายาน อย่างเช่นที่ วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพมหานคร) ก็มี เป็นต้น ซึ่งรูปปั้นหันไปทางหน้าพระประธานในโบสถ์เช่นนี้ จะมีอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นในแต่ละวัด ซึ่งชาวพิจิตรก็ได้ไปชมมา
ครั้นพอถึงอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ชาวพิจิตรกลุ่มนี้ได้มีโอกาสฟังธรรมโอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ หลวงพ่อสมเด็จฯ จึงได้อธิบายตอนหนึ่งถึงรูปปั้นด้านในประตูหน้าวัดตามที่กล่าวนั้นว่า คือชาติปางหนึ่งของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนั่นเอง
เหตุที่ท่านหันหน้าเข้าหาด้านหน้าพระประธานนั้น ก็เนื่องจากการที่ท่านได้ตั้งสัจจะที่จะปกปักรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้คงอยู่ตลอดไปนั่นเอง ซึ่งความจริงข้อนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระได้ลงมาสั่งงานสานุศิษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ ท่านก็ได้เขียนข้อความพาดพิงถึงประวัติของท่านตอนหนึ่งว่า “ชาวจีนนับถือท่านว่า “ฮู้ฮ่วบซิ้ง พรหมผู้พิทักษ์ธรรม” นั่นเอง
นอกจากนั้นหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ยังได้เทศน์โปรดให้ฟังอีกด้วยว่า
เมื่อสมัยพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ก็ได้ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนี้เอง ที่ได้ช่วยปกป้องคุ้มครองมิให้พวกมารมารบกวนการบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ต่างนับถือท่านจนเป็นนิกายที่สำคัญนิกายหนึ่งทีเดียว นิกายนั้นคือ ที่เรียกว่า “นิกายชินโตโน่” นั่นเอง |