รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานภายในวิหารรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
รอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
เมื่อครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงสถานที่แห่งนี้ และได้อธิษฐานประทับรอยพระบาทไว้บนก้อนหินที่พระพุทธองค์ทรงประทับนั่งอยู่ เพื่อเป็นที่สักการบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
โดยหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ได้ทำการก่อสร้างที่ครอบรอยพระบาทจำลองครอบรอยพระบาทจริง (รอยเดิม) เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
คำนมัสการพระพุทธบาท
(ว่านะโม ๓ จบ) ยัง ตัตถะ โยนะกะปุเร มุนิโน จะปาทัง ตัง ปาทะ วะลัญชะนะ มะหัง สิระสา นะมามิฯ
ตำนานรอยพระพุทธบาทห้วยต้ม
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน
จากหนังสือพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสาง หน้า ๑๓๔ กล่าวไว้ว่า หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นสู่ “ผาดอกไม้” แล้วทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ที่นั่น เพื่อให้เป็นที่ไหว้และสักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลาย (อยู่บนถ้ำ “ผาดอกไม้” ห้วยน้ำดิบ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน)
จากนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าก็เสด็จบรรลุถึง “เมืองลี้” (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำพูน) เสด็จขึ้นสู่ภูเขาลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำ แล้วประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้ขุนต้นหนึ่ง ไม้ต้นนั้นใหญ่ ๗ กำมือ
ในเวลานั้นมีลัวะผู้หนึ่ง ไปป่ากลับเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ มันก็ถวายอภิวาทกราบไหว้ แล้วทูลว่า “ข้าแด่พระพุทธเจ้า ไม้ต้นนี้ชื่อว่า “ไม้หมากขุน” แล้วมันก็ขึ้นไปปลิดเอาลูกหมากขุนลงมาหนึ่งผล ถวายแก่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยแล้ว ก็เสด็จไปประทับนั่งเหนือหินก้อนหนึ่ง กว้าง ๒ ศอก ยาว ๔ ศอก
ในกาลนั้นยังมีฤาษีรูปหนึ่งชื่อว่า “อตุลฤาษี” เป็นชาวลัวะทมิฬที่นั่น บวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าแห่งนั้น ทราบข่าวพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมตตาเช่นนั้น ฤาษีรูปนั้นก็เข้ามาอภิวาทกราบไหว้ พระพุทธองค์ก็ตรัสถามว่า “ดูราท่านฤาษี ท่านมาหาตถาคตเป็นการดีแท้”
อตุลฤาษีจึงกราบทูลว่า “ข้าแด่พระพุทธองค์ ข้าพระองค์ได้ทราบว่า พระพุทธองค์เสด็จมาเมตตา จึงมาอภิวาทกราบไหว้พระพุทธองค์ อาราธนาพระพุทธองค์ประทับพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด” กราบทูลแล้ว ท่านฤาษีก็ไปบอกแก่ลัวะทั้งหลาย ๗๐ หลังคาเรือน นำข้าวและอาหารมาหุงต้มในห้วยแห่งหนึ่ง แล้วนำมาถวายแก่พระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงรับและเสวยแล้ว จึงตรัสว่า “เมื่อตถาคตมาถึงที่นี้ ลัวะทั้งหลายเอาข้าวและอาหารมาหุงต้มใส่บาตรตถาคต เขาพูดกันว่า “ห้วยแห่งนี้ต้มบุญ” ต่อไปภายหน้าห้วยแห่งนี้จะได้ชื่อว่า “ห้วยต้มบุญ” (บางฉบับว่า “ห้วยต้มปุน, ห้วยตุมปุน”) สถานที่นี้เป็นที่ตั้งศาสนาแล”
พระอรหันต์และพระเจ้าอโศกมหาราชก็กราบทูลขอพระเกศาธาตุจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่า “สถานที่นี้เป็นบ้านเล็กเมืองน้อย หาคนเอาใจใส่รักษาพระเกศาธาตุไม่ได้ ประการหนึ่งไม่มีถ้ำ ด้วยเหตุนี้ตถาคตไม่ควรไว้เกศาธาตุ”
แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเหยียบรอยพระบาทไว้หนึ่งรอย เพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการบูชาแก่เขาทั้งหลาย พระบาทรอยนี้ทรงเหยียบลงบนก้อนหินที่พระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่ (ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า “พระบาทห้วยต้ม” อยู่ในเขตอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เป็นเจ้าอาวาส)
หมายเหตุ ข้อความในฉบับของวัดบ้านเอื้อม ตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
“กล่าวว่า.... ต่อไปภายหน้า ห้วยนี้จะได้ชื่อว่า “ห้วยต้มบุญ” พระพุทธเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะลงสรงน้ำในแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำก็มีน้อย เป็นเมืองแห้งแล้งน้ำไหลขึ้นทางทิศเหนือ เมืองนี้จะได้ชื่อว่า เมืองอี้ ตถาคตไม่ควรไว้ธาตุ เท่าแต่ควรไว้รอยพระบาท แล้วพระเจ้าอโศกจึงเอาฉลองพระบาทมาสวมให้แก่พระพุทธองค์ทรงประทับนั่ง
พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรรอยพระบาท ก็ทรงโสมนัสยิ่ง ทรงดำริว่า “เราจะเอาทองคำ ๑๐๐๐ ถวายบูชารอยพระพุทธบาท” ทรงดำริแล้วก็ใช้สิ่วเจาะที่รอยพระบาท แล้วเอาทองคำบรรจุไว้สามพัน เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชาพระพุทธบาท”
(ข้อความในระยะตอนนี้ทั้ง ๔ ฉบับ สับสนกัน แต่เห็นว่าฉบับของวัดบ้านเอื้อม น่าจะนำมาต่อจากข้างบน เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองลี้และพระบาทห้วยต้ม อยู่ห่างกันเพียง ๑๘ กิโลเมตรเท่านั้น)
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : นาคฤทธิ์ รวบรวมชำระสะสาง (๒๕๔๐-๒๕๔๕). (๒๕๔๕, ตุลาคม). พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสาง (พิมพ์ครั้งที่ ๑). เชียงใหม่: ลานนาการพิมพ์, หน้า ๑๓๔.)
ประวัติรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
จากหนังสือชัยวงศาปูชนียาลัย หน้า ๒๖-๒๗ กล่าวไว้ว่า “ที่นี่ อาตมาชัยยะวงศา ได้ยินพระครูบาชัยลังก๋า กล่าวมาว่า ในตำนานคัมภีร์เดิมกล่าวไว้ว่า
ปางเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดพุทธบริษัทที่นี่ มีพญาลัวะอยู่บริเวณนี้ตนหนึ่งชื่อว่า แก้วมาเมือง และพญาคนหนึ่งมาจากเมืองเถิน มาเที่ยวที่นี่ ก็เจอพระพุทธเจ้า พวกพรานเนื้อก็ป๋ง (วาง) เนื้อไว้ แล้วเข้าไปหาพระพุทธเจ้า
พนมมือขึ้นถามว่า “ท่านเป็นอะไรถึงนุ่งห่มเหลืองแบบนี้” พระพุทธเจ้าตอบว่า “กูเป็นพระพุทธเจ้า” พรานก็กล่าวว่า “ดีกล่าว” และถามว่า “ท่านได้ฉันอาหารแล้วหรือ” พระพุทธเจ้าตอบว่า “ยังไม่ได้ฉัน”
พรานเนื้อทั้ง ๘ คน ก็เอาเนื้อที่หาบมาคนละชิ้นมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไม่รับเพราะว่ามันเป็นเนื้อสด หมอพรานก็เอากลับไปกองไว้ที่หนึ่ง
แล้วพวกพรานก็หาบเอาเนื้อไปถึงห้วย แล้วพูดกันว่า “พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสด” พรานก็รีบเอาเนื้อสดไปผัดไปต้มที่ข้างห้วย พอสุกแล้วก็เอามาใส่บาตรพระพุทธเจ้า พวกลัวะทั้งสองก็มาร่วมใส่บาตรด้วย
พระพุทธเจ้าก็ฉันข้าวต้มแล้วก็เทศน์โปรดเมตตาให้พวกพญาลัวะและพวกพรานเนื้อทั้ง ๘ คน ได้ฟังเสียงพระพุทธเจ้าเทศน์ก็ใจปีติยินดี มีศรัทธาเกิดขึ้น พญาลัวะและพรานทั้ง ๘ คน ก็ขอพระเกศาธาตุไว้เป็นที่สักการะแทนพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “สถานที่นี้ไม่มีรูถ้ำ ให้ไม่ได้” พวกพญาลัวะและพวกพรานเนื้อทั้ง ๘ คน ก็ขอรอยพระบาทอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ที่นี้ไม่มีหิน” พวกคนเหล่านั้นก็ขออาราธนานิมนต์ให้พระพุทธเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน พวกข้าพระพุทธเจ้าจะไปเสาะหินมาให้พระพุทธเจ้าเหยียบ
แล้วพรานเนื้อ ๘ คน ก็พากันไปเสาะหาหิน พอดีได้ ๑ ลูก ก็พากันหามก้อนหินนั้นมาวางไว้ตรงหน้าพระพุทธเจ้า พ่อพญาลัวะทั้ง ๒ คน กับพรานเนื้อ ๘ คน ก็ขออาราธนาพระพุทธเจ้าเหยียบหินให้เป็นรอยพระบาท ประดิษฐานไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้เป็นที่สักการบูชาของพญาลัวะและพราน ๘ คน พร้อมทั้งพุทธบริษัททั่วไป
พระพุทธเจ้าก็ทำนายไว้ว่า “ห้วยที่พรานต้มข้าว วันหน้าเขาจะเรียกว่า ห้วยต้มข้าว” ปัจจุบันนี้คงเรียกกันว่า ห้วยต้ม พระพุทธเจ้าก็สั่งพญาลัวะและพราน ๘ คน มารักษาและปฏิบัติรอยพระบาทกูตถาคตนี้ไปเรื่อยๆ “ท่านทั้งหลายได้อุปฐากและปฏิบัติรอยพระบาทกูนี้ ก็เสมอดั่งได้ปฏิบัติกูตถาคต”
แล้วพระพุทธเจ้ายังทำนายไว้อีกว่า “ในระยะครึ่งศาสนา ๕,๐๐๐ พระวัสสา จะมีพระหน้อย (สามเณรน้อย) จากเมืองตื๋น ต๋นหนึ่ง จะมาสร้างพระพุทธศาสนาที่นี่ให้รุ่งเรืองต่อไป แล้วยังมี ฤาษีชื่อ ส่างทุมมา ที่ติดตามพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าก็มอบให้ฤาษีตนนั้นรักษารอยกูตถาคตนี้ไว้เรื่อยๆ”
แล้วพระพุทธเจ้าก็เอาไม้แทงลงที่พื้น ห่างจากรอยพระบาท ๑๐ วา ให้เป็นน้ำบ่อทิพย์ น้ำก็ออกมาเรื่อยๆ ไม่มากไม่น้อยให้ฤาษีอุปฐากรอยพระบาทกูตถาคตได้กินต่อไป เมื่อพวกพญาลัวะและพราน ๘ คน ได้รับศีล ๕ จากพระพุทธเจ้า เขาก็รักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์ตราบชีวิตอายุของใครของมัน
ต่อมาในสมัยหนึ่ง ได้มีกะเหรี่ยงผู้หญิงคนหนึ่งเข้าป่าเสาะหาเห็ด ได้พบเห็นรอยพระบาทในกลางป่า แล้วกลับไปบอกต่อพ่อพญาลี้ พวกพ่อพญาลี้ได้พากันไปดูและได้สร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทไว้สักการบูชา จนหมดเขตอายุของพญาลี้ มาภายหลังหลายสิบปี รอยพระพุทธบาทนั้นก็หายไป เพราะไม่มีใครมารักษา
อยู่ต่อมาสมัยหนึ่ง ก็มีผู้หญิงกะเหรี่ยงชื่อว่า ย่าผะแล มาหาผักและเห็ด ได้พบรอยพระบาทอีก ก็กลับไปบอกให้ท่านครูบากิตติ ท่านมาจากอินเดียมาอยู่ที่วัดลี้หลวง
ครูบากิตติได้ทราบเรื่อง พร้อมกับศิษย์ทั้งหลายพากันไปดู ก็ว่าเป็นรอยพระบาทจริงๆ ท่านก็พากันกราบไหว้สักการบูชา แล้วก็ช่วยกันสร้างมณฑปครอบรอยพระบาทไว้ จนหมดยุคไปยุคหนึ่ง รอยพระบาทนั้นก็หายไป เพราะไม่มีใครมาสักการบูชา
ต่อมาอีกสมัยหนึ่ง มีกะเหรี่ยงผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า ย่าตา มาหาผัก หาไม้หาเห็ด จนมาเห็นรอยพระบาท ก็กราบไหว้ แล้วก็กลับไปบอกท่านครูบามหาอิน พระครูลี้ทราบเรื่อง
ครูบามหาอินก็ได้พาลูกศิษย์ พร้อมกับครูบาใจ วัดสันโปร่ง พากันไปดูก็ว่าเป็นรอยพระบาทจริงๆ ก็พากันมาสักการบูชา อยู่มาอีก ๒-๓ วัน ครูบามหาอินก็พาศิษย์และญาติโยมทั้งหลายมากวาดมาแผ้วถางหญ้าทำการบูรณะ ต่อมาเขาก็พากันมากราบสักการบูชากันเรื่อยๆ
หลังจากนั้นอีก ๔-๕ ปี ก็มาประชุมกันให้สร้างมณฑปครอบรอยพระบาทห้วยต้มขึ้นมา ได้จัดให้ช่างชื่อว่า พ่อหนานเต๋จา บ้านนาเลี่ยง มาเป็นช่างสร้างมณฑปครอบรอยพระบาท กว้างประมาณ ๗ ศอก มุงด้วยกระดานไม้เส๊า แล้วสร้างกำแพงอิฐรอบมณฑป
และทำเจดีย์เล็กๆ กว้าง ๒ ศอก สูง ๓ ศอก สร้างศาลาหนึ่งหลัง กว้าง ๔ ศอก ยาว ๑๒ ศอก มุงด้วยกระดานไม้เส๊าะ ปลูกต้นลาน ๗ ต้น แวดล้อมพระพุทธบาท ปลูกดอกจุ๋มป๋าลาว (ดอกลั่นทม) ๘ ต้น และมะม่วงอีก ๔ ต้น
ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๔๘๙ สิ่งก่อสร้างทั้งหลายทั้งปวงในบริเวณวัดพระพุทธบาทห้วยต้มแห่งนี้ ได้ชำรุดทรุดโทรมลงไป ครูบาผุย มหาชโย เจ้าคณะอำเภอลี้ ครูบาอินต๊ะ วัดพวงคำ ครูบาคำสุข วัดบ้านแวน ได้ประชุมคณะศรัทธาทั้งหลาย
และแจ้งว่ามณฑปครอบรอยพระพุทธบาทห้วยต้มและสิ่งก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง ได้ชำรุดทรุดโทรมไปมาก สมควรที่จะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นเสียใหม่ จึงได้ตกลงกันว่า สมควรนิมนต์ครูบาชัยยะวงศา (พระจนฺทวํโสภิกขุ) จากวัดป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน
ครูบาชัยยะวงศา ท่านได้ตอบรับนิมนต์และเดินทางมาอยู่จำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งเป็นวัดร้าง เดิมชื่อว่า วัดนาเลี่ยง ตั้งแต่เดือน ๑๐ เหนือ (เดือน ๘ ใต้) ขึ้น ๑๐ ค่ำ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๙ เป็นต้นมา
โดยได้มาทำการแผ้วถางบริเวณรอบพระพุทธบาท คณะศรัทธาบ้านนาเลี่ยง ปั้นอิฐ ๕๐,๐๐๐ ก้อน คณะศรัทธาบ้านผาลาด เผาปูนขาว ได้ประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ กิโลกรัม เมื่อได้จัดเตรียมสิ่งของเหล่านี้ไว้แล้ว ได้ไปนิมนต์ครูบาอภิชัยขาวปี วัดพระบาทตะเมาะ มาตรวจและวางแผนสร้างวิหาร เมื่อเดือน ๙ เหนือ (เดือน ๗ ใต้) ขึ้น ๑๓ ค่ำ
ภายหลังจากครูบาอภิชัยขาวปีกลับไปวัดพระบาทตะเมาะแล้ว ท่านครูบาชัยยะวงศาได้จัดทำแบบแปลนพระวิหาร ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อเดือน ๑๒ เหนือ (เดือน ๑๐ ใต้) ขึ้น ๑ ค่ำ ตรงกับวันจันทร์ ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๙๐ ปีกุน โดยพระชัยยะวงศาเริ่มลงมือก่ออิฐคนแรก
ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๓ พวกชาวเขากะเหรี่ยงก็ได้พากันอพยพมาอยู่ใกล้บริเวณวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นจำนวน ๑,๒๐๐ ครอบครัว ได้มาถือศีลกินเจไหว้พระสวดมนต์มาเรื่อยๆ ปฏิบัติตามคำสอนของอาตมาชัยยะวงศาถึงปัจจุบัน”
----------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : พระอ่อนแก้ว ชัยยะเสโน, พระพงษ์ศักดิ์ คัมภีรธัมโม และคุณธนกร สุริยนต์. (๒๕๔๔, ๑ พฤษภาคม). ชัยวงศาปูชนียาลัย (พิมพ์ครั้งที่ ๑). กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. สัมพันธ์พาณิชย์, หน้า ๒๖-๒๗.)
รูปเหมือนพระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ประดิษฐานภายในวิหารรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
จิตรกรรมฝาผนัง ภายในวิหารรอยพระพุทธบาท วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม