โปรไฟล์ของ ake1_แบ่งปัน http://dannipparn.com/?10065

ฝากข้อความ

facelist

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถฝากข้อความ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก


จิดาภา 2013-7-4 22:20
สาธุ ขออนุโมทนาในกุศลที่คุณได้ทำทั้งหมดด้วยค่ะ และขอบคุณสำหรับคำสอนดีๆค่ะ
ake1_ 2012-8-5 15:01
องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสในตอนท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เธอจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดในกายภานอก คือ กายคนอื่น และก็จงอย่าตืดในวุตถุธาตุใดๆ จงปลงกำลังใจว่า แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะเป็นอรหันต์
ake1_ 2012-7-21 15:52
เมื่อวันพุธที่ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนว่า

๑. ทำกรรมฐานได้ผลดีบ้าง - เลวบ้าง อย่ากลุ้มใจ เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยง

๒. อย่าเอาผลของการปฏิบัติในแต่ละวันแต่ละเวลาไปวัดกัน มันจักทำให้ท้อถอย เพราะจิตมักจะติดดี คือยึดผลของการปฏิบัติดีมาเป็นมาตรฐานของการวัด ซึ่งมันไม่ถูก เพราะขึ้นอยู่กับสุขภาพของร่างกาย ซึ่งแปรปรวนอยู่เป็นปกติ ขึ้นอยู่กับสภาพของจิต ซึ่งมีอารมณ์แปรปรวนอยู่เป็นปกติ นี่เป็นเพราะตัวอุเบกขายังอ่อนกำลังอยู่ หรือสังขารุเบกขาญาณยังอ่อนไปนั่นเอง

๓. เรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอ เจ้าเองก็หาเวลาได้ยาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การหลับจักตามปกติในเวลานอน หรือทนไม่ไหวต้องนั่งหลับในเวลาที่เจริญพระกรรมฐาน ก็พยายามนึกถึงมรณานัสสติควบอุปสมานัสสติ โดยการปลงอสุภะจนกายเนื้อนั้นเน่าเปื่อยอนัตตาไป เห็นกายแก้ว นั่งหรือนอนหลับอยู่ในวิมานของตนเองที่พระนิพพานก่อนทุกครั้งไป เจ้าทำได้ไหม (ตอบว่า คิดว่าทำได้)

๔. ต้องทำได้ เพื่อความไม่ประมาท จงพิจารณารู้ไว้เสมอ ๆ ว่า การนั่งหลับก็ดี การนอนหลับก็ดี อิริยาบถนี้มีคนตายมาแล้วมากมาย หากไม่ตั้งเข็มทิศให้มุ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ เจ้าเกิดตายลงในขณะนั้นจักว่าอย่างไร (ตอบว่าย่อมไม่ดีแน่)

๕. พยายามทำบ่อย ๆ จิตจักได้ชิน ขณะที่ก่อนจักหลับทุกครั้ง และให้กำหนดรู้ไว้ว่า ที่เจ้าต้องหลับ เพราะร่างกายมันเสื่อม ไม่หลับมันก็ทนไม่ไหว เป็นความทุกข์

๖. หลับแล้วไม่สบายใจ เพราะไม่ได้ผลของการปฏิบัติ ก็ทุกข์อีก เจ้าก็จงตัดใจ อย่ากลุ้ม ปลงมรณาไปเสียเลยว่า ทุกข์อย่างนี้ขอมีเป็นชาติสุดท้าย ถ้าหากกายมันตายไปในขณะหลับ ก็ขอไปพระนิพพานจุดเดียว (หมายความว่าการนอนหลับ ก็ขอเป็นครั้งสุดท้าย เป้าหมายคือนิพพานจุดเดียว)

๗. อย่าลืม การปฏิบัติต้องพร้อมทั้ง ๔ อิริยาบถ คือ ยืน - เดิน - นั่ง - นอน และทำกิจการงานใด ๆ ก็ยกให้เป็นพระกรรมฐานหมด กายส่วนกาย จิตส่วนจิต ต่างฝ่ายต่างทำงานควบคู่กันไปทั้งทางโลกและทางธรรม

๘. อย่าลืมรักษาอารมณ์ของจิตเอาไว้ให้ดี ๆ อย่าให้ไหลขึ้นไหลลงมากนัก จิตเหนื่อยจักพลอยทำให้กายเหนื่อยไปด้วย กล่าวคือหมดกำลังใจนั่นเอง จุดนี้ระมัดระวังเอาไว้ให้ดี ๆ อย่าให้เกิดแก่จิตเป็นอันขาด
***************************
ake1_ 2012-6-30 12:34
โอวาทท่านแม่ศรี

"แม่รักลูก รู้ว่าลูกเบื่อโลก เพราะโลกนี้เป็นทุกข์ แต่แม่ขอให้ลูกอดทนเข้าไว้
"ทุกข์"ก็ขอให้รู้ว่าทุกข์ อย่าเศร้าโศก อย่าให้ใจเป็นทุกข์ไปด้วย ต้องเข้มแข็งไว้ ลูกมีหน้าที่จะต้องทำ

ลูกเอ๋ย ดูพ่อของลูก(หลวงพ่อฤาษีฯ)ซี ต้องทนทุกขเวทนามากกว่าลูกอีก แต่พ่อของลูกยังอยู่
เพราะต้องการช่วยเหลือมนุษย์และพระศาสนา ให้คนที่ยัง"ไม่รู้"ทุกข์ ให้รู้ทุกข์อย่างเราด้วย
ลูกรักของแม่ ลูกต้องอดทนต่อไปนะลูกรัก....."

"ลูกทุกคน อย่าร่าเริงจนเกินไป จงอย่าทำจิตใจหดหู่ เมื่อกฎแห่งกรรมมาถึง เราจะต้องสู้เพื่อหักล้างในการเกิด เราจะไม่เกิดอีกต่อไป!!!
ขอให้ลูกทุกคนจงรักษากำลังใจ ทรงไว้ซึ่งความดีตามกำลังของจิต ความดีใด ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแนะนำไว้แล้ว ขอลูกทุกคนจงนำไปประพฤติปฏิบัติ รักษากำลังใจไว้เพื่อพระนิพพานโดยเฉพาะ

ไฟร้ายที่จะไหม้ใจของเรา คือ ราคะ-โทสะ-โมหะ จงอย่ามีในจิตของลูก"

ที่มา : เว็บพุทธภูมิดอทคอม
http://www.buddhapoem.com/index.php?...e=7&No=1309790
ake1_ 2012-6-17 07:15
~> เส้นทางมีหลายสายแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันคือ พระนิพพาน <~
ake1_ 2012-6-11 21:48
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

อย่าไปเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าต่างๆให้จิตเป็นทุกข์ จักตกเป็นทาสของการปรุงแต่งธรรม

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
ake1_ 2012-6-11 21:44
จงคิดไว้เสมอว่า เรามีร่างกายที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีการสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายเป็นเรือนเช่าชั่วคราวเท่านั้น เราจะไม่ติดใจในร่างกาย จะไม่เมาในร่างกาย เราจะไม่หวังในร่างกายต่อไปอีก ขึ้นชื่อว่าความเกิด จะไม่มีสำหรับเรา และตั้งใจตัดความโลภด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธด้วยการเจริญพรหมวิหารสี่ ตัดความหลงด้วยการยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไม่หวั่นไหวในเมื่อร่างกายมันจะเป็นอะไรเกิดขึ้น และจงมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ คือเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ด้วยความจริงใจ

ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ake1_ 2012-5-5 17:23
วิธีแนะนำผู้ป่วย โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


...ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ...๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า "ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย" แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ
๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก
ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."
ake1_ 2012-4-12 08:55
ทำบุญทำไมต้องอธิษฐาน โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
________________________________________


ทำบุญทำไมต้องอธิษฐาน

ถาม : "หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย จะได้ไหมคะ...?"

ตอบ : ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน

ถาม : "เป็นไงคะ...?"

ตอบ : การปรารถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่

ถาม : "ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ เล่าคะ...?"

ตอบ : ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี

คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐีพ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน

เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้ว ต่อมาพวกขี้เมาก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน

วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์

พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง

พระอานนท์จึงทูลถามว่า

"พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า...?"

พระพุทธเจ้าถามว่า

"อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม...?"

พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ขอทานนั่นแหล่ะคืออาฬวีเศรษฐี

แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า

ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี

เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระสกิทาคามี

เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระโสดาบัน

แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทสน์จึงไม่มีผล

ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า

"ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า...?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"นั่นเขามี อธิษฐานบารมี"

ตอบ : เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมีใช่ไหมโยม

ถาม : "ใช่ค่ะ"

ตอบ : คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ.
คำอุทิศส่วนกุศล

"อิทัง ปุญญะผะลัง" ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรกนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร หลวงปู่โตท่านมาบอก และบทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน ท่านพระยายมราชท่านมาบอก มีดังนี้

ท่อนที่สอง


และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

ท่อนที่สาม

และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

ท่อนที่สี่

ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.

เวลาอุทิศส่วนกุศล บอกให้พระยายมราชเป็นพยาน

เวลาอุทิศส่วนกุศล ขอบอกให้ผม(พระยายม)เป็นพยานด้วย….ถ้าทำทั้งบุญทั้งบาป บางทีกรรมมันปกปิด เวลาถามเรื่องบุญนี่มันนึกไม่ออก ถ้านึกไม่ออกก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องปล่อยให้ตกนรก หากว่าถาม 3 เที่ยว นึกไม่ออก…..

ถ้าเขาถามเรื่องบุญกุศลถ้าบังเอิญนึกไม่ออก ผมจะเป็นพยานอ้างเองว่าทำอย่างนั้นๆไว้ แล้วก็ไล่ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ

….ตำแหน่งพระยายม ท่านเป็นพรหม แต่เขตที่ท่านตั้งอยู่ในเขตของจาตุมหาราช ไม่ใช่เขตนรก
ake1_ 2012-4-4 07:53
นิพพานังปรมังสุขขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 04:39 , Processed in 0.015985 second(s), 8 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.