แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4645|ตอบ: 4
go

เรื่อง... อริยสัจ ๔ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9



เรื่อง... อริยสัจ ๔
วันที่: วันศุกร์ 25 พฤษภาคม 2007 @ 14:44:14
หัวข้อ: รวมคำสอน หลวงพ่อฯ





เรื่อง อริยสัจ ๔

วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน“ณัชชา” ถอดเทป

การแนะนำในการเจริญกรรมฐานสำหรับเดือนมิถุนายน ตางกับวันที่ ๔ แต่ว่าการแนะนำเป็นวันที่ ๓ วันนี้ก็ขอทวนต้นเมื่อวาน เมื่อวานนี้พูดแค่ผ่านไป แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราปฏิบัติต้องอาศัยอริยสัจอริยะ กับ สัจจะ แปลเป็นสองศัพท์ คือ ความจริงที่ทำให้บุคคลเป็นพระอริยเจ้าหรือ ความจริงที่พระอริยเจ้าทำมาได้เพราะปฏิบัติมา คำว่า อริยสัจ มี ๔ อย่าง คือ
๑. ทุกข์
๒. สมุทัย
๓. นิโรธ
๔. มรรค


แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านสอนกันจริง ๆ สอนเฉพาะทุกข์อย่างเดียว เพราะรู้อะไรรู้ไหม เพราะอาตมาเรียนมากับพระจริง ๆ ท่านสอนทุกข์อย่างเดียวพระองค์ไหนทราบไหม พระองค์ที่ท่านสอนว่า

ในสมัยนั้น เมื่อตอนอายุ ๔๐ ปี ตอนช่วงก่อนหน้านั้นมาถึงอายุ ๔๐ ปีนี่ปรารถนาพุทธภูมิ พอมาถึงอายุ ๔๐ ปี คือก่อนหน้านั้น ๒ ปี ลาพุทธภูมิ ๒ ครั้ง พระท่านไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ถ้าจะลาทำไมไม่ลาเมื่อหลายร้อยชาติมาแล้ว เพราะว่าการปรารถนาพุทธภูมิบำเพ็ญบารมีต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมาเองก็ปรารถนาพุทธภูมิในขั้น วิริยาธิกะ ต้องใช้การบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าหากว่าเราปรารถนาพระนิพพานจริง ๆ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ ก็บำเพ็ญบารีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัป

พระท่านค้าน ค้าน ๒ ครั้ง ถึง ๒ ปี ลา ๒ ปี ปีหนึ่งลาครั้งหนึ่งท่านไม่ยอมพอปีที่ ๓ เมื่อถึงอายุ ๔๐ ปี พอดีปีนั้นก็ขอลาอีกครั้งหนึ่งก็เพราะว่าเบื่อมาก เบื่อใครทราบไหม? เบื่อพระ คือตอนนั้น พระบางองค์ เอาเฉพาะบางองค์นะ ท่านมีความประพฤติไม่ดีที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยก็รังแกพระผู้น้อย ก็มานั่งคิดในใจว่า “คนปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา ไม่ได้นะ พุทธภูมิพวกนี้จะเป็นไม่ได้ จะเป็นก็ต่อเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าเลย”

ฉะนั้น การปรารถนาพุทธภูมิเราก็จะทรงแค่ฌานโลกีย์ ฉะนั้นการฝึกกรรมฐาน ๔๐ เป็นของไม่ยาก เพราะทำมาได้หลายชาติแล้วใช่ไหม เป็นของเก่า ในเมื่อเห็นพระท่านคุยกันแบบนั้นก็คิดในใจว่า ถ้าบังเอิญท่านมาทวงเราอย่างนี้ ชาตินี้ก็ขอลงนรกแน่ เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าจะยิงที่อื่นยิงยาก ถ้ายิงที่กุฏินะยิงง่าย นี่พระโพธิสัตว์นะ อย่าลืมนะพระโพธิสัตว์ยังมีกิเลส เต็มอัตรา แต่มีแค่ฌานโลกีย์เท่านั้นใช่ไหม จึงขอลาตรงกับพระท่าน เมื่อขอลาตรงกับพระท่าน ท่านก็บอกว่า “ทนไม่ไหวแน่รึ” บอกว่า “ทนไม่ไหว ยังไง ๆ ปีนี้ก็ต้องขอลาแน่” แล้วท่านก็นิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านนิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็บอกว่า ท่านหันมาบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอลาได้ แต่ว่าต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไป จนกว่าจะตาย” นี่ทำงานนี่คือกิจพุทธภูมิท่าน ถ้าสาวกธรรมดาเขาไม่ทำแบบนี้ หรอกเขาได้แล้วเขาก็นอนสบาย ๆ งานท่านไม่มากนัก ก็คิดในใจว่า “นี่เราอายุ ๔๐ ปี ถ้าอย่างดีอาจจะถึง ๖๐ ปีเราก็ตายหรือไม่งั้นก็เกิน ๖๐ ปีหน่อยแล้วก็ตาย แต่ถึง ๑๐๐ ปีก็อยู่แค่ ๖๐ ปีใช่ไหม แค่ ๖๐ ปีมันตายซะดีกว่า ต้องไปบำเพ็ญบารมีอีกตั้งหลายชาติ” เลยถามท่านว่า “ถ้าไม่ลาพุทธภูมิ เมื่อไหร่บารมีจะเต็ม” ท่านบอกว่า “ถ้าเธอตายเมื่ออายุ ๔๐ ปี นี่ ยังเหลืออีก ๗ ชาติเต็ม (อีก ๗ นี่ไม่ใช่ ๗ เดือนนะ) ถ้าเธออยู่ถึงอายุ ๖๐ ปีก็เต็มชาตินี้” ก็ถามท่านว่า “ถ้าเต็มชาตินี้แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร่?” ท่านบอกว่า “พระศรีอาริย์ไม่นับ ต่อจากพระศรีอาริย์ไปจะเป็นองค์ที่ ๒๒” โอโห... ไปนั่งยิ้มชั้นดุสิต ยิ้มเหงือกแห้งแล้วเหงือกแห้งอีก (หัวเราะ) โอ้โห..เมื่อฟังแล้วก็ไม่เอาแล้ว เลิก ก็ขอลา พอขอลา ท่านก็ตกลง แล้วบอกว่า “ถ้าหากเธอของลาแล้วต้องทำกิจ ของพุทธภูมต่อไปจนกว่าจะตาย” ก็นึกว่า “มันก็ของไม่หนักใช่ไหม ชาติเดียวเท่านั้นนะ”

ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าจะลาจริง ๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เวลา ๔ ทุ่ม ฉันจะมาสอนเธอ (และก็ตอนนั้นรับแขกกลางคืนด้วย) เมื่อเวลา ๔ ทุ่มถ้ามีแขกมาบอกให้เขากลับเสีย ให้เขากลับนะแล้ว ๔ ทุ่มท่านก็มาสอนตรงตามเวลา” พอวันรุ่งขึ้น พอสามทุ่มครึ่งก็บอกให้แขกกลับก็ถือว่าเขาจะกลับหรือไม่กลับเราก็เข้าห้องหมดเรื่องหมดราว งานของเราคืองานของเราใช่ไหม งานของเขาก็คืองานของเขา พอเข้าห้อง ถึงเวลาใกล้ ๔ ทุ่มก็บูชาพระถึงเวลา ๔ ทุ่มตรง ท่านก็ลงมาสอนเลยกุฏินี่สว่างมากเหมือนกับไฟหลายแสนแรงเทียน แสงสว่างจากองค์ท่านนะ ท่านมีฉัพพรรณรังสีรัศมีทั้ง ๖ ประการพอมาถึงแล้วท่านก็บอกว่า “เธอนอนเพราะเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งกลางคืน นอนฟังแล้วคิดตามฉันพูด” ท่านก็สอนอริยสัจ อริยสัจนี่ท่านสอนข้อเดียวคือ ทุกขสัจ อย่างเดียวท่านพูดช้า ๆ เรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งตีสอง ไม่ใช่วันเดียวนะ เต็มหนึ่งเดือนเฉพาะอริยสัจ

เมื่อสอนเต็มหนึ่งเดือน ต่อไปท่านก็บอก “ตั้งแต่นี้ไปฉันจะไม่มาสามเดือน ถ้าภายใน ๓ เดือนนี้ถ้าเธอเห็นว่ามุมใดมุมหนึ่งของโลกมีความสุข ถ้าเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ทั้งหมดฉันจะมาสอนต่อใหม่” ก็นึกในใจว่า “ท่านไม่ต้องไปก็ได้เพราะมันช่ำแล้วใช่ไหม แค่กินข้าวคำเดียวสอนมาตั้งหลายวัน มันทุกข์มาจากข้าวนะ แต่จะไม่อธิบายให้ฟัง

ทีนี้เมื่อเวลาผ่านไปประมาณเดือนครึ่งท่านก็มาไม่เต็ม ๓ เดือนหรอก แล้วท่านบอกว่า “ขึ้นชื่อว่าผลที่จะพึงได้ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้” คือว่าทีแรกถามท่านก่อนว่า “ถ้าหากว่าเมื่อลาแล้วจะจบกิจในการรับคำสอนเมื่อไหร่ กี่เดือน?” ท่านบอกว่า “ถ้าเธอขยัน ก็ไม่เกิน ๓ เดือน ถ้าเธอขี้เกียจ ก็ไม่เกิน ๖ เดือน” (พอทนได้นะ) ไล่ไปไล่มาจริง ๆ เดือนเดียว เพราะเราเป็นคนไม่เต็มบาตรใช่ไหม ถ้าเต็มบาตรมันก็ไม่ต้องใส่ใหม่ นี่มันใส่ทุกวัน ใส่ทุกเวลาไม่เต็มบาตรใช่ไหม ใส่เท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เห็นใครมาก็มีแต่ความทุกข์ เห็นคนทุกคนมีแต่ความทุกข์หมดทุกคนที่มาหาเวลานั้นทำตนเป็นหมอดู ก็ใช้อนาคตังสญาณเป็นเครื่องดูใช่ไหมอนาคตังสญาณของเราเองด้วยแล้วก็ถามพระด้วย ถ้าใช้ของเราเองจริง ๆ น่ะมันผิดมากกว่าถูก ถ้าผิดก็ผิดอย่างเฉียด ๆ แต่ยังมีผิด ถ้าถามพระนี้ไม่มีทางผิดเลย เพราะพิสูจน์แล้วนะเป็นอันว่าไปกวนพระท่านทุกวัน

ในเมื่อคนมา ทุกคนที่มาหาหมอดูนี่ไม่มีใครมีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์เราก็เห็นทุก ๆ วัน ว่าเขามีความทุกข์ใช่ไหมก็เป็นอันว่า พอเวลาเดือนครึ่งท่านก็มา ท่านบอกว่า “ขึ้นชื่อว่าผลที่จะพึงได้ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์เวลาได้ สุดแล้วแต่บุคคล” และถามท่านบอกว่า “ต่อไปนี้จะสอนอะไรอีก” อริยสัจ สอนแค่ตัวเดียวคือทุกขสัจ สมุทัย นิโรธยัง มรรคยังท่านบอก “ไม่มีแล้วนี่” “สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์เธอก็เห็นแล้วใช่ไหม นิโรธ ความดับ คือดับทุกข์ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดาก็เห็นแล้ว มรรค ก็คือตัวปฏิบัติก็ทำแล้ว ไม่มีอะไรสอน สอนทุกขสัจตัวเดียว” เป็นอันว่า ฉันมีความรู้เพียงเฉพาะ “ทุกขสัจ” ตัวอื่นฉันไม่พูด ก็เป็นอันว่า วันนี้ก็จะขอเอาอริยสัจเข้ามาควบกับธรรมดาเมื่อวานนี้ ยังไม่ไปไหนนะเอาแค่เมื่อวานนี้ เอาให้ได้ ถ้าไม่ได้งวดหน้ามาก็แบบนี้ล่ะ ก็เป็นอันว่า อันดับแรก เราต้องเห็นธรรมดาเบื้องต้น คือพระอรหันต์นี่ไม่มีอะไรมาก ท่านยอมรับนับถือกฎธรรมดาเท่านั้นเอง เราเรียนมากเกินไปนะ ไอ้ที่ง้างตำราโน่นง้างตำรานี่เข้ามาน่ะ แล้วก็ไม่ง้างเอาสังโยชน์เข้ามาใช้ไอ้ส่วนที่จะตัดไม่นำมาใช้ ใช่ไหม อยากจะฟันคอเสือนี่ ดันไปฟันเสานี่มันจะตายหรือ ไม่ตาย ต้องฟันให้ตรงคอใช่ไหม ถ้าบังเอิญเขาเอาดาบทองคำทื่อ ๆ มาฟันก็น่ารับเหมือนกันนะ (หัวเราะ)ก็เป็นอันว่าธรรมดาที่เราจะต้องเห็นคือ

๑. สักายทิฏฐิ ท่านเขียนในตำราว่าเราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ตัวนี้ใช้ปัญญาสูงเกินไป ต้องเป็นปัญญาในเขตพระอรหันต์ หรือเห็นว่าร่างกายมีความสกปรกโสโครกอันนี้ก็สูงเกินไปอันนี้เป็นปัญญาของพระอนาคามี พระโสดาบันกับสกิทาคามีต้องใช้ปัญญาเล็กน้อย เห็นว่าร่างกายมันตาย ถ้าเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราก็ดี หรือร่างกายสกปรกก็ดีคือปัญญาของพระอนาคามี และพระอรหันต์ เราก็แต่งงานไม่ได้ ใช่ไหม

ทีนี้พระโสดาบันกับสกิทาคามียังแต่งงานได้ ยังมีการแต่งงานต้องมีความรู้สึกแค่ร่างกายนี้มันต้องตาย ตอนนี้ไอ้การที่จะตายของเราก่อนที่จะตายมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ทุกคนที่นั่งนี่ทุกข์ทั้งหมด หรือใครจะไม่ทุกข์ก็ตามใจก็เป็นอันว่าขณะที่รงชีวิตอยู่มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์
๑. ความหิว
๒. ควากระหาย
๓. ร้อนเกินไป
๔. หนาวเกินไป
๕. ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ
๖. การป่วยไข้ ไม่สบาย
๗. การประกอบกิจการงาน
๘. ความปรารถนาไม่ค่อยสมหวัง
๙. ความตายเข้ามาถึง


ทั้งหมดนี้เป็นทุกข์ ทีนี้ตัวทุกข์จะเกิดขึ้นเพราะอาศัยสมุทัย สมุทัย แปลว่า เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร? คือเราเอง เพราะตัวเกิดใช้ศัพท์ง่าย ๆ นะ ถ้าเราไม่เกิดมาเราจะหิวไหม ถ้าอยู่นรกมันก็หิว ถ้าไม่เกิดมา ไม่มีร่างกาย ความหิวมันก็ไม่มี ความหนาวก็ไม่มี ความร้อนก็ไม่มี ความป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่มีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ไม่มี ความตายก็ไม่มี


ทีนี้ตัวที่จะมีอย่างนี้ได้เพราะอาศัยที่เรามีร่างกายเพราะการเกิด เกิดเป็นทุกข์ เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น แล้วมีความตายในที่สุด ก็เป็นอันว่าถ้อยคำที่กล่าวนี้เป็นอริยสัจเป็นของจริงที่เราควรจะยอมรับนับถือถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของการเกิด ถ้าเกิดมาแล้วเราก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด แต่ก่อนจะตายมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ตายแล้วถ้าหากว่าเรายังมีบาปติดตัวติดใจก็ไปอบายภูมิยิ่งทุกข์ใหญ่ ถ้าเรามีบุญติดใจอยู่ก็สู่สุคติ มีสวรรค์เป็นต้นมีความสุขเล็กน้อย ชั่วเวลาไม่นานนักก็กลับมาทุกข์ใหม่ และก็ถือว่าอย่างน้อยที่สุดการตายในคราวนี้เราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ ถึงแม้ว่าไปสวรรค์จะมีเวลาเล็กน้อยก็ตามที ก็ขอไปสวรรค์ก่อน นี่อย่างน้อย ถ้าไปนิพพานได้ก็ไป ถ้าไปนิพพานไม่ได้ก็พักสวรรค์กับพรหม

วิธีที่เราจะไปพักที่สวรรค์กับพรหมทำอย่างไร? พักที่สวรรค์กับพรหมนี่เป็นผลอริยสัจนี่เป็นเหตุกับผลนะ นี่เหตุที่จะไปสวรรค์ได้ทำอย่างไรเป็นสมุทัย เหตุที่จะไปสวรรค์ได้ก็คือ

๑. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ

๒. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
การมีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่ ศีล ๕ จริง ๆ ที่เรามีขึ้นได้มันเป็นผลนี่เหตุคือสมุทัยที่ให้ศีล ๕ มีได้เพราะอาศัยอะไร

เหตุที่เราจะมีศีล ๕ บริสุทธิ์คบบริบูรณ์ได้ ก็อาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร


อันนี้เป็นพื้นฐานใหญ่ ถ้าเราขาดเมตตา ความรัก ขาดกรุณา ความสงสาร เราจะมีศีล ๕ ครบถ้วนไม่ได้ นี่ความสำคัญนะ คราวนี้คนที่อยู่ข้างหน้านี้เป็นทหาร ดีไม่ดีเขาใช้ให้เอาระเบิดไปทิ้งหัวเขาทำอย่างไร ศีล ๕ ก็ขาดสิ เราต้องทำใจแบบนี้ว่า “นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เราปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เขาสั่งแบบไหน ในเมื่อเราหากินเพราะอาชีพนี้ ก็ต้องทำตามนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องของเรา” ไปทำงานกลับมาแล้ว มานั่งบูชาพระใหม่นี่กิจของเรา ต้องหลีกเอาตามนี้นะ ใจจะได้เบา ก็ถือว่า “เจตนาจริง ๆ ของเราไม่มี เราไม่ได้โกรธเคืองข้าศึก เราไม่เคยรู้จักข้าศึก ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อน ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งมาก่อน แต่ว่าเขาสั่งให้ทำ
เราต้องทำตามวินัยที่อยู่ในของเขต แต่ในเมื่อเลิกแล้วเราก็บูชาพระใหม่ ทำใหม่รักษาอารมณ์แบบนี้ ใจมันก็เบา” ตามที่พระพุทธเจ้าเคยสอนบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่านึกถึงความชั่วหรือบาปที่ทำมาแล้ว” ส่วนใดที่เป็นความชั่ว ไอ้ความชั่วนี่แปลว่าบาป บาปแปลว่าความชั่วที่ทำมาแล้วจงอย่างตามนึกถึง ลืมมันไปเลย นึกถึงแต่ความดีอย่างเดียว นั่นคือตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ศีล ๕ จะบริสุทธิ์ได้เพราะมี
๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร

เอาแค่นี้นะ จบไหม จบแล้วนี่



การปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัทให้มีทั้ง ๒ อย่างคือมีทั้งภาวนาและพิจารณา ถ้าเอาแต่ภาวนาอย่างเดียวกันไม่ไปถึงไหน อย่างเก่งก็แค่จบฌานโลกีย์ ถ้าจบฌานโลกีย์นี่มันไม่พ้นอบายภูมิเวลาจะตายถ้าเผลอหน่อยเดียวก็ลงอบายภูมิดูอย่าง พระเทวทัต พระเทวทัต ท่านได้อภิญญาโลกีย์ได้อภิญญาโลกีย์อย่างใหญ่ด้วย ได้ฌานโลกีย์ด้วย ได้อภิญญาด้วยแต่เป็นของโลกีย์ ต่อมาอกุศลจิตเข้าแทรกนิดเดียว จิตคิดกบฏต่อพระพุทธเจ้า ในขั้นสุดท้ายก็อาศัยอกุศลกรรมเข้ามาแทรกใจ คือจองเวรจองกรรมพระพุทธเจ้าไว้ก็เลยลง อเวจีมหานรก ไปแต่ที่จริงแล้วท่านต้องลง โลกันตมหานรก แต่ว่าอาศัยที่พระเทวทัตรู้สึกตัว รู้สึกตัวไว้ก่อนแล้วว่าจะไปขอขมาพระพุทธเจ้าแต่ไปไม่ทันเห็นหน้าพระพุทธเจ้าถูกธรณีสูบแต่ว่าตามบาลีท่านไม่ได้เรียกว่าถูกธรณีสูบท่านเรียกว่าบุญหนักเกินไป

ขอเล่าเรื่องนิดหน่อยได้ไหม เอาไหมเอานะ ๑๐ คนนี่ ๑๐ สตางค์แบงค์บาทก็ไม่เอาต้องเอาตังค์สิบเรื่องก็มีอยู่ว่า พระเทวทัตท่านได้ฌานโลกีย์แต่ทีนี้อาศัยกรรมเก่าที่จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้ามานานพระเทวทัตเป็นคนจองนะไม่ใช่พระพุทธเจ้าเป็นคนจอง

ในสมัยตอนก่อนหน้านั้นท่านเกิดเป็นพ่อค้าเหมือนกัน ซื้อของเก่าไปขาย พระเทวทัตเป็นพ่อค้าขี้โกง มาคราวหนึ่งไปเจอะบ้าน ๆ หนึ่งตระกูลเขาเป็นมหาเศรษฐีเก่าความจริงยังเหลือถาดทองคำเป็นลูกสุดท้ายตอนหลังจนแล้วนะ เหลือถาดทองคำเป็นลูกสุดท้ายเป็นทองคำแท้พ่อค้าเทวทัตไปพบเข้าก็ขอซื้อ เจ้าของบ้านว่าจะขาย เมื่อดูไปดูมาแกก็โกงนี่แกบอกว่า “คนจน ๆ อย่างนี้นี่แหละโกงได้” ก็เลยบอกว่า “ถาดทองคำนี่ความจริงไม่ใช่ทองคำแท้ เป็นทองคำกะไหล่ให้ตีราคาเป็นของกะไหล่” แต่เจ้าของแกทราบนี่ว่าเป็นทองคำแท้ แกก็ไม่ขาย พอวันรุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าก็ไป แกก็นำถาดทองคำนั้นมาขาย พระพุทธเจ้าเห็นเป็นถาดทองคำแท้ ก็ให้ราคาทองคำแท้เขาก็ขายให้ พอวันที่สาม พอเทวทัตไปเขาบอกว่า “ขายไปแล้ว” ถามว่า “ใครไปซื้อ” บอกว่า “พ่อค้าเพื่อนของท่านซื้อไป” พระเทวทัตโกรธ กลับมาพบหน้าพระพุทธเจ้าถามว่า “ไปซื้อถาดทองคำลูกนั้นมาใช่ไหม?” พระพุทธเจ้าตอบว่า “ใช่” ถามว่า “ให้ราคาอย่างไร?” ท่านบอก “ให้ราคาทองคำแท้” แกก็หยิบทรายเอามาหนึ่งกำมือ บอกว่า “เราจะจองล้างจองผลาญท่าน ทุก ๆ ชาติเท่าเม็ดทรายหนึ่งกำมือ” ไอ้กฎของกรรมอันนี้มันยังข้ามาสนองเวลาที่มาบวชในพุทธศาสนา

ในตอนต้นมีบุญเก่าช่วย ได้เป็นพระอภิญญาสมาบัติ แต่เป็นอภิญญาโลกีย์ ตอนหลังกรรมเก่าเข้าหนุนใจ เรียกว่าดีต้นเสียปลายนะ ตอนนี้ก็คิดทรยศต่อพระพุทธเจ้า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง อยากจะปกครองสงฆ์เสียเอง คิดฆ่าพระพุทธเจ้าหลายจุด ไอ้หลายจุดนี่เวลามันน้อยไม่ขอเล่าให้ฟังนะ เช่น
๑. ใช้นายขมังธนูยิงบ้าง
๒. กลิ้งหินให้ทับบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

แต่พระพุทธเจ้าปลอดภัยและในที่สุดต่อมาก็พาพระสงฆ์แยกออกไปร่วมกับพระโกกาลิกะ พระพุทธเจ้าก็ใช้พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรให้ไปตามพระสงฆ์กลับมา เมื่อพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรไปตามพระสงฆ์กลับมาแล้ว ท่านโกกาลิกะก็โกรธ ว่าเทวทัตถือตัวเป็นคนดีอย่างไรล่ะ เวลานี้พวกพระสารีบุตรพาพระสงฆ์กลับไปหมดแล้ว ก็เลยเอาเข่ากระแทกอกพระเทวทัตเป็นนักมวยเข่า พระเทวทัตก็อาเจียนเป็นโลหิต

ในที่สุดก็รู้สึกตัวว่าเราทำความผิด จึงมาขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้าจึงสั่งให้คนทำคันหามนั่งคันหามมา ตั้งใจว่า “จะเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอขมาโทษ”
พระสงฆ์ก็รายงานให้ทราบว่า “เวลานี้ พระเทวทัตจะมาขอขมาโทษ พระองค์พระพุทธเจ้าค่ะ”
พระพุทธเจ้าบอกว่า “เทวทัตไม่เห็นหน้าตถาคตหรอก”
พระสงฆ์ก็รายงานว่า “เวลานี้ใกล้เข้ามาแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ”
ใกล้สระโบกขรณีแล้ว ซึ่งสระโบกขรณีกับวิหารน่ะมันอยู่ไกลกันไม่ถึง ๒ เส้น
พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “เทวทัตไม่เห็นคถาคต”
พอถึงปากสระโบกขรณี พระเทวทัตคิดว่า “ร่างกายเราเปื้อนเลือดเปื้อนฝุ่นละอองเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลานี้ไม่สมควร ควรจะชำระร่างกายให้สะอาดก่อนดีกว่า” ก็บอกให้เขาวางแคร่ พอก้าวลงจากแคร่

ตามบาลีท่านบอกว่า
“พระธรณีทานความหนักของบาปไม่ไหว เขาไม่เรียกธรณีสูบจมลงไปในแผ่นดินเหลือแค่คาง” จึงตั้งใจขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้าในตอนนั้นนะ แล้วก็จมลงไปในอเวจีทั้งเป็น นี่ฌานโลกีย์ก็ช่วยตัวเองไม่ได้นะ แต่ว่าพระเทวทัตลงแค่อเวจีก็เพราะว่าได้ขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะไม่เห็นก็ตาม หากว่าไม่ได้ขอขมาโทษนี่ลงโลกันต์นะ ดีกว่าอเวจีอีก โลกันต์นี่สบายมากมีความสุข ใครชอบเย็นไม่ต้องใช้แอร์ตู้เย็นมาก แต่ฉันไม่เอาเย็นจัดไปนะ

ก็เป็นอันว่าถ้าเราใช้แต่คำภาวนาอย่างเดียว จิตก็จะทรงแค่ฌาน แต่ทรงไม่ได้นานเพราะฌานนี้จะทรงตัวได้เพราะอาศัยปัญญาด้วย จะใช้สมถะอย่างเดียวก็ไม่มีผล ใช้วิปัสสนาญาณอย่างเดียวก็ไม่มีผล ต้องใช้ทั้ง ๓ อย่างร่วมกันทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิ คือ สมถะ ถ้าขณะใดที่จิตต้องการอารมณ์สงัด มันไม่ต้องการคิดเราก็ใช้ภาวนารู้ลมหายใจเข้าออกแล้วภาวนาด้วย บางครั้งจิตมันไม่ต้องการสงัด จิตต้องการคิดก็ให้มันคิดตาม คิดอย่างไร? คิดว่า
๑. เราเกิดมาแล้วต้องตาย
๒. การตายมีสภาพไม่สูญ

ถ้าจิตสะอยากมีอารมณ์เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติ
ถ้าจิตสกปรก มีบาปก็ไปสู่ทุคติ
เราไม่ต้องการทุคติ เราต้องการสุคติ
เราจะยอมรับนับถือพระพุทะเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยปัญญา


คือต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ดีอย่างไร ก็ดูพระธรรมที่พระพุทธเจ้าบอกว่า

“สัพพะ ปาปัสสะ อกรณัง” เธอทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่างทั้งหมด
“กุสลัสสูปสัมปทา” จงทำแต่ความดี
“สจิตตะปริโยทปะนัง” ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
“เอตัง พุทธานสาสนัง” พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ทั้งหมด

ก็คิดอย่างนี้นะ และประการที่ ๒ ก็พิจารณาเรื่องศีลใคร่ครวญเรื่องศีลว่าศีลของเราบริสุทธิ์ดีไหม เรามีการรักษาครบถ้วนไหม ตัวไหนบกพร่องบ้าง ถ้าตัวไหนบกพร่องวันพรุ่งนี้เราจะไม่ยอมให้บกพร่องทุกตัว คิดอย่างนี้ทุกวันหรือเวลาก่อนจะหลับก็ใคร่ครวญใหม่ว่าวันนี้เราบกพร่องศีลข้อไหนบ้าง ถ้าบกพร่องศีลข้อไหน ต่อไปวันหน้าเราจะไม่ยอมบกพร่อง ถ้าเตรียมตัวแบบนี้ทุกวันไม่เกิน ๓ เดือนจะมีศีล ๕ ครบ ถ้าศีล ๕ ครบก็หมายถึงว่าท่านทั้งหลายใกล้เข้าถึงถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่ว่าในสังโยชน์ท่านบอกว่าเป็นพระโสดาบัน แต่อาตมาบอกยัง ค้านกันนิด เพราะการจะเป็นพระโสดาบันนี่ต้องเข้าถึง โคตรภูญาณ ก่อน การปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้น

คำว่า โคตรภูญาณ อยู่ระหว่างโลกีย์กับโลกุตระคร่อมกัน ในช่วงนี้จิตจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน แต่ว่าการเข้าสู่โคตรภูญาณนี่จะใช้เวลาไม่นานนักสำหรับสาวกภูมิธรรมดา “ถ้าสาวกภูมิธรรมดาจะอยู่ในขั้นโคตรภูญาณไม่เกิน ๗ วัน” “ถ้าหาว่ามาจากพุทธภูมิ อาจจะอยู่เป็นเดือน พวกนี้ต้องเรียนละเอียดมาก” พอจิตเข้าถึงพระโสดาบันจริง ๆ เราจะมีอารมณ์และมีความรู้ว่าอารมณ์มันเบาขึ้นทุกอย่าง


๑. ความโลภ ไอ้คำว่าโลภนี่หมายความว่าอยากได้ทรัพย์สมบัติของคนอื่นมาโดยไม่ชอบธรรม มันจะไม่มี แต่ว่าถ้าอยากรวยเพราะการทำมาหากินโดยสัมมาอาชีวะนี่มี การดิ้นรนน้อยไปเบาใจมันเบาขึ้น


๒. ความโกรธ พระโสดาบันยังมีความโกรธแต่โกรธไม่รุนแรงและไม่มีการอาฆาตมาดร้าย ไม่มีการจองเวรจองกรรม โกรธแล้วเดี๋ยวหาย ก็หายไปเลย
ไม่จองเวรจองกรรม

๓. ความหลง ความหลงนี่ยังมี พระโสดาบันกับสกิทาคามียังมียังรักสวยรักงามในการรักสวยรักงามก็ยังเป็นความหลง เพราะยังมีการแต่งงาน

เพราะฉะนั้นพระโสดาบันก็ดี สกิทาคามีก็ดี ในข้อที่ว่าสักกายทิฏฐิจะเข้าไปตัดว่าร่างกายสกปรกนี่มันก็ตัดไม่ถึงพิจารณาว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นี่ก็ยังไม่ถึงต้องคิดเพียงแค่ว่าร่างกายนี้ต้องตายยังไม่ถือว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเราบางทีเราเห็นร่างกายคนอื่นเป็นร่างกายของเราเอง อยากแต่งงานน่ะ ใช่ไหม ยังถือว่าร่างกายของเขาเป็นร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นร่างกายของเขา ดีไม่ดีออกลูกมาก็ร่างกายของลูกเป็นร่างกายของเรา

ดังนั้น ปัญญาของพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีก็มีความรู้สึกแค่ตายอย่างเดียวนี่ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ อยู่ในขอบเขตของอริยสัจ ในเมื่อเรายังมีความรัก เรามีความอยากรวย เรามีความหลง เรามีความโกรธ ตัวนี้ต้องถือว่าเป็นปัจจัยของความทุกข์ ถึงแม้ว่าเป็นพระโสดาบันก็ดีก็ยังไม่หมดทุกข์ แต่ว่าพระโสดาบันก็ยังยอมรับความจริงของความเป็นทุกข์ คำว่า สังขารเปกขาญาณ นี่เขานับตั้งแต่ฌานโลกีย์ขึ้นไปนะ ฌานโลกีย์ก็มีสังขารุเปกขาญาณตามขั้นของฌานโลกีย์ พระโสดาบันก็มีสังขารุเปกขาญาณตามขั้นของพระโสดาบัน คำว่า สังขารุเปกขาญาณ คือมีการวางเฉยในร่างกาย ที่มีการวางเฉยในร่างกายก็เพราะว่าพระโสดาบันยอมรับนับถือว่าร่างกายมันต้องตาย

เวลาที่จะตายจริง ๆ พระโสดาบันไม่ดิ้นรน คำว่าไม่ดิ้นรนหมายความว่าไมกระสับกระส่ายเกินไป ไม่ห่วงเกินไป ยอมรับความตาย ถือว่าความตายของเราคราวนี้เมื่อตายจากความเป็นคนอย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นเทวดาหรือพรหม ไปสวรรค์หรือพรหม ถ้าบังเอิญพบพระอริยเจ้าก็ดี พบพระพุทธเจ้าก็ดีท่านเทศน์ ฟังแค่จบเดียวก็เป็นพระอรหันต์

เอาล่ะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านพูดมากไม่ได้ เวลามันหมด ต่อนี้ไปของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน
สวัสดี*

ส่งบทความโดย sopa2511ขออนุโมทนาอย่างสูง

ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก

Rank: 1

สาธุ สาธุ สาธุ .....

Rank: 1

สาธุ กราบนมัสการหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ _/\_

Rank: 1

อนุโมทนา สา ธุ

Rank: 1

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 02:35 , Processed in 0.037598 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.