สถูปพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ประดิษฐานภายในปราสาททองอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง
สถูปพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง
เป็นสถานที่มรณภาพและบรรจุอัฐิธาตุของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยมีพระอานันท์ พุทธธัมโม จังหวัดพะเยา เป็นประธานดำเนินการสร้าง และพระธรรมปัญญาบดี เจ้าคณะภาค ๗ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม. เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ โดยความอุปถัมภ์ของท่านอุบาสกกวงเม้ง ท่านอุบาสิกาปิติอร แซ่เล้า พร้อมครอบครัว และคณะบริษัท โอซีบี ๑๙๙๒ จำกัด
คำนมัสการพระครูบาเจ้าศรีวิชัย
(ตั้งนะโม ๓ จบ) อะยังวุจจะติ สิริวิชะยะจะนะ จะ มหาเถโร อุตตะมัง สีลัง นะระเทเวหิ ปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มหาลาภา ภะวันตุเม อะหัง วันทามิ สัพพะทา อะหัง วันทามิ สิระสา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิฯ
...คำแปล...(ดังข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไปนี้ พระมหาเถระเจ้ารูปใด ผู้มีนามว่าศรีวิชัย ผู้มีศีลอันอุดม ผู้อันนรชนและเหล่าทวยเทพทั้งหลายบูชาแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลทั้งปวง ด้วยการนอบน้อมนั้นเป็นปัจจัย ขอลาภอันใหญ่จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออภิวาทซึ่งพระมหาเถระเจ้ารูปนั้นตลอดกาลทั้งปวง ข้าพเจ้าขออภิวาทซึ่งพระมหาเถระเจ้ารูปนั้นด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขออภิวาทซึ่งพระมหาเถระเจ้ารูปนั้นโดยประการทั้งปวง สาธุ สาธุ สาธุ (ดีละ ดีละ ดีละ) ข้าพเจ้าขออนุโมทนาฯ)
(เสร็จแล้วให้ตั้งจิตระลึกถึงพระครูบาเจ้าศรีวิชัย แล้วอธิษฐานตามกุศลเจตนา)
หุ่นรูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จำลองตอนมรณภาพ ประดิษฐานภายในปราสาททองอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง
หุ่นรูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จำลองตอนมรณภาพ วัดบ้านปาง
พระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญอมตะแห่งล้านนาไทย มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๒๑ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ ปีขาล เวลาเที่ยงคืน ๕ นาที ๓๐ วินาที รวมสิริอายุ ๖๐ ปี ๘ เดือน ๑๐ วัน (ปรกติท่านพระครูบาเจ้าจะนอนหันหัวไปทางทิศใต้ คืนวันมรณภาพก็หันหัวไปทางทิศใต้)
ประวัติย่อเหตุการณ์วันมรณภาพพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง
ในวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๐ ท่านจึงเรียกบรรดาสานุศิษย์มาพร้อมหน้ากัน แล้วสั่งเสียว่า
"ท่านทั้งหลาย! เราเห็นจะไปไม่รอดแน่ อาการครั้งนี้หนักนัก ขอท่านทั้งหลายอย่าได้ละทิ้งการงานที่เราทำไว้ จงจัดการก่อสร้างการทำบุญ การทำคุณงามความดีให้สืบต่อกันไป เวลานี้อาการป่วยทำให้สังขารทรุดหนักทวีขึ้นทุกวัน และมันจะต้องแตกดับอย่างแน่นอน
ขอท่านทั้งหลายจงจำคำเตือนใส่ใจเอาไว้ ประพฤติปฏิบัติธรรมให้เกิดความเจริญและความสุขทั้งแก่ตัวเองและแก่เพื่อนร่วมโลกสืบต่อไป"
ขณะเดียวกันข่าวการอาพาธของท่านพระครูบาเจ้า ได้กระจายไปทั่วทุกมุมเมือง ข่าวนี้รู้ไปถึงเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน และข้าหลวงประจำจังหวัด ตลอดถึงชาวลำพูนทั้งหลาย ต่างก็ได้พร้อมกันประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะทำประการใดดี เพราะต่างก็ห่วงใยในอาการป่วยของท่านพระครูบาเจ้า
ในการปรึกษาหารือครั้งนั้น ท่านเจ้าคุณวิมลญาณ เจ้าคณะจังหวัดลำพูน และบรรดาคณะสงฆ์ทั้งหลายพร้อมด้วยเจ้าจักรคำและทุกคนในที่นั้น มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่ควรทอดทิ้งให้ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัยให้การรักษาตัวที่วัดบ้านปาง เพราะอาจจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต และคณะสงฆ์ยินดีจะไปอาราธนาพระครูบาเจ้าศรีวิชัยจากวัดบ้านปาง
เมื่อปรึกษาหารือเป็นที่ตกลงกันแล้ว เจ้าคุณวิมลญาณ จึงได้ให้รวบรวมขบวนรถและรีบเดินทางออกจากจังหวัดลำพูนโดยรีบด่วน เมื่อถึงวัดบ้านปาง จึงอาราธนานิมนต์ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัยเดินทางไปรักษาตัวที่จังหวัดลำพูน ท่านพระครูบาเจ้าท่านรู้ตัวดีว่าการรักษาคงไม่ได้ประโยชน์อะไรนัก แต่เมื่อเห็นเจตนาดีมีคณะสงฆ์และคนมากันจำนวนมากด้วยความหวังดี ท่านจึงตกลงรับคำ
ดังนั้นในวันแรม ๕ ค่ำ พุทธศักราช ๒๔๘๑ ขบวนอันยาวเหยียดก็เดินทางออกจากวัดบ้านปาง อำเภอลี้ ได้พักแรมไประหว่างทางค่อยๆ ไป ใช้เวลา ๕ วัน จึงถึงตัวเมืองลำพูน จึงได้รับการอาราธนานิมนต์พำนักรักษาตัวที่วัดจามเทวี มีทั้งหมอไทย หมอจีน หมอแขก หมอฝรั่ง ต่างก็ช่วยกันเยียวยารักษาอย่างดีที่สุด อาการก็ไม่ได้ดีขึ้น
ณ วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน การรักษาพยาบาลได้เป็นไปอย่างดีที่สุด แต่อาการของท่านมีแต่ทรุดกับทรง ไม่มีทีท่าว่าทุเลาลง ดังนั้นในวันแรม ๕ ค่ำ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๑ ท่านได้ขอร้องให้นำท่านกลับสู่วัดบ้านปาง บรรดาสานุศิษย์ได้ปฏิบัติตามโดยอาราธนานิมนต์ท่านขึ้นรถ เพื่อออกเดินทางท่ามกลางบรรดาผู้มีจิตศรัทธาตามส่งอย่างคับคั่ง
เมื่อถึงวัดบ้านปาง ท่านพักรักษาตัวอยู่ที่กุฏิในวัดบ้านปาง จนถึงวันแรม ๖ ค่ำ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๑ อาการป่วยของท่านหนักลง จนไม่สามารถจะพลิกตัวได้ โรคริดสีดวงทวารของท่านพระครูบาเจ้าเป็นรูทะลุถึง ๓ รู น้ำเหลืองไหลซึมอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ท่านผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกหมดเรี่ยวแรง แต่ท่านก็ยังมีสติเป็นเยี่ยม ท่านได้มีรับสั่งให้สานุศิษย์นำเสลี่ยงมาหามท่าน นำท่านไปชมรอบบริเวณวัดแล้วออกไปนอกกำแพง
โดยก่อนหน้านั้น ท่านได้สั่งให้ปลูกกุฏิมุงด้วยหญ้าคาอยู่นอกเขตกำแพงวัด เมื่อขึ้นกุฏิแล้ว ท่านก็ให้เอาคนโทหลั่งน้ำ ประกาศต่อสานุศิษย์ว่า ขอมอบวัดวาอารามทั้งหมดนี้ให้อยู่ในความปกครองของสงฆ์สืบต่อไป ท่านพระครูบาเจ้ายังมีรับสั่งให้นายช่างชาวจีน ช่างประจำตัวของท่าน ชื่อนายช่างหลิ่ม ให้สร้างโลงศพและปราสาท ๕ ยอด นายช่างหนานสิระสา เป็นผู้ประดับดอกรดน้ำลายทองรอบโลงและปราสาท ๕ ยอด อย่างวิจิตรสวยงาม
และพระครูบาเจ้าท่านเคยพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บของท่านว่า "เราเป็นโรคกรรมแต่อดีตมาตามทัน คือเมื่ออดีตชาติเราก็เคยเป็นพระได้ถือไม้เท้าปลายแหลม ๓ ง่าม ได้ไปแทงใส่ก้นกบตัวหนึ่งเข้า กบได้รับเวทนาจึงเป็นเวรแก่กัน เวทนาของเราเดี๋ยวนี้คงไม่ต่างอะไรกันกับกบตัวนั้น ถึงอย่างไรเราก็ปลงตกแล้ว ไม่ให้เป็นเวรเป็นภัยแก่กันอีกต่อไป เราหวังให้สิ้นภพสิ้นชาติ ขอให้เป็นพระโปรดโลกองค์หนึ่งในวันข้างหน้า เราจะละสังขารไปในเดือนนี้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายจงดูความวิปริตของท้องฟ้าไว้เป็นสัญญาณเถิด"
และท่านยังย้ำอีกว่า "หากเรามรณภาพแล้ว อย่าเอาซากศพของเราไว้ในเขตวัดเป็นอันขาด เพราะเป็นเขตของพระรัตนตรัย อย่าเอาซากศพอันเป็นของปฏิกูลไปตั้งวางยังสถานที่อันสูงส่งและบริสุทธิ์ และอย่าเอาศพของเราไว้ด้านทิศตะวันตกของวัด"
คืนวันแรม ๒ ค่ำ ดวงจันทร์มีเพียงเสี้ยวประดับฟ้ากลับดูลางเลือน ท้องฟ้าเหมือนมีพยัพเมฆมาบดบังดูมืดทะมึน อะไรกันนั่น! ท้องฟ้าที่เคยมีดวงดาวประดับกลับมืดทะมึน มองดูก้อนเมฆคล้ายอสูรร้ายมาจับกุมอย่างหนาแน่น ทุกคนที่มองดูท้องฟ้าในคืนวันนั้นด้วยความรู้สึกสะท้าน จริงหรือ? ที่ท่านพระครูบาเจ้าว่า จงดูความวิปริตของท้องฟ้าเป็นสัญญาณ อนิจจา!! มันถึงแล้วหรือนี้!
ความเงียบได้ครอบงำบ้านปางทุกหัวระแหง แมลงและสัตว์ที่หากินกลางคืนสงบเงียบไม่มีการส่งเสียง คล้ายกับมันกำลังสงบนิ่งไว้อาลัยอย่างสุดเศร้า ในกุฏิน้อยที่มุงด้วยหญ้าคาของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัยนั้นเล่า ร่างของท่านนอนเหยียดยาว ดวงตาหลับสนิท แต่ท่านก็ประคองสติให้ตั้งมั่นอยู่ในพุทธานุสติมิได้ขาด เสียงของท่านพูดออกมาอย่างอิดโรยและแผ่วเบาว่า
"ขอให้ธุเจ้าเอาธรรมมาเทศนาให้ฟังด้วย เราอยากฟังพุทธโอวาทเป็นครั้งสุดท้าย" ธรรมที่บรรดาสานุศิษย์นำมาเทศน์ทั้งหมด ๔ ผูก คือ
๑. ธรรมมังคละสูตร
๒. ธรรมโลกวุฒิ
๓. ธรรมบารมี
๔. ธรรมจักร
ขณะที่ท่านข่มโรคาพาธสงบจิตฟังธรรมเทศนาอยู่นั้น ท่านมักจะถามด้วยเสียงแหบแห้งแทบจะไม่ได้ยินว่า "ถึงเวลา ๑๒ โมงหรือยัง" ถามเช่นนี้เป็นระยะๆ นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงถอนหายใจและสะอึก อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงเวทนาอันแรงกล้าที่กำลังคุกคามตัวท่าน ถูกความอดทนคือขันติเข้าข่ม เป็นอาการถอนหายใจ พอท่านถามอีกครั้งได้รับคำตอบว่าใกล้เที่ยงคืนแล้ว ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัยจึงโบกมือให้หยุดอ่านธรรมเทศนาผูกที่ ๔ ลง (พระครูบาตา เป็นผู้เทศนา) ซึ่งอ่านไปได้ครึ่งผูก
แล้วท่านพระครูบาเจ้าได้สำรวมจิตตั้งมั่นอยู่ในฌานสมาบัติ ร่างของท่านก็ได้นิ่งไม่ไหวติง มีแต่ลมหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบา และขาดหว้งเป็นระยะๆ ในที่สุดลมปราณก็ขาดออกจากร่างของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญอมตะแห่งล้านนาไทย ในเวลาเที่ยงคืน ๕ นาที ๓๐ วินาที ตรงกับวันอังคารที่ ๒๑ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๑ ปีขาล รวมสิริอายุ ๖๐ ปี ๘ เดือน ๑๐ วัน (ปรกติท่านพระครูบาเจ้าจะนอนหันหัวไปทางทิศใต้ คืนวันมรณภาพก็หันหัวไปทางทิศใต้)
ขณะที่ท่านพระครูบาเจ้าดับขันธ์ นายวังเงิน สุนัลหงษ์ นายน้อยแก้ว พลเมฆ เป็นผู้ตีปาน (กังสดาล) ตามธรรมเนียมนิยมถือว่าเป็นการบอกทิศทาง พอบรรดาศิษย์ทั้งหลายตั้งสติได้ ซึ่งมีพระทองสุข ซึ่งเป็นพระผู้อุปัฏฐาก ได้เอาน้ำผึ้งกรอกปากศพของท่านพระครูบาเจ้า เพื่อกันไม่ให้ศพเน่าเหม็น
พอรุ่งขึ้นก็นำร่างของท่านออกมาชำระน้ำขมิ้นส้มป่อยน้ำอบน้ำหอม เอาศพของท่านนอนไว้ ๗ วัน ๗ คืน เพื่อให้สานุศิษย์ได้เห็นและทำการถวายสักการะ จึงได้บรรจุในโลงรดน้ำลายทอง ที่ท่านสั่งให้สร้างเตรียมไว้แล้ว (เป็นที่น่าแปลก ศพของท่านพระครูบาเจ้าเก็บไว้ตั้ง ๗ วัน แต่ศพของท่านไม่มีการเปลี่ยนแปลง)
โดยการนำของตาปะขาวปี ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสได้สั่งให้นายช่างหนานหมวกสร้างเมรุปราสาทด้านทิศตะวันตก แล้วตาปะขาวปีได้นำคนแผ้วถางทางรอบวัด ที่จะนำศพของท่านพระครูบาเจ้าจากด้านตะวันออกที่ท่านนอนมรณภาพ ไปสู่ทิศตะวันตกของวัด
บรรดาสานุศิษย์ได้อาราธนาศพของท่านพระครูบาเจ้า ขึ้นสู่ปราสาท ๕ ยอด ที่เตรียมไว้ในเมรุที่สร้างขึ้นใหม่ในวันจันทร์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ (เหนือ) พุทธศักราช ๒๔๘๒ พระศพของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านปาง ๒ ปี
เมื่อข่าวการมรณภาพของพระครูบาเจ้า ทราบถึงสำนักพระราชวัง จึงได้กราบบังคมทูลขอพระราชเพลิงศพจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์จึงได้มีพระราชโองการรับสั่งให้ช่างหลวงจัดเตรียมสร้างโกศบรรจุศพพร้อมพระราชทานเพลิง
พอเรื่องจากสำนักพระราชวังทราบมาถึงเจ้าวรทัต ณ ลำพูน (ราชบุตรของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย) ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น จึงได้ร่วมกับชาวเมืองลำพูนคิดกันว่า จะต้องอัญเชิญอาราธนาศพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย มาประกอบพิธีพระราชทานเพลิงที่วัดจามเทวี เมืองลำพูน ซึ่งเป็นวัดที่ท่านสร้างเป็นวัดสุดท้าย เพราะวัดบ้านปางอยู่ที่ไกลกันดาร ถนนหนทางก็ไม่สะดวกโดยประการทั้งปวง
พอทางเชียงใหม่รู้ข่าวว่าทางลำพูนจะอาราธนาศพของท่านพระครูบาเจ้าประกอบพิธีพระราชทานเพลิง ก็อยากจะได้ศพของท่านพระครูบาเจ้าไปประกอบพิธีในจังหวัดของตน จนเกิดการโต้เถียงเกือบจะเกิดการนองเลือด ในที่สุดก็ยอมจำนนต่อชาวลำพูน ที่อ้างเอาอมตะวาจาของท่านพระครูบาเจ้ามายืนยันอย่างแข็งขันว่า
"ตราบใดที่น้ำแม่ปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ ท่านจะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่" นี่น้ำแม่ปิงยังไม่ย้อนไหลกลับ จะเอาศพของท่านไปได้อย่างไร ชาวเชียงใหม่จึงจนด้วยเหตุผล เพราะต่างก็รู้สึกซึ้งในจิตใจว่าท่านพระครูบาเจ้าได้ลั่นวาจาอะไรออกไปแล้วก็เหมือนประกาศิตของเทพเจ้าผู้วิเศษ จึงยอมแพ้ชาวลำพูนด้วยประการนี้
การนำศพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ออกไปจากถิ่นฐานของท่านในครั้งนั้น ไม่มีใครในบ้านปางจะเต็มใจให้ไป แต่ก็เกรงกลัวอำนาจทางฝ่ายบ้านเมือง จึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธและขัดขวางยับยั้งอย่างไรได้ ศพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดจามเทวีนานถึง ๗ ปี จึงได้มีหมายกำหนดการพระราชทานเพลิงขึ้นในวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙
ในปีเดียวกันนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ก็ถูกลอบปลงพระชนม์เสียก่อน ทางสำนักพระราชวังจึงได้เรียนเชิญพลตรี พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชพิธีได้อัญเชิญเพลิงพระราชทาน
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟวังตองแล้ว ข้าราชการและประชาชนจึงได้พร้อมกันไปอัญเชิญเพลิงพระราชทานแห่มาที่วัดจามเทวี ทางฝ่ายคณะสงฆ์ก็ได้อาราธนาพระพิมลธรรม (อาจอาสภะ) วัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาคพายัพ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ศพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัยได้ตั้งบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นงานครั้งยิ่งใหญ่ถึง ๑๕ วัน ๑๕ คืน ประชาชนมากันทั่วสารทิศมากมายเป็นประวัติศาสตร์
เจ้าหน้าที่ฝ่ายพระราชพิธีได้อาราธนาร่างของท่านพระครูบาเจ้ามาประกอบพิธีชำระตามแบบเจ้านายในราชวงศ์ เสร็จแล้วจึงบรรจุลงในโกศและอาราธนาขึ้นไปสู่เมรุปราสาท (ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในปัจจุบัน) เวลา ๑๒.๐๐ น. พลตรี พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ได้อัญเชิญเพลิงพระราชทานมาจุด แล้วพระสงฆ์สมณศักดิ์ สวดหน้าไฟ เป็นเสร็จพระราชพิธี
ต่อจากนั้นถึงเวลาเที่ยงคืนจึงได้จุดพระเพลิงเผาจริงๆ เจ้าหน้าที่ต้องทำงานกันอย่างแข็งขัน แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วก็ตาม มหาชนก็ยังเนืองแน่น เฝ้าดูพระเพลิงเผาร่างนักบุญของเขา ไฟยังไม่ทันมอดสนิทดี ประชาชนต่างแย่งกันดับไฟยื้อแย่งอัฐิธาตุของท่านพระครูบาเจ้ากันอย่างชุลมุน
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็สามารถที่จะรวบรวมได้เป็นส่วนใหญ่ จึงปล่อยให้ประชาชนแย่งกันไปตามเรื่องราว เพราะเขาเหล่านั้นมีความศรัทธาอันแรงกล้า ถึงขนาดขี้เถ้าก็ไม่มีเหลือ สุดแต่พื้นดินตรงที่ร่างนักบุญถูกเผาก็ยังขุดกันเอาไปสักการบูชา
การใช้จ่ายงานพระราชทานเพลิงศพ ของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ที่วัดจามเทวี ๑๕ วัน ๑๕ คืน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงินประมาณ ๗๕,๐๐๐ บาท ปัจจัยทั้งหมดนี้ได้มาจากการบริจาคของศรัทธาประชาชน และได้จากการจำหน่ายเหรียญพระครูบาเจ้ารุ่น ๒๔๘๒
หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพของท่านพระครูบาเจ้าได้ผ่านไปแล้ว ทางฝ่ายคณะกรรมการจัดงานทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์ได้ปรึกษากันเป็นเรื่องใหญ่อีกว่า ควรจะทำประการใดเกี่ยวกับอัฐิธาตุของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงต่างได้ลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่าจะแบ่งเป็น ๖ ส่วน ๕ จังหวัด คือ
ส่วนที่ ๑ มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน บรรจุไว้ที่วัดจามเทวี
ส่วนที่ ๒ มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ บรรจุไว้ที่วัดสวนดอก
ส่วนที่ ๓ มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง บรรจุไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
ส่วนที่ ๔ มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย บรรจุไว้ที่วัดศรีโคมคำ (วัดพระเจ้าตนหลวง หรือวัดทุ่งเอี้ยง จ.พะเยา)
ส่วนที่ ๕ มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ บรรจุไว้ที่วัดพระธาตุช่อแฮ
ส่วนที่ ๖ มอบให้วัดบ้านปาง บรรจุในถิ่นกำเนิด และเป็นสถานที่มรณภาพของท่านพระครูบาเจ้า ซึ่งคณะศรัทธาสาธุชนผู้เคารพเลื่อมใสในแต่ละแห่ง ได้พร้อมกันสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นองค์แทนคุณงามความดีของท่าน เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้เจริญรอยตาม
ส่วนที่วัดบ้านปางก็ได้สร้างสถูปพร้อมด้วยมณฑปปราสาททำด้วยหินอ่อน ณ บริเวณสถานที่ท่านมรณภาพ และได้สร้างเสาศิลาจารึกไว้ ณ สถานที่ท่านกำเนิด พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างพิพิธภัณฑ์ เพื่อเก็บรักษาเครื่องอัฐบริขารและสิ่งของที่ท่านเคยใช้มาก่อนแล้ว
จึงนับได้ว่า วัดบ้านปางเป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งเกี่ยวกับชีวิตของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย ผู้เป็นนักบุญแห่งล้านนาไทย เพราะเป็นวัดที่ท่านเริ่มสร้างเป็นแห่งแรก และยังเป็นสถานที่ท่านดับขันธ์มรณภาพอีกด้วย
ขอดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของท่านพระครูบาเจ้า ซึ่งสถิตอยู่สรวงสวรรค์ชั้นดุสิต โปรดได้หยั่งทราบถึงการเจริญรอยตามบาทวิถีของพระคุณท่าน และขอได้โปรดอนุโมทนาในกุศลเจตนาของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ
-----------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : พระอานันท์ พุทธธัมโม รวบรวมและเรียบเรียง. (๒๕๕๖, ๑๑ มิถุนายน). หนังสือประวัติของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย วัดบ้านปาง ตำบลศรีวิชัย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน, หน้า ๑๗๗-๒๐๔.)