แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4895|ตอบ: 0
go

ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๒ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๒
วันที่: วันพฤหัสบดี 14 มิถุนายน 2007 @ 18:26:52
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ




ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๒

หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
ในเมื่อถึงเวลาบวช เมื่อบวชจริงๆ ท่านบวชที่ วัดบางปลาหมอ เพราะว่าเวลานั้นวัดบางนมโค เวลานั้นเดิมทีเป็ฯวัดร้าง หลวงปู่คล้ายนี่เป็นพระจาก จ.ธนบุรี ขึ้นมาเริ่มสร้างวัดบางนมโคองค์แรก หมายความว่าสร้างทับที่เดิม เดิมมีกุฏิอยู่ ๒ - ๓ หลังยังไม่ทันจะมีโบสถ์ ถ้าวัดไหนไม่มีอุโบสถ์หรือโบสถ์ วัดนั้นก็ยังบวชพระไม่ได้ ต้องไปบวชพระที่วัดที่สร้างพระอุโบสถแล้ว

เมื่อพรรษาแรก หลวงปู่คล้ายบอกว่า "ควรจะอยู่กับอุปัชฌาย์ ๑ ปีก่อน เพราะอุปัชฌาย์จะได้สั่งสอนวิชาการต่างๆ" เมื่อขณะที่หลวงพ่อปานบวชขณะนั้นพอดี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ กำลังสร้างพระอุโบสถใหม่ ขณะนั้นปรากฏว่ามีช่าง สำหรับคนที่เป็นนายช่าง ๓ - ๔ คนมาควบคุมการสร้างพระอุโบสถ เขามาช่วยท่านด้วยศรัทธาจริงๆ ไม่ใช่จะมารับจ้าง เรื่องการเงินการทองนี่เขาไม่ขอรับ และอาหารการบริโภคเขาก็เอามาหมดทุกอย่าง เขาหามากินเองไม่รบกวนทางวัด แรงงานทั้งหมดก็ได้ชาวบ้านช่วยกัน แล้วก็ช่วยกันจัดหาวัสดุก่อสร้างทุกอย่าง คนสมัยนั้นเขามีศรัทธามาก ขณะที่สร้างพระอุโบสถ ตอนเย็นวันหนึ่งท่านเดินไปดูนายช่าง เห็นนายช่างซื้อหมูบ้างซื้อเนื้อบ้างกินวันละเล็กวันละน้อยไม่มากรู้สึกว่าจะเป็นคนเขียมๆ คือไม่มีค่าจ้างค่าออน ก็กินกันตามอัตภาพที่จะพึงหาได้

ท่านก็เลยบอกพวกนายช่าง บอกว่า "พวกแกมาทำงานวัดนี่ แกจะมาซื้อกับกินทำไม ปลาในสระมีเยอะแยะไป ทำไมแกไม่ไปตกมากิน" นายช่างก็บอกว่า "ปลาวัดมันบาปครับ และปลาไม่ใช่ปลาวัดก็บาป แต่ผมก็หาอยู่ บ้านผมก็หา แต่ปลาวัดผมถือครับ ผมไม่กินหรอกเพราะมันบาปมาก" หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า "ถ้าปลาที่อื่นมันอาจจะบาป ถ้าปลาในสระของวัดนี่กินไม่บาป ถ้าแกกำลังก่อสร้างอยู่อย่างนี้นะ เพราะผลบุญที่แกสร้างพระอุโบสถนี่มันมากกว่า" พระอุโบสถนี้เป็นพระอุโบสถใหม่นะ เพราะหลังเก่ามันทรุดโทรมมาก ท่านสร้างแทนขึ้นมาใหม่ หลังเก่าก็ยังไม่ได้รื้อ ท่านบอกว่า "อนุญาตนะ พวกแกจะกินได้ ทีหลังไม่ต้องไปซื้ออะไรเขามากิน เอาปลาในสระกิน ฉันรับรองว่าไม่บาป เพราะเป็นปลาวัด อีกอย่างหนึ่งคนที่ทำงานในวัดกินปลาวัดได้" พวกนายช่างก็เชื่อ เพราะว่าตามธรรมดาไม่ค่อยจะมีอะไรกินอยู่แล้ว ถึงตอนเย็นท่านก็บอกว่า เอาเบ็ดเกี่ยวเหยื่อเข้า อะไรก็ได้เนื้อที่มันตายแล้ว จะเป็นเนื้อหรือเศษปลาหรืออะไรเกี่ยวเบ็ด โยนลงไปในสระ พอโยนไปสักอึดใจเดียวก็ปรากฏว่าปลาเค้าตัวใหญ่กินเบ็ด แล้วก็ดึงขึ้นมา แล้วก็เอามาทำเป็นอาหารกิน

พวกคณะช่างกินปลาในสระจนกว่าจะสร้างโบสถ์เสร็จ ขณะที่กินปลาได้ไม่กี่วันรู้สึกว่าอุจจาระที่ถ่ายออกมามันมีสีเขียว เขาก็แปลกใจ จึงไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไอ้ปลาในสระมันไม่มีอาหารอย่างอื่นกิน มันกินตะไคร่น้ำ แกกินเข้าไปขี้มันก็เขียวน่ะสิ"

ทีนี้เมื่อหลังจากสร้างพระอุโบสถเสร็จท่านก็ประกาศว่า "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใครจะกินปลาในสระไม่ได้นะ ถ้ากินแล้วจะเป็นโรคเรื้อน" คนเขากลัววาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่าน นายช่างก็ถามว่า "พวกผมจะเป็นไหม"
ท่านบอก "แกกินก่อนน่ะไม่ป็นหรอก แต่ต่อไปนี้ถ้าแกกินแล้วเป็นโรคเรื้อน"
ถามว่า "เป็นเพราะอะไร"
ท่านก็บอกว่า "ข้าโกหกให้แกกินใบไม้ ข้าเสกใบไม้เป็นปลาเอาไว้ กินอร่อยไหมวะ"
นายช่างบอกว่า "รสชาติมันก็เหมือนปลาธรรมดาพวกนั้นแหละ"
ท่านบอกว่า "ปลาวิชชามันเป็นอย่างนั้น นี่ข้าเสกใบไม้"
ผลที่สุดท่านก็หยิบใบไม้ขึ้นมาใบ แล้วถามว่า "แกเชื่อไหมว่าข้าทำใบไม้เป็นปลาได้"
นายช่างก็บอกว่า "เชื่อเหมือนกันครับ แต่อยากเห็น"

ท่านเลยหยิบใบไม้มาใบหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในขันน้ำปรากฏว่าเป็นปลาว่ายปร๋อ พวกนายช่างหัวเราะกันใหญ่ บอกแหม..หลวงพ่อ! ผมไม่รู้เลยว่าหลวงพ่อให้กินใบไม้ ผมกินกันใหญ่ ทีแรกผมนึกว่าเป็นปลาจริงๆ ผมไม่กล้าจะตกขึ้นมากินมากๆ กลัวมันจะบาปมาก ไอ้บาปกับบุญที่สร้างโบสถ์มันจะไม่พอกัน ท่านก็หัวเราะชอบใจ อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุ่น ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน ปรากฏว่าเป็นพระได้อภิญญาเหมือนกัน

รัชกาลที่ ๖ กับหลวงพ่อสุ่น
หลวงพ่อสุ่นองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖. ทรงขึ้นและมีความเคารพนับถือมาก เพราะว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จไปจอดเรืออยู่ที่หน้าวัด เห็นนกกระยางบินผ่านมาหน้าวัดก็ยกปืนขึ้นยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่ผลที่สุดจะหันปืนไปทางไหน อากาศเต็มบริเวณวัดนั้นทั้งหมดยิงไม่ออก ท่านมีความสงสัยก็ขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาส คือหลวงพ่อสุ่น

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อย่าว่าแต่อากาศเลย อะไรก็ยิงไม่ออกในวัดนี้"
ท่านจึงถามว่า "เป็นเพราะอะไร"
ท่านบอกว่า "เป็นเพราะอำนาจพระพุทธานุภาพ"
รัชกาลที่ ๖ ก็อยากจะทราบว่า "ถ้ากระผมอยากจะเป็นคนยิงไม่ออกพอจะได้ไหม"
ท่านก็บอกว่า "ได้" แต่ว่าต้องรับปากเสียก่อนว่านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปในเขตบริเวณวัดจะไม่ทำอันตรายแก่สัตว์ จะไม่ละเมิดสิทธิของสงฆ์

รัชกาลที่ ๖ ก็รับคำ แล้วท่านก็ขอพระแสงประจำตัว คือมีปืนเล็กๆ กระบอกหนึ่ง แล้วก็มาเสก เสกแล้วก็ส่งให้ ท่านบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถ้าหากพระองค์ติดปืนกระบอกนี้อยู่ละก็ปืนอื่นจะยิงไม่ออก อาวุธทุกอย่างจะทำอันตรายพระองค์ไม่ได้" พระองค์ก็บอกว่า "อาวุธอย่างนี้อาจจะไม่ติดตัวในบางขณะ แต่กระผมอยากจะให้ตัวผมเองไม่มีอันตรายจากอาวุธ" ท่านก็บอก "ถ้าอย่างนั้นก็ก้มพระเศียรมา" รัชกาลที่ ๖ ก็ก้มพระเศียรลงไป ท่านก็ลงกระหม่อมให้ และก็บอกให้มหาดเล็กลองยิง ให้ยิงเดี๋ยวนั้น ก็ไม่ติด รัชกาลที่ ๖ มีความเลื่อมใสมาก

อันนี้เป็นปฏิปทาของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน สำหรับหลวงพ่อปั้นวัดพิกุลทอง นั้นท่านก็บอกว่ามีปาฏิหาริย์เหมือนกัน เพราะเป็นพระได้อภิญญาเหมือนกัน จะขอไม่เล่าประวัติของท่าน

มีบารมีดี พบอาจารย์ดี
ที่นำประวัติของคู่สวดและอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปานมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อจะให้ทราบว่าคนที่มีบุญญาธิการ คือหลวงพ่อปานเวลาบวชแล้วปรารถนาพุทธภูมิเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล คนประเภทนี้ที่มีบุญมาก มีบารมีมากเมื่อบวชแล้วก็ดี หรือวังปฏิบัติความดีใดๆ ย่อมจะได้อาจารย์ที่สำเร็จมรรคผลมาก่อน ไม่ใช่จะไปพบอาจารย์ที่สั่วๆ หมายความว่าตัวเองก็ไม่ได้อะไร แต่ก็สอนลูกศิษย์ไปตามความรู้ความเห็น ที่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ เมื่อตัวเองยังทำไม่ได้ ปฏิบัติผลอะไรไม่ปรากฏและจะสอนคนอื่นให้เขาทำได้อย่างไร

อย่างนี้ถ้าจะเปรียบเทียบให้ฟังก็เช่นเดียวกับครูโรงเรียน ครูเองก็ไม่มีความรู้ในวิชาการต่างๆ และจะไปสอนศิษย์ให้มีความรู้ได้อย่างไร หรือว่าคนที่สอนวิชาช่างแต่ตัวเองไม่ได้เป็นช่าง ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่างแล้วก็จะสอนคนอื่นให้เขาเป็นช่างได้อย่างไร

ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้ความรู้ในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นพระ คือพระต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส แต่ทีนี้ถ้าคนสอนคนอื่นให้เป็นพระ แต่ทีนี้ตัวเขาไม่เป็นพระ เขายังเป็นผู้ละเมิดต่อกฏบัญญัติคือศีล ไม่เคาระในศีล ปฏิบัติศีลได้ไม่ครบถ้วน สมาธิคือฌานสมาบัติไม่มี วิปัสสนาญาณไม่ปรากฏ คือจิตยังตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและตัณหา แล้วคนประเภทนี้ถ้ามาเป็นพระอุปชฌาย์หรือคู่สวด อบรมสั่งสอนพระ ก็จะสอนตามความเห็นชอบของตัว

ตัวเองเป็นคนโลภในลาภสักการะ ติดในรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส มัวเมาในยศถาบรรดาศักดิ์ ติดอยู่ในความสุข และพอในใจคำสรรเสริญ ก็จะสอนลูกศิษย์ลูกหาให้มีอารมณ์เหมือนกัน ตกเป็นทาสของกิเลสและตัณหาเหมือนกัน

เพราะตัวเองก็สั่งสอนทรัพย์ สมบัติไว้มากมาย กลายเป็นพระเศรษฐี พระร่ำรวย มีเจ้าหนี้มีลูกหนี้ ซื้อสวน ซื้อนา ซื้อไร่ ซื้อวัสดุต่างๆ ไว้เป็นสมบัติของตน ลูกศิษย์ก็คงจะคิดว่าอาจารย์ของเรานี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วก็จะทำตามแบบอาจารย์ หรือเป็นคนเจ้าโมโหโทโส ผูกพยาบาทจองเวร จองล้างจองผลาญคนอื่น ชอบแช่งชักหักกระดูกคนอื่นให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ มีวาจาร้ายมีจิตชั่ว ลูกศิษย์ไม่เห็น เมื่อตัวอยู่ใกล้ๆ กับอาจารย์ เมื่อเห็นอาจารย์ปฏิบัติอย่างนั้นเขาก็จะคิดว่าอย่างเป็นความดี พระควรปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น

รวมความว่าถ้าตัวเองไม่ใช่พระก็จะสอนใครให้เป็นพระไม่ได้ คนประเภทนี้เป็นอาจารย์ที่ไม่มีความหมาย มีศีลไม่บริสุทธิ์ มีสมาธิไม่ตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณไม่แจ่มใส ท่านที่มีบุญมากๆ ท่านไม่เกิดในสำนักเหล่านั้น ท่านไม่ได้บวชไม่อยู่ในสำนักเหล่านั้น

ถ้าสำนักใดครูบาอาจารย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในกฏของความดีคือเป็นพระจริงๆ มีความเคร่งครัด มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปาน คู่สวดก็ได้อภิญญาทั้ง ๒ องค์ คือ
๑. หลวงปู่คล้าย
๒. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล
สำหรับพระอุปัชฌาย์ก็เป็นพระทรงอภิญญาทั้ง ๓ ท่านมีอภิญญาทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อท่านเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าคือปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึงได้ครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม ที่สมควรแก่การสอน คือมีความรู้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่างทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้จัดว่าเป็นบารมีของท่านบังคับจริงๆ บารมีดลบันดาลให้พบครูบาอาจารย์เช่นนี้ "จงจำไว้ว่าคนดีย่อมพบอาจารย์ดี คนที่มีบารดีย่อมพบอาจารย์ที่มีบารดี"

ฉะนั้นคนที่จะบรรลุมรรคผลใดๆ หรือแม้ว่าจะปฏิบัติกรรมฐานได้ในขั้นฌานโลกีย์ อันนี้ก็ต้องพบอาจารย์ดีที่มีฌานสมาบัติ คนที่พบครูบาอาจารย์ที่ได้ฌานโลกีย์ก็ดี หรือเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อันนี้เป็นของพบได้ยาก เป็นของค้นคว้าได้ยาก คนที่ต้องมีบารมีสมควรเท่านั้น ถ้ามีบารมีไม่สมควรจะไม่พบครูบาอาจารย์ประเภทนี้ได้เลย สำหรับหลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่มีบารมีเพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิมาตั้งแต่ในชาติก่อน ท่านจึงได้มาพบกับครูบาอาจารย์ของท่าน แม้แต่พระคู่สวดหรือพระอุปัชฌาย์ก็เป็นพระผู้ทรงอภิญญาทั้งสิ้น

และนอกจากนั้นครูบาอาจารย์ของท่านในกาลต่อไปข้างหน้าและแต่ละองค์ก็ล้วนแต่เป็นพระผู้ได้อภิญญาสมาบัติหรือเป็นพระอรหันต์หลายท่านด้วยกัน ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปข้างหน้า

อันนี้จะเล่าถึงตัวท่าน ท่านบอกว่าเมื่อได้เห็นอาการอย่างนั้นจากพระอุปัชฌาย์และคู่สวดก็มีความเลื่อมใสมาก ก็เลยจำพรรษาอยู่วัดบางปลาหมอ ๑ พรรษา คือพรรษาแรกทั้งๆ ที่จะไกลบ้านสักหน่อยก็ตามทีแต่เพราะอาศัยจิตที่รักวิชาประเภทนี้คือกรรมฐาน

หลวงพ่อสุ่นได้เริ่มสอนหลวงพ่อปานให้เริ่มฝึกพระกรรมฐานตามแบบ วิสุทธิมรรค คือในกรรมฐาน ๔๐ ครบถ้วน โดยให้ท่องหัวข้อกรรมฐาน ๔๐ ให้จำได้ และก็แนะวิธีการปฏิบัติทุกอย่าง ตามที่ในหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน แล้วต่อแต่นั้นไปเมื่อหลวงพ่อปานมีความสนใจในด้านอภิญญาสมาบัติ หลวงพ่อวัดบางปลาหมอ คือหลวงพ่อสุ่น ก็มอบกุญแจให้หนึ่งดอก แล้วบอกว่า "ปาน! ถ้าแกอยากจะได้อภิญญาแล้วละก็ แกต้องหัดเป่ากุญแจดอกนี้ให้หลุด" คือกุญแจดอกนั้นท่านกดติดกันมาแล้วและให้คาถาไว้บทหนึ่ง... สวัสดี...

โปรดอ่านติดตามตอนต่อไป...

จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๓๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐

ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 03:43 , Processed in 0.032876 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.