แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: UMP
go

ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ณ วัดป่าเจดีย์เทวธรรม  จ.ร้อยเอ็ด 25 ธ.ค. 58 - 5 ม.ค. 59 [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

"รู้เท่าทันจิต"

ผู้ปฏิบัติธรรม : คุณแม่ค่ะ ปฏิบัติธรรมยังไงให้ถึงธรรมค่ะ
คุณแม่ชีเกณฑ์ : ก็วางสิ วางทุกอย่างมันก็ถึงเท่านั้นเอง ถ้าจิตไม่ว่างมันจะไปถึงได้ยังไง มัวแต่วุ่นนั่นวุ่นนี่ คิดโน่นคิดนี่ กังวลนั้นกังวลนี้...วาง ทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้เป็นกลางๆ มีหน้าที่รู้เท่าทันจิต จิตมันมีหน้าที่คิด แต่เราทำใจเป็นกลางๆ เราพยายามว่า...เราจะปล่อยวางทุกอย่าง แต่มันก็ปล่อยไม่ได้ พอทำใจเป็นกลางๆ มีหน้าที่รู้เท่าทันจิต เราจะปล่อยมัน รู้เท่าทันทุกอย่าง มันก็พ้นทุกข์ ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็หลงใช่มั้ย

ผู้ปฏิบัติธรรม : แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าถึง มรรคมีองค์ 8 ค่ะ
คุณแม่ชีเกณฑ์ : จะเข้าสู่มรรคมีองค์ 8 ก็ต้องเดินอย่างนี้เสียก่อน รู้เท่าทันจิตเสียก่อน ถ้าไม่รู้เท่าทันจิต มันจะไปได้อย่างไรเล่า เริ่มต้นมันก็ต้องไปรู้เท่าทันจิตก่อน มันถึงจะเข้าถึงมรรคมีองค์ 8

จะให้มันเข้าสู่มรรคมีองค์ 8 มันไม่ไป ไม่มีทางหรอกคนเรา กิเลสไม่ยอมหรอก ใช่ไหม เหมือนที่แม่บอกให้เราปฏิบัตินั่นนะ อันน้นมันตายตัวอยู่แล้ว มันจะไปของมันเอง

การตามรู้จิตนี่แหละมรรคมีองค์ 8 จิตจะผิดศีลมันก็รู้ใช่มั้ย มรรคมีองค์ 8 ให้เว้นจากการฆ่าก่อนใช่มั้ย แล้วก็ห้ามคิดชั่วคิดร้ายต่อผู้อื่นใช่มั้ย ลงวาระสุดท้าย ให้รู้กายในกาย ให้รู้จิตในจิต รู้เวทนาในเวทนาใช่มั้ย ถึงจะไปได้ ให้ตั้งสติมั่น ตามรู้จิต ถ้าไม่ตามรู้จิต ไม่ตั้งสติมั่น มรรคมีองค์ 8 จะเกิดไหมนั่น

ต้องบอกให้เขาตามรู้จิตก่อน มรรคมีองค์ 8 ถึงจะสมบูรณ์ ถึงจะเกิดขึ้น เขาจะรู้ของเขาเอง ทำจิตให้ว่างให้บริสุทธิ์ มรรคมีองค์ 8 อยู่ในนั้น เขาจะเข้าใจเอง บอกไปก็มีแต่ไปท่องมรรคมีองค์ 8 แต่ไม่เข้าใจ มันต้องเดินก่อน ทำจิตให้เป็นกลางๆ ว่างๆ มรรคมีองค์ 8 ก็จะเกิดเอง ปฏิบัติแล้วมีสติเดี๋ยวก็เข้าใจเอง

มรรคมีองค์ 8 มันมีหลาย มีสติรู้เท่าทันจิตก่อนก็แล้วกัน ทันคิดชั่วคิดดีก็ให้รู้ รู้ไปก่อนมันจะไปเอง ทำใจเป็นกลางๆ ปล่อยวาง ว่างทุกอย่าง ทำจิตให้สะอาดหมดจด ผ่องแผ้ว ก็ศีล 5 ศีล 8 บอกอยู่แล้ว เดี๋ยวมันปฏิบัติ ถ้ามันไปเจอทุกข์ เจอเวทนา ทำไมเราถึงทุกข์ เพราะเราทำกรรม เออ อันนี้ท่านจึงให้เว้นจากการฆ่า

เพราะความบริสุทธิ์ หมดจด มันจะเป็นศีล มีสมาธิ มันจะรู้ของมันเอง แม่รู้ของแม่เอง นี่ละ ลงมรรคมีองค์ 8 แจ้งเลย อ่านจนหูแตก แม่ก็เคยอ่าน หนังสืออ่านกันมานานแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเข้าใจมั้ย มันเข้าใจลึกซึ้งมั้ย

ต้องบอกให้มันตามรู้จิต จิตคิดชั่ว จิตคิดดี ให้รู้จิตพยาบาท อาฆาต จิตคิดฆ่าอะไร จิตมันโกรธ มันเกลียด ให้มันรู้ มันจะรู้เอง ไปอ่านมรรคมีองค์ 8 มันไปท่อง อ่านแล้วมันไม่ซึ้งในธรรมะ มันไม่เห็น ต้องให้มันเห็นด้วยฐานแท้ นั่นละ มรรคมีองค์ 8 อยู่ตรงนี้ ถึงจะเข้าใจ

ถ้าไม่มีสติ แล้วไม่รู้เท่าทันจิต มรรคมีองค์ 8 จะเกิดมั้ย มันก็ไม่เกิดใช่มั้ย ให้มีสติตามรู้เท่าทันจิตเสียก่อน มรรคมีองค์ 8 ถึงจะเกิดขึ้น ปัญญาถึงจะเข้าใจ ปัญญาถึงจะถ่องแท้ รู้แล้วก็วาง ดีก็วาง ชั่วก็วาง ติดสุขติดดีก็วาง รู้แล้วไม่วาง มันก็ไม่ใช่มรรคมีองค์ 8


Rank: 1

"ต้นทางของวิปัสสนา"

ครั้งแรกที่คุยกับคุณแม่ชีเกณฑ์ เล่าให้ท่านฟังว่า มีหลายคนบอกให้เดินจงกรมแบบเดินปกติไม่ต้องเดินช้าก็ได้ เพราะเราต้องหัดให้มีสติในชีวิตประจำวันจริงๆ ถ้ามาเดินช้ามันก็ไม่ใช่ของจริง ตัวเราเองกลับรู้สึกว่าการเดินช้าทำให้ใจเย็น ถ้าเดินแบบปกติยิ่งฟุ้งและร้อนที่ใจ ถามคุณแม่ตรงประเด็นว่า ตัวเองเหมาะกับการเดินจงกรมแบบไหน ที่คิดว่าการเดินช้าทำให้เย็นขึ้น คิดอย่างนี้ถูกไหม 

ท่านตอบว่าการเดินช้าๆ เป็นการขัดกิเลส และท่านถามต่อว่าเดินแบบไหน พุทโธ หรือไม่มีอะไรเลย บอกท่านว่าบริกรรมพุทโธ ท่านบอกให้สังเกตเวลาเดิน เท้ายกขึ้น คำว่าพุท กับการรับรู้ที่เท้ายกขึ้น ให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน และก่อนเท้าจะลงให้หยุดไว้ก่อน จะเห็นคำว่าโธผุดขึ้นในใจ ให้มันดับไปก่อนแล้วค่อยเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธ ให้การรับรู้ทั้งที่เท้าและคำว่าโธเกิดขึ้นพร้อมๆกัน 

ทำตามที่ท่านบอก เห็นคำว่าโธผุดขึ้นก่อนที่เท้าจะลงเสียอีก ไม่ทำตามมัน ค้างเท้าไว้ แล้วเราเห็นคำว่าโธดับลงไป แล้วจึงเอาเท้าลงพร้อมคำว่าโธที่ตั้งใจเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน เราเห็นใจที่มันสั่งให้ไปข้างหน้าแต่เราไม่ทำตามมัน แล้วมันก็ดับลง 

ตอนเย็นท่านโทรมาสอบอารมณ์ ท่านบอกต่อว่าถ้าความคิดเกิดขณะยกเท้า ให้หยุดค้างไว้ หรือความปวดเกิดขึ้นก็ให้หยุดค้างไว้ ท่านไม่บอกว่าทำไม พอเริ่มเดินช้าไม่เหมือนคนอื่นจึงพาตัวเองไปเดินไกลๆ เริ่มเดินอย่างที่ท่านบอก พอความคิดเกิดขึ้นหยุดค้างไว้ เราเห็นความคิดดับลง เป็นครั้งแรกที่ไม่กลัวความคิดเกิด พอปวดขาก็หยุดค้างไว้ เราเห็นความปวดดับลงไป ปวดมันไม่ได้อยู่กับเราตลอด มันก็มีช่องว่างเหมือนกัน คุณแม่ท่านบอกว่าการเห็นการเกิดดับในตัวเรานี่แหละ เป็นต้นทางของการวิปัสสนา เป็นปัญญาขั้นแรกที่จะพาเราออกจากวัฏสงสารนี้ได้ 

จะบริกรรมหรือไม่บริกรรม ก็ให้สังเกตจุดเดียวกัน จะยกเท้าก็ให้มีสติรู้ ก้าวไปก็ให้มีสติรู้ เหยียบไปก็ให้มีสติรู้ ขณะรู้จิตอยู่กับขามั้ย มีสติรู้อยู่กับปัจจุบันมั้ย ยกขาก็ให้รู้ว่าจิตออกไปมั้ย อยู่กับปัจจุบันกับขามั้ย ขาขวายก มันอยู่กับขาหรือวิ่งออกไปข้างนอก มันออกไปก็ให้ใช้สติปัญญาดึงมันกลับคืนมา 

ถ้าหยุดขาค้างไว้มันไม่กลับมา ก็ให้กำหนดคิดหนอๆๆ หรือฟุ้งหนอๆๆ จนกว่ามันจะกลับมา ถ้ามันปรุงจนโกรธหรืออยากก็ให้กำหนดตามความรู้สึกนั้น เพื่อหยุดการปรุงแต่งต่อ ถ้าฟุ้งมากให้เดินแค่ 5 นาที นั่ง 5 นาทีไปจนครบชม. บริกรรมออกเสียงดังๆ เพื่อเป็นการคลายอารมณ์และกระตุ้นให้จิตมารับรู้การเคลื่อนไหวที่ปาก


Rank: 1

"อะไรคือปัญญาขั้นแรกที่ทำให้เราวางกายนี้ได้"

ปัญญารู้เท่าทันอารมณ์นั่นไง เป็นปัญญาขั้นแรก ถ้ารู้ทันอารมณ์มันก็จบเท่านั้น ขั้นแรกก็รู้เท่าทันอารมณ์ เห็นอาการเกิดดับๆ แล้วใจมันจะยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดับ อารมณ์มันก็ดับ กายของเรามันก็ดับ พอเห็นปัญญามันก็เกิด

ต้องพิจารณาเห็นอาการเกิดดับเหมือนตอนที่แม่ปฏิบัติ พอมันเห็นอาการเกิดดับ ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่เกิดกับดับ กายของเรามันก็ดับ ต้องเห็นช่องว่าง ทุกอย่างกายนี้มันก็ดับ มันเห็นโทษทันที เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดับสลาย เห็นโทษเห็นภัยมัน

เกสา โลมา ท่องลงไป ไม่เห็นอาการเกิดดับไม่เห็นช่องว่าง มันก็ไม่ก้าวหน้า เห็นตายที่รพ.เผากันตลอดทำไมมันถึงไม่ตัด ทำไมไม่เกิดปัญญา ทำไมมันไม่ขาด เห็นอาการเกิดดับอย่างแจ่มแจ้ง มันถึงจะเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดับสลายไป

จับหัวข่มน้ำจนตายก็ไม่เห็น ถ้าไม่เห็นด้วยสติปัญญาของตัวเอง ฟังครูบาอาจารย์เทศน์จนหูแตก หูซ้ายทะลุออกหูขวา มันวางได้มั้ย ถ้ามันไม่เห็นช่องว่างของจิตที่ มันเกิด มันดับ มันวาง มันหมดไป หมดไป เห็นทุกขัง อนิจจังสิ มันถึงวาง ทุกขัง อนิจจัง นึกว่ามันเที่ยงหรือไง ตามดูสิมันอยู่ตลอดมั้ย เดี๋ยวสักวันมันก็จางไป มันไม่เที่ยงอะไร มันแปรปรวนอยู่ตลอด มันก็จบเท่านั้นเอง


Rank: 1

"คุณแม่ค่ะ อธิบายความหมายของสติปัฏฐาน 4 แบบง่ายๆและเข้าใจได้ง่ายให้หนูได้ไหมค่ะ"

วิปัสสนาในสติปัฏฐาน 4 อย่าง 1. กาย 2. เวทนา 3.จิต 4.ธรรม.....
ไม่ว่าลูกจะเดิน จะนั่ง จะนอน จะพูด จะคิด จะกระทำสิ่งใด ให้มีสติรู้เท่าทันทุกอย่าง ทั้งที่กายและที่ใจ คำว่ารู้ทันกาย รู้ทั้งกายที่เคลื่อน กายเจ็บ กายปวด ก็ให้มีสติรู้ แล้วดูใจเราทุกข์กับมันมั้ย ห่วงมันมั้ย มันเจ็บมันปวด มันมีอารมณ์หงุดหงิดมั้ย

เวทนามี 2 อย่างคือเวทนาที่กายกับเวทนาที่ใจ ความรู้สึกที่ใจที่เรียกมันเป็นเวทนาเพราะมันเจ็บปวดใจ จิตก็มีสติรู้เท่าทันกับอารมณ์ที่มันมาปรุงแต่งจิต ให้คิดโน่นคิดนี่ เดี๋ยวก็แว่บไปนั่น เดี๋ยวก็แว่บไปนี่ ธรรมก็คือธรรมารมณ์ อารมณ์ที่มากระทบทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อารมณ์ที่มันโกรธ มันเกลียด มันรัก มันชอบ มันชัง มันเบื่อ สารพัดอารมณ์

มีคนหนึ่งบอกว่าฉันไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมได้ เขาคิดว่าต้องทำให้จิตสงบตลอด ต้องเป็นกุศล ต้องดี ถ้าไม่ดีไม่ใช่ธรรม พอไปปฏิบัติก็พยามยามให้ไม่คิด มันเลยสู้กัน ก็เลยว่าตัวเองมันยาก ไปแล้วปฏิบัติไม่ได้ เหมือนน้องคนหนึ่งก็ว่า หนูจะทำได้มั้ยละคุณแม่ หนูอยากไปแต่กลัวจะปฏิบัติไม่ได้ แม่ก็ว่าทำไมจะไม่ได้ แม่ให้มาดูความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท ความน้อยใจ

เราอยู่กับอารมณ์ทางตา หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส เดี๋ยวมันหยุดหงิด เดี๋ยวมันฟุ้งซ่าน เดี๋ยวมันโมโห เดี๋ยวมันขี้เกียจขี้คร้าน แล้วมันยากมั้ยละ มันอยู่กับอารมณ์ นี่แหละให้ไปรับรู้ ให้ไปวางสิ่งเหล่านี้ ทุกคนก็หัวเราะมีกำลังใจ นี่ต่างหากละธรรม ธรรมารมณ์ที่มาทำให้เราหวั่นไหวนี่ไง


Rank: 1

"เอาชนะใจตัวเอง"

เรากินกาแฟตั้งแต่เรียนหนังสือ จนทำงานในรง.ต้องแบบกระป๋อง หนักขึ้นไปอีก วันหยุดก็ไม่เว้น เพราะรู้สึกถ้าไม่กินแล้วลุกไม่ขึ้น ขี้เกียจ เอาแต่นอน เราแพ้ใจตัวเองไม่เคยชนะมัน นามร่วม 30 ปีจนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนปวดท้องอย่างหนักและเป็นเรื้อรัง พบว่ากาแฟมีส่วน ไม่ว่าจะกินอาหารเข้าไปด้วยก็ตาม ยิ่งถ้ากินเกิน 1 แก้ว มันจะไปเร่งการหลั่งน้ำกรดในกระเพาะออกมา 

ที่ผ่านมาเราหลอกตัวเอง เราใช้กาแฟย้อมใจให้ตัวเองตื่นในแต่ละวัน เราอ่อนแอยืนด้วยตัวเองไม่ได้ พอง่วงสักนิดก็ไม่ทน ไม่พยายามที่จะฝืนมันด้วยตัวเอง เคยรู้มาว่าใครก็ตามไปปฏิบัติกับคุณแม่ชีเกณฑ์ ที่ร้อยเอ็ด ท่านจะไม่ให้กินกาแฟ เราค้านในใจว่ามันไม่เกี่ยวกัน จนวันนี้เรารู้แล้วว่ามันเกี่ยวกัน สติที่บริสุทธิ์และกล้าแข็ง ต้องออกมาจากการรับรู้ของใจอย่างแท้จริง ที่ไม่มีอะไรไปกระตุ้น 

ทำไมจึงบอกว่ากล้าแข็ง เพราะเขาออกมาโดยเนื้อแท้ของเขา เขามีความมั่นคงหนักแน่นเต็มเปี่ยม ไม่ผันแปรไปตามสิ่งที่มากระตุ้น แม้จะไม่กินกาแฟเขาก็อยู่ได้ แม้จะปวดหัวหรือง่วงนอนเขาก็ยังอยู่ได้อย่างมั่นคง เมื่อเราเกิดความสงสัยว่าใครกันแน่ที่ไปปฏิบัติ เราหรือกาแฟ จึงลองหยุดกินดู 3 วันแรกปวดหัวอย่างหนัก แต่เราอดทนฝืนใจไว้ มันอยากกินก็ไม่พากิน อดทนจนพ้นบ่ายทุกวัน พอช่วงเย็นเขาก็เป็นปกติ 

สิ่งที่เราต้องทนมากไม่ใช่อาการปวดหัว แต่ทนกับความอยากของใจ ผ่านไปได้เป็นอาทิตย์ สติตัวจริงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวและรับรู้โดยธรรมชาติได้เกิดขึ้น เราทำงานได้ทั้งวันโดยไม่เหนื่อย ไม่ง่วง กลางคืนก็ไม่ยอมนอน บางครั้งนอนแค่ครึ่งชม.มันก็ตื่น เป็นอย่างนี้เกือบ 2 อาทิตย์ ใจสดชื่นกระปรี้กระเปล่า สมองปรอดโปร่ง ไม่เหลือเค้าของอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวเลย

แต่ก่อนคุณแม่เคยบอกว่าให้ตื่นตีสามมาปฏิบัติ เราบอกว่าตื่นไม่ไหว เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งปี เราตื่นตีสามเกือบทุกวัน บางคืนตื่นตั้งแต่เที่ยงคืน กลางวันก็ไม่มีง่วงไม่มีเพลีย จึงไม่สงสัยเลยที่ท่านบอกว่า ท่านจำวัตรหลังเที่ยงคืนและตื่นขึ้นมาตอนตี 2 ช่วงบ่ายท่านก็ไม่ได้นอน คุยกับท่าน ท่านไม่เคยบอกว่าเหนื่อย ว่าง่วงหรือแสดงอารมณ์อันใด โทรไปยามใดน้ำเสียงของท่านยังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม 

การปฏิบัติธรรมรอบนี้ท่านบอกว่า ต้องการให้หยุดกินกาแฟใน 3-4 วันที่มาปฏิบัติ ใครที่กลัวว่าถ้าไม่กินแล้วจะไม่ได้อะไรเลย ท่านบอกได้สิ วิริยะบารมีที่เกิดจากการต่อสู้กับเวทนานี่ไง ท่านบอกว่าถ้าแค่นี้ทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ไม่กินแล้วหงุดหงิดฉุนเฉียว ตอนจะตายเวทนามากกว่านี้หลายเท่านัก จะทนได้หรือ คงไม่แคล้วไปเกิดเป็นพวกสัตว์ดุร้ายแน่นอนถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่

ช่วงที่เราอดกาแฟ ท่านก็เป็นพี่เลี้ยงอยู่ข้างๆ ต้องสอบอารมณ์กับท่านทุกวัน ท่านจะถามถึงความรู้สึกของใจที่เกิดขึ้น เราบอกท่านว่าใจมีแต่ความรู้สึกทนไม่ได้ มีแต่คำว่าไม่ไหวแล้ว แต่ต้องทนเพราะเราต้องการเป็นอิสระ ท่านบอกว่าแค่นี้ยังหงุดหงิด แล้วถ้ามีคนมาด่าหน้าบ้านจะทนได้หรือ ไม่ต้องไปรอตอนตายหรอก เอาแค่ตอนนี้ให้ผ่านก่อน

บางวันแอบกินโอเลี้ยงแทน ไม่บอกท่าน แต่วันนึงเราคิดได้มันเหมือนกัน เมื่อใจไม่ไปยึดติดกับมันว่าต้องกิน และไม่ไปตีความเองว่ามันง่วงเพราะไม่ได้กินกาแฟ นานๆไปเราก็จะปล่อยความคิดเก่าๆ และลืมมันไปได้ เราแก้ไขตัวเองด้วยการปรับเวลานอน พักให้พอ ไม่ดูทีวี ไม่อ่านมากนัก ไม่เล่นเนตนานจนดึก พอร่างกายพักผ่อนเพียงพอเขาก็ค่อยๆปรับตัวขึ้น วันนี้เราอดทนเข้มแข็งและพึ่งตัวเองได้ จะป่วยมากป่วยน้อยก็ไม่มากระทบกับใจของเรา


Rank: 1

ธรรมะวิถี.....ตอน รำลึกพระคุณ

........ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ อบรมจิตใจให้รู้ผิดชอบชั่วดี.........
เสียงเพลงลอยมาแว่วๆ หวลรำลึกถึงครูบาอาจารย์ จะปล่อยให้เป็นเสียงกระซิบอยู่ในใจเราคนเดียวได้ไง ก็อย่างว่าเรามันพวก"แมงโม้" มีเรื่องดีๆต้องเล่า ทนๆฟังกันหน่อยรับรองได้ประโยชน์ 


เรามีครูบาอาจารย์หลายองค์ ตั้งแต่"อาจารย์ แม่ชี พระอาจารย์ หลวงพ่อ หลวงปู่"ที่เมตตาคอยขนาบสอนสั่ง เราเคยนึกเล่นๆ"กิเลสเรามันหนามั๊ง" คนอื่นมีครูบาอาจารย์องค์เดียวก็บรรลุ เรามันต้องทั้งแงะทั้งงัดจากครูบาอาจารย์หลายองค์ เลยจัดตัวเองเป็น"พันธุ์ลูกผสม"


หนึ่งในองค์ครูบาอาจารย์ คือ "แม่ชีเกณฑ์ นิลพันธ์ แห่งสำนักวิปัสนาบ้านโคกสูง จ.ร้อยเอ็ด" แม่ท่านมีวิธีสอนง่ายและสนุก เพราะใช้คำถามให้เราเฝ้าสังเกต"ความจริง"ที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้ 


เราจำได้.......แม่ถามคำถามแรก "ลมหายใจเข้า กับ ลมหายใจออก เป็นขณะเดียวกันไหม"
"คนละขณะค่ะ" เสียงเราตอบฉะฉาน
"จิตที่เข้าไปรู้ลมหายใจเข้า กับ จิตที่เข้าไปรู้ลมหายใจออก เป็นดวงเดียวกันหรือคนละดวง"
"ถ้าตอบตามตำราต้องตอบคนละดวง แต่ที่รู้สึกเป็นดวงเดียวกัน"เสียงเราเบาลง


แม่ให้อุบายโดยเดินจงกรม6จังหวะ เราไม่เล่ารายละเอียดใครอยากรู้ไปเรียนกับแม่เอาเอง เพราะ"เค้า"ให้เราเขียน"เรื่องสั้น" อุบายแม่ได้ผล เราเห็นสิ่งที่ถูกรู้เกิด-ดับ และจิตรู้เองก็เกิด-ดับต่อเนื่องเป็นขณะๆ


แม่เริ่มให้เราอธิษฐานเพื่อรวบรวมบารมีที่เคยสั่งสมมาก่อนเดินจงกรม-นั่งสมาธิทุกบังลังก์ สิ่งอัศจรรย์ปรากฎขึ้นดั่งคำบาลีที่ว่า "ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป" แสงแห่งพระธรรมแจ้งประจักษ์แก่ใจ "รูป-นามเป็นเพียงสิ่งที่เกิด-ดับในความว่าง ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา" "ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีเพียงปัจจุบันขณะที่เกิด-ดับสืบต่อ" 


ม่านหมอกปิดบังจิตได้เผยออกให้สัมผัส"ธรรมชาติเดิมแท้"ชั่วขณะ เสียงแม่นุ่มนวลอ่อนโยน "จุดสำคัญ รักษาใจให้เป็นกลางกับทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น" "สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนมีเพียง2สิ่ง คือ สิ่งที่เที่ยง กับ สิ่งที่ไม่เที่ยง" "ขมอง"น้อยๆของเราจำคำสอนของแม่ได้แม่นยำนัก เราก็ต้องมีดีเหมือนกันสิ


บทความโดย รวีรำแพน


Rank: 1

"วิธีแก้อาการโงกง่วงโยกไปโยกมา"

เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ คุณแม่ชีเกณฑ์ให้แก้ด้วยการให้ตั้งเวลาให้นั่งสมาธิ 5 นาที เดินจงกรม 5 นาที สลับไปมาจนครบชม. ถ้านั่ง 5 นาทียังเป็นอยู่ให้หดเวลาลงมาอีกเหลือนั่ง 3 นาที เดิน 3 นาที ถ้านั่งลงไปแล้วยังเป็นอยู่ก็หดเวลาลงมาอีก หรือให้เดินอย่างเดียว ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ถ้ายังเป็นอีกก็ให้ทำแบบเดิม ต่อเมื่อหายจากอาการนั้นค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นมาให้เหมาะสม แต่อย่ากลับไปนั่งนานๆ อีก มันจะไหลลงไปที่เดิม

คุณแม่ท่านว่าอาการเช่นนี้อาจด้วยวิบากกรรมของเรา และสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ให้เราดูปรับเวลาให้ร่างกายได้พักบ้าง มันโยกตัวลงไปเพราะสติมันน้อย ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวของร่างกายได้ และท่านให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของตัวเราเองทุกครั้งที่ไปปฏิบัติ และให้ทำบุญตักบาตรกับข้าวอาหารให้เขาด้วย

ถามคุณแม่ว่าทำแบบนี้แล้วทำไมจึงหาย ท่านว่าขนาดเราให้ลุกนั่งอย่างนั้น ใจมันยังหงุดหงิดจนแทบทนไม่ได้เลยใช่ไหม แต่ต้องทนเพราะอยากหาย แล้วคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้มีอาการแบบนั้น เขาจะทนอยู่ได้หรือ เขาก็ร้อนเหมือนกันที่เราผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้น แต่เราอย่าไปปฏิบัติไล่เขาอย่างเดียว เราต้องแผ่เมตตาและทำบุญให้เขาได้อิ่มอาหารอิ่มใจด้วย จะได้เป็นอโหสิกรรมต่อกัน การทำอย่างนี้ทำให้มีเราความรู้สึกตัวต่อเนื่องไม่ขาดระยะนับชม. จะทำให้สติเราตั้งมั่นและบริบูรณ์ครบถ้วนมากขึ้น การลุกนั่งเสมอกันช่วยปรับธาตุดินน้ำลมไฟในร่างกายให้สมดุล โรคที่เป็นอยู่ก็จะถูกขับออก เลือดลมไหลเวียนสะดวก หายง่วง หายซึม กระปรี้กระเปล่า ไม่ขี้เกียจ นั่งแล้วไม่ฟุ้งไม่จม ตื่นตัวรู้สึกอยู่ตลอด

ขณะที่มีอาการเช่นนี้ในใจคิด เราคงไปปฏิบัติให้ใครเห็นไม่ได้แล้ว โยกไปโยกมาน่าอายมาก รู้ตัวแต่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ กว่าจะหลุดออกมาได้ก็ช่างแสนยาก ตอนผลุบเข้าไปก็ไม่รู้ตัว นั่งได้แค่อึดใจก็ไปติดกับเสียแล้ว 3 อาทิตย์ที่ต้องลุกนั่งอยู่อย่างนั้น ใจก็ไม่หงุดหงิด เป็นปกติเพราะมันชินแล้ว อาการง่วง ฟุ้งซ่าน ตัวโยกหายไป สติตื่นจนไม่ยอมหลับทั้งกลางวันกลางคืน นอนก็เหมือนไม่นอน เป็นอย่างนั้นเกือบเดือนกว่าจะเป็นปกติ

ต้องกราบขอบพระคุณ คุณแม่มากๆที่ทำให้หายจากอาการเช่นนี้ การปฏิบัติเองคนเดียว จำเป็นมากๆ ที่จะต้องมีผู้สอบอารมณ์ ไม่อย่างนั้นเราคงติดอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่


Rank: 1

"กำหนดเพื่อรู้เท่าทัน"

มีคุณโยมมาถาม ทำยังไงถึงจะรู้เท่าทันจิต แม่บอกเขาว่าคุณโยมต้องเจริญสติ แล้วคุณโยมจะทันมัน พอนั่งปฏิบัติหูได้ยินเสียงปุบ ให้คุณโยมกำหนดได้ยินหนอ ๆ อารมณ์กระทบอันใด อายตนะภายนอก ความรู้สึกที่ใจให้รู้เท่าทัน ให้กำหนดรู้ ใหม่ๆ อาจจะฝึกกันหน่อย มันขัดตัวเอง ขัดใจ อย่าตามใจตัวเอง ขัดมันดู แล้วคุณโยมก็จะเท่าทันกับอารมณ์ จะเห็นอารมณ์ จะเท่าทันขึ้น แล้วมันก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ 

แม่บวชได้ 7 วัน ไปเข้าปฏิบัติที่บุญศรีมณีกรณ์ เขาให้กำหนด ยุบหนอพองหนอ หนอทุกอิริยาบถทั้งที่กายที่ใจ แม่บ่นในใจ มันจะสงบมั้ยเนี่ย เราเคยพุทโธ นั่งปุบนิ่งเลย พอมาวิปัสสนา หูได้ยินเสียงก็ให้รับรู้ ไม่ให้ปล่อย ได้ยินหนอๆ ขวาย่างซ้ายย่าง ให้กำหนดอะไรก็ไม่รู้ วุ่นวายไปหมด แล้วเมื่อไหร่จะเห็นธรรมะละ

พอเปลี่ยนไปปฏิบัติกับหลวงปู่เลื่อน ท่านเป็นอาจารย์สายยุบหนอ พองหนอรุ่นแรก วันแรกท่านบอกว่า...ลูกชีลดสักกายทิฏฐิซะมั่งสิ หลวงปู่ขอบิณฑบาต ลดสักกายทิฏฐิซะลูก ครูบาอาจารย์บอกอะไร ลูกก็ทำตามเถิด อย่าเถียง แม่ไม่ได้เถียงท่าน แต่แม่เถียงในใจ พอรู้ว่าหลวงปู่รู้ว่าเราต้าน เกิดศรัทธาทันที 

พอสติรู้เท่าทัน ก็เลยรู้ว่าที่ให้เรากำหนดรู้ทันเสียง เพราะเมื่อเรารู้ว่าเสียงอันนี้ มันเป็นแค่เสียงเกิดแล้วดับ ถ้าเราไม่ปรุงแต่งว่าเขาด่า พอได้ยินเสียงปุบ เราจะไม่โกรธเลย เวลาหิวทุรนทุรายก็ไม่ให้กิน ให้เอาขึ้นมากำหนด ถ้าอยากให้หยุดเลย มันหายอยากจึงให้กิน ทานข้าวเป็นชม.ได้ 3 คำ ท่านให้เคี้ยวให้ละเอียด ถ้าไม่ละเอียดกระอักออกมาเคี้ยวใหม่ 

ตั้งแต่นั้นมา มีความสงบขึ้น รู้เท่าทันขึ้น ได้เห็นอาการที่เกิดดับ ความปรุงแต่งก็ค่อยๆ จางไป ท่านให้ขัดกิเลสขนาดนั้น ถึงได้รอดมา แม่ได้เห็นคุณค่า ก็เลยได้มาแนะนำ มันยากจริงๆ ที่จะรู้เท่าทันจิต กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น จิตคนเรามันเร็ว รูขุมขนที่ว่าถี่ อารมณ์ที่จะแทรกเข้าไปถี่ยิบกว่านั้น ต้องทำสติให้หนายิ่งกว่ากำแพงปูน ถึงจะรู้เท่าทันจิต 

คนอื่นจิตเป็นยังไงกรรมใครกรรมมัน เห็นแต่ใจเรา มันจะอยู่ได้เพราะเราเอาชนะอารมณ์ เอาชนะใจเรา ชนะคนอื่นยาก เพราะกิเลสมันหนา ชนะใจตัวเอง ก็เท่ากับชนะใจคนทั้งโลก


Rank: 1

"คุณแม่ทำยังไง หนูถึงจะเห็นอสุภะ เห็นกระโหลกเหมือนเขา"

ไปนั่งเพ่ง นั่งเห็นกระดูก ซี่โครง เห็นตับ เห็นไต มีแต่ของสกปรกโสโครก ถ้าใจมันยังวางไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ เห็นกระดูกซี่โครงแล้วเวลาเขาด่า มันยังโกรธอยู่ มันก็ไม่ดี จะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไรหรอก เห็นแล้วปลงได้มั้ยละ ถ้าปลงได้ใช้ได้ ถ้าปลงไม่ได้ก็ใช้ไม่ได้ แปลว่ายังเห็นไม่ถูก 

เห็นถูก เห็นชอบ เหมือนมรรคมีองค์ 8 เออ..กายนี้มันเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็เสื่อม ผมมันดำเดี๋ยวก็หงอก มันแปรปรวนเนาะ เกิดมามันดำ กลางคนเข้ามามันหงอก แล้วใครจะยอมมั่งละ ถ้าเห็นมันเป็นธรรมชาติทำไมไม่ปล่อย เอาวัตถุนิยมมาย้อมทำไม หนังที่มันเหี่ยวก็เป็นธรรมดา ถ้ายังบำรุงกันอยู่มันก็วางไม่ได้ เห็นอสุภะแต่ยังห่วงสวย อยากให้ตัวเองดูดี มันก็วางไม่ได้ 

กิเลสหยาบละไม่ได้ แล้วจะละกิเลสละเอียดได้อย่างไร ผู้เข้าปฏิบัติ ถ้ารู้แจ้งเห็นจริง มันต้องเห็นว่ามันเป็นธรรมชาติ ก็ปล่อยมัน เอาอะไรมาหยุดมันก็ไม่อยู่ ย้อมไปก็ชั่วขณะ เดี๋ยวก็คืนสู่สภาพเดิม บำรุงขนาดไหน แพงขนาดไหน ดีขนาดไหน ก็หยุดความแก่ความเหี่ยวไม่ได้ สู้เอาเงินไปทำบุญเป็นสเบียงให้แก่ตัวเองดีกว่า

ธรรมะมองแว่บเดียวแล้วพิจารณาให้แตกฉาน แค่หงอกเส้นเดียวก็บรรลุธรรมได้ อสุภะภายนอก ความสกปรกโสโครกมีให้เห็นกันทั้งวัน เห็นแล้วพิจารณาด้วยปัญญา เห็นตามความเป็นจริง เอออันนี้มันเสื่อมแล้วนะ ตามองแทบไม่เห็น มันฝ้ามันฟางแล้ว หูมันก็เริ่มตึง ไม่มีอะไรเลยที่จะเที่ยง นี่แหละท่านว่าให้เห็นทุกข์สัจจริงๆ เห็นทุกข์เห็นโทษของมัน 

แม้ไม่เห็นอสุภะ แต่เข้าใจธรรมชาติของกายนี้ เข้าใจที่มันแปรปรวน เข้าใจที่มันทุกข์ ไม่ไปหลงมัน ไม่ไปยึดมัน อยู่กันไปตามสภาพ ป่วยก็ไม่ทุกข์กับมัน อันนี้แม้ไม่เห็นก็ใช้ได้แล้ว กายนี้จะวางได้ไม่ใช่เห็นอสุภะภายใน แต่วางได้ด้วยปัญญา คนที่เห็นได้ก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญา เห็นโทษเห็นภัยมันจึงจะวางได้ เห็นอย่างเดียว ละไม่ได้วางไม่ได้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด


Rank: 1

"การเดินจงกรม 6 จังหวะ สำหรับผู้ที่ทุกข์ใจและฟุ้งมาก"

1. ยกส้น...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
2. ยก...(หยุด)....หนอ...(หยุด)
3. ย่าง...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
4.ลง...(หยุด)...หนอ...(หยุด)
5. ถูก...(หยุด)....หนอ...(หยุด)
6. เหยียบ...(หยุด)....หนอ...(หยุด)

นอกจากจะรับรู้ที่เท้า ปาก ใจ หูก็ยังคงได้ยินเสียง บางทีมันก็รู้ลมหายใจ ตาก็เห็นสัตว์ที่เดินบนพื้นดิน รู้อากาศร้อนเย็น จิตแว่บออกไปคิดก็รู้

ออกเสียงดังทุกจังหวะและคำว่าหนอ ให้การรับรู้ของเท้า ปากและใจตรงกัน หากความคิดเข้าแทรกหยุดค้างไว้ทันที ความคิดดับจึงไปต่อ หากมันไม่ยอมดับก็ค้างไว้เลย เมื่อขาเริ่มเกร็งมันจะทิ้งความคิดมารับรู้อาการที่ขา การเดินจงกรมเช่นนี้ เป็นวิธีที่ขัดใจมากสำหรับผู้ที่ใจร้อน อารมณ์รุนแรง มันจะดิ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

ขณะที่หยุดค้างไว้ ให้เราดูใจที่มันดิ้น มันหยุดดิ้นเมื่อไหร่จึงจะไปต่อ อดทนฝืนจิตไม่ทำตามที่มันสั่งให้ได้ 1-2 อาทิตย์มันก็จะหยุดดิ้น ยกเว้นคนที่ไม่สม่ำเสมอและไม่เอาจริง เมื่อมันหยุดดิ้นความสงบเย็นจะเกิดขึ้น 4 วันแรกจะปวดเมื่อยไปทั้งตัว เริ่มแรกตัวจะเอียงซ้ายเอียงขวาให้ทำความรู้สึกไปตามอาการเอียง ถ้ามันคิดติดกันเป็นลูกโซ่ ให้กำหนด คิดหนอๆเอาจนมันหยุด 

วิธีนี้เป็นวิธีหักดิบ ผู้ที่ความอดทนน้อยมักจะถอยไปเสียก่อน สิ่งที่จำเป็นมากคือความต่อเนื่อง อย่างน้อยวันละ 1 ชม. เป็นเวลา 2 อาทิตย์จึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจน หลังการปฏิบัติทุกครั้ง คุณแม่ท่านให้แผ่เมตตาเจาะจงให้เจ้ากรรมนายเวรเราก่อน เมื่อจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นจึงจะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ และหมั่นตักบาตรให้เขาด้วย 

เรื่องใดที่ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้พิจารณาไตร่ตรอง ทำไมใจเรายังคิดเรื่องนี้ ยังคาใจตรงไหน ตัดสินใจเด็ดขาดกับมันว่าจะทำยังไงแล้วก็วางมัน และคอยเตือนตัวเองหากตายขณะนี้ ต้องไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าอยู่บ้านเขาแน่นอน การรับรู้หลายจุดถี่ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดสติและให้สติเร็วขึ้น 

เมื่อมีสติ ก็จะเกิดสมาธิ และปัญญาในการแก้ไขปัญหาก็จะตามมา ส่วนการหยุดนั้น เพื่อให้เห็นการเกิดดับของการรับรู้และความคิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับในทันที เมื่อเข้าใจในความเป็นจริง มันก็จะค่อยๆ ยอมรับว่าทุกสิ่งมันจบไปแล้ว และเลิกที่จะไปขุดคุ้ยขึ้นมาอีก เมื่อถึงเวลาที่จิตเขาก้าวเดินเองได้ คำบริกรรมก็จะค่อยๆ เลือนหายไป 


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 02:46 , Processed in 0.035425 second(s), 13 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.