ถ้ำตอง หรือ สุวรรณคูหา สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำตอง ค่ะ
ตำนานความเป็นมาของถ้ำตอง หรือ สุวรรณคูหา
(แหล่งที่มา : นาคฤทธิ์ รวบรวมชำระสะสาง (๒๕๔๐-๒๕๔๕). (๒๕๔๕, ๑ ตุลาคม). พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสาง (พิมพ์ครั้งที่ ๑). เชียงใหม่: ลานนาการพิมพ์, หน้า ๑๓๓-๑๓๕.)
กล่าวว่า...พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่แห่งหนึ่งสูง ๓๐ ศอก (มี ๒ ฉบับว่า ๖๐ ศอก) เป็นภูเขาเล็ก ที่ภูเขานั้นมีหินก้อนหนึ่งหนา ๑ ศอก มีไม้รวก ๓ กอ พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งเหนือก้อนหินนั้น ในเวลานั้นมีพ่อค้าลัวะ ๗ คน คนเป็นหัวหน้าชื่อ “อุปลเสน” เขานำเกวียนบรรทุกเกลือทรายไปขาย ได้พักเกวียนเพื่อที่จะกินข้าวในที่นั้น เขาได้เห็นพระพุทธเจ้า ก็บังเกิดความยินดี มีประสงค์ใคร่จะทำบุญด้วยห่อข้าว เมื่อมองดูพระอาทิตย์ก็รู้ว่า “กาลนี้สมควรถวายข้าว” แล้วก็ต่างเอาห่อข้าวของตนทูลถวายแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรับเอาแล้วทรงมอบให้แก่พระอรหันต์ทั้งหลายฉัน แล้วแก่พระเจ้าอโศกราชเสวย ทิ้งใบตองห่อข้าวลงไปก็กลับกลายเป็นทองคำทั้งแผ่น
พ่อค้าทั้งหลายมองเห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสในพุทธานุภาพ แล้วก็พูดกันว่า “เกลือทรายเราทั้ง ๗ ลำเกวียนนั้น ถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ทันทีนั้นเกลือทรายทั้ง ๗ ลำเกวียน ก็กลับกลายเป็นทองคำไปทั้งสิ้น ด้วยพุทธานุภาพ พ่อค้าทั้ง ๗ คน ก็ยิ่งทวีความยินดีมากกว่าเดิม" แล้วพระผู้มีพระภาคทรงตรัสถามว่า “ทรัพย์สมบัติในเรือนท่านไม่มีอะไรเลยเช่นนั้นหรือ” พวกเขากราบทูลว่า “ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรในเรือนของข้าพระองค์เลย พวกข้าพระองค์เป็นคนจนเข็ญใจจึงชวนกันมาค้าเกลือทรายนี้แหละพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผิว์มีเช่นนั้น ท่านจงมาที่นี่ ตถาคตจะให้สิ่งของแก่ท่าน” พวกเขาก็เข้ามาอภิวาทพระพุทธองค์ก็ทรงให้ศีล ๕ แก่พวกเขา พวกเขารับเอาแล้วจึงกลับออกมาดูเกวียนก็เห็นทองคำเต็มเกวียนทั้ง ๗ เล่ม พวกเขาก็เกิดปราโมทย์ยินดียิ่งกว่าเดิม กล่าวว่านี้ก็เป็นเพราะพุทธานุภาพทั้งสิ้น
เราทั้งหลายอย่าอยู่เรือนแห่งเราทั้งหลายเลย พระพุทธเจ้าทรงประทานความสุขแก่พวกเราแท้แล “แล้วก็ชักเกวียนไปสู่เรือนของตน เขาก็ได้พบหม้อข้าวหม้อแกง จวัก มีด ถ้วย ชาม ช้อน ขันทั้งสิ้นกลายเป็นทองคำไปทั้งมวล” เขาก็ยิ่งบังเกิดปสาทะศรัทธาในพุทธานุภาพยิ่งขึ้นจึงพูดกันว่า “นี้เป็นเพราะพุทธนุภาพทั้งสิ้น เราทั้งหลายอย่าอยู่เรือนแห่งเราทั้งหลายเลย เราจงออกบวชเถิด” แล้วก็สั่งสอนลูกเมียของเขามอบเวนทรัพย์สมบัติทั้งมวลให้แล้ว ก็กลับมาขอบวชต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงบวชให้เป็นเอหิภิกขุทั้ง ๗ รูปเลยได้ปรากฏชื่อว่า “อุปลเสนเถร”
พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พวกลัวะทั้งหลาย พวกเขาได้นำเอาอาหารบิณฑบาตมาถวายแก่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยแล้วก็ตรัสว่า สถานที่นี้ดีนักสมควรตั้งศาสนา เมื่อตถาคตมาที่นี้ลัวะทั้งหลายเอาเกลือทรายมาถวาย ประเทศนี้ต่อไปภายภาคหน้าจะได้ชื่อว่า ท่าทราย พระอรหันต์ พระเจ้าอโศกราชและภิกษุทั้ง ๗ รูป ก็กราบทูลขอพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงรับเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียรทรงได้พระเกศาธาตุมาหนึ่งองค์ จึงประทานแก่พระอรหันต์และพระเจ้าอโศกราช แล้วตรัสถามว่า ในแถวถิ่นนี้มีถ้ำอยู่ที่ไหนบ้าง พวกเขากราบบังคมทูลว่าในแถวถิ่นนี้ไม่มีถ้ำ พระพุทธองค์ก็ทรงมีพระเมตตาตรัสว่า ตั้งแต่นี้ขึ้นไปทางทิศตะวันตกไกล ๑,๕๐๐ วา ฟากแม่น้ำปิงฝั่งโน้นยังมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งเหมาะมาก ท่านทั้งหลายจงเอาเกศาธาตุของเราไปไว้ในถ้ำนั้นเถิด
พระอรหันต์ พระเจ้าอโศกราช และภิกษุลัวะทั้ง ๗ รูป ก็บรรจุพระเกศาธาตุลงในผอบทองคำ และใส่สิ่งของตลอดถึงทรายคำไว้ในผอบทองคำไว้ในผอบนั้น แล้วนำไปสู่ถ้ำ ถึงแม่น้ำระมิงค์ (น้ำปิง) ก็พากันข้ามไปจนบรรลุถึงภูเขาสูง ๑,๕๐๐ วา จึงพากันขึ้นไปพบแล้วอัญเชิญพระเกศาธาตุประดิษฐานไว้ในถ้ำทรายคำที่นั้น พระอินทร์ทรงเนรมิตยนต์จักรผันป้องกันไว้ในถ้ำนั้นลึกได้ ๕๐๐ วา กว้างได้ ๕๐๐ วา (สุวรรณคูหา ถ้ำตอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่) ถ้ำนี้จึงมีชื่อว่า ถ้ำทรายคำ หรือ ถ้ำทอง นั่นเอง