แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 7657|ตอบ: 0
go

เรื่อง...ผีวัดลาวทอง [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เรื่อง...ผีวัดลาวทอง
วันที่: วันเสาร์ 21 กรกฎาคม 2007 @ 17:25:29
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ




เรื่อง...ผีวัดลาวทอง

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


สำหรับผีพระวัดลาวทองนี้ อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี วัดลาวทองนี่มีประวัติเป็นมายังไงอาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่ามีปรากฏการณ์ครั้งหนึ่ง เคยขึ้นไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วก็มีโอกาสไปพักที่วัดลาวทองสองสามคืน คราวนั้นปรากฏว่าเขามีงานที่วัดโพธิพญา เขามีงานกันที่โน่น พระในวัดแกก็ไปเที่ยวหมด แกเห็นพวกเราจรไปนี่ แกก็เลยบอกว่ามาก็ดีแล้วล่ะขอรับ แหม..ดีอกดีใจ เพราะแกเป็นพระหนุ่มๆ ทั้งนั้น

พระหนุ่มๆ นี่ตุ๋มที่ไหนไม่ได้ ไปเที่ยวที่นั่น ก็อยากจะไปเที่ยว ความจริงจะไปดูมหรสพแกคงไม่อยากดูหรอก ลิเก หรือละคร ไอ้ตัวที่รำอยู่บนเวทีนั่น แกก็ไม่อยากมอง แกคงอยากมองตัวนางที่ไปชมนาฏศิลป์ต่างๆ เพราะเป็นธรรมดาของพระหนุ่ม ความจริงพระหนุ่มกับคนหนุ่มก็คนเดียว มันเป็นยังงั้น แกก็ชอบ

แกก็ตั้งท่าว่าเมื่อไหรหนอจะสึก บางทียังไม่ทันจะบวชก็กำหนดเวลาไว้ทันทีว่าอีกเท่านั้นวันจะสึก นี่บวชอย่างนี้เขาเรียกว่าบวชตามประเพณี มันขาดทุน ไม่ได้มานั่งสอนใครในเรื่องนี้ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเสือก เอายังงี้ดีกว่า เป็นอันว่าพระก็ไปหมด เณรก็ไปหมดเหลือเด็กอยู่ ๒ คน ชื่อเด็กชายชูคนหนึ่ง กับเด็กชายอะไรอีกคนจำไม่ได้ เพราะมันนานแล้ว ที่ไปที่นั่นก็มีนักเทศน์ ๒ องค์ รู้สึกว่าจะเฝือๆ ไปแล้ว จำไม่ได้เพราะมัน ๓๐ปีกว่าแล้ว

คืนนั้นเดือนหงายจัด ไปนั่งคุยกันอยู่ที่หน้ากุฏิ พอเห็นมันดึกแล้วก็จะเข้าข้างในใกล้ๆ จะ ๒๔ นาฬิกา แล้วเข้ามานั่งในกุฏิ ไอ้แถวนั้นขโมยมันเยอะเหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่ทราบเพราะอาตมากับเพื่อนเป็นคนใหม่ไปที่นั่น ขโมยขโจรจะมากจะมายก็ไม่รู้ ปรากฏว่าที่หน้ากุฏิเสียงคนเดินชัด ลากไม้ไปด้วย เหมือนกับลากไม้หรือไม้ตะพดไปด้วย แกรกๆๆ เดินตึงๆๆ เดินหนักๆๆ นึกแปลกใจว่า เอ๊ะ...ถ้าพระแกมา แกก็ต้องเข้ากุฏิ

ตานี้ไอ้ช่องเล็กๆ มันมีอยู่ มองไปตามช่องฝาได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาหัวกุฏิ ท้ายกุฏิ แต่มองไม่เห็นตัวคน อันนี้สิต้องคิด มันเกิดไม่เห็นคนเสียแล้วนี่ ทำไง หนักเข้าๆ บอกเพื่อกันว่าเอางี้ดีกว่า ประเดี๋ยวๆ เสียงก็เงียบหายไป บอกว่า จับให้ได้ ว่าใครเป็นคนมาเดิน ถอดกลอนประตูไว้ มายืนจุกที่ประตู ประเดี๋ยวเดินอีกแล้ว เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปพวกเราก็เปิดประตูผาง โดดออกมา อยากจะรู้ว่าใครเป็นคนมาเดิน

ไม่ใช่ว่าจะไปตีกับเขาหรอก อยากจะรู้เดือนหงายจัดมีความสว่างมาก เพราะใกล้จะกลางเดือน ปรากฏว่าออกมาแล้วไม่มีใครเลย ก็เลยมานั่งคุยกันข้างนอก ประเดี๋ยวโน่น...ได้ยินเสียงเดินที่ศาลา ซึ่งศาลาอยู่ใกล้มาก เดินไปเดินมาทำเสียงเหมือนของหนักหล่อดังตึงถนัด ก็เลยไปดูที่ศาลาอีก ก็ไม่มี ปรากฏว่าไม่มี ก็กลับมานอน พอกลับมานอนประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงเคาะประตู...

หลวงพ่อพ่วง วัดลาวทอง
บอก "เฮ้ยๆๆ อย่านอนสิวะ มาอาศัยวัดอยู่ละก็อย่านอนสิวะ.."
เลยร้องถามไปว่า "ใคร..?"
เสียงผีบอก "กู เขาเรียกว่าหลวงตาพ่วง กูเป็นคนสร้างวัดนี้ ไอ้วัดนี้น่ะเดิมมันจะร้าง ไม่ใช่จะร้าง มันร้างแล้ว มันไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว มีเจดีย์เก่าๆ เหลืออยู่นิดเดียวเท่านั้น คราวนี้ชาวบ้านเขาก็รักษาไว้เป็นที่ของวัด ไม่มีใครกล้ามารุกรานวัด"

เป็นอันว่าคนที่นั่นเขามีจิตเป็นกุศลดี หลวงพ่อพ่วงท่านมาจากไหนก็ไม่ทราบ เป็นพระที่มีความรู้ดี ท่านมา เขานิมนต์ท่านให้พักอยู่ที่นั่น เห็นจะมาจากธุดงค์ แบบนี้คงมาจากธุดงค์ เขานิมนต์ให้มาปักกลดพักที่นั่น แล้วบอกว่าถวายที่ ขอให้หลวงพ่ออยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็สร้างกระท่อมให้อยู่ ก็บังเอิญหลวงพ่อพ่วงเป็นพระที่มีความรู้ในการก่อสร้างอย่างดีเลิศ แถมเป็นช่างเสียด้วย ไม้สมัยนั้นก็หาง่าย ค่าภาคหลวงก็ง่าย ขออนุญาตก็ง่าย ไม่จุ๋งจิ๋งๆ เหมือนสมัยนี้ เป็นแต่เพียงว่าขออนุญาตบอกตำรวจ บอกอำเภอเสียหน่อยเดียวก็ใช้ได้กันแล้ว ไม้ก็หาไม่ยากนัก เพียงแต่เดินไปด้านตะวันตกของฝั่งวัดเพียง ๒ กิโลเมตร ดูเหมือนว่าใครเอาเสาไปปักไว้ที่กลางทุ่ง มันมีใบอยู่แค่ยอด ขาวสล้างไปหมด เอาเท่าไหรก็เอาได้ ท่านจึงมาจัดการสร้างวัดสร้างวานี้ให้มีความเจริญ มีอกุฏิถึง ๙ หลัง มีศาลาการเปรียญ มีหอสวดมนต์ และมีพระอุโบสถ จัดลานวัดไว้สวยสดงดงาม ปลูกมะม่วงมันไว้มาก มะม่วงมันๆ มีเยอะ

ทีนี้ก็เลยถามว่าใคร บอก กูชื่อพ่วง ถามว่ามาเรียกทำไม ตอบ เอ็งอย่ามานอนซี ขโมยมันจะเข้าวัดว่ะ บอกว่า เข้าวัดก็ไล่มันไปซี ตอบว่า กูเป็นผีนี่ มันมองไม่เห็นตัว มึงออกมาซี มานั่งคุยข้างนอก มันได้ยินเสียงคนคุยมันก็ไม่กล้าลักของ ถามว่ามันจะลักอะไร ตอบว่ามันจะลักของที่หอสวดมนต์ มันรู้ว่าพระไปเที่ยวหมอ ถามว่าขโมยมันรู้ได้ยังไงว่าพระไปเที่ยวหมด ท่านก็เลยบอกว่า ขโมยมันไปที่งานโน้น มันไปเจอะพระ ทั้งสมภาร ทั้งลูกวัดไปอยู่ที่โน่นหมด ไม่มีใครเหลือเลย แต่นี่มันมาหมกอยู่ใกล้ๆ นี่แล้ว ออกมานั่งข้างนอกสิ

เลยบอกว่า ออกไปนั่งน่ะนั่งได้ เกรงมันจะยิงกระบาลเอานะสิ ตอบว่าไม่ยิงหรอก ไม่เป็นไร กูอยู่ที่นี่แล้ว ไม่เป็นไร มึงมานั่งขวางคอมันหน่อยเดียวเท่านั้นแหละ นอกนั้นกูจัดการเอง นี่เป็นเรื่องของท่าน ก็เลยบอกไปนั่งด้วยกันทั้งหมด พระ ๒ เด็ก ๒ นั่งคุยกันตามอัธยาศัย วันรุ่งขึ้นจึงไปเทศน์

หลวงพ่อท้วม วัดชายนา
ทีนี้เรื่องของหลวงพ่อพ่วงนี่ นอกจากท่านจะเป็นนักก่อสร้างแล้ว ก็มีความรู้พิเศษ ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั่น หลวงพ่อท้วมวัดชายนา หลวงพ่อท้วมองค์นี้ก็มีบารมีแก่กล้ามากคนทำบุญไม่อั้น แต่ว่าท่านก็สร้างไม่อั้นเหมือนกัน ทีนี้ท่านจะสร้างศาลาหลังใหญ่ ใหญ่เป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าใหญ่กว่าศาลาทั้งหมดในจังหวัดสุพรรณบุรี

แต่ว่าตอนนี้ไม่ใหญ่ที่สุดแล้ว เพราะว่าหลวงพ่อปานไปสร้างไว้ใหญ่ๆ หลายหลัง ทีนี้ในขณะที่ท่านสร้าง ท่านก็ไม่ได้ทำพิธีกรรมต่างๆ เพราะท่านถือว่าท่านเป็นพระนี่ หลวงพ่อท้วมจะทำอะไรก็ทำได้ เข้าใจว่าเวลานั้นคงจะหนุ่มๆ คงยังไม่ถือสาอะไรนัก คงจะรู้อะไรน้อยไปหน่อย นั่นเรื่องของพระ ก็เป็นของธรรมดาของคน พอบวชเข้ามาใหม่ๆ ความเป็นคนยังติดอยู่มาก ก็เลยคลายจากความเชื่อถือสิ่งต่างๆ หาว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เขาบอกกันมานี่ มันไม่เป็นความจริง

ท่านก็ตั้งศาลาขึ้นมา ใส่ขื่อ ใส่จันทันหมดเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าพอเสร็จเรียบร้อยวันนั้น วันรุ่งขึ้นจะมุง ตีระแนงเสร็จ วันนั้นลมพายุใหญ่มา ชาวบ้าน ที่เดินผ่านไปหน้าวัดเขามีถนนผ่านไปหน้าวัดจากจังหวัดสุพรรณบุรีไปถึงโพธิ์พญา เวลานั้นโพธิ์พญาก็คือประตูน้ำโพธิ์พญา วัดหลวงพ่อท้วมอยู่ติดกับถนน คนที่เดินไปเห็นว่าคนบนศาลาเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าขึ้นไปทำไมเวลาลมแรงๆ แล้วไอ้ลมนั่นมันก็แรงเฉพาะแต่ที่วัด ที่อื่นก็มีลมแต่มันไม่แรงมากนี่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง

ไม่เชื่อเรื่องเทวดา
ในสมัยนั้นมีคนหนึ่งอายุ ๘๐ปีเศษ แกบอกว่าแกเห็นกับตาของแกเอง แกเองเป็นคนเดินผ่านมากับพวกสัก ๑๐ คน ไปซื้อกับข้าวกับปลามาไว้สำหรับฤดูทำนา วันนั้นเป็นวันพระ ไปจ่ายกับข้าวมา วันพระเขาไม่ทำนา เห็นคนข้างบนนั่งเต็มไปหมด พอเดินคล้อยหลังมาหน่อยเดียวเห็นศาลาล้มครืน ล้มดังสนั่น พอล้มลงมาแล้วแกก็ตกใจว่าศาลาล้มลงมา คนไม่หล่นมาตายหมดรึ มองดูอีกที ปรากฏว่าคนไม่มีสักคน

นี่ถ้าหากว่าคนมีจริงๆ มันก็จะพ้นสายตาไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นเวลากลางวัน ประมาณสัก ๔ โมงเย็นเท่านั้น แกก็บอกว่า หลังจากนั้นมาแล้ว หลวงพ่อท้วมท่านก็เสียใจ เสียใจตอนไหน เสียใจตอนที่เงินของชาวบ้านที่เขาให้มานี่น่ะ กว่าเขาจะให้มาแต่ละบาทแต่ละสตางค์ก็สูญเสียไปเปล่า ที่จริงความเสียหายก็ไม่ได้เสียหมด อย่างจันทัน อย่างระแนงนี่ ระแนงเสียหายมาก จันทันบางตัวก็หัก ปากไม้บางอันก็ฉีก

แต่ความจริงที่ยังดีๆอยู่ก็ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ทีนี้ของที่มันเสียไปก็ หนึ่ง ค่าวัตถุ สองค่าเวลา สาม ค่าแรงงาน มันก็ไม่น้อยเหมือนกัน ในเมื่อมันเสียไปอย่างนั้น ท่านก็ไม่สบายใจ นอนคลุมหัวคลุมเท้าไป ๓ วัน ๓ คืน ไม่กินข้าว คงจะนึกว่าเรามันเลวเกินไปแล้วปล่อยให้ตายเสียดีกว่า

เมื่อหลวงพ่อท้วมไม่ฉันอาหาร เขาก็มาตามหลวงพ่อพ่วง วัดลาวทอง นี่ท่านผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง หลวงพ่อพ่วงพอได้ยินข่าวว่าศาลาพังเพราะลมพัด ตามปกติศาลามันพังเพราะลมพัดไม่ได้ เสามันก็โต ลงเสามันก็ลึก คนโบราณเขาทำอะไรไม่ประมาท หลวงพ่อก็ด่าเลยว่า ไอ้...แม่ ทำอะไรไม่ดูเจ้าที่เจ้าทางเขาบ้าง มันทำแล้วไม่บอกเขามันก็เป็นแบบนี้ เขาก็เลยนิมนต์บอกว่า ถ้าหลวงพ่อไม่ไปละก็ หลวงพ่อท้วมคงจะนอนยันตายแน่ ไม่ฉันข้าวมา ๓ วันแล้ว หลวงพ่อพ่วงก็ไป

เมื่อไปถึงก็ไปเปิดหน้าดู บอกว่านี่ นอนทำไมล่ะ เป็นหนี้สินเขาจะนอนตายแบบนี้ ตายแล้วมันก็ลงนรก ลุกขึ้น ความดีก็ทำไว้มาก ที่มาเป็นอย่างนี้ไม่มีใครเขามาช่วยเราได้ แต่ว่าเรานี่มันเลวอยู่อย่างหนึ่งนา ที่ไม่เชื่อผีไม่เชื่อเทวดาเสียบ้างนี่มันไม่ดี หลวงพ่อท้วมก็ยอมรับฟังด้วยดี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านเชื่อมั่นในหลวงพ่อพ่วง หลวงพ่อพ่วงก็บอกว่าเอาอย่างนี้ ตั้งใหม่ ตั้งมันตรงนั้นแหละ แต่ว่าต้องไปหาเครื่องบวงสรวงมา หาเครื่องสังเวยมา ฉันจะจัดการให้ หลวงพ่อท้วมท่านก็ว่าง่ายแสนง่าย จัดให้ทุกอย่า หลวงพ่อพ่วงท่านก็ทำให้

บวงสรวง
เป็นอันว่าศาลาหลังนั้นก็เสร็จไม่ยาก หลวงพ่อท้วมก็ถามว่า ไอ้เงินทองที่เขาให้มาน่ะมันก็ใกล้จะหมดลงไปแล้ว มันควรที่จะซื้อของต่อไปได้ แต่มันสูญเสียอย่างนี้จะทำอย่างไร ชาวบ้านเขาก็จะไม่เชื่อถือ หลวงพ่อพ่วงก็บอกว่า ทำไปเถอะ ถ้าเราบวงสรวงแล้วแบบนี้นะเงินมันจะไหลมาเทมา และวิธีการแบบนี้ท่านก็ควรจะจำไว้ด้วย เพราะนักก่อสร้างจำจะต้องทำเพราะดีไม่ดีท่านไปสร้างคร่อมที่เขา อย่างที่ๆ ท่านทำศาลานี่มันคร่อมขุมทรัพย์เขา มันต้องบอกเขาเสียก่อน นี่เขาหาว่าดูถูกดูหมิ่น นี่ไม่ใช่ผี เป็นเทวดา หลวงพ่อท้วมก็ยอมเชื่อ

เมื่อท่านทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนกลับเห็นใจว่าหลวงพ่อท้วมท่านเสียใจใกล้จะตาย มึงก็เอาเงินมาช่วย กูก็เอาเงินมาช่วย เกรงว่าหลวงพ่อจะตาย เป็นอันว่าได้เงินสร้างศาลา สร้างศาลาเสร็จแล้วยังมีเงินสร้างหอสวดมนต์ได้อีก ๑ หลัง แล้วแรงงานต่างๆ ทีนี้ไม่ต้องจ้างแล้ว ชาวบ้านช่วย ดีขึ้นมาทุกอย่าง มันก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ นี่เล่ามาให้ฟังอย่างนั้นว่าเป็นเหมือนกัน เรื่องของใครก็เรื่องของใคร จะไปยุ่งเรื่องของใครมันก็ไม่เป็นการสมควร

ทีนี้ก็เลยขอเล่าประวัติของหลวงพ่อท้วมต่อไปเลย แต่ประวัติจริงๆ อาตมาไม่รู้หรอกรู้เฉพาะจุดหนึ่ง เอาจุดเดียวเท่านั้น มันมีเส้นทางอยู่เส้นหนึ่ง เขาจะตัดออกไป ไปหาหมู่บ้านอะไรก็จำชื่อไม่ได้ มันไปประเดี๋ยวเดียว เลยจากวัดหลวงพ่อท้วมไปสักกิโลเมตรเศษๆ หมู่บ้านนั้นเป็นหมู่บ้านใหญ่ การสัญจรไปมาในฤดูทำนามันก็ลำบากมาก ทางราชการก็อยากจะช่วยเหลือแต่ว่าไอ้เงินที่จะซื้อที่ดินมันก็ไม่มี จะไปขอซื้ออสังหาริมทรัพย์กันก็ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีเทศบาลเหมือนสมัยนี้นี่

แล้วก็ไอ้เรื่องการจุกจิกจู้จี้ การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มันก็ไม่ค่อยจะมี ถ้าหากว่าจะทำอย่างนั้น ขอให้รัฐบาลสมัยนั้นเป็นราชาธิปไตย จะขอให้ท่านออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่สมควร คนสมัยนั้นเขาใช้ดุลยพินิจกันมาก ไม่ใช่อึกอักอะไรก็เอา ก่อนที่จะทำอะไรลงไปก็ต้องอาศัยกำลังใจชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย เพราะว่าชาวบ้านชาวเมืองทั้งหมด เขาเกิดไม่ไว้ใจรัฐบาลขึ้นมารัฐบาลก็สู้ไม่ได้

จะบอกว่ามีกองทหาร ก็อย่าลืมว่า คำว่าชาวบ้านชาวเมืองทั้งหมดน่ะ ทะหงทหารมันก็ชาวบ้านชาวเมืองทั้งนั้น ถ้าเขาเกิดไม่ไว้วางใจขึ้นมาจะอยู่ได้ยังไง ก็ต้องเอาใจชาวบ้านเหมือนกัน ไม่ใช่ทำให้ชาวบ้านเกลียดน้ำหน้า ก็มีพวกดาวไถเตารีดพวกนี้แหละ สร้างให้ชาวบ้านเกลียดน้ำหน้าไปมากมายแล้ว บางทีโจรมีน้อยก็สร้างโจรให้มันมากขึ้น มันก็ไม่ถูก

ข้าราชการสมัยนั้นเขาดี เขาเข้าไปหาเจ้าของที่บอกว่า จะตัดถนนจากตรงนี้เข้าไปหาหมู่บ้านโน้น โดยพวกท่านจะได้ไม่ต้องเสียค่าแรงงาน จะไม่เรี่ยไรค่าแรงงานเลย ทางราชการถ้ามีเงินก็จะเอาเงินมาช่วยจ้างบ้าง ไม่งั้นก็จะเอานักโทษมาช่วยทำ ทีนี้เจ้าของนาบางรายก็ขอเอาเนื้อที่ไม่มาก เอาแค่กว้าง ๔ วาเท่านั้นเป็นทางเดิน ให้เป็นทางเดินทำถนนต่ำๆ พอที่น้ำจะไม่ท่วม แล้วเกวียนก็เดินไป ๔ วานี่เกวียนหลีกกันได้สบายๆ เป็นทางหลวงมาตรฐานสมัยนั้นทางหลวงเดินเท้า ทางหลวงเกวียน ไม่ใช่ทางหลวงรถ

ทีนี้ก็มีหลายเจ้าด้วยกันเขากลัวเสียพื้นที่นาของเขา เขาไม่ยอมให้ เมื่อต้องเว้นที่ราย ๒ รายอย่างนี้ ทางราชการก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะถนนมันเป็นไม่ได้ มันต้องเชื่อมกันไม่ใช่สร้างตรงนี้แล้วก็ไปขาดตรงโน้น เมื่อทางราชการหมดท่า ขากลับมาเขาก็แวะนมัสการหลวงพ่อท้วม แต่ความจริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนหลวงพ่อท้วม เพราะว่าท่านเป็นพระที่ควรแก่การเคารพ สมัยนั้นคนเคารพนับถือท่านมาก

หลวงพ่อท้วมจึงได้ถามว่าไปไหนมาล่ะ พวกนายอำเภอกับปลัดอำเภอ และมีเข้าหน้าที่อะไรบ้างก็ไม่ทราบ ก็เล่าความเป็นจริงให้ฟัง ว่าไปติดต่อกับประชาชนเข้าของนา จะขอเนื้อที่ทำถนนตรงโน้น หลายรายให้ มีส่วนน้อยไม่ให้ ทางก็เลยทำไม่ได้ ท่านเลยถามว่า ทำทางแล้วคนเขาเดินนี่จะเก็บสตางค์ไหม ข้าราชการผู้นั้นก็ตอบว่าไม่ได้เก็บหรอกครับ คนหมู่โน้นจะเข้ามาในเมืองก็มาลำบาก มันไกลไป แกต้องไปเดินอ้อมหัวคันนาลำบากมาก ผมไปตรวจราชการเห็นว่ามีความลำบาก จึงอยากจะให้มาแบบสบายๆ

แล้วถนนหนทางมันจะมีขึ้น เจ้าของนาก็สบาย จะขนข้าวขนปลา ขนจากบ้านก็ขึ้นถนนมันก็สะดวกสบายด้วยกันทุกอย่าง หลวงพ่อท้วมก็บอกว่า เขาไม่ให้ก็ปล่อยไว้ก่อน ไว้วันหลังฉันจะลองไปถามเขาดู ข้างฝ่ายคณะท่านนายอำเภอกับลูกน้องก็เดินทางกลับ

นั่งหนัก
พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อท้วมท่านก็ไปนั่งตรงต้นมะม่วง เพราะจุดเริ่มต้นที่เขาจะทำทางมันเป็นต้นมะม่วงพอดี มีต้นมะม่วงอยู่ข้างถนน ถนนรถวิ่ง ไม่ใช่ถนนทางเดิน เขาจะเริ่มต้นจุดตรงนั้น หลวงพ่อท้วมท่านก็ไปนั่งอยู่องค์เดียว ในเมื่อคนที่มีความเคารพท่านมากเห็นท่านไปนั่งตรงนั้น ก็ไปหาท่าน มึงก็มากูก็มา ใครได้ข่าวก็มาหาหลวงพ่อท้วม มาคุยกับท่านเมื่อคนมามากเต็มที่แล้วท่านก็บอกว่าประสงค์ บอกว่าที่มานั่งตรงนี้ไม่ใช่เพื่อความประสงค์อะไรหรอกนะ ไม่ใช่มานั่งเล่นเย็นๆ ใจใต้ต้นมะม่วง เพราะฉันมีเรื่องจะต้องทำ

เขาถามว่าทำอะไร ท่านก็บอกว่าไอ้หมู่บ้านโน่นน่ะ เวลามันจะมาตลาดก็ดี เวลาจะมาทำบุญที่วัดฉันก็ดี คือชาวบ้านแถวนั้นมาทำบุญที่วัดหลวงพ่อท้วม เพราะวัดมันอยู่ห่างๆ กัน เขาอยู่ใกล้วัดหลวงพ่อท้วม แต่ว่าต้องเดินทางตั้งสองกิโลเมตร แต่เดินอ้อมไปอ้อมมามันก็แย่เหมือนกัน ฉันอยากจะทำทางตรงโน้นแต่ไม่รู้ว่าที่นาตรงนี้มันเป็นของใครบ้าง ฉันอยากจะขอซื้อที่กว้างสัก ๔ วา ตลอดจนยันหมู่บ้านโน้นมันเป็นที่ของใครบ้างนะ จะคิดฉันเท่าไหรก็เอา ฉันจะตกลง เพราะอยากให้คนพวกนั้นไปตลาดมาตลาดสบาย เขาอยากจะมาทำบุญที่วัดฉันก็มาสบาย

เป็นอันว่าบรรดาคนที่ไปประชุมกันที่นั่นเป็นเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่เดินไปครบ แล้วก็คนอื่นด้วย ทุกคนก็ออกปากถวาย ถ้าหากหลวงพ่อต้องการก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ ไม่ต้องซื้อหรอกเจ้าค่ะ ผมถวาย ฉันถวาย หลวงพ่อจะเอาตรงไหนครับ หลวงพ่อบอกว่าเอาจุดนี้แหละ ตัดตรงมุมไปมุมโน้นเลย เป็นอันว่าชาวบ้านพวกนั้นเองก็ลุกขึ้นเอาเชือกขึงให้ตรงจุดหมายปลายทาง ตอกหลักไว้เป็นระยะๆ เป็นเส้นกึ่งกลาง

แล้วเวลาที่จะทำถนนก็วัดกว้างออกไปข้างละ ๒ วา เป็น ๔ พอดี เขาก็เลยถามหลวงพ่อท้วมว่าจะทำเมื่อไร หลวงพ่อท้วมบอกว่า ไอ้จะทำไวๆ ก็เกรงใจพวกแกนะ พวกแกนี่ก็เลิกทำการเกี่ยวข้าวเกี่ยวปลามาใหม่ๆ จะได้พักผ่อนหย่อนใจไปเที่ยวเตร่กันบ้าง ความจริงนะฉันอยากจะลงมือทำเสียพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำไป เอายังงี้ เอาตรงจุดนี้พอดีแล้วนะ แล้วกว้างออกไป ๒ วา

ตานี้ไอ้ดินที่จะขึ้นมาบนถนนนี่น่ะ เราจะหาได้ที่ไหน พวกเจ้าของนาบอกเอาได้เลย ปลวกทุกปลวกผมให้หมด ถ้าไม่พอก็หน้าดินนี่ ผมให้แค่ชั่ว ๑ จอบ คือฟันเข้าไปจม ๑ สันจอบใช้ได้ ท่านก็ถามว่า แล้วพวกเราใคระจว่างบ้างไหม เขาก็บอกว่าเขาว่างทุกคน เขาถามว่าจะลงมือเมื่อไร บอกว่าตามใจ ฉันอยากจะให้มันเสร็จเร็วๆ ด้วยซ้ำไป เกรงใจพวกเธอ ชาวบ้านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ผมจะลงมือกันเลยครับ เป็นอันว่าถนนสายนั้นเสร็จ ไม่ใช่ทางราชการทำ เป็นถนนของหลวงพ่อท้วมไป แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีใครเขาเขียนชื่อหลวงพ่อท้วมเข้าไว้

เอาละท่านผู้อ่าน สำหรับเรื่องราวของหลวงพ่อพ่วงกับหลวงพ่อท้วมมาบวกกัน เวลานี้ก็จะขอจบ แต่ก่อนที่จะจบ ก็ขอปรารภว่าหลวงพ่อพ่วงน่ะท่านตายไปแล้ว ทำไมจึงได้มีความห่วงฝยในทรัพย์สิน เพราะทรัพย์สินทั้งหลายมันไม่ใช่ของท่าน มันเป็นของสงฆ์ แต่ท่านตายไปแล้วก็เป็นเทวดา อันนี้ก็ต้องขอตอบว่า ขึ้นชื่อว่าเทวดา ท่านผู้อ่าน เทวดาจะเป็นได้ก็เพราะอาศัยความดีในพระพุทธศาสนา

มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทรงพรหมวิหาร ๔ ละอคติ ๔ มีความสามัคคี ต้องการความเป็นไท คือมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส ไม่ยอมให้อำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมมาอยู่ใต้อำนาจจิต จิตใจของท่านจึงเป็นใจไท คำว่าใจไทของท่านจึงไม่ใช่ทาส ก็เช่นเดียวกับไทยเวลานี้ เราทรงความเป็นไทไม่ใช่ทาส ก็เพราะอาศัยความสามัคคี ไม่ยอมให้ความเลวเข้ามาท่วมทับหัวใจ

คราวนี้สำหรับหลวงพ่อพ่วงก็เหมือนกัน ที่ท่านตายเป็นเทวดาได้ก็เพราะอาศัยใจท่านเป็นไท ไม่ตกเป็นทาสของตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ในเมื่อขโมยจะมาลักของๆ สงฆ์ไป ซึ่งของสงฆ์เหล่านี้ได้มาด้วยศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านเป็นผู้เก็บรักษาของสงฆ์ จึงได้เป็นเทวดาได้ ท่านสร้างของสงฆ์ขึ้นมาแล้วเก็บรักษาของสงฆ์ได้ดี จึงเป็นเทวดาได้ ในเมื่อของสงฆ์จะสูญไปจึงได้แสดงอำนาจของเทวดาให้ปรากฏ ให้อาตมาทั้งสองพร้อมด้วยเด็กไปนั่งเฝ้าข้าวของ คือว่าคนตื่นเท่านั้นขโมยก็ไม่กล้า เพราะขโมยไม่ได้ปล้น ต้องการแย่งมา

คราวนี้ในเมื่อท่านยังอยู่ ท่านรู้ได้ยังไงเรื่องผีเรื่องเทวดา เรื่องนี้ก็ขอไม่ตอบดีกว่า บรรดาท่านผู้อ่าน เพราะว่าหนังสือเล่มอื่นก็บอกมามากแล้วว่าการรู้ผีรู้เทวดาเป็นยังไง ห้าอยากจะถามว่าหลวงพ่อท้วมมีบุญบารมีอะไรเข้าไว้ ทำไมจึงมีบารมีแก่กล้าแบบนั้น ก็ต้องขอ บอกว่า บารมีของหลวงพ่อท้วมนั้น นอกจากจะมีศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์ผ่องใสแล้ว ท่านก็เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

คือมีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน แล้วก็ไม่มีอคติ แปลว่าลำเอียง คือไม่ลำเอียงเพราะความรัก ไม่ลำเอียงเพราะความโกรธ ไม่ลำเอียงเพราะความกลัว ไม่ลำเอียงเพราะความหลง ๔ ประการนี้ท่านไม่ลำเอียง ท่านตรง ยืนจุดตรงอยู่โดยเฉพาะ ฉะนั้นจึงถือว่าท่านเป็นพระที่มีบารมีมาก เอาละบรรดาท่านผู้อ่าน เรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้เราก็กล่าวกันตอนท้ายนิดหนึ่ง ว่าเขาทำดีเพราะอาศัยอะไรเป็นปัจจัย จึงขอจบเรื่องนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ สวัสดี...

จากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑๗

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 03:48 , Processed in 0.036325 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.