แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 6139|ตอบ: 0
go

โฆสกเทพบุตร [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

สมัยหนึ่ง แคว้นอัลลกัปปะเกิดขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ชายผู้หนึ่งชื่อ โกตุหลิก (โก – ตุ – หะ – ลิก) เห็นว่าไม่อาจครองชีพโดยผาสุกในแคว้นนั้นได้ จึงพาภรรยาชื่อกาลีและบุตรน้อยคนหนึ่ง มุ่งหน้าไปเมืองโกสัมพี มีเสบียงอาหารติดมือเพียงเล็กน้อย
เดินทางด้วยเท้าอยู่หลายวัน เสบียงที่ติดตัวหมดลง ระยะทางก็ยังอีกไกล สองสามีภรรยาผลัดเปลี่ยนกันอุ้มลูกน้อยได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส โกตุหลิกผู้สามีจึงขอให้ทิ้งบุตรเสีย อ้างว่า เมื่อเขาทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ย่อมสามารถมีบุตรได้อีก แต่กาลีผู้เป็นภรรยาไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
ในคราวที่มารดาเป็นผู้อุ้ม เธอจะประคองบุตรอย่างทะนุถนอมเสมือนประคองพวกดอกไม้ ฝ่ายสามีเมื่อถึงคราวอุ้มก็อุ้มไปอย่านั้นเอง พอทราบว่าลูกหลับ จึงออกอุบายให้ภรรยาเดินนำหน้าไปก่อน ตนเองเข้าไปใกล้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วทิ้งลูกไว้ที่พุ่มไม้นั้นแล้วเดินตามภรรยาไป
นางกาลีเหลียวหลังกลับมาไม่เห็นลูกถามทราบความแล้ว นางก็คร่ำครวญขอร้องให้สามีกลับไปนำลูกมา แต่ปรากฎว่าบุตรของเขาสิ้นใจ ในขณะที่เขากำลังอุ้มกลับมานั่นเอง


นายโคบาลผู้อารี
สองสามีภรรยาเดินทางต่อไปจนมาถึงบ้านนายโคบาล วันนั้นที่บ้านนายโคบาลมีงานมงคล และที่เรือนของนายโคบาลนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งมาฉันอาหารอยู่เป็นประจำ
วันนั้น นายโคบาลได้จัดแจงข้าวปายาสไว้เป็นพิเศษ สำหรับถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าและเพื่องานมงคล ขณะนั้นเขาเห็นสองสามีภรรยาเดินมามีร่างกายซูบผอม อิดโรย ถามดูทราบความแล้วก็เกิดเมตตา จึงเลี้ยงดูด้วยข้าวปายาส (เข้าที่ปรุงด้วยน้ำนมสด) เป็นอันมาก
เนื่องจากอดอาหารมาถึง ๗-๘ วัน นายโกตุหลิกจึงบริโภคมากจนเกิดประมาณ ฝ่ายนายโคบาลเมื่อเลี้ยงดูสองสามีภรรยาเสร็จแล้ว จึงเริ่มบริโภคเองบ้าง โกตุหลิกนั่งดูเห็นเขาเอาข้าวปายาสให้นางสุนัขนอนอยู่ใต้ตั่ง คิดอยู่ในใจว่า “นางสุนัขตัวนี้ มีบุญจริงหนอได้กินอาหารอย่างดีอย่างนี้ทุกวันๆ”
คืนนั้นเอง อาหารจำนวนมากที่นายโกตุหลิกกินเข้าไปไม่อาจจะย่อยได้ เขาถึงแก่ความตายในคืนนั้น และบังเกิดในท้องนางสุนัขนั่นเอง


บุญญานุภาพ
ฝ่ายภรรยาของเขาทำศพสามีแล้ว ขอทำงานรับจ้างอยู่ในบ้านของนายโคบาล เมื่อได้ข้าวสารเป็นค่าจ้างก็หุงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วอธิษฐานว่า “ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จแก่ทาสของท่านผู้ล่วงลับคือนายโกตุหลิกด้วยเถิด”
นางคิดว่าควรอยู่บ้านนายโคบาลต่อไป เพราะได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกวัน แม้ไม่มีไทยธรรมถวายก็ยังมีโอกาสได้ขวนขวายในบุญกุศลได้ไหว้ได้ทำจิตให้เลื่อมใส เพียงเท่านี้ ก็คงประสบบุญเป็นอันมาก
ต่อมาอีก ๗ เดือน สุนัขตัวนั้นออกลูกเป็นสุนัขผู้ตัวหนึ่ง นายโคบาลเลี้ยงมันด้วยนมโค ลูกสุนัขโตวันโตคืนอย่างรวดเร็ว เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้านนายโคบาลมั่นมักให้ข้าวปายาสแก่มันก้อนหนึ่งเสมอมันจึงรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก
ส่วนนายโคบาล โดยปกติจะไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้าวนละ ๒ ครั้ง ลูกสุนัขตัวนั้นตามไปด้วยเสมอ
วันใด นายโคบาลไม่มีโอกาส เขาก็จะส่งสุนัขตัวนั้นไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า “จงไปนำพระปัจเจกพุทธเจ้ามา”
สุนัขรีบวิ่งไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อถึงบรรณศาลาก็เห่าขึ้น ๓ ครั้ง เป็นสัญญาว่ามารับพระปัจเจกพุทธเจ้า ขณะที่นำพระปัจเจกพุทธเจ้าไปนั้น จะออกหน้าและเก่าไปพลาง มีบางครั้งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการจะลองใจมัน แกล้งเดินไปทางอื่น สุนัขตัวนี้จะเอาปากงับชายจีวรของท่านแล้วนำท่านไปในทางที่จะไปบ้านของนายโคบาล
ด้วยความสัมพันธ์อันมีอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานๆ สุนัขจึงมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ต่อมาพระปัจเจกพุทธเจ้าบอกลานายโคบาล เพื่อจะไปทำจีวรใหม่ที่ภูเขาคันธมาทน์ เพราะจีวรที่ใช้อยู่เก่ามากแล้ว
สุนัขแสนรู้ฟังพระปัจเจกพุทธเจ้าและนายโคบาลคุยกันอยู่ มันเข้าใจเรื่องราวโดยตลอด เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลานายโคบาลเหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์นั้น สุนัขยืนมองอยู่ด้วยความรักและอาลัยยิ่ง พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับสายตา หัวใจมันก็แตกสลายถึงแก่ความตาย
เพราะเป็นสัตว์ที่มีความเห็นตรงไม่คดในข้องอในกระดูก และประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธเจ้า สุนัขตัวนั้นเมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเสียงอันก้องกังวาล เพราะอานิสงส์ที่เห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยใจเลื่อมใส ได้นามว่า “โฆสกเทพบุตร” แต่อยู่ในเทวโลกได้ไม่นานก็จุติมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
โฆสกเทพบุตร เมื่อจุติแล้วมาปฏิสนธิในท้องของหญิงโสเภณีในกรุงโกสัมพี เมื่อหญิงนันทราบว่าลูกของตนเป็นชาย ก็ให้คนรับใช้เอาใส่กระสอบไปทิ้งที่กองขยะกาและสุนัขมาห้อมล้อมเด็กแต่เข้าใกล้ไม่ได้ จึงเป็นเสมือนมาช่วยอารักขาคุ้มครอง นี่เป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้ในสมัยเป็นสุนัขที่เห่าหอนพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก แสดงให้เห็นว่า ความดีหรือความชั่วที่บุคคลทำไว้ ไม่เคยสูญ ย่อมหาโอกาสให้ผลตามกาลอันสมควร
ในขณะที่กาและสุนัขยืนห้อมล้อมอยู่นั้น มีบุคคลผู้หนึ่งเดินผ่านมาเข้าไปดู เห็นเด็กจึงเกิดความรักเพียงดังบุตร นึกว่า “เราได้ลูกแล้ว” นำไปเรือนเลี้ยงอยู่ลูกของตนในเวลาใกล้เคียงกันนั้น เศรษฐีใหญ่เมืองโกสัมพีไปเฝ้าพระราชา พบกับปุโรหิตในระหว่างทางจึงถามด้วยความคุ้นเคยวา “วันนี้มีเหตุการณ์พิเศษอะไรบ้าง? ปุโรหิตเงยหน้าขึ้นมองทอ้งฟ้าแล้วตอบว่า “เด็กที่เกิดในวันนี้ต่อไปจะเป็นเศรษฐีใหญ่ในเมืองโกสัมพี”
เวลานั้นภรรยาของเศรษฐีใหญ่กำลังมีครรภ์แก่จวนคลอด เศรษฐีรีบไปเฟ้าพระราชาแล้วรีบกลับ เห็นว่าภรรยาของตนยังไม่คลอด จึงมอบเงินจำนวนหนึ่งพันบาทให้หญิงคนใช้ชื่อ กาลี ไปสืบดูว่า เด็กคนใดเกิดวันนี้บ้าง ให้ขอซื้อมา เขาคิดว่า ถ้าเด็กคนนั้นต่างเพศกับบุตรของตนก็จะให้แต่งงานกัน ถ้าเพศเดียวกันก็จะฆ่าเสียนางกาลีพบเด็กคนนั้นในเมืองแห่งหนึ่ง จึงขอซื้อมาด้วยเงินหนึ่งพันบาท ต่อมาอีกไม่กี่วันภรรยาของเศรษฐีก็คลอดลูกเป็นชาย เพศเดียวกันกับเด็กที่ซื้อมา

เศรษฐีจึงวางแผนฆ่าเด็กคนนั้นทันที เพราะเกรงเด็กคนนั้นจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีไปจากบุตรของตน
ครั้งหนึ่งในคราวที่เด็กยังเยาว์วัยเศรษฐีให้นางกาลีนำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้า ด้วยหลังว่าสุนัขหรืออมนุษย์คงทำร้ายเด็กถึงตายแน่ ที่ป่าช้านั้นแม่แพะตัวหนึ่งเที่ยวกินใบไม้ เข้าไปใกล้พุ่มไม้นั้น เห็นเด็กน้อยแล้วมีความเอ็นดูจึงคุกเข่าลงให้เด็กดื่มนม
เมื่อคนเลี้ยงแพะร้องไล่ “เห เห” แม่แพะก็หาเคลื่อนไหวไม่ คนเลี้ยงแพะจึงเดินเข้าไปใกล้ คิดว่าจะตีเสียให้สมดื้อ แต่แล้วเขาต้องวางไม้ เมื่อเห็นภาพอันน่าประทับใจยิ่งนัก คือเห็นแม่แพะกำลังคุกเข่าให้เด็กดื่มนมอยู่ เขามองดูด้วยความชื่นชมพลางเปรยว่า “เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักถนอมชีวิตของผู้อื่น แต่บุคคลผู้ทำให้ชีวิตนั้นเกิดขึ้นแล้ว หารับผิดชอบถนอมชีวิตไม่ ช่างน่าละอายเจ้าเหลือเกิน”
คนเลี้ยงแพะนำเด็กนั้นไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เศรษฐีทราบเรื่องให้นางกาลีไปซื้อกลับมาอีก
แต่เมื่อสบโอกาสก็ให้นางกาลีนำไปทิ้งอีก คือให้นำไปทิ้งไว้ที่หน้าคอกโคบ้าง ทางเกวียนบ้าง โยนเหวบ้าง แต่เด็กก็รอดชีวิต และเศรษฐีต้องจ่ายเงินซื้อกลับคืนมาเสียทุกครั้งเมื่อเศรษฐีพยายามฆ่าอยู่เช่นนี้ เด็กก็เจริญเติบโตตามลำดับปรากฎนามว่า โฆสกะ
และในคราวที่โฆสกเจริญวัยสามารถวิ่งไปมาได้นั่นแหละ เศรษฐีให้โฆสกะถือจดหมายไปหาช่างหม้อผู้เป็นเพื่อนตน ข้อความในจดหมายว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกเลว เมื่อมาถึงแล้วจงสับให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วโยนลงไปในเตาเผา เราจะให้ค่าจ้างแก่ท่านหนึ่งพัน เมื่องานเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีรางวัลพิเศษอีก”

โฆสกะ อ่านหนังสือไม่ออก นำจดหมายฆ่าตัวเองไป พอดีขณะนั้นบุตรแท้ๆ ของเศรษฐีกำลังเล่นขลุบ (ลูกคลี) อยู่ใกล้ๆ บ้านกับเพื่อนๆ กำลังแพ้มาก เห็นโฆสกะเดินผ่านจึงเรียกให้ช่วยเล่นแก้มือเอาเงินคืน ตนเองรับอาสาจะไปส่งจดหมายพ่อให้เอง
ช่างหม้อไม่เคยเห็นบุตรเศรษฐี เมื่อได้รับจดหมายก็ทำตามคำสั่งสับจนละเอียดแล้วโยนลงเตาเผาตกเย็นโฆสกะกลับเข้าไปในบ้าน เศรษฐีเห็นจึงถาม ทราบเรื่องตกใจมากคร่ำครวญว่า “อย่าฆ่าลูกฉัน อย่าฆ่าลูกข้า” แล้ววิ่งร้องไห้ไปยังบ้านช่างหม้อ แต่สายเสียแล้ว
ช่างหม้อเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับเศรษฐีว่า “ท่านเศรษฐีอย่าเอะอะไปงานของท่านเรียบร้อยแล้ว”

เศรษฐีนั้นเศร้าโศกเป็นทุกข์ยิ่งนัก แต่นั้นมาก็ยิ่งเกลียดชังโฆสกะมากขึ้น ในคราวที่โฆสกะเป็นหนุ่มเศรษฐีเขียนจดหมายถึงผู้จัดการผลประโยชน์ในชนบทว่า “เด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุตรเลว ขอให้ท่านจับฆ่าแล้วทิ้งเสียในถังส้วม” แล้วมอบจดหมายให้โฆสกะถือไป
ในระหว่างทางโฆสกะได้แวะบ้านของสุมงคลเศรษฐีเพื่อนของพ่อ เพื่อรับเสบียงเดินทาง
สุมงคลเศรษฐีมีธิดาสาวสวยคนหนึ่ง นามว่า สุมนา ขณะที่มารดาของเธอกำลังต้อนรับโฆสกะอยู่นั้น เธอได้ใช้หญิงคนใช้ไปตลาด เมื่อมารดาของเธอเห็นเข้าก็เรียกให้มาปูที่หลับนอนให้โฆสกะ
เมื่อหญิงคนใช้กลับมาช้าลูกสาวเศรษฐีจึงถาม พอทราบว่าโฆสกะมาพักที่บ้าน เพียงเพราะได้ยินคำว่าโฆสกะเท่านั้น ความรักก็แล่นเขาจับใจของนาง ความจริงธิดาเศรษฐีนั้นหาใช่ใครที่ไหนไม่ เธอคือนางกีล ภรรยาของนายโกตุหลิกนั่นเอง (นายโกตุหลิก ก็คือนายโฆสกะนั่นเอง) เมื่อนายโกตุหลิกตายแล้ว นางได้พยายามทำความดีแม้จะยากจน แต่ไม่จนใจ พยายามเอาแรงกายเข้าช่วยเหลือนายโคบาลในเรื่องบุญกุศลอยู่เสมอ เมื่อสิ้นชีพจึงไปบังเกิดในสวรรค์แล้วจุติมาบังเกิดในตระกูลเศรษฐี เพราะกุศลวิบากที่นางได้ทำในสมัยที่เป็นนางกาลี

ธิดาเศรษฐีแปลงสาสน์
เมื่อปลอดคน ธิดาเศรษฐีลงไปชั้นล่าง เห็นโฆสกะนอนหลับอยู่มีจดหมายติดชายพก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและด้วยความรัก ทำให้เธอดึงจดหมายออกจากชายพกของโฆสกะนำไปอ่านที่ห้องทราบเรื่องโดยตลอด เธอจึงฉีกจดหมายนั้นทิ้งแล้วเขียนจดหมายขึ้นใหม่ความว่า “โฆสกะนี้เป็นบุตรคนโตของเรา เราประสงค์จะให้แต่งงานกับบุตรีของสุมงคลเศรษฐีสหายของเรา เมื่อหลาน(ผู้จัดการผลประโยชน์) ได้รับจดหมายแล้วให้รีบจัดการทำให้ดี แล้วส่งข่าวให้เราทราบ”
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ก็ใส่ไว้ที่ชายพกของโฆสกะดังเดิม ผู้จัดการผลประโยชน์ของเศรษฐีได้ทำทุกอย่างตามจดหมายที่เขาได้รับจากมือของโฆสกะ แล้วส่งข่าวไปให้เศรษฐีทราบ
เศรษฐีพอได้ทราบข่าวก็เกิดความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงรำพันว่า “เราต้องการทำสิ่งใดแก่โฆสกะ สิ่งนั้นหาเป็นไม่ เราไม่ต้องการให้สิ่งใดเกิดขึ้นแก่โฆสกะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีไปสิ้น”
นี่แหละ บุคคลผู้อันบุญกุศลคุ้มครองแล้ว ย่อมไม่ประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าใครจะคิดร้ายสักปานใด ส่วนผู้ที่ไม่มีบุญกุศลคุ้มครอง แต่มีเวรานุเวรติดตาม ย่อมประสบอันตรายเอง

ความโศกถึงบุตรที่ตายไป ๑ ความแค้นที่ทำอันตรายใดๆ แก่โฆสกะไม่ได้ ๑ มีผลกระทบกระเทือนต่อร่างกายและจิตใจมาก เศรษฐีนั้นจึงล้มป่วยลง และเมื่อเศรษฐีสิ้นชีวิตพระเจ้าอุเทนราชาแห่งโกสัมพีจึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่โฆสกะแทนที่บิดา
โฆสกะนั้นยืนบนรถ ทำการเฉลิมฉลองให้เอกเกริกตลอดนครโกสัมพี ฝ่ายนางสุมนาผู้ภรรยายืนมองดูสามีอยู่ที่หน้าต่าง เห็นสามีมาพร้อมด้วยเกียรติยศอันยิ่งใหย่ จึงพูดกับนางกาลี (หญิงคนใช้ที่นำโฆสกะไปทิ้งหลายครั้ง) ว่า “ดูเถิดกาลีโฆสกะได้สมบัติเพราะเราแท้ๆ”
เมื่อนางกาลีสงสัยเรียนถาม นางจึงเล่าให้ฟังตั้งแต่โฆสกะนำจดหมายฆ่าตัวติดชายพกไป....
นางกาลี จึงเล่าเรื่องเบื้องต้นของโฆสกะให้นางสุมนาฟังเหมือนกัน ขณะที่โฆสกะกลับมานั้น สุมนาระลึกอยู่ว่า โฆสกะได้สมบัติก็เพราะตนโดยแท้ จึงหัวเราะขึ้น โฆสกะเห็นภรรยาหัวเราะเหมือนมีเลศนัย จึงถามทราบเรื่องแล้ว แต่ไม่ปลงใจเชื่อ จึงถามนางกาลีดู นางกาลียืนยันและเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้ฟัง โฆสกะจึงเชื่อและได้ความสลดใจปลงสังเวชว่า “กรรมของเราหนักแท้ จึงมีเวรติดตามมา เราพ้นจากความตายเห็นปานนี้คงเพราะบุญช่วยคุ้มครองรักษา เราจะประมาทไม่ได้แล้ว ต้องรีบขวนขวายทำบุญกุศล”
ตั้งแต่นั้นมา โฆสกะได้สละทรัพย์วันละพันเพื่อทำอาหารเครื่องอุปโภคแจกจ่ายแก่คนกำพร้า คนยากจน และคนทุพพลภาพ
เรื่องของโฆสกะที่นำมาเล่านี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กรรมมิได้สูญหายไปเมื่อบุคคลตายแล้ว แต่จะติดตามให้ผลอยู่ตลอดเวลา ส่วนชั่วทำให้ตกต่ำลำบาก ส่วนดีช่วยคุ้มครองรักษา ผู้ที่กุศลคุ้มครองแล้ว ย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-12-22 19:50 , Processed in 0.050914 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.