แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

วัดพระบาทยั้งหวีด ม.๓ ต.มะขุนหวาน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ (รอยพระพุทํธบาทคู่) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

IMG_2510.jpg



พระแก้วมรกต (จำลอง) ประดิษฐานภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ


IMG_2513.jpg



ทำบุญพระประจำวันเกิด ภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2467.jpg



IMG_2468.jpg



IMG_2265.jpg



IMG_2463.jpg



สถานที่ถ่ายพระบังคน (ถ่ายอุจจาระ) ของพระพุทธเจ้า อยู่ข้างรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย ภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ใต้่บ่อสถานที่ถ่ายพระบังคน (ถ่ายอุจจาระ) จะเป็นถ้ำ รอยพระพุทธบาทเบื้องซ้ายของจริงของพระพุทธเจ้าประดิษฐานใต้บ่อนี้ มีรูทะลุไปได้ถึงบ่อน้ำทิพย์ ซึ่งอยู่ด้านข้างวิหารค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2032.jpg



ตำนานรอยพระพุทธบาทยั้งหวีด



(แหล่งที่มา : หนังสือประวัติตำนานรอยพระพุทธบาทยั้งหวีด วัดพระบาทยั้งหวีด (พิมพ์ครั้งที่ ๕). (๒๕๒๓, กรกฎาคม). เชียงใหม่: รุ่งเรืองการพิมพ์.)


นมามิ  พุทธํ  คุณสาครนฺตํ  สตตาสทาตุ   ฐปนฺนธาตุ โยวา กถํ  ชมภูทีเปเทวเกหิปูชิโตสหาโหตุ ฯ

บัดนี้จักได้กล่าวตำนานพระพุทธบาทยั้งหวีด ให้ปรากฏแก่ประชาชนคนและเทวดาทั้งหลายก่อนแลฯ ด้วยเหตุว่า พระมหาสัคคิเถระ อันอยู่ในเมืองพุกาม  และพระมหาโพชฌงค์เถระชาวเมืองกุสินารา พระเถระทั้งสององค์นี้มีความรู้แตกฉานในห้องพระไตรปิฎก ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนมาอย่างช่ำชองแล้ว  พระเถระทั้งสองก็ชักชวนกันไปศึกษาการพระศาสนาในลังกาทวีป ซึ่งในสมัยนั้น  พระพุทธศาสนายังกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ในลังกาทวีป  พระเถระทั้งสองได้อาศัยสำเภาไปกับพ่อค้า  ก็ไปถึงเมืองลังกาทวีป  ได้พักอยู่วัดแห่งหนึ่งซึ่งมีนามว่า วัดเสลาราม และในวัดนั้นเองพระเถระทั้งสองได้พบศิลาจารึกพระพุทธบาทและพระธาตุ แผ่นศิลาจารึกนั้นยาว ๗ วา  หนา ๓ วา  ปรากฏว่าพระยาอินทร์ได้ให้เปจจสีลาเทพบุตรมาแกะสลักไว้ เพื่อให้ปรากฏแก่คน และเทพยดา พระมหากษัตริย์ในรุ่นหลังต่อไป แผ่นศิลานั้นอยู่ที่วัดเสลาราม เจ้าอาวาสนามว่า โชติปาลเถระ

จะย้อนมากล่าวถึง นามเจ้าอาวาสวัดเสลาราม  ท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นมีปรากฏนามว่า โชติปาลเถระ เมื่อพระเถระทั้งสองได้ไปถึงแล้วก็ได้นมัสการไต่ถามท่านเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ทำการปฏิสันถานต้อนรับด้วยไมตรีจิต  และได้ถามพระเถระทั้งสองว่า  ท่านทั้งสองมาจากที่ไหนและได้มาไหว้พระบาทพระธาตุที่นี้  พระเถระทั้งสองก็ตอบว่า  ข้าพเจ้าทั้งสองมาจากชมพูทวีป  เพื่อมานมัสการพระบาทพระธาตุของพระพุทธเจ้าอันมีในเมืองลังกานี้ฯ  แต่นั้นเจ้าอาวาสก็เอาตำนานพระบาทพระธาตุเจ้า  อันมีในชมพูทวีปให้พระเถระทั้งสองดูและบอกว่า  


ตำนานนี้พระพุทธเจ้าได้เทศนาแก่  พระยาอินทร์  พระยาอโศก  และพระอานนท์เถระเจ้าในครั้งเมื่อพระองค์ทรงเสด็จเที่ยวสั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์โลก พระพุทธเจ้าได้พาพระอานนท์และพระยาทั้งสองไปทำนายทายไว้ ซึ่งรอยพระบาทและพระธาตุไว้ในชมพูทวีปโน้น  และได้สั่งให้พระเถระทั้งสองจารึกเขียนเอาตำนานนั้นมาด้วย เพื่อให้พระสงฆ์และท้าวพระยามหากษัตริย์ประชาราษฎรได้อ่านได้ดู  แล้วจะได้ทำการสักการบูชา ซึ่งตำนานและรอยพระบาทและพระธาตุนั้นๆ เถิด  

พระเถระทั้งสองก็ตั้งใจศึกษาตำนานนั้นๆ และได้จารึกเป็นตัวอักษรลงในใบลานได้ ๒ ผูก (สองฉบับ)  และพระเถระทั้งสองก็พากันออกเที่ยวนมัสการพระบาทพระธาตุในเมืองลังกาทวีปทุกๆ แห่ง  ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้นั้นฯ  พระเถระทั้งสองได้อยู่ในลังกาทวีป ๓ ปี จึงได้อำลาท่านพระมหาโชติเถระ  ผู้เป็นเจ้าอาวาสกลับมาชมพูทวีปฯ  มาอยู่ในเมืองพุกาม  แล้วเอาตำนานอันตนได้จารึกเขียนมานั้นถวายแก่พระสงฆ์เถระทั้งหลายในเมืองนั้น  อันมีพระสังฆราชธัมมรังษี  เป็นประธาน  


เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายได้อ่านดูแล้วเห็นว่า  ถ้าได้ตรวจค้นดูตามตำนานนั้น ก็อาจจะพบรอยพระพุทธบาทและพระธาตุ  จึงพร้อมใจกันนำเอาตำนานนั้นถวายแด่พระเจ้าสีสุ (กรุงอังวะ) และ พระเจ้ากาลัมพุชา (พุกาม) พระบรมกษัตริย์ทั้งสองได้ทอดพระเนตรเห็นตำนานนั้น  ก็โสมนัสชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง  จึงน้อมพระเศียรลงนมัสการแล้วได้ประกาศให้ประชาชนราษฎรทั้งหลายได้ทราบ  และได้นมัสการพระพุทธบาทพระธาตุอันมีในเมืองอังวะเมืองหงสาวดี  เมืองพุกาม  เมืองอยุธยา  และเมืองนพบุรีศรีนครเชียงใหม่ฯ  

ประชาชนก็กันพากันโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่ง  ปานประหนึ่งจะได้หน้าพระพักตร์ (หน้า) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่  ประชาชนการความเลื่อมใสได้พากันสละเครื่องประดับออกถวายเป็นพุทธบูชา  บ้างก็ถอดแหวนอันสุบสอดอยู่ในมือของตนเป็นพุทธบูชา  บ้างก็สละเงินทองถวายบูชาในวันนั้น  ได้เงินสองพันบาท  ทองคำสองพันบาท ส่วนพระเจ้าสีสุก็เอาทองคำบูชา ๕๐๐ บาท  พระเจ้ากาลัมพุชาก็บูชาทองคำ ๕๐๐ บาท  รวมวัตถุทั้งหมดอันคนนำมาบูชาในครั้งนั้น  เป็นเงินสองพันบาท  ทองคำหนักสามพันบาทฯ

เมื่อนั้นพระบรมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์  จึงให้นายช่างทองคำหล่อหีบทองคำใบหนึ่งกว้าง ๑ ศอก  ยาว ๑ ศอก  สูง ๑ คืบ  ๕ นิ้ว และประดับตกแตกด้วยแก้ว ๗ ประการ  แล้วเอาลวดทองคำผูกใบลานที่จารึกเขียนตำนานพระบาทพระธาตุนั้น  แล้วนำลงบรรจุไว้ในหีบทองคำใบนั้น  นำไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารวัดกำพุชา  เมื่อพ.ศ.๑๕๑๑  จุลศักราช  ๓๓๐ฯ  

ต่อมามีพระมหาเถระองค์มีนามปรากฏว่า ลไทเกียง อยู่วัดสวนดอกไม้ตอนเหนือ  ได้ไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพุกามประมาณ ๑๐ ปี  จึงขอคัดลอกเอาตำนานพระบาทพระธาตุอันมีในเมืองนพบุรีนครเชียงใหม่ ๒๘ แห่ง  เมื่อมาถึงเมืองเชียงใหม่แล้ว  ได้พักอยู่ วัดบุพพาราม ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบุพพารามนี้ ๓ พรรษา  เมื่อพระไทเกียงเถระมีพรรษาได้ ๓๐ พรรษา  พระเจ้าแก้วบรมกษัตริย์ได้อาราธนานิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอกฯ  เมื่อพระเจ้าแก้วได้เห็นตำนานพระบาทพระบรมธาตุเจ้าทั้งหลาย  อันตั้งอยู่ในเมืองนพบุรีนครเชียงใหม่  มีถึง ๒๘ แห่ง  จึงให้นายช่างทำการก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมสถานที่เหล่านั้นให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นฯ ต่อจากพระเจ้าแก้วก็มาถึงพระเจ้ายอดเชียงราย พระเจ้ายอดเชียงรายได้ตำนานมาจากมอญรูปหนึ่ง ท่านก็ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่เจริญเท่าสมัยครั้งพระเจ้าแก้วฯ


พระลไทเกียงได้ตำนานมาจากพระมหาพุกำ พระมหาพุกำได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสวนดอก ๑ พรรษา ในพรรษานั้นพระลไทเกียงเถระมีพรรษาได้ ๕๐ พรรษา ท่านก็ได้อำลาพระเจ้าแก้ว ไปอยู่ป่าฟ้าหลั่ง ได้ ๓๐ พรรษา พระลไทเกียงเถระท่านก็ได้ค้นดูตำนานทั้งหมด ก็ปรากฎว่าสถานที่พระบาทพระธาตุตั้งอยู่นั้นเจริญขึ้นแล้วทุกแห่ง แต่ที่ยังไม่ปรากฎนั้นคือ พระบาทยั้งหวีด, พระธาตุช่างไถ,  ยังแดง ยังหมื่น ยังเหิน และยังเห็น, สถานที่เหยียบรอยพระบาทและที่บรรจุพระเกศาธาตุเหล่านี้ ในเวลานั้นยังไม่ปรากฏว่าตั้งอยู่ในที่แห่งใด แต่จะไปปรากฏในอนาคตกาลข้างหน้าโน้น

เมื่อพุทธศักราช ๒๑๑๙ กับ ๑๐ เดือน ๒๖ วัน จุลศักราช ๙๓๘ ปี ตั้งแต่นั้นไปเมื่อจุลศักราช ๑๐๐๐ ปี พระเจ้าธรรมราชาจักมาสร้างพระอาราม ที่รอยพระบาทที่บรรจุพระเกศาธาตุนั้นๆ ให้เจริญรุ่งเรืองสง่างามปรากฎแก่คนทั้งหลาย ตามตำนานอันพระพุทธองค์ทรงทำนายไว้ว่า มีในชมพูทวีปฯ อันคำว่า ยั้งหวีด, ยังแดง, ยังหมื่น, ยังเห็น, และช่างไถ เหล่านี้ พระเถระเจ้าทั้งสองได้ฟังมาแต่เมืองลังกา แต่สถานที่เหล่านี้ในเวลานั้นยังไม่รุ่งเรือง จะไปรุ่งเรืองในกาลข้างหน้าฯ เมื่อรู้ดังนั้นแล้วพระมหาพุกำก็มาดำริในใจว่า ควรเอาต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ ไปปลูกไว้ที่พระพุทธเจ้าได้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ พระมหาพุกำได้เอาพันธุ์ไม้ศรีมหาโพธิ์ต้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ันั้นมาเพาะไว้พอใหญ่ขึ้นพอประมาณ ๑ ศอก ก็ได้เอาไปปลูกไว้ที่พระพุทธเจ้าถ่ายอุจจาระปัสสาวะนั้นจริง ตามที่ท่านได้ดำริไว้นั้นทุกประการฯ

IMG_2763.jpg



พระพุทธองค์เสด็จพุทธดำเนินไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะใกล้ต้นหวีดประมาณ ๑๔ วา
อุจจาระอันนั้นก็อันตรธานหายไปไม่เป็นอาหารแก่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งเลยฯ ในขณะนั้น เมื่ืื่อพระพุทธเจ้า ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เสร็จแล้วยังมีพญานาคตนหนึ่ง ชื่อว่า ยสาสัญชัย เป็นบุตรของพญานาคชื่อว่า ธตะฐะ แทรกแผ่นดินออกมาถวายบ่อน้ำเป็นทานพร้อมกับกระบวยทองคำอันประกอบไปด้วยแก้ว ๗ ประการ อันมีค่าควรเมือง พญานาคก็ขออาราธนา พระพุทธองค์ได้ชำระสระสรงพระวรกายพระพุทธองค์ฯ

พญานาคบุหนปัจฉิมไกลจากพระพุทธเจ้า ๒๕ วา พระพุทธเจ้าทรงรับทานน้ำ และกระบวยทองคำของพญานาคแล้วก็ชำระสระสรงพระวรกายที่บ่อน้ำใกล้ต้นไม้หวีด ซึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันออก ๕ วา พญานาคก็ขอรอยพระบาทคู่ ไว้ให้เพื่อเป็นที่เคารพกราบไหว้สักการบูชาแก่คนและเทวดา นาคครุฑทั้งหลาย พระพุทธเจ้าก็ทรงมีพระมหากรุณาแก่พญานาค จึงทรงเหยียบรอยพระบาททั้งคู่ให้พญานาคไว้เป็นที่ไหว้สักการบูชาแก่หมู่คน และเทวดา นาคครุฑทั้งหลายฯ

พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปที่อื่นก็คืนกระบวยทองคำนั้น ให้แก่พญานาคดังเก่า พญานาคก็เอากระบวยทองคำนั้นลงไปไว้เมืองนาคที่บรรจุพระทันตธาตุเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นที่สักการบูชาแก่หมู่นาคทั้งหลายฯ

พระพุทธเจ้าได้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะแล้วก็เสด็จพุทธดำเนินมายังต้นไม้มะม่วงแมลงวัน ก็ทรงพุทธดำรัสแก่พระยาทั้งสองและพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ตถาคตมาในสถานที่นี้ท่านทั้งหลายได้ขอเกศาธาตุไว้ในที่นี้ภายหน้าได้ชื่อว่า อัมพวนาราม แล

อนึ่งเราตถาคตได้ถ่ายอุจจาระใกล้ต้นไม้หวีด พญานาคตนชื่อ ยสะสัญชัย ได้บุออกมาถวายบ่อน้ำและกระบวยทองคำแก่เราตถาคตให้ได้ชำระพระวรกาย พญานาคได้ขอให้เราไว้รอยพระบาททั้งคู่ เพื่อให้เป็นที่เคารพกราบไหว้สักการบูชาของเหล่าเทวดา มนุษย์ และนาคครุฑทั้งหลาย เราตถาคตก็ได้ทรงเหยียบรอยพระบาททั้งคู่ไว้ใ้ห้ แต่ได้ทรงเหยียบไว้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ไม่เท่ากัน เพราะเราตถาคตเล็งเห็นภัยในอนาคตกาล

โดยชาวเมืองโกสัมพีไม่รู้จักคุณค่าของพระศาสนา มาสร้างบ้าน ทำสวนเลี้ยงสัตว์ และทำเครื่องดักสัตว์เป็นอาชีพ ทำการงานทุจริตผิดศีลธรรม ไม่รู้จักสถานที่เคารพสักการบูชา จะพากันมาซักฟอกเสื้อผ้า ชำระร่างกายที่บ่อน้ำนี้ มิหนำซ้ำจะมาทำลาย รอยพระบาทที่เราตถาคตได้ทรงเหยียบไว้นี้ด้วยมีดและขวาน เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นรอยเท้าโยคี (อ้ายเท้าเลิ๊ก) ไม่มีความเคารพยำเกรงแม้แต่คนเดียว มีแต่ดูถูกดูหมิ่น พวกเขาเหล่านั้นต่อไปภายหน้าจะได้เสวยกรรมวิบาก เพราะโทษที่หมิ่นประมาทรอยพระบาทที่เราตถาคตได้ทรงเหยียบไว้นี้คือว่าเขาจักเจ็บไข้ได้ป่วย ฉิบหายวายวอดไปตามๆ กัน

แม้เราตถาคตกรรมวิบากยังไม่สุด ถึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ตามกำลังอกุศลกรรมวิบากที่เราได้กระทำไว้ก็ยังติดตามสนองฯ คือว่า เมื่อตถาคตได้เกิดมาเป็นบุตรกุฏมพีอยู่ในเมืองพาราณสี มีนามปรากฏว่า โลลัตตกุมาร ได้ไปเที่ยวเล่นตามถนนหนทางกับด้วยเพื่อนเด็กๆ ชาวบ้าน โลลัตตกุมารได้เล่นวาดเขียนรูปรอยเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เขียนใหญ่บ้างเล็กบ้าง แหว่งหวิ่นบ้างไม่เท่ากัน และเขียนไม่มีนิ้วเท้าเท่านั้น ประหนึ่งบุคคลสวมรองเท้าแล้วไปเหยียบทรายฉะนั้น เหตุไม่ชำนาญศิลป์ในการเขียนอุตริเขียนเล่นไป แล้วกล่าวขึ้นว่า

รอยเท้าพระปัจเจกเจ้าของเรางามแท้หนอ แล้วก็เที่ยวเก็บดอกไม้มาบูชาประนมมือไหว้ เมื่อเล่นๆ ไป ก็เอามีดปลายแหลมที่ตนเอาขีดเขียนนั้น ขีดเล่นรอยเท้านั้นให้เป็นรอยมีดไปแล้วก็ลบด้วยฝ่าเท้าของตน ด้วยอกุศลกรรมวิบากเพียงเท่านั้น เมื่อเราตถาคตเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ฝูงคนเหล่านั้นจักได้มาทำลายรอยพระบาทนี้ เหตุดังนั้น เราตถาคตมิอาจจะห้ามกรรมวิบากอันเราตถาคตได้กระทำมาแต่บุรพชาติปางก่อนได้ ฉะนั้นเราตถาคตจึงไว้รอยพระบาทตามคำขอของพญานาค

ดูกร อานนท์ เมื่อเราตถาคตเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วนานได้ ๒๑๑๙ พรรษากับ ๑๐ เดือน ๒๖ วัน จุลศักราช ๙๓๘ ปี คนทั้งหลายจักได้ตำนานพระบาทของเราตถาคตทั้งคู่ และตำนานเกศาธาตุของเราตถาคต ก็จักปรากฏแก่คนทั้งหลายให้เห็นแจ้งชัด เมื่อพุทธศักราชดังกล่าวแล้วนี้ กรรมวิบากที่เราตถาคตได้กระทำไว้แล้วนั้น ก็จักหมดสิ้นไปโดยไม่มีเศษเหลือ มีคนอุปัฏฐากรักษา มีคนมาเลื่อมใสมากและมาถวายเครื่องสักการบูชาเป็นอันมากตราบเท่า ๕๐๐๐ พระวสาแลฯ

เหตุไฉนที่นั่นจึงได้นามว่า “ยั้งหวีด” พึงรู้ดังนี้เพราะที่นั่นเป็นดงป่าไม้หวีด ยังมีไม้หวีดต้นหนึ่งใหญ่โตกว่าไม้หวีดทั้งหมด ที่มีอยู่ในป่านั้น วัดโดยรอบใหญ่ประมาณ ๓๗ ศอก สูงประมาณ ๙๖ ศอก มีกิ่งก้านสาขาแตกเป็นพุ่มคล้ายฉัตรมีกิ่งก้านใหญ่อยู่ ๕ กิ่ง ไกลจากบ่อน้ำไปทางทิศตะวันตก ๕ วา แลฯ พระพุทธเจ้าได้มาพักถ่ายอุจจาระปัสสาวะสถานที่นี้ เหตุนั้นสถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า “ยั้งหวีด”


เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสสำแดงเล่าความเป็นไปในอนาคตกาลของรอยพระบาท ที่ได้ทรงเหยียบไว้พร้อมกับเกศาธาตุนั้นแก่พระอานนท์ และพระยาทั้งสองทราบเช่นนี้แล้ว ก็ทรงเสด็จออกจากโคนต้นไม้มะม่วงแมลงวัน อันเป็นที่ทรงประทับนั่งเสวยภัตตาหาร แ้ล้วทรงเอาพระอานนท์และพระยาทั้งสองไปที่ บ่อน้ำ แ้ล้วตรัส "นี่บ่อน้ำอันพญานาคถวายพร้อมกับกระบวนทองคำนั้นรอยพระบาททั้คู่โน้นต้นไม้หวีด ท่านทั้งหลายจงจำไว้สถานที่เช่นนี้เป็นที่ควรจะรู้เห็นควรจะดู ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งเที่ยวไปยังเจติจาริก จักเป็นคนเลื่อมใสทำกาลกิริยาลง ชนเหล่านั้นจักเ้ข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"

IMG_2024.jpg



พระอานนท์จึงกราบทูลรับว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จักจำไว้ซึ่งสถานที่นี้ฯ กราบทูลเช่นนี้แล้วก็กราบทูลอีกว่า ขอพระองค์ได้ทรงพาข้าพุทธเจ้าทั้งหลาย ไปในสถานที่ใดควรปรารถนารอยพระบาทและบรรจุพระเกศาธาตุไว้ในที่นั้นเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ ส่วนสถานที่พญานาคบุออกมาถวายบ่อน้ำ พร้อมกับกระบวยทองคำแก่พระองค์ และพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ทรงไว้รอยพระบาททั้งคู่ พระองค์ก็ทรงกรุณาให้ตามประสงค์ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสถานที่นี้จะเจริญรุ่งเรือง ดังที่พระองค์ได้ทรงทำนายไว้หรือพระพุทธเจ้าข้าฯ

พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า ดูกรอานนท์ รอยพระบาททั้งคู่ที่เราได้ทรงเหยียบไว้นี้ เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเราตถาคตเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนานได้ ๒๑๑๙ พรรษา กับ ๑๐ เดือน ๒๖ วัน จุลศักราช ๙๓๘ ปี จะเจริญรุ่งเรืองมีคนเลื่อมใสพระบาทพระธาตุแห่งนี้ ก็จักปรากฎแก่สมณะพราหมณ์นักบุญทั้งหลาย ประชาชนก็จักค้นหาตำนานพระบาทพระธาตุของเราตถาคต แต่ก็ไม่มีใครพบเห็น เขาจะถามกันถึงเรื่องตำนานพระบาทพระธาตุของเราตถาคตเท่านั้น เมื่อภายหลังคนทั้งหลายจะรู้จักลัวะขุนอ้ายกอนคำผู้พี่ และขุนอ้ายท่อนคำผู้น้อง

ขุนลัวะทั้งสองพี่น้องนี้เขาได้กระทำุบุญไว้แต่ชาติปางก่อน คือ ขุนลัวะอ้ายกอนคำได้เอาเสื่อมาปูถวายเราตถาคตนั่งเสวยภัตตาหาร ขุนลัวะท่อนคำได้เอาอาหารใส่ป้อม (กระเช้า) มาถวายเราตถาคตฯ ด้วยเดชบุญที่เขาได้ถวายโภชนาอาหารและอาสนะ คือ เอาเสื่อมาปูถวายเราตถาคตได้ประทับนั่งเสวยภัตตาหารฯ ขุนลัวะอ้ายกอนคำผู้พี่จักได้เกิดในตระกูลรามัญในเมืองกุสินารา จักได้มาอยู่รักษารอยพระบาทของเราทั้งคู่ให้เจริญรุ่งเรือง และเขาจักมีนามปรากฎชื่อว่า นายปอนคำ เพราะเหตุเขาได้เอาข้าวโภชนาอาหารใส่ภาชนะกระเช้าไม้สานมาถวายเราตถาคตฯ

ขุนลัวะอ้ายท่อนคำผู้น้อง เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสาร ก็จักได้มาถือปฏิสนธิกำเนิดในตระกูลรามัญในเมืองอินทาจักมีนามปรากฎ ๔ ชื่อ คือ อานนท์ , คญาณะวิเชียร เพราะเหตุนี้บิดามารดา ของเขาเป็นไทยเงี้ยวชาวเมืองโกสัมพี มารดาเป็นชาวรามัญ ผู่เป็นชาวรามัญเหมือนกัน ย่าเป็นชาวแขก เพราะเหตุนี้เขาจึงมีชื่อ ๓ ชื่อ

นายอานนท์เขาจะมาพบกับนายปอนคำ ที่อยู่รักษาพระบาทยั้งหวีด ต่างก็จักมีปิติยินดีมีความสัมพันธ์ไมตรีซึ่งกันและกัน ก็จักได้พากันอยู่อุปัฏฐากรักษารอยพระบาทและพระธาตุของเราตถาคตให้เจริญรุ่งเรืองฯ ส่วนนายอานนท์จักได้เห็นตำนานรอยพระบาททั้งคู่ และตำนานเกศาธาตุของเราตถาคตแล้ว จักได้เอาออกประกาศให้คนทั้งหลายทราบทั่วกัน จักได้ส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง แล้วเมื่อพบปะกับผู้ใดก็จักบอกให้แก่ผู้นั้นทราบทั่วกันไป ต่อแต่นี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองไปทีละเล็กละน้อยยังไม่เจริญรุ่งเรืองเต็มที่ เมื่อสมณะพราหมณ์นักบุญทั้งหลาย มีแต่ความเลื่อมใสพากันมาสักการบูชา ข่าวอันนี้ก็จักเลื่องลือไปถึงท้าวพระยามหากษัตริย์ ก็จักพากันมาทำการสักการบูชารอยพระบาทพระเกศาธาตุทีนี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองไปตราบต่อเท่า ๕,๐๐๐ พระวสาแลฯ

ดูกรอานนท์ ขุนลัวะทั้งสอง คือ ขุนอ้ายกอนคำและขุนอ้ายท่อนคำทั้งสองพี่น้องท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสารก็จะได้เสวยซึ่งความสุขอันมีในมนุษย์โลกและเทวดาโลกตลอดสิ้นกาลอันช้านาน เมื่อใดอริยเมตตรัยเทพบุตรจุติมาเกิดในมนุษย์เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้านั้น ก็จักได้ทำนายขุนอ้ายกอนคำผู้พี่ และขุนอ้ายท่อนคำผู้น้องแลฯ


พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายรอยพระบาทพระเกศาธาตุแก่พระอานนท์และพระยาทั้งสองแล้ว เวลามัชฌิมมยามเที่ยงคืนมาถึง พระองค์ก็ทรงแก้ปัญหาแก่เทวดาทั้งหลายเมื่อปัจฉิมยามใกล้รุ่ง พระองค์ทรงแผ่พระญาณตรวจสัตว์โลกผู้ใดมาปรากฎในข่ายพระญาณ พระองค์ก็เสด็จไปโปรดผู้นั้น เมื่อรุ่งแจ้งแสงอรุณขึ้นมาแล้วพระองค์ก็ชำระพระวรกาย แล้วทรงผ้าจีวร และสังฆาฏิก็เสด็จจาริกเที่ยวไปฯ พระอานนท์ก็ถือบาตร พระยาอินทร์ก็ถือฉัตรกางกั้นถวายฯ พระยาอโศกก็ถือพัด ผ้านิสีทนะ ไม้เท้าธรรมกรก็เสด็จไปก่อนพระุพุทธเจ้าฯ

พระองค์เสด็จไปบิณฑบาตบ้านลัวะชื่อว่า ชัยภูมิ แล้วก็ไปยืนอยู่เหนือศิลาก้อนหนึ่งและได้ไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะสถานที่อีกแห่งหนึ่ง แต่ไม่ปรากฎว่ามีในที่แห่งใด ส่วนพระอานนท์ก็รับเอาบาตรไว้ที่ต้นไม้คยอมอยู่ถ้ารอคอยพระพุทธองค์ฯ (ขณะนี้เรียกกันว่า วัดทุ่งตูม ห่างจากวัดพระบาทยั้งหวีดไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลฯ เมื่อพ.ศ.๒๔๗๔ ท่านพระศรีวิัชัย (ครูบาศรีวิชัย) ได้จัดการก่อสร้างศาลารอบพระธาตุและบูรณะพระธาตุโดยการเทคอนกรีตฯ)

เมื่อพระองค์ทรงเสร็จจากธุรกิจแล้ว ก็พาพระอานนท์และพระยาทั้งสองเสด็จไปยังดอยศรีจอมทอง และได้เสวยบิณฑบาตที่ดอยศรีจอมทองนั้น เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้วก็เสด็จไปยังดอยเกิ้ง พระยาอินทร์จึงชี้พระหัตถ์ไปยังซอกผาน้ำก็ไหลหลั่งออกมากลายเป็นน้ำบ่อทิพย์ (ขณะเรียกว่า น้ำบ่อทิพย์ของพระยาอินทร์ ซึ่งยังมีปรากฎอยู่จนถึงทุกวันนี้) พระพุทธเจ้าทรงดื่มน้ำและล้างบาตรที่บ่อน้ำนั้นๆ สถานที่นี้พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับครั้งหนึ่งแล้ว เม่ื่อพระองค์เสด็จมาจากอยุธยา และทำนายไว้ฯ เสด็จมาคราวนี้เป็นครั้งที่สองแต่สถานที่นี้ไม่สบายพระหฤทัย เมื่อพระองค์ได้ทรงพักผ่อนตามเวลาพอสมควรแล้วก็เสด็จไปยังเมืองกุสินารานครฯ

พระองค์ได้ตรัสแก่พระอานนท์และพระยาทั้งสองว่า ดูกรอานนท์ เทฺวปาโท รอยพระบาททั้งสอง ที่เราตถาคตได้ทรงเหยียบไว้ที่ป่าไม้หวีดโน้น พญานาคออกมาถวายบ่อน้ำพร้อมด้วยกระบวยทองคำนั้น เราทรงเหยียบรอยพระบาทนั้น เป็นครั้งสุดท้ายฯ เมื่อใกล้จะรุ่งเรืองนั้น ยังมีเด็กเลี้ยงโคสองคน ได้ไปเลี้ยงโคตามชายป่าไม้หวีด ที่ใกล้บริเวณพระบาทที่เราตถาคตทรงเหยียบไว้นั้น เด็กผู้หนึ่งกระหายน้ำนักก็เที่ยวแสวงหาน้ำดื่ม ได้ไปพบบ่อน้ำของพญานาค เด็กผู้นั้นก็ได้ลงไป เพื่อจะดื่มน้ำให้สมกับความอยาก

บังเอิญวันนั้นเป็นวันที่พญานาคออกมารักษารอยพระบาท พญานาคเห็นเด็กคนนั้น ก็เนรมิตแท่งทองคำแท่งหนึ่ง ใหญ่ประมาณเท่าลำหมากมีสีเหลืองอร่ามงามตา ให้ปรากฎแก่เด็กคนนั้นๆ เมื่อเห็นแท่งทองคำอันใหญ่ก็สดุ้งตกใจกลัวจนหมดสติสัมปะชัญญะ มีร่างกายกระด้างไม่ไหวติง อยู่ไม่นานเท่าไรนัก พญานาคก็บันดาลให้เด็กคนนั้นได้สติแล้วจึงรีบวิ่งไปหาเด็กที่เป็นเพื่อนของตน แล้วเล่าความที่ตนได้เห็นนั้นให้เพื่อนฟังว่า ตัวฉันได้ไปเห็นแท่งทองคำอันใหญ่ ที่บ่อน้ำเพื่อนจงไปดูเถิด แล้วเด็กทั้งสองก็พากันไปดูแท่งทองคำอันมีรัศมีเหลืองอร่ามรุ่งเรืองนั้น อันพญานาคหากเนรมิตขึ้น เด็กทั้งสองก็เกิดความกลัว ไม่อาจจะอยู่ในที่นั้นได้ฯ

ดูกรอานนท์ แรกแต่กาลนั้นไปข้างหน้า สถานที่รอยพระบาทยั้งหวีดก็จะเจริญรุ่งเรืองไปทีละเล็กละน้อย และจักมีพญานาคอีกตนหนึ่งชื่อว่า มหาสะสัญชัย ตนเป็นพี่ของพญานาค ยสะสัญชัย ที่ได้บุออกมาถวายบ่อน้ำพร้อมกระบวยทองคำแก่เราตถาคต เพราะพญานาคตนชื่อมหาสะสัญชัยนั้น ยังมิได้มีส่วนช่วยเหลือศาสนาเราตถาคตฯ เพราะฉะนั้นพญานาคตนนั้นเมื่อจุติตายจากความเป็นพญานาคตนชื่อมหายสะสัญชัยนัั้นแล้ว ก็จักได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วจักได้ออกบวชเป็นศิษย์ของตถาคตตลอดแก่ แล้วจักได้มาอยู่รักษารอยพระบาทของเราตถาคตตลอดไปทุกๆ ชาติ ให้เจริญรุ่งเรืองตราบต่อเท่า ๕๐๐๐ พระวสาแลฯ

ข้อความที่กล่าวมานี้ ได้คัดมาจากตำนานพระบาทยั้งหวีด ตามเหตุการณ์ และพระพุทธเจ้าได้ตรัสทำนายไว้แด่ท่านพระอานนท์ พระยาอินทร์ และพระยาอโศก ดั่งที่ได้พรรณนามาโดยสังเขปไว้แต่เพียงเท่านี้ฯ

อนึ่ง ตอนที่พระพุทธเจ้าถ่ายอุจจาระปัสสาวะเสร็จแล้ว เสด็จพุทธดำเนินมายังต้นไม้มะม่วงแมลงวันพระยาทั้งสองและพระอานนท์ ขอเกศาธาตุไว้ ต่อไปภายหน้าจักได้ชื่อว่า “อัมพวนารามแล” (ปัจจุบันเรียกว่า มะกับตอง ต.ยุหว่า อ.สันป่าตอง ห่างจากพระบาทยั้งหวีดไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๓ กิโลเมตรเศษ เป็นพระเจดีย์ประดิษฐานพระธาตุกระดูกซี่โครงซ้ายกับเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า)

ต่อมาสมัยพระเจ้าแก้ว ก็มาถึงพระเจ้ายอดเชียงราย พระเจ้ายอดเชียงรายได้ตำนานมาจากพระมอญรูปหนึ่ง ท่านก็ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นครั้งหนึ่ง ต่อมาเมื่อพ.ศ.๒๔๗๒ ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้บูรณะก่อสร้างวัดพระบาทยั้งหวีดขึ้นใหม่ เดิมเป็นวัดร้าง และวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๖ เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2014.jpg



รอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย ประดิษฐานภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ


IMG_2028.jpg



รอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย (สร้างครอบรอยพระพุทธบาทจริง) วัดพระบาทยั้งหวีด ปรากฏเห็นรอยนิ้วพระบาทด้วย ขนาด ๒ ศอกกว่า ยาว ๓ ศอกกว่าค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2456.jpg



เดี๋ยวเราไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านหลังพระพุทธรูปประธาน ภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด กันเลยนะคะ


IMG_2502.jpg



IMG_2497.jpg



มณฑปครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย ภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ



IMG_2496.jpg



IMG_2457.jpg



ที่ครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย ภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2448.jpg



IMG_2769.jpg



IMG_2772.jpg



ภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ


IMG_2452.jpg



IMG_2518.jpg



IMG_2515.jpg



พระพุทธรูปประธาน ประดิษฐานภายใน วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2445.jpg



IMG_2598.jpg



IMG_2603.jpg



IMG_2609.jpg



วิหารครอบรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้าย วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

pama.jpg



IMG_2436.jpg



IMG_2585.jpg



ภายใน วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ  


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2710.jpg



วัดพระบาทยั้งหวีด ตั้งอยู่เลขที่ ๙ บ้านพระบาทยั้งหวีด หมู่ ๓ ตำบลมะขุนหวาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๔ ไร่

อาณาเขตติดต่อ
         ทิศเหนือ            จดที่ดินเอกชนและถนน
         ทิศใต้                จดที่ดินเอกชน
         ทิศตะวันออก       จดถนนและป่าไม้
         ทิศตะวันตก         จดที่ดินเอกชน



IMG_2642.JPG



IMG_2636.jpg



ประตูทางเข้า/ออก วัดพระบาทยั้งหวีด ค่ะ


IMG_2638.jpg



IMG_2635.jpg



รูปปั้นเสือสองตัว ประดับประตูทางเข้า/ออก วัดพระบาทยั้งหวีด ซึ่งรูปปั้นเสือเป็นสัญลักษณ์ปีเกิดของครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ผู้บูรณะสร้างวัดพระบาทยั้งหวีดค่ะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_2419.jpg



IMG_2421.jpg



เราจะเห็นวัดพระบาทยั้งหวีด อยู่ด้านขวามือของถนนไกลๆ แล้วค่ะ


IMG_2423.jpg



IMG_2709.jpg



เราก็มาถึงวัดพระบาทยั้งหวีดกันแล้วนะคะ



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 05:44 , Processed in 0.059192 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.