"อะไรที่จะฆ่าตัวตนให้ขาดลงได้"
ก่อนหน้านั้นจะเล่าให้แม่ชีเกณฑ์ท่านฟังท่านเสมอ เวลาขับรถตัวตนมักจะขึ้นมา พักหลังไม่บีบแตรใส่รถคันที่ช้าแล้ว แต่ในใจก็ยังมีอารมณ์เกิดขึ้น หรือจะบีบแตรขอทางก็ยังมีอารมณ์ปนออกไป เดินช้าก็แล้วแต่ยังฆ่าใจที่ร้อนนี้ไม่ได้เลย ถามท่านว่าอะไรจะฆ่าตัวตนให้ขาดลงได้ ท่านบอกว่าตัวตนมันฝังลึกอยู่ในจิตอยู่ในสันดานจะเอาออกได้ ต้องใช้ปัญญาให้เห็นโทษเห็นภัยมันอย่างแท้จริง ถามว่าแล้วปัญญาอะไรจะทำให้ละมันได้ ความเมตตาปรานีเห็นอกเห็นใจเข้าใจเขาเข้าใจเรานั่นไง และท่านยังบอกว่าแค่เห็นโทษเห็นภัยเฉยๆก็ยังไม่ขาด จะให้ขาดไปเลยต้องใช้สติที่ต่อเนื่องจนเป็นลูกโซ่และหนาแน่นเหมือนกำแพงปูนจนเป็นมหาสติ และปัญญาที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกันโดยฉับพลันเท่านั้นจึงจะตัดมันขาดได้
เตือนตัวเองเสมอตายขณะเกิดอารมณ์อย่างนี้ไปเกิดเป็นงูพิษแน่ กระทั่งวันหนึ่งต้องขับรถทางไกลเข้ากรุงเทพฯ นานมากที่ไม่ได้ขับรถไกลเช่นนี้ ขณะขับเจอสิบล้อแซงโดยไม่เปิดไฟ สิบล้อเบียด แต่ยังใจเย็นได้เพราะคิดได้ว่าที่เรามีของใช้ไม่ขาดมืออยู่นี้ก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาหรือ เรามีโอกาสแซงมากกว่าเขาตั้งหลายครั้งเขาเป็นรถใหญ่แซงยากเราควรจะให้โอกาสเขา เจอคันที่ขับช้าก็เข้าใจในสภาพรถของเขาของก็หนักรถก็เก่า เขาก็ไม่อยากขับช้าแต่ภาวะมันจำเป็น
การขับรถครั้งนั้นทำให้รู้แล้วว่าความเมตตาปรานีเข้าใจหัวอกของเขานี่เองที่ฆ่าตัวตนลงได้ เป็นการขับรถทางไกลครั้งแรกที่ไม่มีอารมณ์เสียทั้งขาไปและขากลับ เพราะขับด้วยความปรานีต่อรถทุกคันที่ร่วมเส้นทาง หากเราคิดอย่างนี้ได้ใจก็จะเย็นลง แต่กว่าจะเตือนตัวเองเช่นนี้ได้ท่านก็สอนให้เห็นอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่วันใดประมาท สติอ่อน รีบจนลืมนึกถึงหลักความจริงความร้อนใจทนไม่ได้ก็เข้ามาครอบงำ เมื่อเจอรถที่ช้ามากนำหน้า
นึกย้อนไปถึงการขับรถครั้งนั้นขับไปแบบเงียบๆ ไม่เปิดเพลงไม่กินกาแฟไม่ง่วงไม่คิดสิ่งใด ใจจดจ่ออยู่กับการขับรถและคอยสังเกตทุกอย่างอย่างระแวดระวังภัย สติตั้งมั่นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชม.ไม่แว่บไปเรื่องอื่นเลย เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นในขณะนั้นคือการสอนตัวเองให้เข้าใจรถคันอื่น และเห็นว่าความเมตตาปรานีจะทำให้เราฆ่าอัตตาตัวตนลงได้ จากการเห็นในครั้งนั้นความโกรธในใจมีน้อยมาก ทั้งชีวิตปกติและตอนขับรถออกถนนหรือในตลาด แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะมันเห็นจุดแล้วมันจึงไม่ขึ้นมาอีก
วันหนึ่งแม่ชีเกณฑ์ท่านถามว่าจิตที่เป็นอุเบกขาเป็นเช่นไร ตอบท่านไปว่าจิตที่ไม่ยินดียินร้ายต่อทุกเหตุการณ์ที่เข้ามา วันถัดมาต้องขับรถผ่านเส้นทางเดิมที่เราเคยร้อนใจ เจอรถช้าอีกเช่นเคย สังเกตใจตัวเองไม่มีแม้สักนิดที่มันจะขึ้นมา จึงได้คำตอบไปตอบท่านใหม่ว่า จิตที่เป็นอุเบกขาคือจิตที่ไม่ถูกปรุงแต่งต่อสิ่งที่เข้ามากระทบทางตา ทางหู หรือที่เรียกว่าทางอายตนะทั้ง 6 เป็นคำตอบที่เหมือนมาจากหนังสือแต่เป็นคำตอบที่รู้จากเหตุการณ์จริง ท่านบอกว่าทุกสิ่งล้วนมีอยู่ในธรรมชาติแล้วแต่ว่าเราจะมองเห็นไหม ทุกคำตอบล้วนมีอยู่ในใจเราไม่ต้องไปเปิดหนังสือเลยแค่อ่านลงที่ใจดวงนี้
จากเหตุการณ์นี้มองเข้าไปอีกทำไมจึงไม่มีอารมณ์ขึ้นมา เพราะมันเห็นโทษเห็นภัยของอารมณ์โกรธแล้ว โกรธขึ้นมาก็เหมือนมีไฟมาเผาให้แสบร้อน มันรู้แล้วมันจึงวางลงทันทีในขณะนั้น แต่ช่วงไหนทิ้งการปฏิบัติไปยุ่งกับเรื่องอื่น จะเห็นเลยว่าเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ใจจะทนไม่ได้ต้องพยายามหาทางแซงขึ้นไป แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าแม้จะเคยขาดไปแล้ว แต่สิ่งนี้ไม่เคยตายมันมีอยู่ประจำธาตุขันธ์ สติอ่อนกำลังเมื่อใดมันก็ขึ้นมา ท่านบอกว่าสิ่งที่ยากกว่าการทำให้จิตเป็นอุเบกขา คือการรักษาจิตให้เป็นอุเบกขาอยู่อย่างนั้น เราจะประมาทไม่ได้แม้สักวินาทีเดียวไปตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต