ตอนที่ ๒๐ ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ
พระพุทธเจ้า เมื่อขณะประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภถึง “มตกภัต” คือข้าวที่อุทิศให้คนตาย มีความพิสดารว่า
ในกาลนั้น คนทั้งหลายย่อมฆ่าแพะ เป็นต้นเป็นอันมาก ทำให้เป็นมตกภัต (อาหารเพื่อผู้ตาย) เพื่อญาติทั้งปวงที่ตายไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายเห็นคนเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น จึงได้กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมกระทำสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตเป็นอันมาก ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้เชื่อว่า มตกภัต ความเจริญในการให้มตกภัตนี้ย่อมมีอยู่หรือ พระเจ้าข้า?”
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย! ชื่อว่าความเจริญอะไรๆ ในการทำปาณาติบาต แม้เขาที่กระทำด้วยคิดว่า พวกเราจักให้มตกภัต ดังนี้ ย่อมไม่มี แม้ในการก่อน บัณฑิตทั้งหลายนั่งในอากาศ แสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปาณาติบาตนี้ ให้ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นละเว้น เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ถูกภพชาติปกปิดไว้” แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตชาติ มาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลนานมาแล้ว เมื่อสมัยพระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้สำเร็จวิชาคนหนึ่ง คิดว่าจักให้มตกภัต จึงให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะศิษย์ของตนว่า “พ่อทั้งหลาย พวกเธอจงนำแพะตัวนั้น ไปที่แม่น้ำเอาระเบียบดอกไม้สวมคอ เจิม และประดับประดา แล้วจงนำมา”
พวกศิษย์เหล่านั้นรับคำแล้ว ได้พาแพะตัวนั้นไปยังแม่น้ำ ให้อาบน้ำ เจิม และประดับประดาแล้ว พักรอไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ ส่วนแพะตัวนั้นได้ระลึกถึงกรรมเก่าของตนได้ จึงเกิดความดีใจว่าเราจะได้พ้นจากความทุกข์ในวันนี้แล้ว จึงได้หัวเราะลั่นประดุจต่อยหม้อดิน แต่กลับคิดว่าพราหมณ์นี้ฆ่าเราแล้ว จักได้ความทุกข์ที่เราได้แล้ว จึงเกิดความกรุณาต่อพราหมณ์นั้น จึงได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง
ในขณะนั้นพวกศิษย์จึงได้ถามแพะนั้นว่า “แพะผู้สหาย เจ้าหัวเราะและร้องไห้ด้วยเสียงดังลั่น เพราะเหตุไรหนอจึงหัวเราะ? และเพราะเหตุไรหนอเจ้าจึงร้องไห้?” แพะได้กล่าวว่า “พวกท่านจงถามเหตุผลนั้นกะเรา ในสำนักอาจารย์ของท่านเถิด”
พวกศิษย์จึงได้นำแพะตัวนั้นไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พร้อมทั้งได้แจ้งเหตุให้อาจารย์ทราบแล้ว อาจารย์ได้ฟังคำรายงานของศิษย์แล้ว จึงได้ถามแพะว่า “แพะผู้สหาย เพราะเหตุไรเจ้าจึงหัวเราะแล้วก็ร้องไห้”
ฝ่ายแพะได้หวนระลึกถึงกรรมเก่าที่ตนได้กระทำไว้ในอดีต จึงได้กล่าวกะพรามหณ์ผู้เป็นอาจารย์ว่า “ท่านพราหมณ์ เมื่อชาติก่อนเราก็เป็นพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์เช่นเดียวกับท่านนี้แหละ มีความคิดว่าจะให้มตกภัต จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต
เพราะที่เราฆ่าแพะตัวหนึ่งนั้น เราจึงถูกเขาตัดศีรษะมาแล้ว ๔๙๙ ชาติ ชาตินี้เป็นชาติที่ ๕๐๐ ของเรา ซึ่งเป็นการใช้กรรมชาติสุดท้าย เราจึงเกิดความดีใจว่า เราจะได้พ้นทุกข์อันยาวนาน เห็นปานนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงหัวเราะ
แต่ที่เราร้องไห้ เพราะด้วยความกรุณาในตัวท่าน ด้วยคิดว่าเบื้องต้นเราฆ่าแพะตัวหนึ่ง ได้รับความทุกข์คือถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติ แต่จะพ้นทุกข์นั้นในวันนี้ ส่วนท่านพราหมณ์ฆ่าเราแล้ว ท่านก็จะต้องได้รับความทุกข์ถูกตัดศีรษะถึง ๕๐๐ ชาติเหมือนเรา”
พราหมณ์กล่าวว่า “แพะผู้สหาย เธออย่ากลัวเลย เราจะไม่ฆ่าเจ้า” แพะได้กล่าวกะพราหมณ์ว่า “ท่านพราหมณ์ ท่านพูดอะไร? เมื่อท่านจะฆ่าเราก็ตาม หรือไม่ฆ่าเราก็ตาม วันนี้เราก็ไม่อาจจะพ้นจากความตายไปได้” พราหมณ์ได้กล่าวกะแพะว่า “แพะผู้สหาย เจ้าอย่ากลัวเลย เราจะช่วยอารักขาคุ้มครองเจ้าประดุจเงาตามตัวเลย”
แพะได้กล่าวว่า “ท่านพราหมณ์ การอารักขาคุ้มครองของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปที่เราได้ทำแล้วมีกำลังมากกว่า” พราหมณ์ได้ปล่อยแพะไปแล้วกล่าวว่า “เราจะไม่ให้ใครๆ ได้ฆ่าแพะตัวนี้” จึงได้พาพวกศิษย์ช่วยอารักขาคุ้มครองแพะตามแพะไป
ฝ่ายแพะพอถูกปล่อยแล้ว ก็ได้ชะเง้อคอเริ่มจะกินใบไม้ ซึ่งอาศัยแผ่นหินแห่งหนึ่ง ที่เกิดอยู่ในบริเวณนั้น ในทันใดนั้นเอง ขณะที่แพะกำลังชะเง้อคอจะกินใบไม้นั้นเอง ฟ้าก็ได้ผ่าลงที่แผ่นหินนั้น สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งแตกกระเด็นมาตัดคอแพะ ซึ่งกำลังชะเง้ออยู่ให้ศีรษะขาดตกไปต่อหน้ามหาชน
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในที่นั้น พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อมหาชนอยู่นั้น ได้นั่งขัดสมาธิในอากาศด้วยเทวานุภาพ แล้วกล่าวว่า
“ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า การเกิดในภพชาติต่างๆ เป็นทุกข์ สัตว์จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ปกติฆ่าสัตว์ย่อมเศร้าโศก”
พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรมนั้นแล้ว มหาชนเกิดความกลัวภัยในนรก พากันงดเว้นจากปาณาติบาต ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรมและยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในเบญจศีลแล้ว ก็ได้เกิดตามยถากรรม ฝ่ายมหาชนได้พากันดำเนินอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ มีการให้ทานและรักษาศีล เป็นต้น เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในเทพนคร ยังเทพนครให้เต็มแล้ว
มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๕ หน้า ๒๖๘
|