แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ครั้งที่ 7 4-7 เม.ย. 57 มูลนิธินิธิกร สมุทรปราการ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"แม่ชีป๋า วิบากกินเลือดกินเนื้อสดๆ"       

แม่ชีเกณฑ์เล่าถึงแม่ชีคนหนึ่งที่มาบวชอยู่ที่วัดเมื่อปี 2541 แม่ชีคนนี้วิบากกรรมหนักกินเลือดและกินเนื้อสดๆ ไม่ใช่บอปและไม่ใช่คนเล่นคาถาอาคม แต่เป็นวิบากกรรม แม่ชีคนนี้ชื่อป๋า บ้านเดิมอยู่ที่ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ด แอบไปหาของดิบๆมากินแอบซ่อนอยู่ในบ้าน มีหลวงพ่อทักว่าเขามีวิญญาณอยู่ในตัว มีทั้งวิญญาณดีและวิญญาณร้าย เธอไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้มีแต่ความทุกข์ความร้อน แม่ก็เลยนำไปมอบให้เป็นลูกบุญธรรมพระ พระองค์นั้นเกิดป่วยพอรับเขาเข้าวัด เลยให้พ่อแม่มารับกลับ พอนำออกมาหลวงพ่อก็หาย           

แม่เขาเอาไปไว้กับแม่ชีรูปหนึ่ง แม่ชีคนนี้ไม่ป่วย พอ9 ขวบท่านก็นำไปฝากไว้กับอีกวัดหนึ่ง ที่วัดมีเด็กอยู่ 60 คน เขาเข้าไปหลังอาหารก็กินแบบอดๆอยากๆ บางทีก็ไม่ได้กิน อยู่ได้ 15 วันมีเด็ก 4 คนไปขอเป็นเพื่อน ผ่านไป 3 วันป๋าจึงยอมเป็นเพื่อน เด็กทั้ง 4  ไปเล่นและนำขนมมาให้ป๋ากินทุกวัน ป๋าไม่รู้เลยว่า 4 คนนี้เป็นใครมาจากที่ไหนคิดว่าคงเป็นเด็กแถวนั้น  วันหนึ่งขณะยืนคุยกับเพื่อนทั้ง 4 มีคนเห็นป๋ายืนพูดอยู่คนเดียวและว่าคงเป็นบ้า ป๋าบอกเพื่อนว่ามีคนหาว่าเขาพูดคนเดียวทั่งที่ยืนคุยกับพวกเธอ เด็กทั้ง 4 บอกว่าเขาคงอิจฉา คราวนี้เวลาจะพูดไม่ต้องขยับปากใช้วิธีนึกคำพูดเฉยๆ        

เมื่อครบ 9 ขวบทางวัดให่พ่อแม่มารับกลับบ้าน ป๋ายังคงคิดถึงเพื่อนทั้ง 4  พอคิดถึงเด็ก 4 คนนี้ก็จะแอบไปหาที่บ้านโดยไม่มีใครรู้ เด็ก 4 คนนี้มีชื่อว่า แก้ว(ผู้หญิง) แกละ อ้วน จุก แล้วเพื่อนทั้ง 4 ก็ชวนป๋าไปเรียน โดยพาไปแต่จิต ไปกันทางนิ้วชี้ ป๋าไม่รู้ว่าไปแต่จิต พอป๋าออกไปแก้วก็เข้ามาอยู่ในร่างของป๋า ทำงานบ้านทุกอย่างจนพอแม่ไม่สงสัย พอป๋ากลับมาแก้วก็ออกไป ป๋าไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันหนึ่งไอ้อ้วนเข้ามาแทน มันกินมากจนผิดสังเกต พอป๋ากลับมา ก็มาขอข้าวกินอีก พ่อแม่ผิดสังเกตเพราะเพิ่งกินไป ความแตกวันที่แกละเป็นคนเข้ามาแทนที่ แกละบอกกับพ่อแม่ป๋าด้วยเสียงผู้ชาย บอกว่าถ้าไม่เชื่อจะให้ป๋าไป 7 วัน ป๋าหายไป 7 วันจริงๆ แกละแทนที่ป๋าอยู่ 7 วันตามที่พูด มันบอกว่าอย่าบอกป๋าเพราะป๋าไม่เคยรู้ว่าพวกตนเป็นวิญญาณ ป๋าเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าไปเรียนเกี่ยวกับยารักษาโรคต่างๆ มีครูผู้หญิงหน้าตาดีเป็นคนสอน มีแต่เด็กเรียนกัน บางทีก็ไปนั่งสมาธิที่น้ำตก                      

 จนอายุ 15 ปีป๋าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพ ฯ เขาให้ปีนขึ้นไปซ่อมฝ้าเพดานแล้วเกิดตกลงมาในกะทะที่มีน้ำมันร้อนๆ ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานแผลเน่าพุพอง จึงกลับมาที่บ้าน แม่ป๋าใช้ยาสมุนไพรทาให้จนหายดี ก็ให้ป๋าไปบวชที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งในชุมพร พอไปถึงหลวงพ่อท่านบอกว่าเธอจะรั้งพวกเขาไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยเขาไป ป๋าถึงรู้ว่าเพื่อนทั้ง 4 ไม่ใช่คนแต่เป็นวิญญาณ เธอจึงไม่ยอมคิดถึงเพื่อนทั้ง 4 อีกพวกเขาเข้าวัดไม่ได้ ได้แต่ส่งสัญญาณเรียกอยู่หน้าวัด อยู่ที่นี่ป๋านั่งสมาธิแล้วระลึกชาติได้เป็นสิบๆชาติ เห็นคนใส่กางเกงสีต่างๆ มีญาณรู้เกิดขึ้น พอของหายก็มีคนไปถามให้หาของให้ มีคนให้เงินเป็นล้าน แต่ป๋าถวายกับวัดทั้งหมด         

 จนเมื่อสิ้นหลวงพ่อ ป๋าก็ออกจากวัดนั้น  ป๋ารู้จักสนิทกับคนที่ทำงานอยู่ในไปรณีย์ที่ร้อยเอ็ด จึงชวนกันมาอยู่ที่ร้อยเอ็ด แต่ก่อนจะมาป๋าไปอยู่ที่สถาบันแม่ชีไทย วิบากเกิดขึ้นกับเธอ วันหนึ่งมีแม่ชีไปเห็นเธอกำลังแอบกินเนื้อสดๆอยู่ใต้โต๊ะ เขาเข้าไปกระชากเนื้อออกจากปากป๋า เธอใช้มือตบหน้าเขาอย่างแรก เธอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เธอถูกขับออกจากที่นั่นและเข้ามาอยู่ที่ร้อยเอ็ดบ้านของคนที่เธอรู้จัก ตอนแรกเธอจะไปอยู่วัดหลวงปู่สี ที่นั่นไม่มีแม่ชีจึงไปไม่ได้ บังเอิญมีคนมาเห็นป้ายของวัดเข้า จึงพาเธอมาที่นี่      ปีนั้นเป็นในพรรษาพอดี เธออายุ 29 ปี เธอไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับเธอ กลัวท่านจะรังเกียจ อยู่ได้ 15 วัน เธอบอกกับท่านว่าอยากจะปฏิบ้ติ หนูติดในสมาธิ หนูอยากแก้ หนูไม่อยากติดในสมาธิ เพราะนั่งแล้วกระโดดเหมือนลูกบอล ไม่มีใครแก้ให้ได้เลย แม่ชีเกณฑ์จัดพานธูปดอกไม้พาแม่ชีป๋าขึ้นกรรมฐาน แต่ก่อนจะย่างเท้าขึ้นศาลาแม่ชีป๋ายืนตัวแข็งทื่อ ตาขวาง และทิ้งพานดอกไม้ลง เดินถอยหลังไป แม่ชีเกณฑ์จึงพูดขึ้นมาว่าทุกดวงจิตไม่ว่าจะอยู่ภพภูมิใดต่างก็หวังความหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ขังตัวเองกันทั้งนั้น หากเจ้ายังอยากอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่เป็นไร วิญญาณที่อยู่ในร่างแม่ชีป๋าย้อนกลับมาและยอมไปขึ้นกรรมฐานต่อหน้าพระพุทธรูป สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเกณฑ์ท่านขอให้ตั้งสัจจะ คือต่อแต่นี้ห้ามกินเลือดกินเนื้อสดๆอีก มันรับคำ ท่านบอกให้ฝืนไว้เมื่อเกิดอาการอยากขึ้นมา แม่ชีป๋าตัวจริงบางขณะก็รู้ตัวบางขณะก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะเวลากินเนื้อสดๆ       

 แม่ชีป๋ายินดีให้เอาเชือกมัดมือมัดขาไว้ขณะที่เกิดอาการ  แม่ชีเกณฑ์ฝึกแม่ชีป๋าอย่างเข้มข้นทั้งเดินและนั่ง ท่านไม่ให้นั่งนาน เพราะถ้านานแม่ชีป๋าตัวลอยขึ้นจากพื้นกระเด้งไปชนโน่นชนนี่ จนท่านต้องยืนขวางเอาไว้ ท่านบอกว่าไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่มีสติรู้ตัว จะไปชนเสาชนตอก็ไม่รู้เรื่อง วิธีแก้คือให้นั่ง 5 นาทีแล้วลุกเดิน 5 นาที ยังไม่หายท่านก็ลดเวลาลงมาอีกจนเหลือเป็นวินาที บางครั้งแม่ชีป๋าไม่ยอมกินอะไรเลย นอนแผ่อย่างหมดแรง ท่านสงสารหยิบน้ำแดงให้กินแทนเลือดหรือบางครั้งเป็นปลากระป๋อง เวลาผ่านไปนับเดือน วิญญานที่แฝงในร่างแม่ชีป๋าเผยตัวออกมาในวันที่สิ้นวิบาก เป็นคู่อริเก่าที่ไปขัดขวางความรักของเขา เป็นพวกใช้คาถาอาคมและเป็นเสือสมิงถึงได้กินเลือดกินเนื้อสดๆ         

เมื่อหายจากอาการกินเลื้อดกินเนื้อแม่ชีป๋าเจอวิบากใหม่ จะนั่งก็หลับจะเดินก็หลับ แม่ชีเกณฑ์ท่านพาไปนั่งตากแดดก็หลับทำอย่างไรก็ปฏิบัติไม่ได้จะหลับอย่างเดียว มีวิญญาณฝ่ายดีต้องการให้แม่ชีป๋าเป็นสื่อให้เขาสร้างบารมีด้วยการช่วยคน แม่ชีป๋าไม่ยอมและพยายามฝืน แม่ชีป๋าบอกกับคุณแม่ว่าเงินกับคำสรรเสริญไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการอย่างเดียวคือความเป็นอิสระ ไม่ให้ใครมาใช้เป็นสื่ออีก เมื่อเป็นวิบากทำให้ปฏิบัติไม่ได้แม่ชีป๋าจึงยอม แม่ชีป๋าไปอยู่กับโยมท่านหนึ่งที่จ.ลำปาง แม่ชีเกณฑ์บอกอย่างหนึ่งว่าให้ปฏิบัติไป เพื่อเป็นการสะสมบุญบารมีของตัวเอง จนถึงวันหนึ่งเมื่อหมดวิบาก ก็จะเป็นอิสระไปได้           

จากเรื่องนี้แม่ชีเกณฑ์ท่านชี้ให้เห็นว่า ความแค้นของคนติดตามข้ามภพข้ามชาติ อย่าได้ไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจกับใครเขาไว้ แม้จะเป็นแค่คำพูดก็ตามจะคนใกล้ตัวหรือไกลตัวเราก็ต้องระวังคำพูด หากเขาตายในขณะที่ผูกใจเจ็บกับเรา จิตของเขามาเกิดอยู่ใกล้ๆกับเราแน่นอน อาจจะเป็นงูเห่าที่แอบเข้ามาในบ้านก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเรื่องที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ก็มีเกิดขึ้นได้ในโลกนี้แล้วแต่วิบากกรรมของเขา ให้ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าได้ไปสร้างกรรมไว้กับใครเขา ไม่ว่าจะด้วยกายหรือวาจาก็ตาม 

Rank: 1

"หนึ่งเท่ากับร้อย"

แม่ชีเกณฑ์ท่านเล่าถึงพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านไม่ได้เจอพี่คนนี้มา 10 กว่าปีแล้ว เดือนที่ผ่านมาเขาไปเห็นชื่อและรูปของท่านในเฟสบุค ที่เขียนเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์การเปิดอบรมที่สมุทรปราการ เขาเปิดเข้าไปดูเห็นชื่อของท่าน วัดที่ท่านอยู่ แล้วเขาก็จำได้ว่าท่านคือผู้ที่ชุบชีวิตใหม่ให้กับเขา เขาคิดว่าท่านไม่ได้อยู่ที่ร้อยเอ็ดแล้ว เพราะตอนนั้นท่านบอกว่าจะอยู่เพียงแค่ปีเดียว เขาไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมดหลังจากนั้นให้ท่านฟัง เขายินดีที่จะเผยเรื่องของตัวเองให้ผู้อื่นได้อ่านเป็นเรื่องสอนใจ

ปี 2537 มีคนพาผู้หญิงคนหนึ่งมาจากอำเภออื่นในร้อยเอ็ด เพื่อมาปฏิบัติธรรม เขามาด้วยหน้าตาดำเศร้าหมอง ท่านพานั่งพาเดินจนจิตของเขาสงบขึ้น แล้วเขาก็แสดงอาการปวดท้องเหมือนถูกบีบออกมาอย่างหนัก จนเหยื่อยางตายออก ท่านจึงถามว่าเธอเคยทำแท้งมาไหม เขาจึงบอกท่านว่าเขาเพิ่งไปทำแท้งมาได้สักเดือนและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาอยู่กับแฟนที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ผู้ชายไปมีคนอื่น ทำให้เขาทุกข์ใจมากในท้องก็มีลูกน้อย เขาตัดสินใจทำแท้งเพราะตนเองยังไม่พร้อม

หลังจากนั้นชีวิตราวกับดิ่งลงเหว หลังทำแท้งเจ็บปวดเกือบตาย ทุกข์มากทั้งทางกายทางใจ ทำสิ่งใดมีแต่อุปสรรคขัดขวาง เคยกินยาฆ่าตัวตายแต่ช่วยไว้ทัน เขาอยู่ด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ราวกับคนเสียสติ เขามาปฏิบัติกับท่านอยู่1 เดือน เจ็บหนักมากอยู่ 3 วัน เจ็บนิดๆหน่อยๆกว่าจะหายก็ 7 วัน เขาไม่ได้กินยาแก้ปวดและไปหาหมอ ท่านบอกว่าเป็นกรรมทำเขาไว้ก็ต้องชดใช้ พอเจ็บปวดก็รู้ก็แผ่เมตตาไปให้กับเด็ก กำหนดไป จากหน้าดำคร่ำเครียด ชำระได้ ใจก็สบายขึ้น จิตก็สงบขึ้น ปล่อยวางได้ หน้าตาก็แจ่มใสขึ้น ได้ชีวิตใหม่ไป สิ้นวิบาก ทำอะไรก็สำเร็จไปได้ง่าย และมีสัมผัสพิเศษเกิดขึ้น

ชีวิตหลังจากนั้นสอบบรรจุครูได้และเรียนต่อจนจบปริญญาโท เขาอยากจะขอเตือนเพื่อนๆที่ยังไม่ทำหรือกำลังคิดจะทำจะสร้างกรรมใหญ่ กรรมนี้จะขวางกั้นทุกอย่าง ตั้งแต่ทำแท้งมาชีวิตของเขาไม่เคยมีความสุข มีแต่อุปสรรคจะทำอะไรก็ถูกขัดขวาง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทุกข์ทั้งทางกายและทุกข์ทั้งทางใจไม่มีอะไรดีขึ้น ด้วยกรรมที่ทำมา แต่เขายังไม่ปล่อย ยังตามตัวเองไปเรื่อยๆแผ่เมตตาให้เขาไป ไม่ทุกข์ไม่ขวางไม่เศร้าหมองทำอะไรก็รุ่งโรจน์ไปได้ง่าย

แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าคนที่ทำแท้งแล้วโอกาสที่จะดีขึ้นคือต้องมาปฏิบัติอย่างเดียว อุทิศให้เขาอย่างเดียว แล้วก็ทำบุญทำทานให้เขาด้วย ชดใช้วิบาก การบวชนี่ล่ะที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้อย่างน้อย 15 วันหรือทำไปเรื่อยๆ แต่ต้องปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เดินนั่ง เดินนั่ง อยู่อย่างนั้น 15 วันเขาก็ปล่อย แต่ก็ขึ้นกับความแค้นของเด็กแต่ละคน ปฏิบัติไปเรื่อยๆเขาก็จะปล่อยของเขาเอง คนที่พลาดแล้วอย่าได้คิดฆ่าเขาถ้าบอกใครไม่ได้หากไม่อยากเลี้ยงดูก็ไปฝากไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าหรือที่วัดที่มีผู้ดูแลหรือญาติพี่น้อง หรือคุณจะเลี้ยงดูเองก็จะเป็นบุญของคุณ ดีกว่าไปฆ่าเขาชีวิตจะตกต่ำมาก

ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์กล่าวถึงจิตของเด็กที่มาเกิดเหมือนเทวดาที่ไม่มีกิเลสมาปรุงแต่งอะไรเลย ยอมรับแล้วก็เลี้ยง เลี้ยงไม่ได้ก็ต้องไปไว้บ้านอนาถาดีกว่าจะฆ่า เมื่อพาเด็กไปก็ต้องขออโหสิกกรรมอย่าได้เป็นเวรเป็นกรรมแก่กันและกันเลย แล้วให้ชีวิตของเรารุ่งเรืองขึ้นไป ให้เธอมีจิตใจเมตตา ตัวเองมีชีวิตดีขึ้นถ้าลูกยังอยู่ที่นี่จะมาเยี่ยมเยียน มีเงินก็จะเอามาให้ที่นี่ ให้อธิฐานอย่างนี้แล้วชีวิตตัวเองจะได้ดีขึ้น แต่ต้องทำตามสัจจะชีวิตจะได้ไม่มีอุปสรรคนานาประการ นี่คือทางออกที่ดีที่สุด

ท่านบอกว่าดวงจิตที่มาเกิดเป็นเด็กในท้องเป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ไม่เศร้าหมองเหมือนเรา หากเราฆ่าเด็กในท้องบาปกรรมเท่ากับการฆ่าผู้มีกิเลส 100 คน ซึ่งในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ จึงไม่ต้องแปลกใจกับวิบากที่จะได้รับว่ามากมายขนาดไหน ควรหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ มันไม่คุ้มกันเลยกับความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิตเช่นนี้


Rank: 1

    "ยารักษาใจ"                

                   แม่ชีเกณฑ์ท่านเล่าถึงแม่ชีคนหนึ่งที่มาปฏิบัติธรรมกับท่านที่วัด ท่านเล่าว่าตอนที่แม่ชีคนนี้มาอาการสาหัสแล้ว หมายถึงอาการทางจิตใจ เป็นโรคซึมเศร้า เห็นภาพหลอนและหูแว่ว ปัจจุบันอาการของท่านหายแล้ว จึงขออนุญาติคุยกับแม่ชีท่านนี้ว่าด้วยวิธีใดท่านจึงหายได้ในเวลาอันสั้น            แม่ชีท่านนี้เล่าถึงอาการของท่านคือ ซึมเศร้าเห็นภาพของคนมายืนว่าท่าน เป็นภาพที่เห็นในจิต และหูแว่ว ส่วนใหญ่เรื่องที่แว่วเป็นเสียงคนตำหนิเรื่องในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อได้ยินหรือเห็นใครเขามีปัญหาหรือทุกข์ใจเรื่องใดท่านจะรู้สึกตามนั้นราวกับเกิดขึ้นกับตัวเอง            ท่านเล่าย้อนไปถึงที่มาประวัติของท่าน ท่านเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ พอเรียนจบท่านไปสมัครงานและคาดหวังมากว่าต้องได้แน่นอน ไม่คิดจะไปสมัครที่ใดเลย เวลาผ่านไปเขาไม่รับท่านเข้าทำงาน ท่านผิดหวังมากเก็บตัวเอง กลับบ้านต่างจังหวัด ไม่ติดต่อเพื่อน ไม่สังคมกับใครอยู่ 3 เดือน ใจก็คอยแต่ตัดพ้อตัวเอง ตำหนิตัวเอง ทางบ้านเมื่อเห็นสภาพจิตใจของท่านแย่ลงจึงให้ไปทำงานอยู่ในร้อยเอ็ด              แต่ทุกอย่างเริ่มเลวร้ายลง ในแต่ละวันมีบางขณะที่ไม่มีสติรู้เนื้อรู้ตัวเลย ทางบ้านจึงพาไปพบจิตแพทย์ เริ่มรับยาจากทางรพ.มากิน อาการสุดท้ายที่หนักสุดจนทำให้ท่านออกบวชคือ ท่านนั่งสมาธิแล้วเห็นหญิงผู้หนึ่งจมน้ำ ท่านยื่นมือเข้าไปช่วย เขาจับมือท่านไว้และดึงท่านลงไปในน้ำ ตั้งแต่วันนั้นท่านไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ไม่ใช่ว่านอนที่แต่ไม่มีสติพอที่จะรับรู้อะไรอีก                 มีคนบอกว่าท่านต้องออกบวชจึงจะหาย ประมาณว่าเคยสัญญาไว้แต่ไม่ได้ทำ อาการของท่านไม่ถึงขนาดคนบ้าอาละวาด บางขณะดีปกติแต่บางช่วงไม่รับรู้อะไรเลย ทางบ้านของท่านพาท่านไปบวชที่ชลบุรี ผ่านไปได้ครึ่งพรรษาทางบ้านเห็นว่าไกลไปจึงคิดย้ายท่านกลับมาที่ร้อยเอ็ด แม่ของท่านมาขอกับแม่ชีเกณฑ์ ท่านจึงได้มาอยู่ที่นี่ คุยกันได้ 2 วันท่านจึงนึกออกว่าที่มาของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้ท่านเป็นแบบนี้คือท่านเข้ากรรมฐานคนเดียวที่บ้านเป็นจุดเริ่มต้นของอาการทั้งหมด แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าหาใช่ทุกคนจะเป็นเช่นนี้แล้วแต่วิบากกรรมของใคร เพราะเหตุอย่างนี้ท่านบอกว่าการมีผู้ให้คำปรึกษาที่ดีเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก                     เมื่อมาอยู่ที่ร้อยเอ็ดช่วงแรกท่านยังคงกินยาจากรพ. ท่านบอกว่ายาทำให้ท่านรู้สึกดีไม่คิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา ท่านจึงไม่กล้าหยุดยา แม่ชีเกณฑ์บอกให้ท่านหยุดยาเพราะมันก็เหมือนยาเสพติด ไม่ทำให้เราอยู่ในโลกแห่งความจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านสอนให้เดินจงกรมและนั่งสมาธิรวมถึงการฝึกให้มีสติต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน ท่านเล่าว่าแรกๆท่านไม่กล้านั่งสมาธิเพราะกลัวภาพผู้หญิงคนนั้นและไม่อยากเห็นภาพหลอน แม้จะนั่งก็ไม่กล้าหลับตา              แม่ชีเกณฑ์สอนให้ท่านนั่งสมาธิโดยให้สังเกตที่ท้องพองและยุบ ถามท่านว่าตอนที่ท้องพองออกก่อนจะยุบมันหยุดก่อนไหมและก่อนที่ท้องจะพองมันหยุดก่อนไหม ท่านบอกให้ไปสังเกตจุดนี้ แม่ชีเกณฑ์บอกว่าการทำเช่นนี้ให้เขามีจุดสนใจจิตไม่สนใจเรื่องอื่น เมื่อเขาเห็นแล้วว่าก่อนที่ท้องจะพองออกมันมีการหยุดและก่อนที่ท้องจะยุบตัวมันก็มีการหยุด ท่านจึงถามต่อว่ามันเป็นขณะจิตเดียวกันไหม เมื่อเห็นว่ามันเป็นคนละขณะจิตท่านจึงถามต่อว่าแล้วจิตที่มันไม่ดีมันดับลงไปแล้วหรือยัง จะเอามันไว้ทำไม ให้เอาไว้แต่จิตที่ดี                  หลังจากนั้นแม่ชีท่านนี้เดินจงกรมไปและสังเกตตามที่ท่านบอก จนกระทั่งวันหนึ่งขณะเดินจงกรมท่านเห็นความคิดเกิดขึ้นมาและดับลงไป ท่านจึงรู้ว่าเรื่องในอดีตมันจบลงไปแล้ว เราจะเอามันมาคิดอีกทำไม เราทุกข์เพราะเข้าไปยึดมันไว้ ไม่มีใครทำร้ายเรามีแต่เราทำตัวเอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความมีสติของท่านมีมากขึ้น คุยมากขึ้น ไม่ซึมไม่เศร้า ช่วยงานทางวัดได้มากขึ้น            ท่านเล่าว่านอกจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิท่านชอบสวดมนต์ แต่สวดยาวมากครั้งละ 3 ชม. ท่านบอกว่าที่นานขนาดนั้นเพราะบางทีสวดไปก็เห็นหน้าคน เห็นแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมา ท่านบอกว่าท่านจะพยายามสวดมนต์ให้น้อยลงหรือหากต้องสวดท่านจะไปสวดในโบสถ์ใจจะได้ไม่คิดออกไปข้างนอก และจะพยามยามเจริญสติให้มากขึ้น แม่ชีเกณฑ์ต้มยาให้ท่านดื่มแทนน้ำทุกวัน โดยใช้ต้นเล็มเช็เเพื่อล้างฤทธิ์ของยาออกจากไต อีกนานเกินครึ่งปีที่ยาจะหมดฤทธิ์ ยานี้พอหยุดจะทำให้ท่านปวดตัว ปวดเบ้าตา ปวดหัว  อาการเช่นนี้จะเป็นอยู่ระยะหนึ่ง แต่หากผ่านไปได้โดยไม่ไปแตะมันอีก มันก็จะหายไป             เมื่อการคุยจบลงบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าเหมือนให้คนที่เคยบ้า 2 คนมานั่งคุยกันเพราะคนถามก็เคยเป็นบ้ามาแล้ว คนหนึ่งบ้าแบบเงียบแต่อีกคนบ้าดีเดือด จึงเข้าใจอาการที่เกิดกับท่านหลายอย่าง ทั้งคู่ไม่ได้หายด้วยยาและการรักษาจากหมอ แต่หายด้วยการเจริญสติ           ไม่จำเป็นต้องเข้ามาบวชในวัดก็ได้ ขอเพียงมีผู้ให้คำแนะนำที่รู้จริงเพื่อจะได้ไม่ผิดทาง ครอบครัวของแม่ชีท่านดีนักที่ไม่เก็บท่านไว้ในบ้านหรือพาไปทิ้งไว้ที่รพ. แต่กลับพามาสู่ใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ใดที่เครียดจนอยากฆ่าตัวตาย หากท่านตายท่านจะไปรับกรรมที่ทุกข์ยิ่งกว่า  จนท่านจะบอกว่ารู้ว่าต้องมารับกรรมขนาดนี้ไม่ฆ่าตัวตายเสียดีกว่า เพราะทุกข์แค่นั้นนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย           แม้ท่านจะไม่ตายจากการฆ่าตัวตายในครั้งนั้น ท่านก็ต้องใช้หนี้กรรมนี้ ท่านจะรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นขณะที่ท่านยังหายใจอยู่ มันทรมานเสียยิ่งกว่าการตายไปเสียอีก เรื่องทุกเรื่องมันเกิดแล้วมันก็ดับลงในขณะนั้น เรื่องในอดีตมันไม่เคยทำร้ายเรา มีแต่เราเท่านั้นที่ทำร้ายตัวเอง เราเล่าเรื่องที่เราเคยความจำเสื่อมและเป็นบ้าให้แม่ชีเกณฑ์ท่านฟัง สุดท้ายของเราถามแม่ชีเกณฑ์ท่านว่ากรรมอะไรถึงทำให้เป็นบ้า ท่านบอกว่ากรรมที่ทำให้คนสติฟั่นเฟือนคือเคยไปทำให้เขาผิดหวังมากและการไปหลอกลวงผู้อื่น เป็นบุญแล้วที่เราและแม่ชีท่านนี้กลับมาอาการปกติได้ 

Rank: 1

"ตั้งสติ"

เมื่อถึงเวลาที่ต้องทดสอบตัวเอง ต้องคุยกับคนที่เราไม่อยากคุย แม่ชีเกณฑ์ท่านสอนว่า ให้ตั้งสติให้ดี เวลาได้ยินเขาพูดมา อย่าไปรีบตอบ ฟังแล้วนิ่งไว้ คิดทบทวนคำตอบให้ดีแล้วจึงพูดออกไป และให้พูดออกไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าได้แสดงความแข็งกระด้างเอาแต่ใจใส่เขา

หากตอบไม่ได้อย่าไปฝืนตอบ บอกเขาไปขอเวลาไปคิดดูก่อน หรือหากต้องคุยกับคนที่ไม่ชอบ อย่าไปต่อล้อต่อเถียงให้มันยาว  หาเรื่องพูดตัดบทให้สั้นที่สุด หาเรื่องพูดตัดบทที่จำเป็นที่สุดในการต้องรีบวางสาย นี่คือบททดสอบความอุเบกขาของใจ หากใจเรามีความอุเบกขาจริงๆ เราจะพูดไปโดยที่ไม่มีอารมณ์ใดๆมาเจือปน พูดจบแล้วก็ไม่ขุ่นอยู่ในใจ จบลงแค่ตรงนั้น

Rank: 1

"หนูอยากจะฝึกความอดทนอดกลั้นให้ได้ค่ะ..หนูเคยไปบวชมาเหมือนกันแต่แค่9วันเอง..หนูยังไม่เจอหนทางหยุดโทสะได้เลยค่ะแม่ชี.."                  

คุณต้องมีสติรู้เท่าทัน สติคือความระลึกได้ สัมปะชัญญะคือรู้ว่ากำลังโกรธ ขณะนี้คุณกำลังมีอัตตาตัวตนคุณถึงโกรธ คุณก็ละตัวตนเสีย จะทำอะไรก็รู้สึกตัวเอง ถ้าช็อคตายขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นอสูรกาย สัตว์เดรัจฉานที่มีพิษ เช่นตะขาบ งูเห่า แมงป่อง บุญที่มีหาช่วยได้ไม่เพราะจิตเราไปเกาะแบบนั้นเอง เราทำเราเอง      
           
ผู้สกัดกั้นได้คือสติ รู้ว่าเรากำลังโกรธ กำลังเกลียด โกรธเพราะมีอัตตาตัวตน ตัวกูของกู คุณก็ฆ่าตัวกูของกูออกเสีย รู้ทันแล้วก็วางไป  รู้ว่ามันเป็นไฟเผาเรา รู้ว่ามันโกรธ คุณก็อย่าไปโกรธต่อ มันห้ามไม่ได้ คุณยังไม่เป็นอรหันต์ แต่คุณต้องระงับให้มันหยุดแค่นั้น คุณต้องผูกขามันไว้ อย่าให้มันหลุดออกมาเป็นคำพูด เมื่ออารมณ์ก่อตัว คุณต้องตั้งใจกำหนด โกรธหนอๆๆ ตายตอนนี้งูพิษแน่ ถามตัวเองอยากไปเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือ                  

จะนั่งรถ จะทำงานทุกอย่างให้มีสติรู้เท่าทันจิตที่มันคิด ทันอารมณ์ที่มันเกิด ถ้าจิตมันเร็วก็ปล่อยมันเร็ว คุณเอาสติตามรู้มัน รู้แล้วพยายามทิ้งมัน ปล่อยมัน ฆ่าอัตตาตัวตน อย่าไปมีตัวตน อย่าไปมีทิฐิมานะ  คุณบอกไม่มีเวลาแล้วทำไมมีเวลาหายใจเล่า ก็ปฏิบัติที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกสิ  เดินเร็วเดินช้าก็ให้คุณรู้ ให้รู้ว่าตัวเองกำลังเดิน กำลังคิด ตัวเองทำอะไรอยู่  คุณโกรธ คุณเกลียด คุณดู คุณมีสติระลึกรู้ นั่นแหละคือการปฏิบัติ                        

คุณต้องมีเวลาปฏิบัติบ้างเช่นตื่นนอนหรือก่อนนอนครึ่งชม.หรือชม.  ต้องทำสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวัน สติจึงจะมีกำลังและเร็วขึ้น ถ้าเพียงแค่นี้คุณรู้ แต่ห้ามมันไม่ได้  ใจมันเร็วมันไปก่อนสติ คุณต้องผูกขามันไว้ พอมันได้ยินเสียงที่คุณไม่ชอบ คุณก็กำหนด ได้ยินหนอๆๆ พอตาคุณเห็นคนที่ไม่ชอบ คุณก็กำหนด เห็นหนอๆๆ  พอคุณโกรธ คุณก็กำหนด โกรธหนอๆๆ หงุดหงิดหนอๆๆ เกลียดหนอๆๆ กำหนดทุกความรู้สึกที่เกิดในใจคุณ                     

การกำหนดทำให้ใจมันช้าลงและสติเข้ามาได้ทัน ถ้าเรามีปัญญาเราก็จะสอนตัวเองได้ทัน อารมณ์โกรธก็จะไม่เกิดขึ้น  แม้จะห้ามไม่ทันผ่านไปแล้ว เราก็ต้องหัดสอนตัวเอง เช่น ที่บ้านเขาคงมีคนป่วย เขาจึงรีบขับรถเร็วขนาดนี้ หรือเขาคงไม่ตั้งใจขับรถช้าคงเพราะมันเก่าและบรรทุกของหนักมันเลยช้า หรือที่เขามาขโมยเพราะเขาไม่มีกินจริงๆ หากเขามีเขาคงไม่ทำแบบนี้

เมื่อเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะเกิดความเห็นใจต่อผู้อื่น และไม่วิพากวิจารณ์ต่อจนเกิดเป็นอกุศลในใจ ปัญญาที่เกิดนี้จะทำให้เราค่อยๆระงับความโกรธลงได้ สอนซ้ำแล้วซ้ำอีกสักวันมันก็เย็นลงได้ ทำไมจึงมีนานาสัตว์บนโลกนี้ เพราะเราไม่เหนืออารมณ์นั่นไง

Rank: 1

"คุณแม่บอกให้รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา มันยากจังเลยคะ มันฟุ้งซ่าน บางครั้งเบื่อมาก อยู่บ้านก็ทำทุกวันแต่ไม่เคยเต็มที่ มีเหตุผลอ้างสารพัดที่จะคอยขัดขวางเราไม่ให้ทำความดี"                       

คุณแม่ท่านบอกว่า....ทำที่บ้านไม่ได้ ทนกิเลสไม่ไหว ไปที่ไหนก็ได้ที่คิดว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้เราตัดขาดจากโลกภายนอก วันธรรมดาไม่ได้ ก็ไปในวันหยุด เดี๋ยวเขาก็พัฒนาขึ้นเอง จากอาทิตย์ละชม. กลายเป็นวันละชม. จากวัดก็จะกลายเป็นบ้าน ความคิดมันไม่มีตัวตน จะไปห้ามมันคิดก็ไม่ได้ มันเป็นธรรมดาเรายังมีสัญญาความจำอยู่ มันขึ้นมาก็ดีแล้ว เราจะได้รู้ว่ามีอะไรค้างคาอยู่ในใจ ถอนออกเมื่อไหร่มันก็ไม่ขึ้นมาอีก แต่จะเป็นเรื่องใหม่แทน     
                                                     

สติเราอ่อนจึงห้ามไม่ให้คิดไม่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องผ่านด่านนี้ทุกคน หลายคนติดอยู่แค่นี้เลิกปฏิบัติไปเลย นี่เป็นนิวรณ์เครื่องขวางกั้นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ไปไหน มันชอบคิด ก็เอาความคิดนี่แหละเป็นกรรมฐาน ปล่อยให้มันคิด แล้วสังเกตความคิด มันไม่คิดไปข้างหน้า ก็คิดไปข้างหลัง บางเรื่องคิดเพราะตาไปกระทบกับสิ่งภายนอก บางเรื่องมาจากในใจ บางเรื่องคิดเพราะพอใจจะคิด บางเรื่องคิดแล้วโกรธ บางเรื่องมันคิดแล้วเสียใจ เรื่องนี้ดับ ก็วิ่งไปคิดเรื่องใหม่                                                      

เลิกปฏิบัติมันเลิกคิดทันที พอเริ่มปฏิบัติมันก็เริ่มคิด เคยนับมั้ยมันคิดกี่เรื่อง ถามมันสิเหนื่อยไหม วิธีตามดูความคิดอย่างชาญฉลาดคือ เมื่อมันคิดขึ้นมาฝืนใจไว้อย่าไปคิดต่อ ปล่อยให้มันดับลง เรื่องใหม่มาก็ทำเหมือนเดิม แต่ถ้ากำลังไม่พอฝืนมันไม่ได้ เผลอไปปรุงแต่งต่อ คำบริกรรมการกำหนดจำเป็นก็ตอนนี้ จิตจะวิ่งมาจับคำที่เราพูดขึ้นทันที เรื่องที่คิดก็ดับลงสั้นลงไม่ถูกสานต่อ พอเริ่มคิด เราก็กำหนด คิดหนอๆๆ จนมันหยุด มันมาอีกแต่คราวนี้ช้าอยากขึ้นแล้ว ก็กำหนด อยากหนอ ๆๆ หรือโกรธแล้วก็กำหนด โกรธหนอๆๆ                                      

วิธีที่สองตัดกำลังตั้งแต่ต้นทาง นั่งไปมันเริ่มคิดลุกขึ้นเดินทันที  เดินๆไปสงบได้สักพักมันเริ่มคิด เลิกเดินเปลี่ยนเป็นนั่งทันที อย่าไปบอกให้มันรู้ตัว ทำเหมือนหักหน้ามัน ในหนึ่งชม.ให้ทำอย่างนี้ มันคิดเมื่อไหร่ เราก็เปลี่ยนอิริยาบถทันที      

วิธีที่สาม ทำอย่างไรก็ไม่หาย เดินอย่างเดียวยังไม่ต้องนั่งสมาธิ แต่ขอให้เป็นการเดินที่รู้อยู่กับปัจจุบันทุกขณะ จะบริกรรมก็ออกเสียงดังๆ โดยไม่ต้องอายใคร อาจจะใช้ลมหายเข้าออกเป็นการบริกรรมก็ได้ เช่น ก้าวขาไปเราหายใจเข้ายาวๆ วางขาลงเราหายใจออกยาวๆ จิตจะมาเกาะที่ลมหายใจแทนความคิด

ขณะที่เดินจงกรมกี่จังหวะก็ช่าง หากความคิดเกิดขณะที่เรายกเท้า ก้าวเท้า หรือวางเท้า ให้หยุดค้างไว้ พอความคิดดับเราค่อยไปต่อ เมื่อสติเร็วขึ้น เราจะเห็นทันว่าความคิดเกิดขณะใด การเห็นการเกิดดับของความคิดนี่แหละ เมื่อใจเข้าใจแล้ว เขาก็จะไม่ไปปรุงต่อ เพราะเขารู้แล้วว่าเดี๋ยวมันก็ดับ ความคิดจะค่อยๆสั้นลง จนหายไปในที่สุด จะเกิดความเย็นขึ้นในใจแทนที่แต่อย่าได้ไปติดในสุขนั้น มันสุขก็ให้กำหนดไว้สุขหนอ เย็นหนอ ความยินดีก็พาเราไปเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

ทำงานไปให้กำหนดไปด้วย มันคิดก็คิดหนอ มือเอื้อมไปหยิบอะไรก็หยิบหนอ ยกหนอ เวลาเดินก็ซ้ายหนอ ขวาหนอ ก้มหนอ เงยหนอ บิดหนอ การทำอย่างนี้ทำให้เราชินกับการกำหนด อาจจะฝืนในวันแรก แต่เมื่อชินจะทำไปแบบสบายๆ จะเริ่มรู้สึกสนุกกับการกำหนด เบากายเบาใจ  เมื่อความคิดโดนสะกัด มันก็จะค่อยๆถอยทัพลงไป มีแต่ไม่มากเหมือนเดิมไม่ต้องกลัวว่าจะกำหนดไปตลอดชีวิต ถึงวันเขาจะวางของเขาเอง

นี่เป็นด่านแรกที่ทุกคนต้องผ่าน ถามตัวเองอยากเลิกคิดจริงไหม ถ้าไม่ตั้งใจจริงทุกวิธีที่บอกก็เปล่าประโยชน์ เราต้องฝืนทำไป จากชม.เป็นวัน จากวันเป็นเดือน คงจะมีสักวันที่เราเหนือมัน ยังมีอีกหลายด่านที่คุณต้องผ่าน ไม่จบป.1 แล้วคุณจะไป ป.2 ได้อย่างไร

Rank: 1

"ใจหยุด"        

ใจของเราหยุดแล้ว หยุดอยาก หยุดโกรธ หยุดเศร้า หยุดคิด หยุดรัก หยุดเมื่อได้เจอกับท่าน ก่อนหน้านั้นเล่มนี้ดีแผ่นนี้ดีแบบนี้ดีและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หยุดเดินทางยาวนานเช่นนี้เพื่อทำความเพียร ทำสิ่งเดิมๆทุกวันโดยไม่เคยเบื่อ ใจหยุดดิ้นรนที่จะแสวงหาทุกสิ่ง ทำไมหนอเราจึงหยุดได้เมื่อมาเจอท่าน ใช่เราเห็นแจ้งในคำสอนของพระพุทธองค์ผ่านท่าน
                  
เราพบแล้วเราจึงหยุด สิ่งที่หยุดนั้นคือใจ ท่านบอกกับเราว่าผู้ที่จะพาเราหลุดพ้นได้หาใช่ท่านหรือพระพุทธองค์ แต่สติปัญญาและความเพียรของเราต่างหาก ท่านเป็นเพียงผู้บอกทาง เราผู้ซึ่งไม่มีฤทธิ์ ไม่มีความรู้ในตำรา ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน มีเพียงความเพียร เราทิ้งทุกอย่างแต่ไม่เคยทิ้งการปฏิบัติ ไม่เคยให้ทีวีโทรศัพท์และผู้คนมาฉกฉวยเวลาไป แม้เริ่มต้นความคิดความจำ อารมณ์ ความง่วง ความปวดจะทะลักออกมาแต่ไม่เคยหยุด แม้จะล้มและต้องลุกเดินใหม่ทุกวันก็ไม่เคยท้อ

ผ่านมาเกินครึ่งปี ความไม่เคยหยุดกลับทำให้ใจของเราหยุดได้ ฝนตกแดดออกไม่สบายเราบากบั่นไปทำความเพียรที่วัดใกล้บ้านเกือบทุกวัน วันละชม. บางครั้งทำที่บ้าน โดยส่งอารมณ์กับท่านทางโทรศัพท์เกือบทุกวัน ไม่ดีก็บอก เบื่อก็บอก ง่วงฟุ้งก็บอก ทนไม่ไหวก็บอก หลับก็ยังบอก ไม่เคยตกแต่งให้ดูดี เราคิดว่าตัวเองคงหมดวาสนาเพียงแค่นี้ ปัญญาไม่เคยเกิด สติก็น้อย นั่งก็ฟุ้ง เดินก็ฟุ้ง เพราะความคิดเช่นนั้นจึงทำบ้างหยุดบ้าง แต่เมื่อไม่เคยหยุดความเพียร คนที่คิดว่าตัวเองด้อยวาสนา นั่งสมาธิไม่เคยได้นาน กลับได้พบธรรมะที่แท้จริง เรารู้แล้วว่าแค่รู้นั้นเป็นอย่างไร รู้ด้วยใจไม่ใช่จำ
                  
ใจที่รู้สึกขาดและไขว่คว้า กลายเป็นใจที่อิ่มพอไม่เอาทั้งบุญและบาป มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็เก็บออม เราบอกกับแม่ชีเกณฑ์ท่านว่าผู้ใดที่รู้แจ้งในอริยสัจสี่ เขาจะทิ้งจะละจะวางเองโดยที่ไม่ต้องบอก ท่านบอกใช่ที่ผ่านมาท่านเพียงแต่ชี้แนะเท่านั้น แต่คนที่ละที่วางเองนั้นคือเรา และท่านบอกอย่าประมาทหากเผลอสติเมื่อใดความมีตัวตนก็จะเข้ามาครอบงำ หากใจเป็นเช่นนี้จนถึงขณะตายภพชาติก็จะน้อยลง เราบอกได้อย่างเต็มใจว่าเราไม่ปราถนาในภพชาติใดๆอีก
                    
ขอทุกท่านจงอย่าได้ละความเพียร วันที่เราไม่ฟุ้ง ไม่ง่วง ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยากนั้นมีจริง แม่ชีเกณฑ์ท่านเน้นเสมอให้ทำที่บ้านก็ได้ ท่านยินดีที่จะเป็นเพื่อนรับฟังและให้คำชี้แนะ โดยไม่คิดหวังสิ่งใด ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน ใครไม่รู้ไม่เป็นไร รู้เพียงใจของเราก็พอแล้ว ท่านถามทิ้งท้ายการดูจิตกับการสวดมนต์อย่างไหนดีกว่ากัน เราตอบท่านได้แล้ว คำตอบนี้ต้องหาด้วยตัวของคุณเอง

Rank: 1

" โมหะสมาธิ "

มีผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เวลานั่งเขาไม่รับรู้อารมณ์อะไรเลย แม่ก็เลยถามว่า เวลาออกจากอารมณ์นั่งล่ะ ออกจากสมาธิยังโกรธอยู่ไหม เขาตอบว่าถ้ามีคนมาด่า มาว่า มาตำหนิก็โกรธอยู่ แล้วโกรธมันดับไหม  หายโกรธง่ายไหม ไม่ค่ะบางทีก็เป็นวัน อย่างนั้นก็ไม่ถูกเลย แต่วิปัสสนามีสติรู้เท่าทัน แล้วมีปัญญาเข้ามาเท่าทันมันตัดไปเลย ไม่ถึงวินาทีก็ไปแล้ว อันนี้ยังใช้ไม่ได้ ถ้าตายไปขณะโกรธจะไปไหนล่ะ

เขารู้เรื่องภายนอกมาก เขาเล่าว่าวิญญาณมีหลายระดับ แบบนั้น แบบนี้.....แม่ปล่อยให้เขาพูดพอเบาลง แม่ก็เลยม้วนบอกเขาว่าไอ้สิ่งที่คุณรู้ ถึงรู้เห็นอะไร มันเป็นโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระ ถ้าโลกุตระ ละอย่างเดียว ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ไปสนใจ รู้แล้วก็วาง ไม่ใช่ไม่มีจริง สิ่งที่พูดมาก็เป็นจริง แต่สมาธิแบบนี้เป็นสมาธิหัวหลักหัวตอ ที่ไม่รู้อะไร ตายไปเป็นอรูปพรหม ไม่มีแข้ง ไม่มีขา เหมือนน้ำเต้าเหมือนก้อนหิน รู้แต่ลมแผ่วเบา อยู่เป็นล้านๆๆๆ ปี เอาไหม

แม่มีวิธีพูดไปติดอยู่ขอบมุมไหน แม่แก้ให้เขารู้ว่ามีอารมณ์มากระทบก็รู้อย่างนั้น สัมมาสมาธิต้องรู้ อยู่ในฌานก็ต้องรู้ เขาไปข้องอยู่ตรงไหน แม่มีวิธีแก้ได้ เพราะเคยผ่านมาหมดแล้ว เลยรู้ภาวะทุกอย่าง สามารถแก้จนเขาหายข้องใจได้

" สั้นๆ สติปัฏฐาน 4 ก็ให้มีสติรู้เท่าทัน จิตที่มันคิด มันปรุง มันแต่ง ย่อลงมาก็ให้รู้กายกับใจ ใจมันโกรธ มันเกลียด มันรัก มันชัง ก็ให้รู้เท่าทัน แล้วก็วางมันหรือดับมัน "

Rank: 1

"หากเกิดอาการเช่นนี้ควรทำอย่างไร"

บางครั้งเพราะกินมากและเคยชินที่จะนอนในช่วงบ่าย อาจเกิดอาการง่วงมาก แม้จะกินกาแฟก็ไม่ช่วยอะไร แม่ชีเกณฑ์ท่านบอกว่าเพราะสติมันอ่อน ทำให้ประคองร่างกายให้ตั้งตรงไม่ได้ ไหลไปตามอาการนั้นๆด้วยความเคยชิน หากอยู่ที่บ้านคงไม่มีใครเห็น แต่ถ้ามาวัดหรือมาปฏิบัติธรรมร่วมกับคนอื่น หากไม่มีสติระวังตัวอาจจะเจอบางคนถ่ายรูปเก็บไว้เช่นนี้

ถ้าเขามีสติพอคนเดินเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ ก็ตัองรู้ตัวแล้ว คุณแม่ท่านบอกว่า เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าง่วงมาก ให้ลุกขึ้นเดิน ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อสู้กับมัน ให้นั่ง 5 นาที แล้วเดิน 5-10 นาทีแล้วเปลี่ยนมานั่ง 5 นาที ในเวลาไม่ถึงชม.จะตื่นทันที การทำเช่นนี้ทำให้สติตื่นตัวและมีกำลังขึ้น หายจากอาการนี้จึงค่อยๆปรับเวลาขึ้น ถ้าขี้เกียจลุกก็ช่วยอะไรไม่ได้ ปล่อยไว้อย่างนี้จะติดเป็นนิสัย ทำไมจึงให้นั่งหลังตรงเพราะการนั่งหลังงอจะชวนให้หลับไปง่ายๆ หรือจะนั่งลืมตาก็ได้ หากไม่ไหวจริงๆ เดินก็ง่วง นั่งก็ง่วง ท่านอนุญาติให้ลุกขึ้นจับไม้กวาด หรือจะถูพื้นก็ได้ โดยไม่ต้องเกรงใจคนอื่น ขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเสียงเขาถูพื้น เราหงุดหงิดไม่พอใจไหม จะได้ดูใจตัวเองไปด้วย

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 05:27 , Processed in 0.035284 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.