"เราหรือกาแฟที่ทำความเพียร"
เมื่อก่อนก่อนที่จะได้มาปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ชีเกณฑ์ ฉันมักดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร เช้าก่อนทำงาน ๑ แก้ว ประมาณบ่าย ๒ โมงดื่มอีก ๑ แก้ว ครั้นเริ่มปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ชีเกณฑ์ เมื่อต้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทุกครั้งที่มีการเสวนาธรรม คุณแม่มักจะบอกผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกครั้งที่ร่วมกันปฏิบัติธรรมว่า ให้ละการดื่มกาแฟ...
ซึ่งตอนแรกฉันก็นึกสงสัยและเกิดคำถามว่าเพราะอะไร...และทำไมคุณแม่จึงให้หยุดดื่มกาแฟ เฉกเช่นเดียวกับบทความนี้ที่มีผู้ปฎิบัติธรรมท่านหนึ่งได้เสวนาธรรมเรื่องนี้กับคุณแม่ เมื่อได้คำตอบผู้ปฏิบัติธรรมผู้นี้ก็สามารถหยุดการดื่มกาแฟได้ แต่หาได้หยุดความเพียรของตนไม่
วันนี้...จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ทุกคนที่สงสัยได้อ่านร่วมกัน ดังนี้
“…ตั้งแต่เริ่มต้นคุยกับคุณแม่ชีเกณฑ์ เราบอกท่านว่าวันไหนดื่มกาแฟแล้วจะมีแรงปฏิบัติดีมาก ขยันเดินขยันนั่งไม่เบื่อหน่าย วันไหนไม่ได้ดื่มกาแฟ จะเกิดความรู้สึกตื้อๆ ไม่เห็นสภาวะอะไรเลย เราจึงถามตัวเองว่านี่เราทำความเพียรหรือให้กาแฟมันทำความเพียรกันแน่
คุณแม่จึงบอกให้เราหยุดดื่มกาแฟ และสอนให้อยู่ได้ด้วยสติของตัวเราเอง แรกๆ เราก็ยังไม่กล้าที่จะตัด ไม่ดื่มเลย มีดื่มบ้างไม่ดื่มบ้าง หลังๆ ก็เป็นโอเลี้ยง แต่มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ จึงตัดสินใจที่จะหยุดดื่มกาแฟ...
๓ วันแรกที่หยุดดื่ม รู้สึกปวดหัวมาก หงุดหงิดฉุนเฉียว ปฏิบัติไปมีแต่ความขี้เกียจ ไม่ตื่นตัว แต่ก็อดทนฝืนมันไว้ พอเข้าวันที่ ๕ เริ่มดีขึ้น พยายามเคลื่อนไหวตัวเองตลอดเพื่อกระตุ้นสติให้มีกำลัง ตอนนี้แหละที่เราเข้าใจคำพูดของคุณแม่แล้ว ทำไมให้เลิกดื่มกาแฟ เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ มีผลต่อจิตใจ ทำให้เราอ่อนแอไม่ยอมพึ่งตัวเอง ตอนนี้เราเลิกแล้ว...ไม่ยอมตกเป็นทาสของกาแฟอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่าคิดไปเองที่ว่าอยู่ได้เพราะกาแฟ
ตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบปี เราไม่ดื่มกาแฟเลย ทั้งๆ ที่เคยดื่มกาแฟมาเกือบครึ่งชีวิต และพบว่าการมีสติอยู่กับตัวให้มากขึ้น ทำให้ตื่นยิ่งกว่าการดื่มกาแฟเสียอีก ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งตื่น ไม่ปวดท้อง ไม่ห่วงเรื่องน้ำตาล ไม่ง่วงแม้จะนอนน้อย และที่สำคัญไม่หงุดหงิดฉุนเฉียวเช่นเดิม
ทุกอย่างต้องใช้เวลาและความเพียร บวกกับความตั้งใจจริง หากเราไม่ละแล้ว เราจะเห็นตัวจริงของใจได้อย่างไร เราต้องยืนได้ด้วยตัวเองหาใช่ยืนได้ด้วยกาแฟ”
หลายคนคงไม่สงสัยแล้วใช่ไหมว่า เหตุใดคุณแม่ชีเกณฑ์จึงมักบอกผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนให้หยุดดื่มกาแฟ