แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 5270|ตอบ: 2
go

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ "บุญใหญ่ในพระพุทธศาสนา" ~ เกาะบุญ, คำว่าทุกข์, ศีลขาดอยู่ที่เจตนา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2011-5-27 14:28 โดย putthapaun




หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ"บุญใหญ่ในพระพุทธศาสนา" ~ เกาะบุญ, ความหมายสั้นคำว่าทุกข์,ศีลขาดอยู่ที่เจตนา



บุญใหญ่ในพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำวัดท่าซุง)
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๒๗ หน้า ๕๕-๖๙



ท่านทั้งหลายวันนี้เป็นวันที่สามของการสอนของเดือน มกราคม ๒๕๓๕ วันนี้ก็จะขอแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องคนทำบาปเป็นพระอริยเจ้า ดีไหม คือว่าในตอนต้น ขอเตือนกันไว้ก่อน ว่าการเจริญพระกรรมฐานเป็นบุญใหญ่ในพระพุทธศาสนา
๑.    ทาน การให้
๒.    ศีล การรักษา
๓.    ภาวนา การเจริญ

บุญจริงๆ มีสามอย่าง   ทีนี้ทานการให้เราทำแล้ว แต่ว่าการขึ้นต้นของการเจริญการภาวนา ทุกคนอย่าลืมว่าการเจริญพระกรรมฐานต้องมีครบทั้งสามอย่างนะ ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ที่บางท่านบอกว่า การเจริญสุกขวิปัสสโกไม่ต้องใช้สมาธิ การเจริญสุกขวิปัสสโกเป็นวิปัสสนาญาณล้วนน่ะ ไม่จริง สุกขวิปัสสโกก็ต้องมีสมาธิ คือว่าท่านที่เขียนหรือท่านที่พูดแสดงว่าคนนี้ไม่เคยทำเลย คือว่าไม่รู้จักคำว่าสมาธิ

คำว่า สมาธิ คือ การตั้งใจ ไม่ใช่หมายความว่าต้องทำแบบนั้นต้องทำแบบนี้เสมอไป จะทำอย่างไรก็ตามมันอยู่ที่การตั้งใจ ฉะนั้นท่านเจริญสุกขวิปัสสโก ขณะที่เข้ามาพิจารณาอริยสัจก็ต้องตั้งใจเข้าใจว่านี่คืออริยสัจ อริยสัจมีอะไรบ้าง หนึ่ง ทุกข์ สอง สมุทัย สาม นิโรธ สี่ มรรค ถ้าเขารู้ว่านี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็แสดงว่ามีสมาธิ เพราะสมาธิคือตัวจำใช่ไหม ทีนี้การพิจารณาวัตถุธาตุ พิจารณาอยู่ในขอบเขตของขันธ์ ๕ ไอ้ตัวที่จับอยู่ในขอบเขตนี้แหละเป็นสมาธิ

ฉะนั้น ท่านที่เขียนก็ดี ท่านที่พูดก็ดี แสดงว่าท่านไม่ได้รู้อะไรเลย การเจริญพระกรรมฐานทั้งหมดจะต้องพร้อมทั้ง ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลพร่อง สมาธิก็ไม่เกิด ถ้าสมาธิไม่เกิด ปัญญาก็ไม่เกิด ถ้าศีลบริสุทธิ์ทรงตัวจิตใจก็เยือกเย็น ศีลมาได้จากอะไร ศีลมาได้จากเหตุ ๒ ประการ คือ
๑.    เมตตา ความรัก
๒.    กรุณา ความสงสาร

ถ้าเรามีความรักมีความสงสารประจำตัว ก็แสดงว่าเป็นผู้มีศีล ในเมื่อศีลเกิดขึ้นเพราะอาศัยความรักความสงสาร จิตใจก็เยือกเย็น เราพบคนที่เรารัก เราพบของที่เรารัก เราพบสัตว์ที่เรารัก จิตใจสบายมีความชื่นบาน ศีลก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีความรัก มีความสงสารประจำใจ อารมณ์ก็เยือกเย็น เมื่อจิตใจเยือกเย็นสมาธิก็เกิด

จิตทรงตัวปัญญาก็เกิด


สมาธิแปลว่าความตั้งใจมั่น คือไม่ฟุ้งซ่านเกินไป เมื่อจิตมีการทรงตัวปัญญาก็เกิด เหมือนกับคนที่กำลังวิ่งอยู่ มองดูอะไรไม่ชัด ถ้าหยุดจากวิ่งนานๆ หายเหนื่อย มองอะไรก็ชัดทุกอย่าง ไอ้ดูชัดนี่คือตัวปัญญา ก็รวมความว่าการเจริญพระกรรฐานทุกคนต้องมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา

ทีนี้จุดต้นจริงๆ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท อันดับแรกใช้สติสัมปชัญญะ คือรู้ลมเข้ารู้ลมออก เราจะกำหนดรู้ลมหายใจ ตัวนี้เป็นสติ ถ้า รู้ลมเข้ารู้ลมออก ตัวนี้เป็นสัมปชัญญะ สติคือนึก สัมปชัญญะ รู้ตัว ขณะใดที่รู้ลมออก ขณะนั้นจิตเป็นสมาธิ คือว่าถ้าจะภาวนาด้วย จะภาวนาว่าอย่างไรก็ตาม ตอนต้นขอแนะนำว่าพุทโธ แต่ใครเคยว่าอย่างไหนคล่องแล้วไม่ต้องเปลี่ยน ตามใจชอบ ไม่ผิด ถ้านึกว่าจะภาวนา นี่เป็นสติ ถ้ารู้ว่าภาวนาผิดหรือถูก อันนี้เป็นสัมปชัญญะ

ก็รวมความว่าการภาวนาก็ดี การรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี นั้นคือตัวสมาธิ สมาธิเขาแปลว่าการตั้งใจ เขาเขียนว่าการตั้งใจมั่น หรือตั้งใจเฉพาะจุดนั้นจุดนี้ ถ้าจะถามว่า ถ้าเจริญสมาธิได้เล็กน้อยหมายความว่าได้สัก ๒-๓ นาทีก็หายไป อย่างนี้จะมีบุญไหม ก็ต้องตอบว่า แม้เพียงเท่านี้ก็มีบุญใหญ่ เพราะอะไรเพราะว่าสัก ๒-๓ นาทีไม่ใช่เวลาเล็กน้อย เป็นเวลามาก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรว่า
“สารีปุตตะ ดูก่อน สารีบุตร บุคคลใดทำจิตว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง เราขอกล่าวว่า บุคคลนี้มีจิตไม่ว่าจากฌาน”

คำว่า จิตว่างจากกิเลส ก็หมายความว่า ขณะที่ญาติโยมรู้ลมหายใจเข้ารู้ลมหายใจออก ขณะนั้นไม่คิดถึงเรื่องอื่น ตั้งใจรู้เฉพาะลมเข้ากับลมออก เพียงครั้งหนึ่งหรือสองครั้งก็ตาม เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส หรือท่านผู้ใดจิตสนใจเฉพาะคำภาวนาที่ภาวนา พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ เอาจิตจดจ่อแค่นี้สัก ๒-๓ ครั้งก็ตาม เวลาที่นึกถึงลมหายใจเข้าหายใจออกก็ดี หรือนึกถึงคำภาวนาพุทโธก็ดี เวลานั้นอารมณ์อื่นไม่แทรก ก็ถือว่าจิตว่างจากกิเลส การฝึกฝนจิตให้ว่าจากกิเลสวันละเล็กวันละน้อย ไม่ช้ามันก็มีการสะสมรวมตัวกัน ไม่ช้าก็มีอารมณ์มากขึ้น อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี ทั้งสองท่านนี้มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์

เกาะบุญ

นี่รวมความว่าการเจริญภาวนาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกๆคนวันแรกที่เราพูดถึงพระอรหันต์ ทุกๆคนตั้งใจหนีอบายภูมิไว้ คนทุกคนที่เกิดมาไม่ทำบาปนี่ไม่มี คนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปมีไหม (ไม่มีครับ) มี เด็กในท้อง (หัวเราะ) ถ้าคนทำบาปต้องไปนรกหรือไปอบายภูมิ คนทำบุญไปสวรรค์ ถ้าเอากันจริงๆ ตามนี้ไม่มี มีแต่คนไปนรก ก็เป็นอันว่าเราจะไปสวรรค์ก็ดี จะไปนรกก็ดี มันอยู่ที่จิตตัวที่จะตาย คำว่าตายนี่ใช้ศัพท์ตามภาษาชาวบ้านนะ แต่ทางศัพท์พุทธศาสนาท่านไม่เรียกว่าตาย ท่านใช้ศัพท์ว่า กาลัง กัตวา ถึงกาลเวลาที่ต้องไปแล้ว ถ้าตายนี่ มรณัง เขาไม่ใช้กัน เวลาที่จิตออกจากร่าง เวลานั้นถ้าจิตจับในส่วนกุศล ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปมามาก เราก็ไปสวรรค์ก่อน ถึงแม้ว่าเราจะทำบุญมาก แต่เวลาจิตจะออกไป จิตจับอกุศลคือบาป จิตก็ไปนรกก่อน

ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้บรรดาพุทธบริษัทเจริญพระกรรมฐาน เจริญสมาธิหรือเจริญภาวนา ก็ต้องการให้ทุกคนมีความชินในด้านของความดี คำว่า ฌาน คือ ความชิน ชินใจด้านนึกถึงอารมณ์ความดีเข้าไว้ บาปต่างๆที่ทำไว้ท่านบอกว่าจงอย่าตามนึกถึง ให้ลืมไปเลย การลืมบาปนี่ลืมยากนะ แต่ว่าไม่พยายามนึกถึง เวลาเจริญภาวนาก็ดี เวลาบูชาพระก็ดี เราไม่นึกถึงบาป ตั้งใจเอาจิตจับเฉพาะพระพุทธรูปด้านหน้าของเรา ตั้งใจจำภาพท่าน

นั่งหลับตาก็ตาม ลืมตาก็ตาม นึกถึงภาพท่าน จะว่านะโม ตัสสะ ก็ตามใจเถอะ ว่าไปตามชอบเท่าที่เราจะว่าได้ ในเวลานั้นจิตเราไม่นึกถึงบาป หรือลืมบาปไปเสีย ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ อารมณ์จะชินหลังจากนั้นเวลานอนก็ภาวนาว่าพุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ จิตเราไม่ยอมนึกถึงบาป แต่ถึงวาระที่ต้องทำบาป ไอ้เรื่องการทำบาปนี่มันห้ามกันไม่ได้ เพราะบางคนทำไร่ทำสวนต้องฆ่าสัตว์ ฆ่าแมลงต่างๆ อันนี้เขามีความจำเป็น ถ้าถามว่าพวกนั้ต้องฆ่าสัตว์ทุกวันแล้วจะไปสวรรค์ได้ไหม ก็ต้องขอตอบตามพระสูตรดีไหม

บุพเพสันนิวาส


อย่างกับพรานชื่อ กุกกุฏมิตร อย่าลืมว่าเขาเป็นพราน พรานนี่ต้องฆ่าสัตว์เป็นประจำแล้วก็มีสมาธิสูง มีปัญญาสูง เพราะอะไรรู้ไหม สัตว์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เห็นหมด สมาธิตั้งใจมั่นว่าคืนนี้ พรุ่งนี้ ต้องไปยิงสัตว์ ต้องไปดักสัตว์ และก็ต้องมีปัญญา ไม่ใช่เอาด้ายกลุ่มไปทำบ่วงดักช้าง ถ้าช้างต้องใช้เชือกขนาดไหนมัดมันถึงจะอยู่ นกถ้าอยู่สูงยิงแบบไหนจึงจะถูก นี่ต้องมีปัญญา แต่ว่ามีปัญญามีสมาธิเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทีนี้ นายพรานคนนี้มีภรรยาเป็นลูกสาวมหาเศรษฐี และลูกสาวมหาเศรษฐีคนนี้ก็เป็นพระโสดาบัน ยุ่งกันใหญ่นะ ผัวเป็นนายพราน เมียเป็นพระโสดาบัน

ดีไหมอาจารย์ คำว่าดีก็เพราะอะไร ก็เพราะสองคนเคยเกิดเป็นสามีภรรยากันมาในชาติก่อน เป็นบุพเพสันนิวาสใช่ไหม วันหนึ่งนายพรานเอาเนื้อไปขายที่ตลาด ฝ่ายลูกสาวมหาเศรษฐียืนที่หน้าต่างเห็นเข้าก็เกิดความชอบใจ ในที่สุดก็ให้คนรับใช้ไปถามนายพรานว่า นายพรานกลับเมื่อไร เมื่อรู้เวลาก็ปลอมตัวเป็นคนใช้ หนีออกจากบ้านไปดักทาง ขออาศัยเกวียนไปด้วย แล้วก็เป็นภรรยาของนายพราน

สองคนในชาติก่อนเคยมอบตัวเป็นทาสของเจดีย์ เขาเป็นอนุเศรษฐีในชาติก่อนนะ คือว่าเขาสร้างเจดีย์ขึ้นมาแล้วใครจะเป็นคนรักษา ในที่สุดตระกูลนี้ขอมอบตัวด้วย ขอมอบทรัพย์สินด้วย เป็นทาสเจดีย์ คือรักษาเจดีย์ ถ้าเจดีย์เสียหายก็จะซ่อม จะทำเสริมอะไรก็ทำทุกอย่าง ก็เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเจดีย์อานิสงส์อันนี้แหละเป็นเหตุต่อมามาเกิดก็ได้เป็นสามีภรรยา ต่อมาก็มีลูกชาย ๗ คน มีเฉพาะลูกชาย ๗ คน

พระพุทธเจ้าทรงโปรดนายพราน


วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระทศพลคือพระพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์เวลาเช้ามืดว่าวันพรุ่งนี้จะมีใครบ้างไหม ที่ได้บรรลุธรรมาภิสมัย หรือดวงตาเห็นธรรม ธรรมาภิสมัย หมายถึง ความเป็น พระอรหันต์ ดวงตาเห็นธรรม หมายถึง พระโสดาบัน ก็ทราบว่าคนทั้ง ๑๕ คนวันพรุ่งนี้ ถ้าเราไปทรมาน เธอจะมีโอกาสเป็นพระโสดาบัน คน ๑๕ คนมีใครบ้าง คือ หนึ่ง นายพราน สอง ลูกชาย ๗ คน สาม ลูกสะใภ้ ๗ คน รวมเป็น ๑๕ คน ใช่ไหม

เมื่อทรงทราบอย่างนั้นแล้วในตอนกลางคืน องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงเสด็จไปที่พรานเอาบ่วงไปดักสัตว์ไว้ในเมื่อเขาดักสัตว์เสร็จ ตอนค่ำเขาก็กลับบ้าน ตอนเช้าก็มานำเอาสัตว์ไปกิน เอาไปขาย เป็นอย่างนี้เป็นปกติ แต่ทว่าวันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป ก็บันดาลให้สัตว์ทั้งหลายไม่มาตามนั้น พอตอนเช้าตาพรานพร้อมธนูหน้าไม้กับหอกก็ไปที่ดักสัตว์ เดินหาสัตว์ตัวไหนจะติดห่วงสักตัวก็ไม่มี รอยสัตว์เดินก็ไม่มี มองไปมองมาเห็นองค์สมเด็จพระชินศรีคือพระพุทธเจ้า เห็นนั่งประทับเฉยอยู่โคนต้นไม้ แกก็นึกในใจว่า เจ้าโล้นนี่ ถ้าพบทีไรเราไม่ได้สัตว์ทุกที วันนี้ยิงกบาลเสียเถอะ ก็ใช้ลูกธนูโก่งหน้าไม้จะยิง

พระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานว่า “โก่งได้ห้ามปล่อย”

นายพรานก็โก่งอยู่นั่นแหละ โก่งตั้งแต่เช้าตรู่ ปล่อยก็ไม่ได้ ลดก็ไม่ได้ พอตอนสายแม่ก็สงสัย ภรรยานะ สงสัยว่าทำไมพ่อเอ็งไปตั้งแต่เช้าตรู่ ป่านนี้เคยมาแล้วทำไมจึงยังไม่มา อันตรายอาจจะมี ลูกชายทั้ง ๗ คนก็ไปพร้อมอาวุธ พอไปถึงเข้าก็เห็นพ่อโก่งธนู ก็คิดว่าคนที่นั่งนี่ต้องเป็นศัตรูของพ่อก็ต่างคนต่างโก่ง พระพุทธเจ้าปล่อยให้โก่งตามเดิน เป็น ๘ โก่ง ทีนี้พอตอนสายหนักเข้าใกล้เที่ยง ฝ่ายทางแม่ก็เห็นว่าหายไปทั้งพ่อทั้งลูก อันตรายอาจจะเกิดขึ้น ก็พาลูกสะใภ้ทั้ง ๗ คนไปด้วย พอไปเห็นเข้า เห็นนายพรานกับลูกชายโก่งธนูก็ร้องตกใจ วิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า

บอก “เธออย่าทำพ่อฉัน ลูกอย่าทำพ่อฉัน”

เพราะนายพรานไม่เคยรู้จักพ่อตาว่าเป็นยังไง ทีนี่กำลังก็ลด ก็คิดในใจว่า ตายจริง นี่เราจะยิงพ่อตาเสียแล้วนี่ ฝ่ายลูกก็คิดว่าเราจะยิงตาเสียแล้ว ก็เป็นอันว่าเมื่อกำลังใจลดลงความตื่นตัวหายไป พระพุทธเจ้าก็ทรงอธิษฐาน  ขอให้ทุกคนลดมือลงได้ตามปกติ ต่างคนต่างลดธนูลงและเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ยกมือขออภัย ว่าที่ทำไปเพราะความไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ถือ หลังจากนั้นไปองค์สมเด็จพระบรมครูก็ทรงเทศน์ เทศน์ก็ไม่มีอะไรมาก นี่อย่าลืมนะพวกนี้กำลังทำบาป อยู่นะ ทรงเทศน์ให้ลืมความหลังเสีย คือการฆ่าสัตว์ ให้ลืมไป ตั้งใจรับความดีต่อไป

คุณของการรักษาศีล


อันดับแรก พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เข้าถึงพระไตรสรณคมน์ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ต่อไปก็แนะนำให้ตั้งใจทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ อย่าฆ่าสัตว์ต่อไป ชีวิตของเขาเขาก็รัก ชีวิตเราเราก็รัก ถ้าใครจะฆ่าเราเราก็ไม่ชอบใจ ถ้าเขาจะฆ่าเรา เราชอบใจหรือ การทำอย่างนี้เป็นของไม่ดี เป็นบาป มีอบายภูมิเป็นที่ไป อย่าลักทรัพย์ อย่าประพฤติผิดในกาม อย่าพูดมุสาวาท อย่าดื่มสุราเมรัย และก็ลงท้ายว่า

สีเลนะสุคะติงยันติ
“คนที่มีศีลมีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตามจากความเป็นคนไปแล้วก็มีความสุข”

สีเลนะ โภคะสัมปะทา
“คนที่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ใช้ทรัพย์ไม่เปลือง เพราะไม่ได้กินเหล้า ไม่เสียเวลาการงาน ตายจากความเป็นคนเป็นนางฟ้าก็มีทิพยสมบัติมาก เกิดมาเป็นคนก็เป็นคนร่ำรวย”

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
“ในเมื่อมีศีลอยู่ไปนิพพานได้โดยง่าย”

รู้ทุกข์


และองค์สมเด็จพระจอบไตรก็แนะนำเรื่องของนิพพานให้เข้าใจคำว่า นิพพาน เป็นของไม่ยาก ถ้าทุกคนนึงถึงความเป็นจริง คืออริยสัจ พระพุทธเจ้าเทศน์ต้องลงอริยสัจเสมอ หนึ่ง เข้าใจในความทุกข์ คำว่า ทุกข์ แปลว่า ทนได้ยาก ทุกสิ่งทุกอย่างจำจะต้องทนเป็นทุกข์ อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทนั่งอยู่เวลานี้มันเป็นทุกข์ ทุกข์ไหมคือเราต้องนั่ง มันทรมานตัว นั่งคือตัวทุกข์ ความหิวมันทรมานเรา ถ้าเราไม่กินมันก็ทุกข์ การปวดอุจจาระปัสสาวะก็เป็นทุกข์ ร้อนเกินไปเป็นทุกข์ เย็นเกินไปก็เป็นทุกข์ ความแก่เข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ การประกอบสัมมาอาชีวะก็จริงแหล่ แต่ว่ามันไม่พอใช้มันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดความตายจะเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ก็รวมความว่าโลกนี้ทั้งโลกเป็นโลกของความทุกข์ ไม่ใช่โลกของความสุข

ท่านก็แนะนำต่อไป ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากตัณหา ตัณหา นี่แปลว่า ทะยานอยาก ดิ้นรนเกินไป ถ้ากินโดยเฉพาะไม่เป็นไร ถ้าตะเกียกตะกายเป็นหนี้เป็นสินเขามากก็เป็นทุกข์ นี่ตัวตัณหามันอยากได้ นี่มันไม่ได้เข้ามา ฉะนั้น ขอทุกคนจงปฏิบัติตนละตัณหาเสีย คือมีความพอใจตามความสามารถที่เรามีอยู่ เรามีความสามารถขนาดไหน ถ้าเรามีเงินเดือนแสนหนึ่ง พอใช่ไหม ก็รวมความว่าเราได้ขนาดไหนพอใจแค่นั้น ได้น้อยกินน้อย ได้มากกินมากก็กินให้อิ่ม ได้ไหม ต้องได้ ถ้าข้าวสารแพงเกินไป ก็ซื้อข้าวโพดมาแทน กินข้าวโพอดแทนข้าวสุก ก็เป็นอันว่ารู้จักทุกข์ ว่าโลกทั้งโลกมันเต็มไปด้วยทุกข์

หนีทุกข์

ทีนี้เราจะหนีทุกข์ จะหนีอย่างไร ก็หันไปหาศีล สีเลนะ สุคะติง ยันติ ถ้าเราเป็นคนมีศีล อยู่ชาตินี้ก็มีความสุข ถึงแม้จะมีความทุกข์บ้างก็เป็นของธรรมดาเล็กน้อยไม่มาก ถ้าตายจากความเป็นคนไปแล้วเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าก็มีความสุข เกิดเป็นคนใหม่ก็เป็นคนมีอายุยืนยาว โรคภัยไข้เจ็บน้อย มีคนรัก มีคนเมตตา เราก็มีความสุข เราหนีทุกข์เข้าหาสุข สีเลนะ โภคะสัมปะทา ถ้าเราเป็นคนมีศีล ทรัพย์สมบัติใช้ไม่เปลือง เราก็มีความสุขในความเป็นอยู่ ถ้าตายจากคนเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา เราจะมีทิพยสมบัติมาก ถ้าเกิดเป็นคนใหม่เราก็มีทรัพย์สมบัติมาก สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นดินแดนแห่งความสงบ ถ้าเราเป็นคนมีศีล ความวุ่นวายของจิตมีน้อย จิตมีความสงบมาก มีความสุขมาก นิพพะ แปลว่า ดับ ในที่สุดในเมื่อเรามีศีล ศีลเป็นปัจจัยให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย ก็รวมความว่าเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเทศน์จบทั้ง ๑๕ คนเป็นพระโสดาบันหมด ทำไมถึงเว้นภรรยา เพราะภรรยาเป็นพระโสดาบันมาแล้วนะตั้งแต่อายุ ๗ ปี

ศีลจะขาดอยู่ที่เจตนา


ทีนี้ปัญหาก็มีอยู่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงกลับมาจากเทศน์ พระอานนท์ก็ถามว่าเสด็จไปไหนมาพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ไปทรมานพรานกับลูกชายลูกสะใภ้เป็นพระโสดาบันหมด ทีนี้เงื่อนไขที่พระอานนท์เป็นอุปัฏฐากก็มีอยู่ว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไปเทศน์ที่ไหน ถ้าพระอานนท์ไม่อยู่ด้วย กลับมาต้องเทศน์ให้ฟัง พระอานนท์ก็จำ

ในเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็มีภิกษุพระแก่ แต่ไม่ใช่ฉันนะ มีพระแก่ๆ ๒-๓ องค์ ต่างคนต่างวิจารณ์กัน ในเมื่อพระโสดาบันเป็นเมียของพราน เวลาสามีจะไปฆ่าสัตว์ สั่งให้ไปหยิบหอกมากไปหยิบธนูหน้าไม้มา หยิบบ่วงมา หยิบแร้วมา อย่างนี้พระโสดาบันยังมีการทำบาป ทีนี้จะเชื่อว่าพระโสดาบันมีศีลได้ยังไง พระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็ทรงเรียกเข้ามาหา ตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสงสัยอย่างนี้ ตถาคตจะพูดให้ฟัง ว่าภรรยาเขาเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น ศีล ๕ บริสุทธิ์ กรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ แต่ว่าการหยิบหอก หยิบธนูหน้าไม้ เป็นหน้าทีของภรรยาที่รับใช้สามี ในเมื่อเขาให้หยิบก็หยิบมา แต่ใจไม่ได้ตั้งไปฆ่าสัตว์ พระโสดาบันไม่บาปใช่ไหม แต่หน้าที่ของภรรยาก็ต้องหยิบ

เขาบอกให้หยิบก็ต้องหยิบ หยิบหอกมาซิก็ส่งไปให้ ในเมื่อเขาไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ ในเมื่อเขาใช้ให้ทำก็ทำตามหน้าที่ อย่างนี้เธอศีลไม่ขาด เวลาได้สัตว์เธอก็ไม่ได้ดีใจด้วย เขาบอกให้แล่ก็แล่ เขาบอกให้ผ่าก็ผ่า เขาบอกให้สับก็สับ ตามคำสั่ง ทำตามหน้าที่ของภรรยา
จำให้ดีนะ ตอบตามที่พระพุทธเจ้าท่านตอบนะ ใครว่าผิดก็ช่างมันเถอะ พระพุทธเจ้าผิดก็เจ๊งแล้ว

นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์


ก็รวมความว่าขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ทุกวันถ้ามีความจำเป็นต้องทำบาป อย่างพวกปลูกผักปลูกหญ้านี่ เวลาที่ทำแล้วกลับมาบูชาพระ ลืมบาปทิ้งบาปเสีย ตั้งใจภาวนาพุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง อะไรก็ได้ตามชอบใจ พอถึงเวลาบูชาพระก็นึกถึงเฉพาะพระ เวลาเราจะหลับนึกถึงเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะไปนิพพาน ถ้าชาตินี้ตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น แล้วภาวนาพุทโธ จับลมหายใจเข้าให้หลับไป พอตื่นขึ้นมาใหม่ก็ตั้งใจเฉพาะภาวนาว่าพุทโธ เราะจะไปนิพพาน เอาแค่นี้บรรดาพุทธบริษัท ขอยืนยันว่าทุกคนทำได้จริง คำว่าทำได้จริงก็หมายความว่า เวลาเข้าบ้านปั๊บ ถึงเวลาบูชาพระจิตต้องไม่นึกถึงบาป แล้วก็ภาวนาว่าพุทโธ ตั้งใจไปนิพพาน พอตื่นขึ้นมาปั๊บจิตก็นึกถึงพระนิพพานขึ้นมาทันที ภาวนาว่าพุทโธอย่างนี้จิตเป็นฌาน ถ้าจิตเป็นฌานอย่างนี้ทุกคน สังเกตเวลาตาย กำลังบารมียิ่งมีความสำคัญ ถ้าบารมีของเรายังอ่อน ถ้าเวลาตายเห็นกองไฟมีความสุก เพราะอะไรรู้ไหม ปลาจะสุกได้เพราะไฟ ใช่ไหม นั่นลงนรกแน่นอน ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เห็นก้อนเนื้อไปเกิดเป็นมนุษย์ ภาพเกิดก่อนจะตายนะ

ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีบุญ เมื่อมันจะตายจริงๆ ถึงแม้จะมีบุญน้อย เรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพุทโธไว้ ขณะนั้นถึงแม้จะมีทุกขเวทนาก็ตาม แต่ว่าใจตอนต้นเรานึกถึงพุทโธไว้ ก่อนตายประมาณ ๓ วัน จะมีรถทิพย์มารับ พร้อมกับเทวดานางฟ้าแวดล้อม ถ้าเรา เห็นเทวดานางฟ้าอยู่ข้างหน้า พรหมอยู่ตรงกลาง พระอรหันต์อยู่ข้างหลัง เราก็เกิดสวรรค์   ถ้าเราเห็นพรหมอยู่ข้างหน้า พระอรหันต์อยู่ตรงกลาง นางฟ้าเทวดาอยู่เบื้องหลัง เราไปเกิดเป็นพรหม   ถ้าเราเห็นพระอรหันต์อยู่แถวหน้า พระพุทธเจ้าอยู่แถวหน้า นั่นเราไปนิพพานแน่

เอาหล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท หมดเวลาพอดีนะ ต่อไปนี้ทุกท่านตั้งใจสมาทานพระกรรมฐาน.





พิมพ์โดยมิ้ม






Rank: 1

สาธุ

Rank: 1

สาธุ เมี่อได้อ่านแล้วเกิดความสุขมาก

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-15 00:31 , Processed in 0.058893 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.