แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 5565|ตอบ: 2
go

ปัญญาบารมี โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

ปัญญาบารมี โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


วันที่: วันเสาร์ 05 พฤษภาคม 2007 @ 0:45:22
หัวข้อ: รวมคำสอน หลวงพ่อฯ




ปัญญาบารมี โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็มาปรารภกับท่านพุทธบริษัทถึงบารมีที่ ๔ ความจริงบารมี ๑๐ นี้ อาตมาจะไม่พูดเป็นตอนถึง ๑๐ ตอน เพราะว่าเสียเวลาเปล่า เพราะบารมีแต่ละบารมีเมื่อปฏิบัติแล้วก็ควบกันอยู่เสมอไป ก็สร้างความเข้าใจให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่แล้ว แต่ยามนี้เป็นยามเช้ามืด ก็อย่าลืมว่าพระโยคาวจรทั้งหลาย จงอย่าทำตนเป็นคนนอนตื่นสาย เช้ามืดไม่ตื่นหากว่าท่านไม่ตื่นนอนตอนเช้ามืด หรือว่าตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาแล้วไม่ทำกิจให้สมควรแก่สมณวิสัย ก็เห็นจะตอบแก่ท่านได้ว่า “ท่านไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา” แล้วก็จะเป็นสาวกของใครก็เป็นเรื่องของท่าน พอพูดเรื่องพระโสดาบันมาแล้วก็รู้สึกว่าจะยากเกินไป สำหรับบางท่าน แต่หากว่าท่านมีบารมีทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วน เต็มบริบูรณ์ถึงปรมัตถบารมี เรื่องพระโสดาบันท่านก็จะเห็นว่าเล็กเกินไป ไม่ใช่วิสัยของท่านทั้งหลายจะคิดว่ายาก

วันนี้เราก็มาพูดกันถึง ปัญญาบารมี บารมีที่ ๔ ดีหรือไม่ดีก็อาจจะยกเลิกกันไปเสียเลยเรื่องบารมี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถ้าถึง ปัญญาบารมี แล้ว ก็ควรจะจบกันได้ เพราะปัญญาบารมีเป็นปัญญาครอบจักรวาล ถ้าเรามีปัญญาเสียอย่างเดียว อย่างอื่นใดทั้งหมดไม่ต้องมีก็ได้เพราะว่าปัญญานี้ เหมือนกับรอยเท้าช้าง รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายในป่าเมื่อเหยียบลงไปก็เล็กกว่ารอยเท้าช้างทั้งหมดฉะนั้นในมรรค ๘ องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงเอา “สัมมาทิฎฐิ” คือปัญญา เป็นที่ตั้งอยู่ตัวหน้า

การที่เราจะรักษาศีลได้ จะมีสมาธิได้ จะให้ทานได้ จะทรงเนกขัมมะบารมี วิระยะบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทั้งหมดนี้ก็อยู่ที่ปัญญาตัวเดียว เพราะอาศัยที่ เรามีปัญญาเท่านั้นเราจึงทรงได้ ถ้าเราไม่มีปัญญาเราก็ทรงไม่ได้ ฉะนั้น เรื่องบารมีเราจบกันตรงนี้ดีไหม จะได้ไม่ยืดยาดเกินไป จบหรือไม่จบต้องดูเวลาก่อน ปัญญาตัวนี้ก็ต้องจัดว่าเป็นปัญญาตัวสำคัญ แยกไว้เป็น ๒ ปัญญาด้วยกัน คือ
๑. ปัญญาที่เป็นโลกีย์
๒. ปัญญาที่เป็นโลกุตระ

ปัญญาที่เป็นโลกย์ ก็คือรู้จักตัวรอดเป็นยอดดี แต่เรื่องการทำมาหากิจอาตมาจะไม่พูด จะพูดแต่เฉพาะการปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดจาดอบายภูมิก่อนคนที่เขามีปัญญาจริง ๆ เขาจะมองเห็นว่าการให้ทานเป็นของดีและการให้ทานเป็นการผูกมิตร ดึงกำลังจิตของคนให้เข้ามาเป็นมิตร เป็นเพื่อนกัน ดีกว่าการทำลาย คนที่ให้ทานไว้เสมอนี้ไปที่ไหนย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับทานเว้นไว้แต่คนที่มีสันดานเยี่ยง เทวทัต เท่านั้น ก็มีอยู่ในโลกนี้ไม่น้อยเหมือนกันซึ่งคนประเภทนี้มีแต่ความอกตัญญู ไม่รู้คุณคน เราก็ต้องใช้ปัญญาหลีกเลี่ยงเสีย ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาเราจะยกยอดขึ้นมาว่ากฎของกรรม เพราะเราโง่อยากเกิดมาในโลกเพราะคำว่า “โลก” แปลว่า มีอันจะต้องฉิบหายไป ไม่มีอะไรเป็นการทรงตัว เอาแน่นอนกันไม่ได้ทีนี้ คนที่มีปัญญาจริง ๆ จึงได้คิดว่าการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณก็ช่างเรามีความสบายใจเพราะการให้ทานก็แล้วกัน อย่างนี้เรียกว่าปัญญาเอาตัวรอด เรียกว่า รู้ตัวรอดเป็นยอดดีและคนที่มีปัญญาก็ทราบด้วยว่า “ศีลเป็นของดี” เพราะปกติเรามีความต้องการความสุขในด้านที่ไม่ต้องการให้...
๑. ใครมาทำร้ายเรา
๒. ใครมาลักขโมย มายื้อแย่งทรัพย์สมบัติของเรา
๓. ใครมายื้อแย่งความรักเรา
๔. ใครมาโกหกมดเท็จเรา
๕. และเราไม่ต้องการความเป็นบ้า
ถ้าเราทรงศีลไว้ได้ เราก็จะพ้นจากเหตุทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ หรือคนทั้งหมดรักษาได้ทุกคนก็มีความสุขและตัวปัญญาก็มองเห็นว่า ถ้าเราคุมศีลบริสุทธิ์แล้วอบายภูมิเราไม่ไป ตายแล้วเรามีความสุข อันนี้เรียกว่า ปัญญาขั้นรักษาตัวรอดเป็นยอดดีมาในเนกขัมมะ….บารมีคือการระงับนิวรณ์ ๕ คือยังไม่ตัด ทั้งนี้ก็เพื่อทำจิตใจของเราให้มีความสุข ทำอารมณ์จิตให้เยือกเย็นพอจิตมีความสุข จิตมีมีความเยือกเย็นก็เป็นที่พอใจของเรา คนมีปัญญาจึงจะทรงเนกขัมมะบารมีได้เห็นว่าเนกขัมมะบารมีเป็นของดี ส่วนวิริยะบารมีนั้น ….. ปัญญาก็มองเห็นว่าจิตใจของเรามันทรามอยู่เป็นปกติ เราก็ต้องฝืนอารมณ์ข่มจิต ใช้ความพากเพียรถ้าจิตมันจะไหลลงต่ำ เราก็ดันขึ้นมาสูง จิตจะเข้าหาความชั่วเราก็พยายามดันเข้าหาความดี ซึ่งต้องมีความเพียรปัญญาเห็นว่าความเพียรในการที่กั้นจิตไม่ให้ไปสู่ความชั่ว ให้ทรงตัวไว้ในความดีเป็นของดี จึงทรงวิริยะบารมีไว้เป็นปกติ ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณากรรมที่เราทำทำด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันก็เหมือนกันใช้ปัญญาพิจารณาก่อนแล้วจึงทำว่ามันดีหรือมันชั่ว มีปัญญาตัวเดียวมันก็พอแล้ว เขาเรียกว่าบารมีครอบจักรวาลสำหรับด้านขันติ….คือความอดทนต่ออารมณ์ที่เราไม่พอใจ จะเป็นความทุกข์หรือความกระทบกระเทือนเกิดทางกายหรือทางใจก็ช่าง เราทรงขันติดความอดทนไว้ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า“ถ้าเราอดทนไว้ไม่ปล่อยให้จิตใจมันไหลไปสู่ความชั่ว ไม่มัวเมาในขันธ์ ๕ มากเกินไป องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าท่านผู้นั้นมีสุขทั้งในชาติปัจจุบัน และสัมปรายภพ” ปัญญาก็จะมองเห็นได้ชัดว่า “ถ้าเขาด่าเรามา เราก็ด่าเขาไป เรื่องการด่ามันไม่จบ ถ้าเขาด่าเรามา เรานิ่งเสียการด่ามันก็จบเพราะคนด่ามันเหนื่อยไปเอง” นี่ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ เมื่อมีปัญญาแล้วด้านสัจจะบารมี….ก็ครบถ้วนเต็มกำลังใจเพราะเราเป็นคนฉลาดใช้ปัญญาพิจารณาดูแล้วว่าสิ่งใดมันดี สิ่งใดมันชั่วอะไรก็ตามที่เป็นเหตุของความชั่ว เราตั้งใจไว้แล้ว คือมีสัจจะ เราจะทรงความจริงไว้ว่า ความชั่วเราจะไม่ให้มายุ่งกับใจเรา ก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่าอะไรมันเป็นจุดหมายของความชั่วหรือความดี เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นของดีแน่ เราก็ตั้งใจ ตั้งสัจจะว่าเราจะไม่ยอมละความดีตรงนี้เป็นสัจธรรม จะทรงทาน ทรงศีล ทรงเนกขัมมะเข้าไว้มันเป็นผลของความสุข แล้วก็มีความจริงไว้เท่านี้อันนี้อาศัยปัญญาเท่านั้นเป็นตัวควบคุม

แล้วมาอธิษฐานบารมี…..คือเราตั้งใจไว้แล้วว่า เราจะไม่ยอมทำจิตใจของเราให้เข้าไปสู่ความชั่วเราจะไม่ยอมให้จิตของเราคลาดเคลื่อนไปจากหลักของจิตที่เราปักเข้าไว้ เราปักไว้ตรงไหน คือปักไว้ว่า
๑. เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๒. เราจะให้ท่านเป็นปกติ
๓. เราจะมีเมตตาอยู่เสมอ
๔. เราจะไม่มัวเมา หรือไม่ยอมเป็นทาสของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการในด้านเนกขัมมะบารมี อารมณ์ตัวนี้ปักไว้ให้ตรง ไม่ยอมขยับเขยื้อนเหมือนกับหลักที่ปักแน่นแล้ว อย่างนี้ก็ชื่อว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว แต่ต้องอาศัยปัญญาเข้าควบคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีได้ก็เพราะปัญญาเข้าคุม

มาถึงตัวเมตตา …
ถ้าหากว่าเราขาดปัญญาเสียตัวเดียว เมตตาก็ทรงอยู่ไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าการที่เราเมตตาในเขา แต่บางทีหรือว่าหลาย ๆ คราว อาจจะมีเป็นจำนวนมากที่เราไปพบกับคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณคนไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นปัจจัยของความดีหรือความชั่วเมตตาแล้วเขากลับอกตัญญูสนองตอบด้วยความโหดร้าย แต่ทว่าอาศัยคนที่มีปัญญาเท่านั้น จะถือว่ามันเป็นโลกธรรม “นินทา ปสังสา” ความสุข ความทุกข์ มันเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลกที่เราต้องมาเกิดต้องมากระทบกระทั่ง พบกับคนที่หาความดีไม่ได้ ไม่รู้จักคุณคน ทำความดีให้แต่มองไม่เห็นความดี ก็เพราะอาศัยเราโง่คนที่มีปัญญาเขาไม่โทษคนอื่น เขาโทษตัวเอง ก็เพราะอาศัยเราโง่มาในชาติก่อน ในกาลก่อนเราไม่ทรงความดีเข้าไว้ เราไม่แสวงหาความฉลาด เราจึงได้ตกมาเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ต้องกลับมาเกิดใหม่ นี่คนที่มีปัญญาเขาคิดอย่างนี้แทนที่จะไปเจ็บในคนที่สร้างความไม่ดี เป็นอกตัญญูไม่รู้คุณคน มีจิตประกอบไปด้วยอกุศลแทนที่ เขาจะคิดอย่างนั้นแต่เขาไม่คิด คนที่มีปัญญาน่ะไม่คิด แต่มาโทษตัวเองว่าเราโง่เกินไป ถ้าเราฉลาดเราเชื่อคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร เราไปนิพพานเสียแล้ว มันจะมีอะไรล่ะ มันก็ไม่มีอะไรอีก

สำหรับด้าน อุเบกขาบารมี นี่ใช้ปัญญาเข้าควบคุม คุมจิตใจของเรานี้ให้เฉยเข้าไว้อะไรที่มันเกิดขึ้นที่ผิดธรรมผิดวินัยแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์ จิตใจจะหาความสุขไม่ได้ ถ้าเราไปเกาะเราใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า “เราอยู่ในโลก ถ้าเราหมุนไปตามนั้นเราไม่วางเฉยเสีย ไม่ยอมทรงตัวเฉยเข้าไว้ จิตใจก็จะประกอบไปด้วยอกุศล”การที่เราต้องการปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพล คือ เราต้องการเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ มันจะเป็นได้อย่างไรและเมื่อมีอะไรที่ไม่ชอบใจและไม่ถูกใจก็ถือว่าช่างเถอะตามเดิม วางเฉยเข้าไว้ นี้ปัญญาที่ใช้แบบนี้เป็นปัญญาที่รู้จักตัวรอดเป็นยอดดี ยังไม่พ้นอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมคราวนี้เรามาใช้ปัญญาเบื้องสูงกันเพราะเป็นตัวจบ พูดกันง่าย ๆ หรือจบบารมีกันเลยก็ดี จะได้ไม่พูดกันเลอะเทอะไป มาจบบารมีกันเลยแล้วทานบารมีเราใช้ในด้านไหนการที่เราจะให้ทานถ้าเรามีปัญญา ปัญญาของเราเต็ม เราก็คิดอย่างเดียวแต่ไม่ใช่ว่าเราจะสงเคราะห์คนอื่น การให้ทานเราสงเคราะห์ตัวเราเอง สงเคราะห์ตรงไหนล่ะสงเคราะห์ตรงที่เราให้ท่านแล้วเราตัดโลภะ ความโลภ เพราะความโลภมันเป็นรากเหง้าของกิเลส ถ้าเราเป็นทาสของความโลภ เราก็ต้องเกิดมามีทุกข์ ถ้าให้ไปแล้วคนเขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณก็ช่างเขา เขาจะเห็นว่าเราดีหรือเราชั่วไม่สำคัญ เราให้เพื่อทำลายความชั่วที่มันจมอยู่ในสันดานของเราให้หมดไป คือความโลภ หรือมัจฉริยะความตระหนี่แน่นเหนียว เมื่อความโลภไม่มีเสียตัวเดียว ความเบาใจมันก็เกิด ลอยตัวได้แล้ว เราเป็นคนใกล้พระนิพพานเข้าเต็มที นี้ปัญญาเขาใช้กันอย่างนี้แล้วตอนที่เรามารักษาศีล เรารักษาศีลเพื่ออะไรกัน การรักษาศีลนั้นเพื่อที่จะให้เราได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เพราะเป็นบันไดขั้นที่ ๒ ที่เรานำมาเพื่อระงับโทสะ กับพยาบาทนี่ทำลายอารมณ์ชั่ว ความวุ่นวายของใจ ความเร่าร้อนของใจ ความโหดร้ายของใจ การรักษาศีลนี้เราไม่ได้รักษาเพื่อความโลภ หรือเพื่อให้ใครเขามาบูชา ไม่ต้องการให้คนเขามาบูชา ไม่ต้องการให้คนเขามาสรรเสริญใครจะบูชา ใครจะสรรเสริญเราหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เรารักษาศีลนี้เราต้องการอย่างเดียวคือ แซะรากฐานของโลภะให้พินาศไป
เรายังขุดรากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตัดต้นโค่นต้นลงมาเสียให้ได้ ให้เหลือแต่ตอ ต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาในด้านวิปัสสนาคือละขันธ์ ๕ เสียให้หมดเป็นอันว่า ความโลภความโกรธ มันก็จะสิ้นรากเหง้าสิ้นโคนไป นี้ใช้ปัญญาตัวนี้เข้ามาเพื่อรักษาศีล

ต้องคุมศีลให้บริสุทธิ์ คือ
๑.ไม่ทำเอง
๒.ไม่ใช้คนอื่นเขาทำลาย
๓.ไม่ยินดีเมือคนอื่นเขาทำลายแล้ว
นี่ใช้ปัญญาพิจารณาตัวเดียวมาตอนเนกขัมมะบารมี ตอนถือบวชเป็นตัวตัดกาม คือ กามฉันทะ เราระงับไว้ด้วยอำนาจของอสุภกรรมฐานหรือกายคตานุสสติ กดคอมันเข้าไว้และก็ห้ำหั่นมันด้วยอำนาจของปัญญาพิจารณาว่ากามคุณ ๕ มีกายเป็นตัวนำ เราพอใจในกาย แล้วพิจารณาดูในกายว่ามันสกปรกแล้วเอามันไว้ทำไม
นอกจากสกปรกแล้วมันยังทำลายจิตใจของเราด้วย มันก็ไม่ช่วยให้เรามีความสุข เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ โยนทิ้งมันไปเสียเลยขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ แบบนี้
จะไม่มีสำหรับเราต่อไป เลิกคบกันไป เลิกติดใจในกาย ไม่ว่ากายของใครทั้งหมดเนกขัมมะบารมี ที่เขาใช้กันด้วยอำนาจของปัญญาเขาใช้กันอย่างนี้ นี่มันเป็นของไม่ยาก ทำใจให้มันเต็มคำว่าเต็ม อย่าให้มันพร่อง อย่าให้จิตอื่นมันเข้ามายุ่ง อารมณ์อื่นมันเข้ามายุ่ง ทำอารมณ์ให้มันเต็ม ให้มันเป็นปกติ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา การเป็นอรหันต์เป็นของไม่ยาก

ทีนี้ตัวปัญญาไม่ต้องมาพูดกัน มาไล่เบี้ยอย่างอื่นกันต่อไป เอาปัญญาเข้ามาในวิริยะความเพียรอีกตอนนี้เพียรตอนไหน เพียรตอน ตัดสังขโยชน์ ๑๐ ประการให้พินาศไป ใช้สักยาทิฏฐิตัวเดียว เข้าประหัตประหารพิจารณาว่า “อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา”ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา” ในเมื่อมันไม่เป็นเรา มันไม่เป็นของเราเสียอย่างเดียว อย่างอื่นทั้งหลายในโลกจะมีอะไรเป็นของเราอีก ต้องใช้ความเพียรคือ วิริยะ เอาความเพียรเข้ามาจับ ใช้ความเพียรให้มีประโยชน์ อย่าเอาความเพียรไปประกอบสิ่งที่เป็นโทษเข้ามายุ่ง อันนี้เป็นตัวปัญญาที่เป็นปรมัตถบารมี จับความเพียรตัวนี้เข้ามา ยึดสังโยชน์เป็นสำคัญ ทำลายให้พินาศไป โยนร่างกายคือขันธ์ ๕ ทิ้งเสียได้แล้วอย่างอื่นไม่เหลือ หาความเหลือไม่ได้ความเป็นอรหันต์ปรากฏกันตอนนี้ จะไปคุยกันทำไมเรื่องพระโสดาบัน มันเป็นของง่าย ๆ ของเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ง่ายเกินไปถ้าเราใช้ปัญญาในด้านขันติบารมีความอดทนอดใจ เราก็อดทนเข้าไว้ว่าอารมณ์อันใดที่มันเป็นอุปกิเลสกิเลศเล็กก็ดี กิเลศใหญ่ก็ดีเรื่องความไม่ดีที่มันจะเข้ามา ก็ยับยั้งด้วยอำนาจขันติบารมีวิริยะบารมี หาทางวิ่งหนี แต่บังเอิญถ้ามันจะโกรธทัน ยันมันเข้าไว้ไม่ยอมให้มันเข้ามายุ่งในใจอดทนอดกลั้นไว้ ไม่ยอมหวั่นไหวไปตามอำนาจของกิเลส มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นยันมันด้วยอำนาจของขันติมันจะเข้าประตูเฉย ถ้าไม่เปิดยอมรับมัน ในเมื่อเราไม่เปิดประตูยอมรับมัน มันจะมาได้อย่างไร มันจะเข้าได้รึ มันก็เดินวนมาวนไป วนไปวนมา เข้าไม่ได้มันก็กลับไปเอง นี้ปัญญาต้องใช้ความเฉียบขาด คือว่าถ้าเราทรงความอดทนไม่ได้ เราตายเสียดีกว่า เป็นปัญญาตัวสุดท้ายบารมียกยอดเพียงแค่นี้ มาด้านสัจจะบารมี ความจริงใจ ใช้ปัญญาควบคุมความจริงเข้าไว้ เราเลือกไว้แล้วในสิ่งนี้ว่ามันเป็นของดีหรือของเลว เราเลือกเอาของดีเข้าไว้ ทรงแต่ความจริงว่า เราจะค้นคว้าหาแต่ความดีเท่านั้น ทำลาย สักกยาทิฏฐิ คือร่างกายให้พินาศไปโดยตัดว่า “ร่างกายเป็นที่ไม่พอใจของเรา ความโลภมันก็ไม่มี ความโกรธมันก็ไม่มี ความหลงหมันก็ไม่มี” ไอ้ตัวที่หลงใหญ่นั้นคือหลงกายว่าเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เลยหลงตัวอื่นต่อไป นี่เราทรงสัจจะเข้าไว้ว่าเราจะจริง เราจะทำลายกิเลสทั้ง ๓ ประการ ให้พินาศไปด้วยอำนาจของอริยสัจ

ทีนี้มาอธิษฐานบารมี
เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน อย่างอื่นไม่ไปใครจะมายกยอปอปั้นอย่างไรเราไม่เอา เพราะว่าเราเป็นสาวกของสมเด็จพระจอมไตร พระผู้มีพระภาพเจ้า พระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเรา ท่านเป็นกษัตริย์ และก็มีทรัพย์สมบัติมาก มีปัญญาทุกอย่าง ทุกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ พระองค์ยังไม่หลง ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วก็ไปจริง ๆ ในเมื่อเราเป็นพุทธบริษัทชายหญิงของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์ทิ้งอย่างอื่นได้ เราก็ทิ้งได้ เราจะเก็บมันไว้ทำไมเราก็ตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน ใครจะชวนไปทางไหน ฉันไม่ยอมไป ไปที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น ตั้งใจไว้โดยเฉพาะทำอะไรนิด ทำอะไรหน่อย เราทำเพื่อพระนิพพาน
นี้คนที่มีปัญญาเขาใช้อย่างนี้ ปัญญาเป็นบารมีครอบจักรวาลนี้บอกแล้ว แต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า จงมีเมตตาเป็นปกติเมตตา นี้เป็นตัวยืนสำคัญ เลี้ยงทั้งทาน เลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งวิปัสสนาญาณเพราะเมตตาเป็นอาการที่สร้างอารมณ์ใจให้เยือกเย็น ไม่มีกังวล ในอย่างอื่น มีจิตคิดอย่างเดียวคือ สงเคราะห์คนอื่น รักคนอื่น สงสารคนอื่น เกรงว่าเขาจะมีทุกข์เราไม่ต้องการยัดเยียดความทุกข์ให้แก่บุคคลอื่น ต้องการอย่างเดียวคือยัดเยียดความสุขให้แก่เขา ด้วยอำนาจของเมตตา แล้วก็ใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณาว่า “เมตตานี้เราไม่ได้ติดในเขา เราสงเคราะห์ให้เขาข้ามฟาก คือพ้นจากบ่วงทุกข์ไปด้วยชั่วขณะ หรือจะตลอดกาลก็ตามใจ เป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปผูกพัน ช่วยแล้วเขาปฏิบัติได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของเขา อันนี้เป็นของไม่ยาก” ถ้ามีปัญญาเข้ามาพิจารณาแล้ว เมตตามันก็ไม่สลายตัว มันทรงตัว มันเต็ม มันอิ่มบริบูรณ์ ใช้ปัญญาตัวเดียวสำหรับอุเบกขาบารมีตัวนี้เป็นขั้นสูงอุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย ต้องใช้เป็น “สังขารุเปกขาญาณ” คือวางเฉยในสังขารคือร่างกาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างของมัน โลกทั้งโลกทรัพย์สินทั้งหลาย มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน ร่างกายมันป่วย ร่างกายมันทุกขเวทนาสาหัสเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ จะไปแยแสอะไรกับมัน ช่างมัน มันอยากป่วยเชิญมันป่วยไป มันอยากตาย เชิญมันตายไป ตัดตัวนี้ได้ มันก็มีความสุข เราเฉยเข้าไว้ เพราะเรารู้แล้วว่า อัตภาพร่างกายคือขันธ์ ๕ นี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา ปัญญาเขาใช้อย่างนี้นะ ถ้าเราใช้กันให้ถูกเสียอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรที่มันจะไม่ถูก เมื่อใช้ถูกแล้วมันก็มีความสุข ความสุขมันมีตรงไหน อันนี้จะอธิบายให้ฟัง

ตัวอย่างเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครู พระองค์ทรงทราบชัดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ คือ พระอัสสชิ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สมัยแรกกำลังป่วยไข้ไม่สบาย ในเวลาเดียวกันนั่นเอง องค์สมเด็จพระจอมไตรประทับอยู่มีพระเข้ามากราบทูลว่า
“พระอัสสชิ เวลานี้ป่วยหนัก มีทุกขเวทนามาก
พระอัสสชิของร้องให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปโปรด”
พระพุทธเจ้าเสด็จไป และเมื่อเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จถึงแล้ว
พระอัสสชิก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้ามีแล้วนี้ เข้าใจว่าจะสิ้นความดีเสียแล้ว”
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วถามว่า “มันเป็นอย่างไรอัสสชิ”
พระอัสสชิทูลตอบว่า “เวลานี้ทุกขเวทนามันครอบงำข้าพระพุทธเจ้าจัด”
องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงได้ทรงถามว่า “อัสสชิ เธอระงับกาย สังขารไม่อยู่รึ”
พระอัสสชิตอบว่า “ไม่อยู่พระเจ้าค่ะ”
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสถามว่า “อัสสชิ เธอเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเธอรึ”
พระอัสสชิ ก็กราบทูลว่า “ไมใช่พระเจ้าค่ะ”
พระพุทธองค์ก็ตรัสถามอีกว่า “เธอเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นของเธอ”
พระอัสสชิก็กราบทูลว่า “ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ”

ความจริงก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพระอัสสชิกราบทูลว่า “ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้ามีไว้คลจะสลายตัวเสียแล้ว”องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ตรัสถามแบบนั้นเพื่อพระอัสสชิทูลตององค์สมเด็จพระพิชิตมารแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาว่า “อัสสชิ ความดีของเธอยังไม่สิ้นไป ความดีของเธอยังทรงอยู่เธอยังรักษาความดีไว้ได้เป็นปกติ ความดีใด ๆ ที่เธอเคยได้จากคำสอนของตถาคตไว้ สิ่งนั้นยังครบถ้วนบริบูรณ์” เพราะเธอยังมีความเห็นว่า อัตภาพร่างกายคือขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่ของเธอ เธอไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเธอ ฉะนั้น ความดีข้อนี้ยังปรากฏ ตัวนี้เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือ มีญาณเป็นเครื่องวางเฉยในสังขารคือขันธ์ ๕ ได้แก่ ร่างกาย ที่เราเรียกกันว่า อุเบกขาบารมี ถ้าเราทรงได้เพียงนี้ ขึ้นชื่อว่าความดีของท่านทั้งหลายจะไม่หมดไป ทั้งนี้เพราะว่าท่านทั้งหลาย ยังทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายมีปัญญาครบถ้วน เต็มครบถ้วนบริบูรณ์ คือว่ามีปัญญาเต็ม มีบารมีในด้านนี้เต็ม ถ้าปัญญาบารมีเต็มซะบารมีเดียว บารมีอื่นก็เต็มไปด้วย ช่วยให้เราทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุข กล่าวคือ เข้าถึงอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้าถึงพระนิพพาน เอาละท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอควาสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน

และจงทราบว่า บารมี ๑๐ ประการ ที่องค์สมเด็จพระทศพลกล่าวมาแล้วฉันใด อาตมาพูดจบแล้วในด้านปัญญาบารมี ก็ขอยุติเรื่องบารมีไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี.

ส่งบทความโดย คุณโสภา วีรชัยวัฒน์ (sopa2511) ขออนุโมทนาด้วยอย่างสูง


ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาสมัครสมาชิก

Rank: 1

โมทนาสาธุในธรรมทานค่ะ  เมื่อมีสติทุกขณะ  มีสมาธิในปัจจุบันขณะ  สุดท้ายย่อมเกิดปัญญานำทุกสิ่งได้จริงๆ ค่ะ

Rank: 1

ชอบพระธรรมเทศนาชุดนี้มากครับ ขอโมทนาบุญในธรรมทานครั้งนี้ด้วย.

อิมินา ปุญฺญกมฺเมน พุทฺโธ โหมิ อนาคเตกาเล
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-1 09:35 , Processed in 0.063873 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.