แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 2676|ตอบ: 0
go

ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๑ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๑
วันที่: วันอังคาร 12 มิถุนายน 2007 @ 16:35:16
หัวข้อ: บทความคำสอนปกิณกะ



ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค(ชุดเก่า) ตอนที่ ๑

ณ โอกาสต่อไปนี้ จะได้เล่าประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตารมที่พอจะนึกได้ เพราะฉันเองก็ทราบแต่เพียงประวัติบางประการเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะทราบเรื่องราวของท่านตลอดชีวิตก็หาไม่

จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบหรือเล่าสู่กันฟังเท่าที่พอจะจำได้หรือเท่าที่พอจะรู้เรื่องมา แต่ความจริงเวลากาลก็ได้ล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้ว ฉันก็อาจจะหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง

เอ้า! ต่อแต่นี้ไปก็ขอได้เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของ หลวงพ่อปาน ให้ทราบเท่าที่พอจะจำได้

ประวัติก่อนบวช
ในการประชุมสงฆ์ครั้งหนึ่ง ท่านได้เคยเล่าประวัติในตอนต้นของท่านให้ฟังว่า ในตอนก่อนที่ท่านจะบวชในพระพุทธศาสนานั้น ท่านเองเป็นลูกชาวบ้านของตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเอง ไม่ใช่คนที่อื่นที่ไหนมา ตระกูลของท่านนับตั้งแต่ท่านเกิดมามีชีวิต ท่านไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย แต่วิถีชีวิตของท่านนั้นท่านอยู่เป็นปกติ กล่าวคือ รักษาศีล ๕ เป็นปกติ และคนในตระกูลก็ไม่เคยมีใครขัดคอ เพราะรู้ว่าอัธยาศัยของท่านเป็นอย่างนั้น

แต่ว่าประวัติก่อนที่ท่านจะเกิดก่อนที่จะเข้าสู่ครรภ์มารดา มารดาของท่านมีนิมิตเป็นประการใดท่านไม่เคยเล่าให้ฟัง เป็นแต่เพียงท่านปรารภให้ฟังว่าก่อนที่ท่านจะบวช ทางตระกูลของท่านได้ไปจองสตรีคนหนึ่งไว้ให้ท่าน เพราะหวังว่าเมื่อท่านสึกออกมาแล้วก็จะได้แต่งงานกัน เพราะสมัยนั้นคนที่เขาจะแต่งงานกันต้องบวชก่อน และท่านบอกว่ามีความรู้สึกของท่านไม่มีความปรารถนาในการแต่งงาน แต่นั่นเป็นความหมายของท่านผู้ใหญ่ ท่านก็ไม่ขัดคอ แต่ท่านก็คิดไว้เสมอว่า "ถ้าท่านบวชเมื่อไหร่ฉันจะไม่สึก เพราะเห็นชีวิตในการครองเรือนมีความลำบาก"

ภาวนา "อรหัง"
ทีนี้ท่านได้เล่าย้อนต้นถอยหลังลงไปว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเด็กๆ พอที่จะจำความได้ก็หมายความว่าคงจะอายุประมาณ ๔ - ๖ ขวบ หรือ ๗ ขวบเป็นอย่างมาก ท่านบอกว่าในสมัยนั้นมีญาติของท่านคนหนึ่งตาย ญาตินั้นไม่ใช่ใครเป็นย่าของท่านเอง บ้านของท่านคือบ้านบิดามารดาของท่านกับบ้านย่าอยู่หมู่เดียวกัน ในขณะที่ท่านเป็นเด็ก ท่านไปเดินเล่นใต้ถุนบ้าน ไปเล่นกันที่นั่นระหว่างพวกเด็กๆ

ขณะนั้นย่าของท่านกำลังจะตาย ป่วยหนัก เห็นเขาบอกทางว่าขอจงนึกไว้ว่า พระอรหังๆ เสมอนะ เห็นผู้ใหญ่ว่าอย่างนั้น และเขาก็ลงมาไล่พวกเด็กๆ ท่านจำได้ ได้ยินชัด ที่เขาบอกว่าอรหังๆ ท่านจำได้ท่านก็ว่าเล่นๆ ทีนี้มาพอตอนเย็นเวลาที่จะรับประทานอาหารก็จะกินข้าวเย็น มารดาของท่านก็เรียกบรรดาลูกทั้งหมดมารวมกินข้าวที่บ้าน ในขณะที่ท่านนั่งกินข้าวอยู่ท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนกลางวันเขาบอกว่าให้ว่าอรหังๆ ท่านนึกขึ้นมาได้นี่ในภาษาเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ว่าอรหัง อรหังๆ ขึ้นมาดังๆ พอพูดเท่านี้ ท่านแม่ของท่านโกรธเป็นการใหญ่ จับท่านโยนปังไปกลางนอกชาน และก็บอกว่า เอ้า! "มึงจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป อย่ามาพาคนอื่นเขาตายด้วย" นี่ท่านบอกว่า นั่นเป็นความโง่ของมารดาบิดาของท่าน เพราะคนสมัยนั้นคิดว่าถ้าใครเขาภาวนาว่า อรหัง หรือ พุทโธ แล้วก็คนนั้นจะต้องตาย

และนอกจากนั้นถ้าหากบุคคลทั้งหลายใครที่เขายังไม่ป่วยไข้ ถ้าไปว่าให้เขาได้ยิน คนทั้งหลายก็จะพลอยตายไปด้วย ท่านพูดแล้วท่านก็หัวเราะใหญ่ ท่านบอกว่านั่นเป็นความโง่ของคนแก่ และต่อมาไม่ช้าอีก ๒ วัน คุณย่าของท่านก็ตาย

ท่านจึงได้ไปถามพ่อว่า ย่าเป็นอะไร
ท่านพ่อบอกว่า ย่าตายเสียแล้ว
ถามว่า ตายน่ะเป็นอย่างไร
บอกว่า ตายน่ะเขาก็เอาไปวัด เขาก็เอาไปเผา
และท่านก็ถามท่านพ่อว่า คนเราเกิดมาต้องตายทุกคนเหรอ
ท่านพ่อก็บอก ต้องตายทุกคน
ถามว่าเวลาจะตายทำไมต้องว่าอรหัง
ท่านพ่อบอกว่า เขาบอกหนทาง
ถามว่า ทางอะไร
บอกว่า ทางคนตาย
ถามว่า คนที่ยังไม่ตายว่าอรหังไม่ได้หรือ
ท่านพ่อก็บอกว่า คนที่ยังไม่ตายว่าอรหังไม่ได้ เพราะว่าเขาถือว่าเป็นโชคร้าย ลางร้าย คนที่ว่าอรหัง หรือว่าพุทโธน่ะก็จะต้องตาย

ท่านบอกว่าคำว่าอรหังหมายถึงเป็นที่ของพระอรหังต์หรือเป็นสรรพนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงสัญลักษณ์ว่าท่านเป็นผู้ไกลจากกิเลส ทำลายกิเลสได้สิ้นเชิง ไม่มีกิเลส เมื่อละอัตภาพจากอัตภาพนี้แล้วก็ไม่ต้องเกิดอีกไปสู่พระนิพพาน

หรือคำว่า พุทโธ ก็เหมือนกันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ไม่มีความงมงาย ตัดอวิชชาความโง่ได้หมด ตัดเยื่อใยแห่งกิเลสและตัณหาได้หมดสิ้น เมื่อละอัตภาพนี้แล้วก็จะไปสู่พระนิพพานเหมือนกัน แต่ท่านบอกว่าเป็นความโง่ของผู้ใหญ่ในสมัยนั้น

ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อท่านได้ฟังว่าคนเกิดมาแล้วต้องตายทั้งหมด ท่านก็คิดเลยทีเดียวว่าถ้าคนเกิดมาแล้วต้องตายเราจะไม่มีความเป็นอยู่อย่างพ่อ

จึงได้ถามพ่อว่า พระที่เขาเดินมาบิณฑบาตนี่เขาตายไหม?
พ่อก็บอกว่า พระก็ตายเหมือนกัน
ถามพ่อว่า ชาวบ้านถ้าตายแล้วไปไหน
พ่อตอบว่า ไม่แน่นัก ชาวบ้านตายแล้วไปสวรรค์ก็ได้ บางคนก็ไปนรก หรือไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานตามบุญตามกรรม แต่ว่าพระนี่ตายไปแล้วท่านไปเกิดบนสวรรค์หรือเกิดเป็นพรหม เพราะว่าพระเป็นผู้มีบุญมาก คนที่บวชพระแล้วต้องรักษาศีลบริสุทธิ์ ท่านพ่อเล่าให้ฟังเพียงเท่านี้
ถามว่าสวรรค์ กับนรกมีสภาพต่างกันอย่างไร
ท่านพ่อก็บอกว่า สวรรค์เป็นเทวดามีร่างกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีอาหารเป็นทิพย์ ไม่ต้องทำมาหากินเหมือนชาวบ้าน ไม่มีความทุกข์ สำหรับนรกจะต้องถูกลงโทษ ต้องถูกไฟเผา ท่านเล่าตามเรื่องราวของพระมาลัย

ท่านจำไว้เพียงเท่านี้ ท่านคิดอยู่ตลอด ถ้าหากฉันบวชเมื่อไหร่ฉันจะไม่สึก ฉันจะเป็นพระ ฉันจะตายแล้วไปสวรรค์ดีกว่า เป็นคติเดิมของท่านตั้งแต่เด็กๆ

และต่อมาสมัยที่ท่านครบบวช จะขอเล่าเลยเรื่องราวที่ไม่สำคัญนักไปเสียเมื่อท่านพ่อนำมาฝากวัด ขณะที่ท่านเดินมาท่านพบปลาตัวหนึ่งอยู่ในกะโหลกน้ำน้อยๆ ที่น้ำกำลังจะแห้ง ปลาตัวนั้นกำลังจะตาย ท่ากน็จับปลาตัวนั้นมาด้วย พอมาถึงหน้าวัดท่านก็ปล่อยปลาลงไปในน้ำ บอกให้ปลานั้นจงอยู่เป็นสุข จงปลอดภัย ขอชีวิตของเจ้าจงปลอดภัยจนกว่าจะถึงอายุขัย

พบหลวงปู่คล้าย
และท่านพ่อก็ได้นำไปฝากสมภารที่วัด สมภารในขณะนั้นก็ปรากฏว่าชื่อคล้าย เขาเรียกกันว่าหลวงปู่คล้าย หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีอาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์หรือเป็นสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาที่สมัยนั้นในพระพุทธศาสนาที่เรารู้ๆ ก็หมายความว่าท่านเป็น ผู้ทรงอภิญญา นั่นเอง และเรื่องราวของหลวงปู่คล้ายนี้ท่านเล่าให้ฟัง

หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยที่ฉันเข้ามาอยู่เป็นนาคเพื่อจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน พระเครื่อง พระองค์ไหนๆ ก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่เขากำลังลองพระกัน ท่านก็เปลื้องจีวรออก แล้วก็บอกว่าเอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่าไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า ทุด! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออกแต่ยิงจีวรของกูไม่ออก ปืนของพวกมึงเสีย นั่นครั้งหนึ่ง

อีกครั้งหนึ่งท่านบอกว่าขณะที่กำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์
หลวงปู่คล้ายก็เดินเข้าไปหาเข้าไปเรียกว่า ปาน! แกทำอะไรวะ?
หลวงพ่อก็บอกว่า ผมกำลังทอ่งหนังสือครับ
ท่านถามว่า ปานแกบวชแล้วแกจะสึกไหม?
ท่านก็ตอบหลวงปู่คล้ายตามเจตนาเดิมว่า ผมบวชแล้วไม่อยากสึกครับ
บอก อือ! ดี บอกว่านี่คนที่เขาไม่สึกน่ะเขาต้องทำอย่างนี้นะปาน

และท่านก็เอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่า ปานท่านอยากจะดูช้างไหม หลวงพ่อก็บอกว่า อยากดูขอรับ และแกดูจีวรนี่นะ ประเดี๋ยวมันจะเป็นช้าง พอมองไปประเดี๋ยวเดียวเจ้าจีวรจะค่อยๆ กลายเป็นช้างทีละนิดๆ ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน เมื่อสุดงวงแล้วจึงเห็นงา เห็นงาแล้วก็เห็นหัวช้าง ตัวช้าง ขาช้าง จนกระทั่งหางช้างและช้างนั่นเดินไปได้ตามความประสงค์ และท่านก็บอกว่า ปานอยากขี่ช้างไหม ท่านก็เลยบอกว่า อยากขี่
ท่านบอกว่า เอ้า! ช้างเทาลงมาหน่อยให้เขาขี่ ช้างก็เทาลงมา ท่านก็ขี่เล่นภายในป่าช้า วนไปวนมาสัก ๕ นาที

ท่านก็บอกให้ลงจากคอช้าง เมื่อลงจากคอช้างแล้วท่านก็บอกช้างเอ็งกลับมาเป็นจีวรตามเดิมซิ ข้าจะกลับไปกุฏิเดี๋ยวข้าไม่มีจีวรห่ม เท่านี้ก็ปรากฏว่าช้างกลายเป็นจีวรไปตามเดิม..

หลวงพ่อปานเลยถามว่า พระที่ทำอย่างนี้น่ะได้ทุกองค์ไหนขอรับ
หลวงปู่คล้ายบอกว่า ทำไม่ได้ทุกองค์ พระที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเจริญกรรมฐาน
ท่านถามว่า กรรมฐานเป็นอย่างไร
ท่านก็เลยบอกว่า เอาเถอะเวลานี้ท่องหนังสือไปเถอะ เมื่อเธอบวชแล้วถ้าเธอมีความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ฉันจะสอนให้ ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุดในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนาซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน ท่านบอกว่าเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่างอย่างนี้

แล้วท่านก็ถามหลวงปู่คล้ายว่า หลวงพ่อทำได้เท่านี้หรือ?
หลวงปู่บอกว่า ทำได้ทุกอย่าง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากดูไหมว่าตัวฉันจะสูงสักแค่ไหน
ท่านก็อยากจะลอง
ท่านบอกว่า คอยดูนะ ให้ดูหลังคาศาลาปรกที่ท่านกำลังนั่งอยู่ ท่านมายืนอยู่ข้างนอก บอกประเดี๋ยวหัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก มองไปประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคา(หลังคาปรก) และต่อไปก็บอกว่า เอ้า! ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้ ประเดี๋ญวตัวท่านก็สูงกว่ายอดไม้ และท่ากน็ทำตัวย่อลงมาบอกว่า ฉันจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว และตัวท่านก็เล็กนิดเดียว และตัวท่านก็เล็กนิดหนึ่ง ปรากฏสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่าทำให้เล็กไปกว่านี้ก็ได้และผลที่สุดท่ากน็คลายสมาธิกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

หลวงพ่อปานถามว่า "วิชาอย่างนี้เรียนได้จากที่ไหน หลวงพ่อจะสอนผมได้ไหม" ท่านก็บอกว่า "เธอทำสมาธิได้ เธอก็ทำอย่างนี้ได้" และก็บอกต่อไปว่า "ทำได้เท่านี้ ทำได้อย่างนี้ ไม่ใช่ได้แต่เพียงเท่านี้เท่านั้น ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินน้ำอะไรก็ได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่า สมาบัติ"

ท่านก็จำคำว่าสมาบัติตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติพยายามท่องหนังสือหนังหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านต้องอยู่วัด ๓ เดือน คือเป็นนาคอยู่ ๓ เดือน หลวงปู่คล้าย ให้พยายามท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้หมดทุกอย่าง เท่าที่มีความจำเป็นจะต้องสวด ต่อมาเมื่อเวลาบวช หลวงปู่คล้ายบอกว่า "ถ้าแกจะบวชนะให้ไปบอกพ่อแก ให้ไปนิมนต์ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวด อีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน แล้วก็ไปนิมนต์ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะว่าพระทั้ง ๒ องค์นี้เป็นพระได้อภิญญาทั้งคู่ ทำอะไรต่ออะไรได้อย่างฉันเหมือนกัน แต่ว่าทั้ง ๒ องค์นี้เก่งกว่าฉัน" ท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่คล้ายพูดอย่างนี้ แล้วก็ท่านก็ไปบอกบิดา ท่านบิดาก็พอใจ เพราะมีความเคารพในพระทั้ง ๒ องค์อยู่แล้ว...

โปรดติดตามตอนต่อไป...
จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๐


ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 06:36 , Processed in 0.033046 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.