แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 35947|ตอบ: 33
go

วัดดอยแท่นพระผาหลวง ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ (รอยพระพุทธบาท , แท่นประทับเสวยภัตกิจ) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

DSC01759.jpg


DSC01878.jpg



วัดดอยแท่นพระผาหลวง

บ.โปง  ต.ป่าไผ่  อ.สันทราย  จ.เชียงใหม่
[รอยพระพุทธบาท , แท่นประทับเสวยภัตกิจ , พระมหาธาตุเจดีย์]



Rank: 8Rank: 8

DSC01909.jpg



การเดินทางไปวัดดอยแท่นพระผาหลวง วัดนี้ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านโปง ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จากถนนเชียงใหม่-พร้าว ทางเข้าหน้าตลาดแม่โจ้ หรือประมงน้ำจืด และห่างจากหมู่บ้านโปงประมาณ ๕ กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเขาไม่สูงนัก และเป็นวัดที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีความวิเวกสันโดษเหมาะแก่การปลูกเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมค่ะ

การเดินทางไปวัดดอยแท่นพระผาหลวง  ดูข้อมูลแผนที่จากเว็บ google ได้ตามลิงค์นี้ค่ะ

https://www.google.com/maps/place/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/@18.94499,99.070667,17z/data=!3m1!4b1!4m2!3m1!1s0x30da2268febde763:0xac04641c860165e6?hl=th




DSC01711.jpg


DSC01714.jpg



ถนนทางเข้า/ออก วัดดอยแท่นพระผาหลวง อยู่ตรงข้ามกับตลาดห้วยโจ้ อ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ทางไปทางเดียวกับโครงการพระราชดำริ (บ้านโปง) ค่ายแทนคุณ ต.ป่าไผ่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ให้ขับรถเลี้ยวซ้ายไปตามป้ายชี้ทางไปวัดดอยแท่นพระ ระยะทางจากถนนทางเข้า/ออกไปถึงวัดดอยแท่นพระผาหลวง ๑๒ กิโลเมตร ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01715.jpg



หลังจากเราขับรถตรงมาเรื่อยๆ จะเจอถนนแยกด้านขวา ให้ขับรถเลี้ยวขวาไปตามป้ายชี้ทางไปวัดดอยแท่นพระ ระยะทางจากจุดนี้ไปถึงวัดดอยแท่นพระ ๙ กิโลเมตร ค่ะ


DSC01718.jpg



ขับรถมุ่งหน้าสู่ชุมชนบ้านโปง ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ค่ะ


DSC01720.jpg



หลังจากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายชี้ทางไปวัดดอยแท่นพระ ถนนรพช. ชม.๕๒๕๗ บ้านโปง-อ่างเก็บน้ำห้วยโจ้ ระยะทางไปถึงอ่างเก็บน้ำห้วยโจ้ ๓.๕๖๑ กม. ค่ะ  


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8


DSC01724.jpg



DSC01725.jpg



ขับรถผ่านโครงการพระราชดำริ (บ้านโปง) ค่ายแทนคุณ ต.ป่าไผ่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ค่ะ   


DSC01726.jpg



หลังจากนั้นขับรถเลี้ยวซ้ายหน้าค่ายแทนคุณ ไปทางอ่างเก็บน้ำห้วยโจ้ ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01732.jpg



อ่างเก็บน้ำห้วยโจ้ อยู่ก่อนถึงวัด เป็นอ่างเก็บน้ำที่สวยงาม ร่มรื่น วิวสวย อันเป็นโครงการเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริชลประทานพัฒนา แหล่งน้ำท่าทั่วไทย เกษตรยุคใหม่ยั่งยืน เพื่อการกินดีอยู่ดีของราษฏรค่ะ


DSC01729.jpg



แล้วเราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่วัดดอยแท่นพระผาหลวงต่อค่ะ


DSC01735.jpg



ระหว่างทางไปวัดดอยแท่นพระผาหลวง จะเห็นพระพุทธธาตุเจดีย์ศรีผาหลวงประดิษฐานบนดอยไกลๆ ด้วยค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01739.jpg



DSC01740.jpg



รูปปั้นปู่เทพอสูร วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01741.jpg



DSC01743.jpg



บ่อน้ำทิพย์ วัดดอยแท่นพระผาหลวง อยู่ด้านหลัง รูปปั้นปู่เทพอสูร ค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01747.jpg



สถานที่ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา บารมีธรรม พุทธมงคล วัดดอยแท่นพระผาหลวง ผู้สร้างถวาย พระบุญช่วย สนัตมโน (สิทธิ) พร้อมด้วยญาติ อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ตรงกับแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ บูรณปฏิสังขรณ์ถวายเป็นพระราชกุศล รวมเป็นปัจจัย ๕๘๐,๗๖๓ บาท ค่ะ


DSC01750.jpg



รูปปู่สีหะเทพฤษี ประดิษฐานภายใน สถานที่ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา บารมีธรรม พุทธมงคล วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01753.jpg



หลังจากนั้นเราก็ขับรถตรงไปเรื่อยๆ ต่อนะคะ ใกล้ถึงวัดดอยแท่นพระผาหลวงแล้วค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01754.jpg



ประตูทางเข้า/ออก วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01904.jpg



บรรยากาศภายใน วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01778.jpg



รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานบนแท่นศิลาใหญ่ หรือแท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


ตำนานดอยแท่นพระผาหลวง


(แหล่งที่มา: พระชัยวัฒน์ อชิโต สำนักงานธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี. (๒๕๔๙, ๙ กรกฎาคม). ตามรอยพระพุทธบาท ฉบับรวมเล่ม ๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๑).  กรุงเทพฯ: เยลโล่การพิมพ์, หน้า ๒๒๒-๒๒๔.)



จาก ตำนานวัดข้าวแท่นหลวง


"ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุได้ ๗๙ พรรษา ขณะทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ในป่าอิปตนมิคทายวัน เมืองพาราณสี พระองค์ทรงรำพึงถึงการเสด็จไปในประจันตคาม เพื่อจักได้อธิษฐานไว้ธาตุและศาสนา ด้วยเหตุว่าอายุแห่งเราใกล้จะนิพพานแล้ว


ครั้นแล้วพระพุทธองค์ด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป อันมี พระอานนท์ เป็นต้น พร้อมกับพระยาอโศก (เจ้าเมืองกุสินาราย) ก็ได้เสด็จมาตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ทั้งหลาย จนกระทั่งเสด็จเลียบขึ้นมาตามฝั่งแม่ระมิงค์ (แม่ปิง) ถึง ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่


หลังจากเสด็จไปบนดอยสุเทพแล้ว จึงทรงประทานพระเกศา ๘ เส้น ประดิษฐานไว้ใน มหาอาราม ๘ แห่ง รอบเมืองเชียงใหม่ จากนั้นจึงเสด็จไปบรรทมเหนือ ดอยขอนไม้ม่วง (เป็นที่ พระนอนขอนม่วง อ.แม่ริม)


แล้วจึงเสด็จสู่ทิศตะวันออกทรงสรงน้ำที่แม่ระมิงค์ แล้วก็ไปนอนในป่าแพร่งและได้มาสู่ทิศเหนือเพื่อมาบิณฑบาตในยามเช้านั้น หมอกก็ตกลงมามากนัก พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า สถานที่นี้จักปรากฏว่า บ้านยางหมอก


ในขณะนั้น ยังมีพ่อนาผู้หนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาบิณฑบาต จึงเกี่ยวเอาต้นข้าว คือฟางมาปูเป็นอาสนะ แล้วอาราธนาให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง แล้วถวายข้าวน้ำโภชนาหารแก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย


.ในขณะนั้น ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งได้เข้ามาไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ตรัสว่า สถานที่นี้จักเป็นที่ตั้งพระศาสนาแห่งตถาคต ขอให้ช่วยรักษากับทั้งบ้านเมืองนี้ด้วย อันว่าท่านได้อุปัฏฐากรักษาศาสนา ก็เป็นดั่งได้รักษาอุปัฏฐากตถาคต ทรงมีพระบัญชาดังนี้แล้ว จึงตรัสกับพระอานนท์ต่อไปว่า


“ตถาคตมาถึงที่นี้ พ่อนาเอาต้นข้าว (ฟาง มาปูให้ตถาคตนั่ง ภายหน้าบ้านยางหมอกที่นี้ เขาจักเรียกว่า บ้านข้าวแท่น ภายหน้าบ้านนี้จักสัมฤทธิ์ด้วยข้าวมากนักแล...”


ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จจากบ้านที่นี้ไปสู่ดอยอันมีทางทิศเหนือ ยามนั้น ธุรเทวบุตร ตนนั้นก็เอาบาตรแห่งพระพุทธเจ้าตั้งเหนือหัวแห่งตนแล้วไปตามหลังพระพุทธเจ้าขึ้นสู่ดอยแห่งหนึ่งซึ่งมีผา (หิน) ก้อนหนึ่ง ใหญ่กว่าก้อนหินทั้งหลาย อันมีวรรณะต่างๆ


พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นประทับนั่งบนก้อนหินนั้นเพื่อจักฉันภัตตาหาร ในขณะที่พระพุทธองค์กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ธุรเทวบุตรก็ไหว้พระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลขอรอยพระพุทธบาท พระองค์จึงประทับไว้บนก้อนหินนั้นด้วยพระบาทเบื้องซ้าย เพื่อให้เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย แล้วจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า


“ตถาคตได้มานั่งฉันข้าวเหนือหินก้อนนี้และไว้พระบาทที่นี้ ภายหน้าหินก้อนนี้ จักปรากฏชื่อ ”ผาหลวงแท่นพระ” (ปัจจุบันคือ ดอยแท่นพระ นั่นเอง)


ตั้งแต่นั้นมาไม่นานเท่าใด พระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าสู่นิพพานมาถึงพันถ้วนสองปลายปีหนึ่ง ยังมีพรานป่าผู้หนึ่งได้ยิงกวางตัวหนึ่งแล้วเอามาเฉือนแบ่งกันที่เหนือผาพระบาทนี้ ธุรเทวบุตรผู้ได้รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าให้รักษาในที่ทั้งสองแห่งนี้รู้สึกไม่พอใจมากนัก จึงขึ้นไปไหว้พระยาอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่


พระยาอินทร์ก็มาเนรมิตเป็นหมูใหญ่ขุดเอาก้อนหินใหญ่ให้เอียงลงไป เพื่อจะไม่ให้ใครเป็นโทษ ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงเรียกว่า ผาสะแคง ตราบเท่าถึงกาลบัดนี้”



DSC01759.jpg



จาก พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก


“เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจาก ดอยสุเทพ แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปบรรทมที่ดอยลูกหนึ่ง ณ ที่นั้น ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ข้างทางทิศตะวันตกที่พระพุทธไสยาสน์นั้น (น่าจะเป็นพระนอนขอนม่วง) กิ่งไม้ได้หักตกลงมาในที่นั้น


พระสารีบุตรเห็นเช่นนั้นจึงทูลว่า ภันเต ภควา ข้าแด่พระพุทธเจ้า กิ่งไม้ที่หักลงมานั้น เพราะเหตุอันใดหนอพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อน สารีบุตร หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธาตุตถาคตจักมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ จักเจริญรุ่งเรืองเป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย จักปรากฏชื่อว่า  “ดอยพระนอน”


เมื่อตรัสพยากรณ์เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปถึงแม่น้ำระมิงค์ แล้วเสด็จลงสรงในแม่น้ำนั้น เมื่อชำระพระวรกายแล้ว ก็ทรงนุ่งห่มผ้าประทับยืนอยู่ ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร สถานที่นี้ต่อไปจักได้ชื่อว่า ท่าพระเจ้าอาบน้ำ ต่อไปภายหน้าจักแปรเปลี่ยนเป็น ท่ากาบกว้าง (ใกล้วัดบ้านเด่น ครูบาเทือง)


จากนั้นก็เสด็จเลียบฝั่งแม่น้ำระมิงค์ขึ้นไปถึงที่แห่งหนึ่ง ในที่นั้นมีนก ๒ ตัว ตัวหนึ่งบินมาจากทิศใต้ ตัวหนึ่งบินมาจากทิศเหนือ นกทั้งสองตัวบินมาประสบกัน ณ ที่นั้น และพอดีกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงที่นั้นเช่นกัน


นกทั้งสองตัวมีความยินดีเป็นอันมากจึงส่งเสียงร้องว่า “สาสา” ตามภาษาแห่งนก พระพุทธเจ้าจึงตรัสพยากรณ์ว่า ที่ตรงนี้ต่อไปภายหน้าจักได้ชื่อว่า “สบสา” (ปัจจุบันนี้ คือที่ “ปากแม่น้ำสา” เขตอำเภอแม่ริม)


ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปถึงต้นไม้ยางต้นหนึ่ง ในสถานที่นั้นยังมีน้ำค้างและหมอกตกลงมาจนครึ้มมืดไปหมด พระสารีบุตรจึงกราบทูลขอให้ประทับหยุดอยู่ที่นี้ก่อน องค์สมเด็จพระชินวรจึงเสด็จเข้าไปสู่ร่มไม้ยาง แล้วตรัสแก่พระสารีบุตรว่า


“ดูก่อนสารีบุตร หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว ธาตุของตถาคตจักมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ จักเป็นจำเริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ต่อไปภายหน้าเมื่อต้นยางต้นนี้ตายไปแล้ว ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ต้นหนึ่งจักปรากฏขึ้นแทน สถานที่นี้จักได้ชื่อว่า “ยางหมอก”


หลังจากนั้น พระองค์ก็เสด็จเลียบฝั่งระมิงค์ขึ้นไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปบิณฑบาตในบ้านนั้น ซึ่งมีชื่อว่า บ้านกอก เมื่อทรงรับบิณฑบาตแล้ว จึงเสด็จไปสู่ที่หินก้อนหนึ่งงดงามมาก กว้าง ๑๒ ศอก มื่อประทับเสวยพระกระยาหารบนหินก้อนนั้น ในเวลานั้น ยังมียักษ์ตนหนึ่งมากั้นฉัตรให้แก่พระพุทธองค์ และยังมีเทวดาองค์หนึ่งโบกพัดจามรีให้แก่พระพุทธองค์เช่นกัน พระสารีบุตรได้กราบทูลว่า สถานที่นี้หาน้ำเสวยไม่ได้ พระองค์ไม่ควรจะเสวยพระกระยาหารที่นี่


ในเวลานั้น องค์สมเด็จภควันต์ทอดพระเนตรเหวแห้งแห่งหนึ่ง อันมีอยู่ทางทิศตะวันออก ไกลจากที่นั่นไปประมาณ ๕๐๐ วา ขณะนั้นมีเทวดาองค์หนึ่งเนรมิตเป็นหมูตัวใหญ่เอาปากดันก้อนหินก้อนหนึ่งในเหวที่นั้น น้ำก็พุ่งทะลักออกมา หมูตัวนั้นก็มาอยู่ตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า


พระสารีบุตรจึงเอาฝาบาตรไปตักน้ำนั้นมาถวายพระพุทธเจ้า แม้นพระองค์จะเสวยและเอาชำระล้างพระวรกายด้วย น้ำนั้นก็หาได้เหือดแห้งไปไม่ คงมีบริบูรณ์ตามเดิม พระสารีบุตรเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงกราบทูลถามถึงเหตุนั้น


องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงตรัสว่า เป็นเพราะว่าสถานที่นี้จักเป็นที่ประดิษฐานแห่งพระรัตนตรัยและธาตุแห่งตถาคต หลังจากพระตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๒,๐๐๐ วัสสา จะมีพระราชองค์หนึ่งพระนามว่า ธัมมิกราชา จะอุบัติเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา และจะได้มาปรึกษากับภิกษุสงฆ์ปฏิสังขรณ์สถานที่ประดิษฐานพระรัตนตรัยและอารักขาเทวดา ณ ที่นั้นจักนำเอาสมบัติออกมามอบแก่คนทั้งหลาย


เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้ว ก็เสด็จลุกจากที่นั้นในขณะนั้น มหาปฐพีก็ไหวหวั่นไปมาเป็นที่โกลาหลยิ่ง ซึ่งเป็นนิมิตบอกให้รู้ว่าพระพุทธศาสนาจักมาตั้งมั่นและรุ่งเรืองในที่นั้น พระพุทธองค์ก็ได้ทรงอธิษฐานเหยียบหินก้อนหนึ่งให้รอยพระบาทปรากฏไว้แล้วก็เสด็จจากที่นั้นไป


ต่อมาเทวดาทั้งหลายก็มีความเกรงไปว่าก้อนหินนั้นจักเป็นสาธารณสถานทั่วไปแก่คนและสัตว์ทั้งหลาย จึงได้งัดหินก้อนนั้นให้ตะแคงไว้ สถานที่นั้นจึงมีชื่อว่า “ผาสะแคง” ดังนี้แล...”



DSC01809.jpg



ประวัติวัดดอยแท่นพระผาหลวง


(แหล่งที่มา : เอกสารประวัติวัดดอยแท่นพระผาหลวง เขียนโดย พระอาจารย์วัลลภ กิตติภัทโต เจ้าอาวาส วัดดอยแท่นพระผาหลวง)



ตำนานของวัดกล่าวว่า ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานนั้น ได้เสด็จมาเสวยภัตกิจ ณ แท่นหินศิลานี้ ข้างล่างแท่นหินนี้เป็นถ้ำมีฤาษีอยู่ ทราบด้วยฌานว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา ณ ที่นี้ จึงออกมาสนทนาธรรมและถามปัญหาธรรม ๔ ข้อ ดังนี้



ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่ทำให้ตายจากการเป็นมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ?

ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่ทำให้ตายจากการเป็นมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ?

ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่ทำให้ตายจากการเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดในเทวภูมิ ?

ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่นำสัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากวัฏฏะสงสาร ?

1.jpg

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบฤาษีเป็นข้อๆ ดังนี้


ข้อที่ ๑   ธรรมที่จะให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ คือ การรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ มีสติเป็นตัวนำ

ข้อที่ ๒   ธรรมที่ตายจากเป็นมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นสัตว์หรืออบายภูมิ คือ อวิชชาตัวไม่รู้ มีโลภ โกรธ หลงเป็นตัวนำ

ข้อที่   ธรรมที่ตายจากการเป็นมนุษย์และไปเกิดในเทวภูมิ คือ เจริญจิตตั้งมั่นอยู่ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นตัวนำ

ข้อที่   ธรรมที่นำสัตว์ข้ามพ้นจากวัฏฏะสงสาร คือ เจริญจิตให้เป็นสมาธิภาวนาให้เข้าถึงอริยสัจสี่ มีทุกข์ (ให้รู้ทุกข์) สมุทัย (แห่งแห่งทุกข์) นิโรธ (ความดับแห่งทุกข์) มรรค (หนทางแห่งความดับทุกข์)



DSC01763.jpg



พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบปัญหาจนฤาษีได้ดวงตาเห็นธรรม และมีพุทธทำนายว่าต่อไป ณ เบื้องหน้าที่พระองค์ทรงประทับนี้ (พระองค์ทรงหันหน้ามาทางตัวเมืองเชียงใหม่) จะเป็นนครใหญ่ และเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จมายังแท่นศิลานี้ที่พระองค์ทรงประทับแห่งนี้ เมื่อนั้นจะเป็นยุคทองของพุทธศาสนา ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับได้ประทับรอยพระบาทของพระองค์ไว้บนแผ่นหินศิลานี้

กาลต่อมา ณ แท่นศิลาที่พระองค์เสด็จมาประทับแห่งนี้ ได้มีสัตว์มาพักอาศัยอยู่ชุกชุมมาก จึงมีนายพรานมาทำการล่าสัตว์ และชำแหละเนื้อบนแท่นศิลาที่พระพุทธองค์ทรงเคยประทับ จึงเกิดมีหมูป่าอันเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าจำแลงมางัดแท่นศิลาพลิกคว่ำลงเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก และร่ำลือกันไปทั่วทราบถึงพระเจ้ากือนากษัตริย์ราชวงศ์มังราย ผู้ครองนครล้านนาไทย จึงเสด็จออกไปทอดพระเนตร ณ ที่แห่งนั้น ทรงพบว่ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ปรากฏผู้สร้างประดิษฐานอยู่หลังแท่นศิลา จึงทรงมีพระราชศรัทธาร่วมกับราชวงศ์และข้าราชบริวารสร้างวิหารไม้สักถวายแด่พระพุทธรูปและสร้างรั้วเหล็กรอบพระแท่นศิลานั้น

ปัจจุบันนี้ยังมีหลักฐานเหลือปรากฏเป็นอักษรล้านนาไทย จารึกพระนามของพระองค์ พระมเหสีราชบุตร ราชธิดา เสนาอำมาตย์รอบๆ แท่นศิลานั้น โดยองค์พระพุทธรูปจะประทับหันหลังให้ผู้เข้าไปกราบในพระวิหารอันเป็นปริศนาธรรม และเป็นวัดเดียวที่ท่านจะได้ปิดทองหลังองค์พระปฏิมาและพระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศใต้แห่งเมืองเชียงใหม่

พระพุทธเจ้าทำนายได้สมจริง เพราะหลังจากสร้างวิหารไม้สักนี้แล้ว ๕ ปี พระเจ้ากือนาก็ได้สร้างพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่บนดอยสุเทพ

วัดนี้เคยถูกทิ้งร้างมาหลายครั้ง แล้วที่วัดนี้เองเคยเป็นจำพรรษาของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย และพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ สมัยท่านเดินธุดงค์อยู่

ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๙ พระอาจารย์วัลลภ กิตติภัทโต ได้พบวัดนี้ระหว่างท่านธุดงค์ ท่านพบถ้ำและเขียนรายละเอียดเรื่องราวประวัติวัดนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ถ้ำได้ถูกปิดตามธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามยังมีหลักฐานยืนยันบริเวณใกล้ถ้ำ ต่อมาพระอาจารย์วัลลภได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดให้เจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักและเคารพสักการบูชาของพุทธศาสนิกชน


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01755.jpg


DSC01780.jpg


DSC01760.jpg


DSC01761.jpg



พระพุทธรูปปางต่างๆ ประดิษฐานล้อมรอบ แท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 00:43 , Processed in 0.072133 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.