แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

วัดดอยแท่นพระผาหลวง ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ (รอยพระพุทธบาท , แท่นประทับเสวยภัตกิจ) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

DSC01803.jpg



ศาลาการเปรียญ วัดดอยแท่นพระผาหลวง อยู่ด้านข้าง แท่นประทับเสวยภัตกิจ ค่ะ


DSC01804.jpg



ภายใน ศาลาการเปรียญ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


31122010011.jpg



พระพุทธรูปประธาน ประดิษฐานภายใน ศาลาการเปรียญ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ



DSC01816.jpg


DSC01819.jpg



พระพุทธรูปประธาน ประดิษฐานภายใน ศาลาการเปรียญ วัดดอยแท่นพระผาหลวง เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนยุคต้น สมัยก่อนพระพุทธรูปเป็นองค์สีดำ ต่อมาได้ทาพระพุทธรูปเป็นสีทองค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01768.jpg


DSC01770.jpg



รอยพระพุทธบาทจำลอง ประดิษฐานภายใน วิหาร วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01771.jpg



พระพุทธรูป และสิ่งของเครื่องใช้โบราณ  ถูกเก็บไว้ในตู้ ภายใน วิหาร วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01766.jpg



วิหาร วัดดอยแท่นพระผาหลวง อยู่ด้านหน้า แท่นประทับเสวยภัตกิจ ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นราชวงศ์ของเจ้าผู้ปกครองเชียงใหม่ หรืออาณาจักรล้านนาไทยในอดีต ภายในพระวิหารมีลวดลายที่ปรากฏเห็นงดงามชัดเจน เป็นรูปดอกไม้ในพาน อันเป็นความหมายว่า บ้านเมืองในยุคนั้นมีความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ และพระวิหารมีอายุกว่า ๗๐๐ ปีในปีพ.ศ.๒๕๒๖ ค่ะ


DSC01772.jpg



พระเจ้าทันใจ (พระพุทธรูปประธาน)  ประดิษฐานภายใน วิหาร วัดดอยแท่นพระผาหลวง พระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศใต้แห่งเมืองเชียงใหม่ ประทับหันหลังให้ผู้เข้าไปกราบในวิหาร อันเป็นปริศนาธรรมและเป็นวัดเดียวที่ท่านจะได้ปิดทองหลังองค์พระปฏิมาค่ะ


DSC01782.jpg


DSC01786.jpg



พระเจ้าทันใจ ประดิษฐานภายใน วิหาร วัดดอยแท่นพระผาหลวง กรมศิลปากรได้สำรวจแจ้งว่า พระพุทธรูปองค์นี้ได้สร้างขึ้นในสมัยเชียงแสนยุคต้นโยนกนครค่ะ


คำไหว้พระเจ้าทันใจ
(นะโม ๓ หน แล้วว่า ๓ จบ)  ตะมะหัง  ขิปปะจิตตะ  พุทธัง  อะภิปูชะยามิ  ตะมะหัง  ขิปปะจิตตะ  พุทธัง  เมสิ  ระสา  อะภิปูชะยามิ  ขิปปะจิตตะ  พุทธานุภาเวนะ  สะทา  โสตถี  ภะวะตุเม   ขิปปะจิตตะ  พุทธานุภาเวนะ  สะทา  มะหาลาโภ  ภาวะตุเม   ขิปปะจิตตะ  พุทธานุภาเวนะ  สะทา  มะหา  ยะโส  ภาวะตุเม



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01801.jpg



จุดธูปเทียน ถวายดอกบัว ลูกแก้วจักรพรรดิ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา  และขอโมทนาบุญกับผู้สร้าง ผู้บูรณะ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในบุญกุศล ณ สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต และตั้งจิตอธิษฐานเพื่อให้ ณ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งอยู่คู่กับพระพุทธศาสนาสืบต่อไปจน ๕๐๐๐ ปี ค่ะ สาธุ สาธุ



DSC01779.jpg


เดี๋ยวเรามากราบนมัสการรอยพระพุทธบาทและแท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง พร้อมกันเลยนะคะ

(กล่าวนะโม ๓ จบ)  พระพุทธบาทะ  ยัง  ตัตถะ  โยนะกะปุเร  มุนิโร  จะปาทัง  ตัง  ปาทะวะลัญชะ  นะมะหัง  สิระสา  นะมามิ

ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอกราบนอบน้อมบูชาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเสียสละสั่งสมบารมีนับชาติมิถ้วน ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศธรรมนำเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏ พร้อมกราบพระธรรม  และพระอริยสงฆ์ ขอตั้งสัจจะอธิษฐานด้วยอานิสงส์ผลแห่งบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ได้ถึงซึ่งพระนิพพาน แม้ต้องเกิดในทิพย์จุติใดๆ ขอเกิดภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้พบสัตบุรุษผู้รู้ธรรมอันประเสริฐมีกรรมสัมพันธ์ที่ดี ได้เกิดท่ามกลางกัลยาณมิตร ห่างไกลจากพาล มีโอกาสฟังธรรมประพฤติธรรม จนเป็นปัจจัยให้เจริญด้วยสติและปัญญาญาณ ตามส่งชาตินี้และชาติต่อๆ ไป จนถึงพระนิพพานในกาลอันควรเทอญ กรรมใดๆ ที่ล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในอดีตชาติก็ตามปัจจุบันชาติก็ตาม กราบขออโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ขออุทิศกุศลผลบุญให้แต่ท่านผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนท่านที่ขวนขวายในกิจที่ชอบในการดำรงรักษาไว้ซึ่งประเทศชาติ  พระพุทธศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ ขอให้ท่านทั้งหลายดังกล่าวนามมานั้นจงประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์และมีความสุขฯ ทั่วกันทุกท่านเทอญ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01810.jpg



พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ประดิษฐานด้านหลัง  แท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ



DSC01781.jpg



รูปพระกัจจายนะมหาเถระ ประดิษฐานด้านข้าง แท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ



DSC01788.jpg



รูปพระแม่กวนอิม มหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร) ประดิษฐานด้านข้าง แท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


บทสรรเสริญพระคุณพระแม่กวนอิม มหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร)
นำโมไต๋ซื่อ  ไต๋ปุย  กิ๋วโค่ว  กิวหลั่ง  กวงไต๋เล่งก้ำ  กวงสี่อิม  ผู่สัก  (กราบ)  ๓  จบ
นำโมฮู๊ก  นำโมหวบ  นำโมเจ็ง  นำโมกิ้วโค่ว  กิวหลั่ง  กวงสี่อิมผู่สัก  ทั่งจี้โต  โอม  เกียล้อฮวดโต  เกียออฮวดโต  ล้อเกียฮวดโต  ล้อเกียฮวดโต ซำผ่อออ  เทียงล้อซิ้ง  ตี่ล้อซิ้ง  นั้งลี่หลั่ง หลั่งลี่ซิง  เจ๊กเฉียก  ใจเอียงห่วยอุ่ยติ๊ง  นำมอมอ  ออป่อเยี้ย  ปอหล่อบิ๊ก  (กราบ)


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01755.jpg


DSC01780.jpg


DSC01760.jpg


DSC01761.jpg



พระพุทธรูปปางต่างๆ ประดิษฐานล้อมรอบ แท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01778.jpg



รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานบนแท่นศิลาใหญ่ หรือแท่นประทับเสวยภัตกิจ วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


ตำนานดอยแท่นพระผาหลวง


(แหล่งที่มา: พระชัยวัฒน์ อชิโต สำนักงานธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี. (๒๕๔๙, ๙ กรกฎาคม). ตามรอยพระพุทธบาท ฉบับรวมเล่ม ๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๑).  กรุงเทพฯ: เยลโล่การพิมพ์, หน้า ๒๒๒-๒๒๔.)



จาก ตำนานวัดข้าวแท่นหลวง


"ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุได้ ๗๙ พรรษา ขณะทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ในป่าอิปตนมิคทายวัน เมืองพาราณสี พระองค์ทรงรำพึงถึงการเสด็จไปในประจันตคาม เพื่อจักได้อธิษฐานไว้ธาตุและศาสนา ด้วยเหตุว่าอายุแห่งเราใกล้จะนิพพานแล้ว


ครั้นแล้วพระพุทธองค์ด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป อันมี พระอานนท์ เป็นต้น พร้อมกับพระยาอโศก (เจ้าเมืองกุสินาราย) ก็ได้เสด็จมาตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ทั้งหลาย จนกระทั่งเสด็จเลียบขึ้นมาตามฝั่งแม่ระมิงค์ (แม่ปิง) ถึง ลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่


หลังจากเสด็จไปบนดอยสุเทพแล้ว จึงทรงประทานพระเกศา ๘ เส้น ประดิษฐานไว้ใน มหาอาราม ๘ แห่ง รอบเมืองเชียงใหม่ จากนั้นจึงเสด็จไปบรรทมเหนือ ดอยขอนไม้ม่วง (เป็นที่ พระนอนขอนม่วง อ.แม่ริม)


แล้วจึงเสด็จสู่ทิศตะวันออกทรงสรงน้ำที่แม่ระมิงค์ แล้วก็ไปนอนในป่าแพร่งและได้มาสู่ทิศเหนือเพื่อมาบิณฑบาตในยามเช้านั้น หมอกก็ตกลงมามากนัก พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า สถานที่นี้จักปรากฏว่า บ้านยางหมอก


ในขณะนั้น ยังมีพ่อนาผู้หนึ่งเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาบิณฑบาต จึงเกี่ยวเอาต้นข้าว คือฟางมาปูเป็นอาสนะ แล้วอาราธนาให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง แล้วถวายข้าวน้ำโภชนาหารแก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย


.ในขณะนั้น ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งได้เข้ามาไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ตรัสว่า สถานที่นี้จักเป็นที่ตั้งพระศาสนาแห่งตถาคต ขอให้ช่วยรักษากับทั้งบ้านเมืองนี้ด้วย อันว่าท่านได้อุปัฏฐากรักษาศาสนา ก็เป็นดั่งได้รักษาอุปัฏฐากตถาคต ทรงมีพระบัญชาดังนี้แล้ว จึงตรัสกับพระอานนท์ต่อไปว่า


“ตถาคตมาถึงที่นี้ พ่อนาเอาต้นข้าว (ฟาง มาปูให้ตถาคตนั่ง ภายหน้าบ้านยางหมอกที่นี้ เขาจักเรียกว่า บ้านข้าวแท่น ภายหน้าบ้านนี้จักสัมฤทธิ์ด้วยข้าวมากนักแล...”


ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จจากบ้านที่นี้ไปสู่ดอยอันมีทางทิศเหนือ ยามนั้น ธุรเทวบุตร ตนนั้นก็เอาบาตรแห่งพระพุทธเจ้าตั้งเหนือหัวแห่งตนแล้วไปตามหลังพระพุทธเจ้าขึ้นสู่ดอยแห่งหนึ่งซึ่งมีผา (หิน) ก้อนหนึ่ง ใหญ่กว่าก้อนหินทั้งหลาย อันมีวรรณะต่างๆ


พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นประทับนั่งบนก้อนหินนั้นเพื่อจักฉันภัตตาหาร ในขณะที่พระพุทธองค์กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ธุรเทวบุตรก็ไหว้พระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลขอรอยพระพุทธบาท พระองค์จึงประทับไว้บนก้อนหินนั้นด้วยพระบาทเบื้องซ้าย เพื่อให้เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย แล้วจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า


“ตถาคตได้มานั่งฉันข้าวเหนือหินก้อนนี้และไว้พระบาทที่นี้ ภายหน้าหินก้อนนี้ จักปรากฏชื่อ ”ผาหลวงแท่นพระ” (ปัจจุบันคือ ดอยแท่นพระ นั่นเอง)


ตั้งแต่นั้นมาไม่นานเท่าใด พระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าสู่นิพพานมาถึงพันถ้วนสองปลายปีหนึ่ง ยังมีพรานป่าผู้หนึ่งได้ยิงกวางตัวหนึ่งแล้วเอามาเฉือนแบ่งกันที่เหนือผาพระบาทนี้ ธุรเทวบุตรผู้ได้รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าให้รักษาในที่ทั้งสองแห่งนี้รู้สึกไม่พอใจมากนัก จึงขึ้นไปไหว้พระยาอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่


พระยาอินทร์ก็มาเนรมิตเป็นหมูใหญ่ขุดเอาก้อนหินใหญ่ให้เอียงลงไป เพื่อจะไม่ให้ใครเป็นโทษ ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงเรียกว่า ผาสะแคง ตราบเท่าถึงกาลบัดนี้”



DSC01759.jpg



จาก พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก


“เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจาก ดอยสุเทพ แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปบรรทมที่ดอยลูกหนึ่ง ณ ที่นั้น ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ข้างทางทิศตะวันตกที่พระพุทธไสยาสน์นั้น (น่าจะเป็นพระนอนขอนม่วง) กิ่งไม้ได้หักตกลงมาในที่นั้น


พระสารีบุตรเห็นเช่นนั้นจึงทูลว่า ภันเต ภควา ข้าแด่พระพุทธเจ้า กิ่งไม้ที่หักลงมานั้น เพราะเหตุอันใดหนอพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อน สารีบุตร หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธาตุตถาคตจักมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ จักเจริญรุ่งเรืองเป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย จักปรากฏชื่อว่า  “ดอยพระนอน”


เมื่อตรัสพยากรณ์เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปถึงแม่น้ำระมิงค์ แล้วเสด็จลงสรงในแม่น้ำนั้น เมื่อชำระพระวรกายแล้ว ก็ทรงนุ่งห่มผ้าประทับยืนอยู่ ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตร สถานที่นี้ต่อไปจักได้ชื่อว่า ท่าพระเจ้าอาบน้ำ ต่อไปภายหน้าจักแปรเปลี่ยนเป็น ท่ากาบกว้าง (ใกล้วัดบ้านเด่น ครูบาเทือง)


จากนั้นก็เสด็จเลียบฝั่งแม่น้ำระมิงค์ขึ้นไปถึงที่แห่งหนึ่ง ในที่นั้นมีนก ๒ ตัว ตัวหนึ่งบินมาจากทิศใต้ ตัวหนึ่งบินมาจากทิศเหนือ นกทั้งสองตัวบินมาประสบกัน ณ ที่นั้น และพอดีกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงที่นั้นเช่นกัน


นกทั้งสองตัวมีความยินดีเป็นอันมากจึงส่งเสียงร้องว่า “สาสา” ตามภาษาแห่งนก พระพุทธเจ้าจึงตรัสพยากรณ์ว่า ที่ตรงนี้ต่อไปภายหน้าจักได้ชื่อว่า “สบสา” (ปัจจุบันนี้ คือที่ “ปากแม่น้ำสา” เขตอำเภอแม่ริม)


ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปถึงต้นไม้ยางต้นหนึ่ง ในสถานที่นั้นยังมีน้ำค้างและหมอกตกลงมาจนครึ้มมืดไปหมด พระสารีบุตรจึงกราบทูลขอให้ประทับหยุดอยู่ที่นี้ก่อน องค์สมเด็จพระชินวรจึงเสด็จเข้าไปสู่ร่มไม้ยาง แล้วตรัสแก่พระสารีบุตรว่า


“ดูก่อนสารีบุตร หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว ธาตุของตถาคตจักมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ จักเป็นจำเริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ต่อไปภายหน้าเมื่อต้นยางต้นนี้ตายไปแล้ว ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ต้นหนึ่งจักปรากฏขึ้นแทน สถานที่นี้จักได้ชื่อว่า “ยางหมอก”


หลังจากนั้น พระองค์ก็เสด็จเลียบฝั่งระมิงค์ขึ้นไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปบิณฑบาตในบ้านนั้น ซึ่งมีชื่อว่า บ้านกอก เมื่อทรงรับบิณฑบาตแล้ว จึงเสด็จไปสู่ที่หินก้อนหนึ่งงดงามมาก กว้าง ๑๒ ศอก มื่อประทับเสวยพระกระยาหารบนหินก้อนนั้น ในเวลานั้น ยังมียักษ์ตนหนึ่งมากั้นฉัตรให้แก่พระพุทธองค์ และยังมีเทวดาองค์หนึ่งโบกพัดจามรีให้แก่พระพุทธองค์เช่นกัน พระสารีบุตรได้กราบทูลว่า สถานที่นี้หาน้ำเสวยไม่ได้ พระองค์ไม่ควรจะเสวยพระกระยาหารที่นี่


ในเวลานั้น องค์สมเด็จภควันต์ทอดพระเนตรเหวแห้งแห่งหนึ่ง อันมีอยู่ทางทิศตะวันออก ไกลจากที่นั่นไปประมาณ ๕๐๐ วา ขณะนั้นมีเทวดาองค์หนึ่งเนรมิตเป็นหมูตัวใหญ่เอาปากดันก้อนหินก้อนหนึ่งในเหวที่นั้น น้ำก็พุ่งทะลักออกมา หมูตัวนั้นก็มาอยู่ตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า


พระสารีบุตรจึงเอาฝาบาตรไปตักน้ำนั้นมาถวายพระพุทธเจ้า แม้นพระองค์จะเสวยและเอาชำระล้างพระวรกายด้วย น้ำนั้นก็หาได้เหือดแห้งไปไม่ คงมีบริบูรณ์ตามเดิม พระสารีบุตรเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงกราบทูลถามถึงเหตุนั้น


องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงตรัสว่า เป็นเพราะว่าสถานที่นี้จักเป็นที่ประดิษฐานแห่งพระรัตนตรัยและธาตุแห่งตถาคต หลังจากพระตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๒,๐๐๐ วัสสา จะมีพระราชองค์หนึ่งพระนามว่า ธัมมิกราชา จะอุบัติเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา และจะได้มาปรึกษากับภิกษุสงฆ์ปฏิสังขรณ์สถานที่ประดิษฐานพระรัตนตรัยและอารักขาเทวดา ณ ที่นั้นจักนำเอาสมบัติออกมามอบแก่คนทั้งหลาย


เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้ว ก็เสด็จลุกจากที่นั้นในขณะนั้น มหาปฐพีก็ไหวหวั่นไปมาเป็นที่โกลาหลยิ่ง ซึ่งเป็นนิมิตบอกให้รู้ว่าพระพุทธศาสนาจักมาตั้งมั่นและรุ่งเรืองในที่นั้น พระพุทธองค์ก็ได้ทรงอธิษฐานเหยียบหินก้อนหนึ่งให้รอยพระบาทปรากฏไว้แล้วก็เสด็จจากที่นั้นไป


ต่อมาเทวดาทั้งหลายก็มีความเกรงไปว่าก้อนหินนั้นจักเป็นสาธารณสถานทั่วไปแก่คนและสัตว์ทั้งหลาย จึงได้งัดหินก้อนนั้นให้ตะแคงไว้ สถานที่นั้นจึงมีชื่อว่า “ผาสะแคง” ดังนี้แล...”



DSC01809.jpg



ประวัติวัดดอยแท่นพระผาหลวง


(แหล่งที่มา : เอกสารประวัติวัดดอยแท่นพระผาหลวง เขียนโดย พระอาจารย์วัลลภ กิตติภัทโต เจ้าอาวาส วัดดอยแท่นพระผาหลวง)



ตำนานของวัดกล่าวว่า ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานนั้น ได้เสด็จมาเสวยภัตกิจ ณ แท่นหินศิลานี้ ข้างล่างแท่นหินนี้เป็นถ้ำมีฤาษีอยู่ ทราบด้วยฌานว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา ณ ที่นี้ จึงออกมาสนทนาธรรมและถามปัญหาธรรม ๔ ข้อ ดังนี้



ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่ทำให้ตายจากการเป็นมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ?

ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่ทำให้ตายจากการเป็นมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ?

ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่ทำให้ตายจากการเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดในเทวภูมิ ?

ข้อที่   ธรรมเหล่าใด ที่นำสัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากวัฏฏะสงสาร ?

1.jpg

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบฤาษีเป็นข้อๆ ดังนี้


ข้อที่ ๑   ธรรมที่จะให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ คือ การรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ มีสติเป็นตัวนำ

ข้อที่ ๒   ธรรมที่ตายจากเป็นมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นสัตว์หรืออบายภูมิ คือ อวิชชาตัวไม่รู้ มีโลภ โกรธ หลงเป็นตัวนำ

ข้อที่   ธรรมที่ตายจากการเป็นมนุษย์และไปเกิดในเทวภูมิ คือ เจริญจิตตั้งมั่นอยู่ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นตัวนำ

ข้อที่   ธรรมที่นำสัตว์ข้ามพ้นจากวัฏฏะสงสาร คือ เจริญจิตให้เป็นสมาธิภาวนาให้เข้าถึงอริยสัจสี่ มีทุกข์ (ให้รู้ทุกข์) สมุทัย (แห่งแห่งทุกข์) นิโรธ (ความดับแห่งทุกข์) มรรค (หนทางแห่งความดับทุกข์)



DSC01763.jpg



พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบปัญหาจนฤาษีได้ดวงตาเห็นธรรม และมีพุทธทำนายว่าต่อไป ณ เบื้องหน้าที่พระองค์ทรงประทับนี้ (พระองค์ทรงหันหน้ามาทางตัวเมืองเชียงใหม่) จะเป็นนครใหญ่ และเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จมายังแท่นศิลานี้ที่พระองค์ทรงประทับแห่งนี้ เมื่อนั้นจะเป็นยุคทองของพุทธศาสนา ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับได้ประทับรอยพระบาทของพระองค์ไว้บนแผ่นหินศิลานี้

กาลต่อมา ณ แท่นศิลาที่พระองค์เสด็จมาประทับแห่งนี้ ได้มีสัตว์มาพักอาศัยอยู่ชุกชุมมาก จึงมีนายพรานมาทำการล่าสัตว์ และชำแหละเนื้อบนแท่นศิลาที่พระพุทธองค์ทรงเคยประทับ จึงเกิดมีหมูป่าอันเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าจำแลงมางัดแท่นศิลาพลิกคว่ำลงเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก และร่ำลือกันไปทั่วทราบถึงพระเจ้ากือนากษัตริย์ราชวงศ์มังราย ผู้ครองนครล้านนาไทย จึงเสด็จออกไปทอดพระเนตร ณ ที่แห่งนั้น ทรงพบว่ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ปรากฏผู้สร้างประดิษฐานอยู่หลังแท่นศิลา จึงทรงมีพระราชศรัทธาร่วมกับราชวงศ์และข้าราชบริวารสร้างวิหารไม้สักถวายแด่พระพุทธรูปและสร้างรั้วเหล็กรอบพระแท่นศิลานั้น

ปัจจุบันนี้ยังมีหลักฐานเหลือปรากฏเป็นอักษรล้านนาไทย จารึกพระนามของพระองค์ พระมเหสีราชบุตร ราชธิดา เสนาอำมาตย์รอบๆ แท่นศิลานั้น โดยองค์พระพุทธรูปจะประทับหันหลังให้ผู้เข้าไปกราบในพระวิหารอันเป็นปริศนาธรรม และเป็นวัดเดียวที่ท่านจะได้ปิดทองหลังองค์พระปฏิมาและพระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศใต้แห่งเมืองเชียงใหม่

พระพุทธเจ้าทำนายได้สมจริง เพราะหลังจากสร้างวิหารไม้สักนี้แล้ว ๕ ปี พระเจ้ากือนาก็ได้สร้างพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่บนดอยสุเทพ

วัดนี้เคยถูกทิ้งร้างมาหลายครั้ง แล้วที่วัดนี้เองเคยเป็นจำพรรษาของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย และพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ สมัยท่านเดินธุดงค์อยู่

ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๙ พระอาจารย์วัลลภ กิตติภัทโต ได้พบวัดนี้ระหว่างท่านธุดงค์ ท่านพบถ้ำและเขียนรายละเอียดเรื่องราวประวัติวัดนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ถ้ำได้ถูกปิดตามธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามยังมีหลักฐานยืนยันบริเวณใกล้ถ้ำ ต่อมาพระอาจารย์วัลลภได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดให้เจริญรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักและเคารพสักการบูชาของพุทธศาสนิกชน


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01754.jpg



ประตูทางเข้า/ออก วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01904.jpg



บรรยากาศภายใน วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01747.jpg



สถานที่ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา บารมีธรรม พุทธมงคล วัดดอยแท่นพระผาหลวง ผู้สร้างถวาย พระบุญช่วย สนัตมโน (สิทธิ) พร้อมด้วยญาติ อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ตรงกับแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ บูรณปฏิสังขรณ์ถวายเป็นพระราชกุศล รวมเป็นปัจจัย ๕๘๐,๗๖๓ บาท ค่ะ


DSC01750.jpg



รูปปู่สีหะเทพฤษี ประดิษฐานภายใน สถานที่ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา บารมีธรรม พุทธมงคล วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01753.jpg



หลังจากนั้นเราก็ขับรถตรงไปเรื่อยๆ ต่อนะคะ ใกล้ถึงวัดดอยแท่นพระผาหลวงแล้วค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

DSC01739.jpg



DSC01740.jpg



รูปปั้นปู่เทพอสูร วัดดอยแท่นพระผาหลวง ค่ะ


DSC01741.jpg



DSC01743.jpg



บ่อน้ำทิพย์ วัดดอยแท่นพระผาหลวง อยู่ด้านหลัง รูปปั้นปู่เทพอสูร ค่ะ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 05:43 , Processed in 0.086273 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.