แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว ต.บ้านเรือน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน (พระเกศาธาตุใต้ฐานพระเจ้าตาเขียว) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

IMG_4477.JPG



ตำนานพระเกศาธาตุและการสร้างพระเจ้าตาเขียว


ที่ได้มีผู้จัดพิมพ์ถวายวัด เล่าถึงตำนานประวัติพระเกศาธาตุและการสร้างพระเจ้าตาเขียวในหลายยุคสมัย ดังนี้

๑. สมัยพุทธกาล


สมัยเมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ได้ทรงจาริกไปยังถิ่นต่างๆ เพื่อประกาศเทศนาธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ในการเสด็จจาริกครั้งนั้น พระอินทร์และเหล่าเทพยดาได้ตามเสด็จมาด้วย หลังจากเสด็จยังดอยจอมทองและดอยน้อย (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่) แล้วได้เสด็จมายังถิ่นอาศัยทำมาหากินในทางทำไร่ของชนชาวลัวะ ได้ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปในภายภาคหน้าถิ่นนี้จะเป็นนครใหม่รุ่งเรืองทางพุทธศาสนา มีนามว่า หริภุญชัยนคร

ณ บริเวณที่ทรงประทับพัก ในขณะนั้นมีชาวลัวะผู้หนึ่งชื่อ เม็งคะบุตร ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการทำไร่ เหลือบไปเห็นพระพุทธองค์เสด็จมา ก็เกิดความเกรงกลัว จึงลุกขึ้นวิ่งหนีไป แต่เมื่อลัวะเม็งคะบุตรทราบว่านี่คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ เม็งคะบุตรจึงกลับไปยังที่เดิม เมื่อเม็งคะบุตรกลับไปแล้ว ประชาชนในแถบใกล้เคียงได้ทราบข่าวการเสด็จมาของพระพุทธองค์ จึงชวนกันมาฟังสัทธรรม เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมฟอกจิตใจของเม็งคะบุตรและประชาชนที่มาฟังในที่นั้นตามสมควรแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงอานิสงส์ของการก่อสร้างพระพุทธรูปให้ฟังอีก จนทุกคนในที่นั้นเกิดความเลื่อมใส

ครั้นเมื่อพระพุทธองค์แสดงอานิสงส์จบลง พระอินทร์ซึ่งเป็นประธานในที่นั้น จึงกราบบังคมทูลขอพุทธเกศาธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประดิษฐานไว้ ณ ที่ตรงนั้น เพื่อให้เป็นที่เคารพสักการะของอนุชนรุ่นหลังต่อไปในภายภาคหน้า ในเมื่อพระอินทร์มีความประสงค์เช่นนั้น พระพุทธองค์ก็มิทรงขัดพระหฤทัย จึงทรงประทานพระเกศาธาตุให้แก่พระอินทร์


อนึ่ง พื้นที่บริเวณวัดบ้านเหล่าเป็นที่ราบไม่มีถ้ำเหว หรือเงื่อมผาสำหรับบรรจุพระเกศา หากแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพุทธญานว่า ภายหน้าจักมีพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานครอบพระพุทธเกศาธาตุของพระองค์ไว้ และมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นที่พึ่งของสมณะ เทพยดา และมนุษย์สืบต่อไป จากนั้นพุทธองค์พร้อมด้วยเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ก็เสด็จจาริกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัดบ้านเหล่า ไปยังวัดพระยืน ต.เวียงยอง อ.เมือง จ.ลำพูน ต่อไป

หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแล้ว พระอินทราธิราชพร้อมบริวารส่วนหนึ่ง ได้ร่วมกับเม็งคะบุตรและคหบดีเศรษฐีที่อาศัยอยู่ถิ่นนั้น ได้พากันขุดอุโมงค์และก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ ต่อมาจึงนำพระพุทธเกศาใส่ในผอบแก้ว ช้อนทองคำ นาค เงิน และใส่ลงในโกฏิเงินอีกครา บรรจุลงในอุโมงค์ที่วางปูด้วยศิลาเงิน นาค และทองคำทั้งสามทิศ ในเวลาเดียวกันนั้น คหบดีและประชาชนแถบนั้นก็ได้นำเอาของมีค่าต่างๆ นำมาบรรจุลงในอุโมงค์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาด้วย เสร็จแล้วก็ช่วยกันปิดปากอุโมงค์ด้วยแผ่นทองคำ นาค เงิน และท้ายสุดคือ ศิลา เพื่อกันมิให้ผู้ร้ายทำลายและลักขโมย ต่อมาพญานาคมาพบเห็นอุโมงค์บรรจุพระพุทธเกศา และเกรงว่าจะถูกทำร้ายให้ได้รับอันตราย จึงลงไปยังชั้นบาดาล แล้วนำศิลาหินอันใหญ่มาปิดปากอุโมงค์ไว้อีกชั้นหนึ่ง


IMG_4492.JPG



๒. สมัยพระแม่เจ้าจามเทวี


ตำนานฉบับเดียวกันได้กล่าวว่า ครั้นลุถึงปี พ.ศ.๑๒๓๕ อันเป็นอาณาจักรหริภุญชัยนคร มีความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนามาก ผู้คนล้วนอยู่ในศีลธรรม จัดเป็นพุทธนครที่มีความร่มเย็น ในครั้งนั้นผู้มีศีลมีธรรม รู้ศีลรู้ธรรม ชื่อว่า ขันตะคะ ได้ทราบว่ามีพระพุทธเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้สึกมีความยินดียิ่ง จึงปรึกษากับญาติพี่น้องช่วยกันขุดพระพุทธเกศาธาตุขึ้นมา แล้วขุดถ้ำใหม่ ปรับปรุงหน้าดินให้เรียบร้อยสวยงาม แล้วนำน้ำอบน้ำหอมสุคันธาต่างๆ มาพรมถ้ำใหม่นั้น แล้วอัญเชิญพระแม่เจ้าจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัยนคร พร้อมทั้งเจ้ามหันตยศและพระเจ้าอนันตยศราชโอรสเป็นประธาน

โดยพระแม่เจ้าจามเทวีทรงโปรดให้เจ้ามหันตยศราชโอรสองค์แรก (ผู้ครองนครหริภุญชัยสืบต่อพระองค์) เป็นผู้อัญเชิญพระพุทธเกศาธาตุลงในถ้ำที่สร้างไว้ และทรงให้เจ้าอนันตยศ (ผู้สร้างเขลางค์นคร) เป็นผู้อัญเชิญเครื่องบูชา อันมี แก้ว แหวน เงิน ทอง ดอกเงิน ดอกคำ รูป ช้าง ม้า วัว ควาย (เป็นทองคำ) ขนาดเท่ากำปั้น ถาดเงิน ถาดคำ ทั้งหมดจำนวนหนึ่งลำล้อ เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปแล้ว พระแม่เจ้าจามเทวี พระเจ้ามหันตยศ และพระเจ้าอนันตยศ มีความคิดเห็นตรงกันว่า สมควรที่จะสร้างพระพุทธรูปไว้ที่ปากถ้ำ ๑ องค์ เพื่อเป็นเครื่องหมายและให้ผู้คนสมัยนั้นได้กราบไหว้บูชา เพื่อเป็นสิริมงคลและสืบอายุพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไป

ขันตะคะ เมื่อรู้ความประสงค์ของพระแม่เจ้าจามเทวีและพระโอรสทั้งสองแล้ว ก็ปีติยินดีและเห็นด้วยที่จะสร้างพระพุทธรูป จึงชวนชาวบ้านในถิ่นนั้นมาร่วมกันดำเนินการก่อสร้างพระพุทธรูป โดยมีพระแม่เจ้าจามเทวี พระเจ้ามหันตยศ และพระเจ้าอนันตยศ เป็นประธานก่อสร้างและบริจาคก้อนอิฐ (ดินกี่) สำหรับสร้างพระพุทธรูปและทองปิดองค์พระเป็นจำนวนมาก พระเจ้ามหันตยศทรงเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง และมีชาวบ้านมาช่วยกันสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางนั่งขัดสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๓ ศอก สูง ๑๘ ศอก โดยสร้างครอบอุโมงค์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ (อุโมงค์ดังกล่าวอยู่ใต้พื้นพระพุทธรูปปัจจุบันนี้)

เมื่อทำการก่อสร้างพระพุทธรูปจนถึงพระศอ ตอนแรกผู้ร่วมก่อสร้างก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน แต่เมื่อถึงส่วนพระพักตร์ของพระพุทธรูป ต่างมีความเห็นต่างกันออกไป ว่าจะเอาแบบใด รูปใด ต่างไม่มีความลงรอยกัน และยังไม่มีช่างผู้ใดที่จะมาทำพระพักตร์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำได้ยากพอสมควร ความเห็นอันแตกต่างนี้ได้เข้าไปในวิถีญาณของพระอินทร์ที่ประทับอยู่ในแดนทิพย์แดนธรรม พระอินทร์ทรงเห็นว่าคงไม่ดีแน่ จึงอธิษฐานจิตลงมายังโลกมนุษย์ โดยแปลงร่างเป็นชีปะขาว เดินเข้าไปหากลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครทราบชีปะขาวนี้มาจากไหน

เมื่อมาถึงสถานที่ก่อสร้างพระพุทธรูป ชีปะขาวจึงอาสาทำพระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์นี้ให้ เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชีปะขาวคนนั้นจึงได้ลงมือทำพระพักตร์เอง เมื่อทำพระพักตร์เสร็จ ปรากฏเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์ที่สวยงาม แต่ยังขาดแก้วในพระเนตรที่จะบรรจุเป็นพระเนตรของพระพุทธรูปที่สร้างใหม่ ชีปะขาวที่รับอาสาทำพระพักตร์จึงรับอาสาที่จะหาแก้วมาใส่บรรจุไว้ในพระเนตร ในวันรุ่งขึ้น ชีปะขาวก็ได้นำแก้วมรกตสีเขียวทึบ (เป็นแก้วมรกตมณีนิลจากแดนทิพย์ของพระอินทร์) จำนวน ๒ ลูก มาบรรจุเป็นนัยน์ตาของพระเนตรของพระพุทธรูปองค์นั้น เมื่อบรรจุลงไปแล้วดูสดสวยยิ่งนัก สร้างความฉงนสนเท่ห์แก่บรรดาผู้คนที่ได้พบเห็นเป็นอันมาก และสร้างอุโมงค์ครอบองค์พระพุทธรูปอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนในแถบนั้นจึงได้ขนานพระนามพระพุทธรูปเป็นภาษาสามัญและพื้นเมืองว่า “พระเจ้าตาเขียว” หรือเรียกตามราชาศัพท์ว่า “พระพุทธปฏิมาพระเนตรเขียว” การสร้างพระพุทธรูปนี้ เริ่มสร้างเมื่อเดือนขึ้น ๘ ค่ำ พ.ศ.๑๒๓๕ เสร็จสมบูรณ์ เดือนยี่แรม ๕ ค่ำ ปี พ.ศ.๑๒๓๕ และเมื่อสร้างองค์พระพุทธรูปบรรจุพระเนตรแก้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงประชุมตกลงกันทำบุญฉลองสมโภชพระพุทธรูป โดยนิมนต์พระเถระผู้ทรงคุณวุฒิมาเจริญพระพุทธมนต์ มีพระแม่เจ้าจามเทวี พระเจ้ามหันตยศ และพระเจ้าอนันตยศ เป็นประธาน และมีการจุดบ้องไฟขนาดต่างๆ เป็นพุทธบูชาเป็นจำนวนมาก ประมาณได้ ๑๐๘ กระบอก

เมื่อประชาชนต่างคนก็จุดบ้องไฟของตัวเองถวายหมดแล้ว ปรากฏว่ายังเหลือบ้องไฟอีกบ้อง ซึ่งเป็นบ้องไฟใหญ่ที่สุดในจำนวนที่จุดในวันนั้น และเป็นบ้องสุดท้าย ดังนั้นประชาชนจึงห้อมล้อมมุงดูกันอย่างเนืองแน่น บ้องไฟนี้ชีปะขาวที่มารับอาสาทำพระพักตร์และเอาแก้วมรกตสีเขียวทึบมาทำพระเนตรองค์พระเป็นผู้จุดเอง เมื่อชนวนบ้องไฟติด ชีปะขาวผู้นั้นจึงกระโดดขึ้นไปอยู่บนหัวบ้องไฟ ในระยะต่อมาชั่วอึดใจประชาชนก็พบความแปลกประหลาด คือ บ้องไฟนั้นได้พาเอาร่างชีปะขาวผู้นั้นขึ้นไปด้วย สูงขึ้น สูงขึ้น จนหายเข้ากลีบเมฆไปในที่สุด และจึงรู้ว่าเป็นพระอินทร์เนรมิตแปลงร่างลงมาช่วยก่อสร้างพระพุทธรูปจนสำเร็จโดยง่ายดาย เกิดเสียงแซ่ซ้องสาธุการดังอึงคะนึงเนืองแน่นจากประชาชนที่ได้พบเห็น


ในระยะต่อมา สถานที่ก่อสร้างพระพุทธรูปเจ้าพระเนตรเขียว จึงได้กลายเป็นวัดขึ้นเรียกว่า “วัดพระเจ้าตาเขียว” ปรากฏว่าเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น และเจริญต่อมาเป็นกาลอันยาวนาน

IMG_4499.JPG


๓. สมัยพระเจ้ายีบา


บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ผู้คนล้มตาย พระพุทธรูปเจ้าตาเขียวจึงขาดการดูแล บ้านเมืองรกร้าง องค์อินทร์ทรงเล็งเห็น จึงได้แปลงลงมาเป็นงูใหญ่เฝ้าบริเวณนี้ไว้ เพื่อคุ้มครองพระพุทธเกศาธาตุและพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ จนกว่าจะมีผู้มีบารมีมาสืบทอดต่อไป

อย่างไรก็ตาม ประวัติของวัดได้มีการกล่าวมาถึงช่วงสุดท้ายของเมืองหริภุญชัย ก่อนการปกครองของพญามังรายและเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของล้านนา โดยประวัติของวัดในส่วนหลังจากนี้ ได้ขาดหายไปเป็นเวลาประมาณ ๕๐๐ กว่าปี และได้เริ่มกล่าวถึงอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่สามารถอ้างอิงหลักฐานบางประการได้ และปรากฏสิ่งก่อสร้างที่เป็นรูปธรรม เช่น รูปเหมือนครูบากึ๋งม้า และกู่บรรจุอัฐิ ให้สักการบูชาตราบจนถึงปัจจุบัน ทุกปีจะมีการสรงน้ำปิดทององค์พระเจ้าตาเขียว ในวันขึ้น ๗-๙ ค่ำ เดือน ๘ (เหนือ)


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_4524.JPG



IMG_4503.JPG



IMG_4521.JPG



IMG_4522.JPG



IMG_4495.JPG



IMG_4488.JPG



พระเจ้าตาเขียว ประดิษฐานภายใน วิหาร วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว ใต้ฐานพระพุทธรูปเจ้าตาเขียวบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เดิมพระเจ้าตาเขียว มีชื่อเรียกองค์พระพุทธรูปหลายชื่อ ต่อมารองเลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๗ ขอพระราชทานนามพระพุทธรูป ซึ่งราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง มีหนังสือลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๘ แจ้งมาว่า มีพระราชกระแสว่านาม "พระเจ้าตาเขียว" เป็นนามที่ประชาชนนิยมมากกว่า จึงเห็นควรให้ใช้เป็นชื่อของพระประธานประจำวัดบ้านเหล่า


IMG_4498.JPG



IMG_4502.JPG



คำไหว้พระเจ้าตาเขียว
หริภุญฺชยนคเร ปติฏฺฐิตํ นีลเนตฺตพุทฺธรูปํ จ นีลเนตฺตพุทฺธรูปสฺส นีจฏฺฐาเน ปติฏฺฐิตา เกสาธาตุโย จ มยฺหํ สีเสน ปณมามิ อิมินา นมการานิสํเสน กายสุขํ วา วจีสุขํ วา มนสุขํ วา โหตุ เม นิจฺจํ นิพฺพานปจฺจโย โหตุ

คำแปล
ข้าพเจ้าขอนอบน้อม พระพุทธรูปเจ้าตาเขียว ที่ประดิษฐานอยู่ในเมืองหริภุญไชยและพระเกสาธาตุ อันประดิษฐานอยู่ภายใต้ฐานแห่งพระพุทธรูปเจ้าตาเขียว ด้วยเศียรเกล้าของข้าพเจ้า ด้วยอานิสงส์แห่งการทำความนอบน้อมนี้ ขอความสุขทางกาย ความสุขทางวาจา และความสุขทางใจ จงมีแก่ข้าพเจ้า สิ้นกาลนาน และขอจงเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพานด้วยเทอญ


บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_4525.JPG



รูปปั้นท้าวเวสสุวรรณ-ท้าวกุมภัณฑ์ (เรียงจากซ้าย-ขวา) ด้านหน้าวิหาร วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว


IMG_4468.JPG



IMG_4475.JPG



รูปปั้นท้าวเวสสุวรรณ ด้านหน้าวิหาร วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว


IMG_4466.JPG



IMG_4476.JPG



รูปปั้นท้าวกุมภัณฑ์ ด้านหน้าวิหาร วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_4440.JPG



IMG_4443.JPG



IMG_4530.JPG



IMG_4543.JPG



IMG_4464.JPG



วิหาร วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html

Rank: 8Rank: 8

IMG_4363.JPG



การเดินทางไปวัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว ใช้เส้นทางแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๓๓-๑๑๖ (ทางเลี่ยงเมืองป่าซาง) ไปตามเส้นทาง อปจ.ลพ.๑๒๐๙ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านบ้านเรือน ตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน


IMG_4365.JPG



ถนนทางเข้า วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว



IMG_4540.JPG


IMG_4541.JPG



วัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว ตั้งอยู่เลขที่ ๑๐๒ หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย



บันทึกของมิรา : http://www.dannipparn.com/forum-36-1.html
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 09:34 , Processed in 0.059564 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.