แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ และ ยอดพระคาถาชินปัญชร [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

J.1.jpg


เสด็จพ่อท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ

เจ้าแห่งพิธีการของโลกวิญญาณ

(หัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น ตำแหน่งผู้พิชิตมาร)


พระคาถาบูชา


ชินนะปัญจะระ


k3.1.png



ตอนที่ ๙

พระประวัติท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ


รวบรวมเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๓



ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นบุตรของพราหมณ์ ชื่อ ยะถะนา และบิดาท่านชื่อ มะติโตะ ท่านเป็นชาวอินเดีย แคว้นพาราณสี เกิดในสมัยพุทธกาล ท่านเห็นพระโมคคัลลาน์ ตอนพระโมคคัลลาน์ไปบิณฑบาต เห็นพระโมคคัลลาน์เดินบิณฑบาตอย่างสงบ ท่านก็เกิดความศรัทธา จึงตามไปและขอเป็นลูกศิษย์พระโมคคัลลาน์ด้วย


ต่อมาท่านก็ได้บวช แล้วท่านบำเพ็ญจนสำเร็จขั้นอรหันต์ เมื่ออายุท่านได้เพียง ๗ ขวบ ครั้นพอท่านมีอายุได้ ๒๓ ปี ๖ เดือน ได้มีสตรีกระโดดเข้ากอดท่านทางด้านหลังด้วยความหลงใหลในความงามรูปร่างท่าน ท่านจึงถอดกายทิพย์ออกสู่พรหมโลก

ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นผู้มีลักษณะและคุณลักษณะตามที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อธิบายไว้ในหนังสือ “เบื้องหลังพระคาถาชินปัญชร พร้อมด้วยพระคาถาที่ถูกต้อง” ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักปู่สวรรค์ว่า ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ สมัยมีสังขารเป็นคนรูปงาม เสียงไพเราะเหมือนเสียงนกการะเวก สูง ๑๘๕ เซนติเมตร ผิวขาวละเอียดเหมือนหยก


ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทูตสันติภาพ (คือ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์) แล้ว ท่านมีผิวสวยกว่าอาจารย์สุชาติ ๕ เท่า ใบหน้าของท่านแดงระรื่นเหมือนสีชมพู ผมเกล้าจุก คิ้วโก่งเหมือนคันศร ตางามเหมือนตาเหยี่ยว จมูกโด่งแบบแขก จมูกตรงลงมาไม่มีสัน ปากรูปกระจับ เดินเหมือนพญาราชสีห์ กายของท่านมีแสงเหมือนแสงอาทิตย์ จิตใจท่านงามเหมือนพระจันทร์

ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าระเบียบที่สุด ละเอียดรอบคอบที่สุด สะอาดมากที่สุด และท่านเกลียดสตรีเพศ

ท่านเป็นรูปพรหม คือเป็นพรหมที่มีรูปทิพย์ ขณะนี้ท่านเป็นหัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ท่านเป็นผู้รอบรู้พิธีการต่างๆ ของโลกวิญญาณ ท่านสามารถสวดพระคาถาคลายเวท ซึ่งถ้าท่านสวดคาถานี้ในโลกมนุษย์หรือบนสวรรค์เสียงจะก้องกังวานไปทั่วนรกสวรรค์สามสิบสามชั้น เทพพรหมได้ยินจะสะเทือนจิตออกจากสมาบัติหมด เพื่อรับทราบพิธีการที่ท่านจัดขึ้น


ท่านถือหน้าที่เป็นหน้าที่ ถ้าไม่มีหน้าที่แล้ว ท่านชอบเล่นเหมือนเด็ก ชอบร้องเพลง สมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มีสังขาร ท่านเคยปรากฏรูปร่างให้หลวงพ่อสมเด็จฯ เห็น และช่วยแนะนำหลวงพ่อสมเด็จฯ ในการสร้างพระเครื่องสมเด็จอิทธิเจ ที่ต่อมามีกิตติศัพท์ขลังนั้นด้วย

ตามความเป็นจริงแล้ว ท่าวท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไม่ประสงค์มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ เพราะมนุษย์มีจิตใจสกปรกและไร้ยางอาย แต่เมื่อหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ดิ้นรนลงมาตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ ก็ได้อัญเชิญท่านลงมาช่วยปกป้องมาร และร่วมทำงานโปรดสัตว์ด้วย


ท่านมีเมตตาจึงลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ โดยการช่วยรดน้ำมนต์รักษาโรคมารแทรก (ถูกคุณไสยถูกกระทำต่างๆ) ให้แก่มนุษย์ และช่วยจัดพิธีกรรมต่างๆ ที่เป็นงานใหญ่ๆ ให้ด้วย แม้กระนั้น ท่านก็ยังคงไม่อยากยุ่งกับมนุษย์มากนัก

ดังจะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ท่านลงมาทำงานโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ ท่านจะไม่พูดกับมนุษย์เลย เพราะท่านไม่ต้องการให้มนุษย์ติดท่าน ท่านใช้วิธีเขียนข้อความที่ประสงค์จะกล่าวตามความจำเป็นลงในกระดาษเป็นภาษาไทย แล้วให้เจ้าหน้าที่อ่านข้อความนั้นให้บุคคลที่ท่านประสงค์กล่าวด้วยฟัง และท่านจะติดต่อกับมนุษย์ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ย่อมแสดงความจริงข้อนี้ได้

ท่านได้เขียนโอวาทเหล่านี้สอนสานุศิษย์บางคนที่มาขอให้ท่านรักษาโรคให้ ซึ่งข้อความที่เป็นโอวาทเหล่านี้ ท่านเขียนแทรกอยู่ในการสั่งงานหรือแนะนำเรื่องอื่นๆ ผู้รวบรวมได้ขออนุญาตจากท่านคัดลอกมาเฉพาะเนื้อหาธรรมะเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากธรรมะได้ตัดออกไป นับเป็นการรวมโอวาทของท่านครั้งแรก ตั้งแต่ท่านลงมาทำงานในโลกมนุษย์ นับจำนวนเป็นสิบปีที่ผ่านมานี้ ท่านได้เคยให้เหตุผลในการที่ท่านไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากนักว่า

“การผูกพันกับมนุษย์มากเกินไป มีแต่ทางขาดทุน เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพอ อาศัยพรหมวิหารสี่ จึงไม่หลงมนุษย์ คือมนุษย์จะให้เทพพรหมช่วย แต่มนุษย์ไม่ช่วยตัวเอง”

ตามปกติถ้าท่านไม่ลงมาโปรดสัตว์ยังสำนักปู่สวรรค์แล้ว ชาวโลกมนุษย์ก็จะไม่มีทางรู้จักท่านอย่างแท้จริงได้เลย เพราะท่านเป็นคนสมัยพุทธกาล ไม่มีใครแจ้งประวัติของท่านเอาไว้ เมื่อนามของท่านมาปรากฏในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งที่สำนักปู่สวรรค์นี้ ก็ได้มีมนุษย์บางคนนำนามของท่านไปแอบอ้างในที่อื่นๆ นอกสำนักปู่สวรรค์ ซึ่งท่านก็ได้ปฏิเสธว่า มิได้ไปเกี่ยวข้องเช่นนั้นด้วยเลย ห้ามมิให้มนุษย์ไปหลงเชื่อการหลอกลวงนั้น

หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) เคยเทศน์เล่าที่สำนักปู่สวรรค์ครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๓ ว่า ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระเคยขอเลิกลงมาช่วยเหลือมนุษย์ เพราะระอาต่อความหน้าด้านและความไม่เอาจริงของมนุษย์ โดยท่านปรารภว่า


ท่านปกครองรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ยังไม่วุ่นวายเท่าปกครองมนุษย์เลย แต่อย่างไรก็ตาม หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ก็ได้ขอให้ท่านช่วยสำนักปู่สวรรค์ไปตามสัจจะต่อที่ท่านให้ไว้เองว่า จะช่วยจนกว่าจะถึงอย่างน้อยวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๕ และหลวงปู่ทวดได้เทศน์ชี้แจงด้วยว่า ตอนนี้ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระเลิกลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์แล้วไซร้ องค์หลวงปู่ทวดเองก็คงจะเลิกทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ด้วยอีกองค์หนึ่ง

ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นหัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น บารมีท่านสูงส่ง เทพพรหมทั้งหลายขึ้นไปพบท่านได้โดยยาก จึงมักถือโอกาสเฝ้าท่าน เมื่อตอนที่ท่านลงมายังโลกมนุษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ในแต่ละครั้ง

ท่านเป็นเจ้าพิธีการแห่งโลกวิญญาณและเป็นผู้พิชิตมาร ท่านมีบารมีที่บำเพ็ญมาทำให้พวกภูติผีปีศาจมารร้ายต่างๆ เกรงกลัวท่าน หลวงปู่ทวดเคยเทศน์โปรดที่สำนักปู่สวรรค์พาดพิงถึงท่านครั้งหนึ่งว่า


“ท่านจะสังเกตเห็นว่า อย่างพวกวิญญาณไม่ดี หรือพวกสัมภเวสี พวกอมรมนุษย์ พวกโอปปาติกะชั้นต่ำ เวลาท่านเกิดพบอะไรมารังแก ท่านมาระลึกถึงอาตมา เขาไม่กลัว เขาไม่หนีหรอก แต่ถ้าท่านระลึกถึงท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เขาจะกลัว เขาจะหนี

ซึ่งก็มีตัวอย่างที่ให้ท่านดูเมื่อสองอาทิตย์ก่อน พวกวิญญาณชั้นต่ำมานั่งทะเลาะกันอยู่ข้างล่าง ทั้งๆ ที่อาตมาทำงานอยู่บนนี้ เขาไม่มีความเกรงใจ แต่พอท้าวมหาพรหมลุกขึ้นมาเท่านั้นเอง เขาเงียบกริบกันได้ นั่นเพราะอะไร เพราะบารมีคนเราบำเพ็ญมาต่างกัน”


s2.jpg


ภาพวาดท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
ชาวจีนนับถือท่านว่า “ฮู้ฮ่วบซิ้ง” พรหมผู้พิทักษ์ธรรม


o5.png



นอกจากนี้หลวงปู่ทวดยังได้เทศน์เล่าถึงลักษณะของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไว้ดังนี้ด้วยว่า


“ท่านจะเห็นว่า ถ้าอารมณ์อุเบกขาและเด็ดเดี่ยวแล้ว ก็มีตัวอย่างให้ท่านดู คือ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ คำสั่งท่านสั่งออกไปแล้ว แม้แต่เทวดาที่ท่านขี้จะมากอดขาอ้อนวอนว่า สงสารเด็กของเขาเถิด ท่านยังเฉย อันนี้คือลักษณะของผู้นำพรหมโลก...พรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น มีรูปพรหมเป็นโกฏิๆ มนุษย์ทั้งโลกรวมกันยังไม่เท่ากับพรหมโลก ๑ ชั้น....”


หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี เองก็เคยเทศน์เล่าถึงท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไว้บ้างในบางครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อตอนช่วงปลายปี พ.ศ.๒๕๒๒ ศูนย์ประสานงานสมาคมศาสนาสัมพันธ์ประจำจังหวัดพิจิตร ได้จัดธรรมทัศนาจรพาชาวจังหวัดพิจิตรไปบำเพ็ญกุศลที่อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ขาไปก่อนจะถึงอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาก็ได้แวะเที่ยวชมและนมัสการพระที่วัดโพธิ์แมนคุณาราม ถนนสาธุประดิษฐ์ กรุงเทพมหานครก่อนด้วย

วัดโพธิ์แมนคุณารามนี้ เป็นวัดชาวจีนซึ่งถือพุทธศาสนานิกายมหายาน วัดนี้มีโบสถ์และอาคารต่างๆ สะอาดสวยงามอย่างยิ่ง ตรงประตูทางเข้านี้ มีรูปกษัตริย์นักรบชาวจีนหล่อหรือรูปปั้นไว้ด้วย ๑ องค์ เป็นรูปประทับยืนหันพระพักตร์สวนไปทางพระประธานในโบสถ์ ซึ่งรูปปั้นเช่นนี้จะพบเสมอตามวัดของชาวพุทธนิกายมหายาน อย่างเช่นที่ วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพมหานคร) ก็มี เป็นต้น ซึ่งรูปปั้นหันไปทางหน้าพระประธานในโบสถ์เช่นนี้ จะมีอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นในแต่ละวัด ซึ่งชาวพิจิตรก็ได้ไปชมมา


ครั้นพอถึงอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ชาวพิจิตรกลุ่มนี้ได้มีโอกาสฟังธรรมโอวาทของหลวงพ่อสมเด็จฯ หลวงพ่อสมเด็จฯ จึงได้อธิบายตอนหนึ่งถึงรูปปั้นด้านในประตูหน้าวัดตามที่กล่าวนั้นว่า คือชาติปางหนึ่งของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนั่นเอง


เหตุที่ท่านหันหน้าเข้าหาด้านหน้าพระประธานนั้น ก็เนื่องจากการที่ท่านได้ตั้งสัจจะที่จะปกปักรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้คงอยู่ตลอดไปนั่นเอง ซึ่งความจริงข้อนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระได้ลงมาสั่งงานสานุศิษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ ท่านก็ได้เขียนข้อความพาดพิงถึงประวัติของท่านตอนหนึ่งว่า “ชาวจีนนับถือท่านว่า “ฮู้ฮ่วบซิ้ง พรหมผู้พิทักษ์ธรรม” นั่นเอง


นอกจากนั้นหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ยังได้เทศน์โปรดให้ฟังอีกด้วยว่า


เมื่อสมัยพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ก็ได้ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนี้เอง ที่ได้ช่วยปกป้องคุ้มครองมิให้พวกมารมารบกวนการบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ต่างนับถือท่านจนเป็นนิกายที่สำคัญนิกายหนึ่งทีเดียว นิกายนั้นคือ ที่เรียกว่า “นิกายชินโตโน่” นั่นเอง

Rank: 8Rank: 8

DSC00434.3.jpg



ตอนที่ ๑๐

คุณลักษณะท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ

k3.1.png




ยิ่งใหญ่


เทพพรหมนั้นมีมากมายกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทร แต่มีพรหมที่มีตบะแรง พรหมที่มีอาวุโส มีตำแหน่งในพรหมโลกนั้นมีไม่กี่องค์

ในพรหมโลกมีพระพรหม ๔ องค์ ที่เป็นใหญ่ในพรหมโลก มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับพรหมโลก คือ


๑. ท้าวจตุรพรหม
๒. ท้าวอัปราพรหม
๓. ท้าวมหาพรหมสามวิจิตร
๔. ท้าวมหาพรหมสามภพ


ในสภาพการณ์อย่างพระพรหมชินนะนี้ เป็นผู้พร้อมทุกอย่าง ในสภาวการณ์เขาเรียกว่า เป็นผู้สำเร็จสมัยองค์สมณโคดม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพรหมที่ไม่ขึ้นต่อพรหมโลก เขาเรียกว่า เป็นพรหมเอกเทศในพรหมโลก และมีบารมีแห่งฌานสมาบัติอันแก่กล้า


พรหมองค์นี้ไม่ใช่เป็นพรหมที่จะติดสินบนมนุษย์ ทรงไว้ด้วยความยุติธรรมและเป็นผู้รอบรู้สรรพสิ่ง เรียกว่า เจ้าพิธีการของโลกวิญญาณ เป็นหัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น เป็นพระพรหมรูปงาม ที่เรียกว่าเทวดาผู้หญิงหลง พรหมผู้หญิงที่อยู่ชั้นฝึกไม่ถึงชั้น ๕ พรหมชั้น ๔ ยังติดกาม ก็ยังหลง แต่มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง ผู้ใดถูกแม้แต่เท้าพระพรหมชินนะ ผู้นั้นจะต้องถูกสาปลงมาเกิด เพราะว่าเป็นพระพรหมที่เกลียดสตรีเพศ

พระพรหมองค์นี้ต้องดูจังหวะพูด เพราะว่าเป็นพรหมที่มติสามโลกเอื้อมไปไม่ถึง ท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ เป็นคนมีวินัย รักความสะอาด สงบเสงี่ยม สุขุมคัมภีรภาพ มีความเฉลียวฉลาด

พระพรหมองค์นี้เป็นพรหมผู้ใหญ่ เป็นพระพรหมยิ่งใหญ่ของพรหมโลกที่ขจัดมารได้ทั่วพิภพ...ตอนจะออกรบจะพิชิตมาร หมายความว่า พรหมโลกเกิดเรื่องยุ่งก็ดี เทวโลกเกิดยุ่งก็ดี ยมโลกเกิดยุ่งก็ดี มารโลกเกิดมาหาเรื่องมาก เขาช่วยกันไม่ได้ เขาก็ต้องเชิญองค์พระพรหมชินนะ พระพรหมชินนะจะออกศึกก็มีพาหนะ

pngegg.5.3.1.png



พาหนะ



เท้าขวาเหยียบเต่า เท้าซ้ายเหยียบพญานาค เป็นพาหนะประจำตำแหน่ง พาหนะเหล่านี้เป็นวิญญาณทิพย์ เป็นวิญญาณที่จำศีล เตรียมตัวเกิดเป็นพระสาวกในยุคพระศรีอริยเมตไตรย เต่ามีอายุยืนนานและแข็งแกร่ง เท้าขวาท่านหนักมาก ถ้าเหยียบพญานาครับรองว่าแบน ก็เอาเต่ามารอง เท้าซ้ายไม่ค่อยหนักก็เอาพญานาคเหยียบ

เต่านั้นถือว่าเป็นสัตว์บก พญานาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ เหยียบพญานาคหมายถึงเหยียบสมุทร แสดงว่าทั้งบกทั้งน้ำอยู่ใต้ตีนข้า เวลาท่านประทานน้ำมนต์อาบคนไข้ สองหน่อนี้ก็มาช่วยอยู่


pngegg.5.3.2.png



วรกาย


พระวรกายนั้นมีแสงดั่งพระอาทิตย์ จิตใจงามเหมือนพระจันทร์ คิ้วโก่งเหมือนคันศร นัตย์ตางามและคมเหมือนเหยี่ยว ผิวกายละเอียดเหมือนหยกขาว ผมเกล้าจุกขมวดไว้บนพระเศียร เศียรมีปิ่นเพชร ปิ่นเพชรมีสีทอง

พระพรหมชินนะ ไม่ยอมอธิษฐานแปลงกายแห่งกายทิพย์ของตนให้เป็นแปดกรหน้าสี่กร หรือสี่หน้าแปดกร

การที่พระพรหมมีหลายๆ หน้า เพราะว่าท่านมีหน้าที่ดูแลในการเป็นอยู่ของพรหมโลก และดูแลในการจัดการที่จะมาต้านของเหล่ามาร ที่จะมารังควานในการนั่งสมาธิของพรหม อันนี้อาจจะถามว่า เหตุไฉน พระพรหมชินนะจึงไม่ต้องมีหลายหน้า


เพราะว่า พระพรหมชินนะนั้นมีรังสีแห่งวรกาย ของแก้ว ๗ ชั้นคลุมอยู่ จึงไม่ต้องใช้หน้ามาก เพียงแต่รัศมีแผ่ไป พรหมเขาก็รู้ พวกมารหรือพวกอะไรเขาก็รู้ นี่พรหมองค์นี้มา ก็คือสัญลักษณ์ท้าวมหาพรหมชินนะมา จึงไม่ได้เนรมิตในร่างกายให้ผิดแปลกกว่าเขา

กายนั้นเปล่งรัศมีรอบวรกายเป็นพระอาทิตย์ขาวขึ้น ในภาวการณ์ที่เรียกว่า ถ้าพระพรหมองค์นี้ไปไหน เทวดาเห็นเป็นพระอาทิตย์เคลื่อนที่รัศมี ๕๐๐ เส้น เทพพรหมจะรู้ว่าท้าวมหาพรหมชินนะมา แต่พวกอมรมนุษย์ เทพพวกรุกขเทวดาเหล่านี้ยังไม่รู้จัก เพียงแค่คิดว่า เอ๊ะ พรหมองค์นี้มีรัศมีมากเพียงพอหนอ

pngegg.5.3.3.png



เครื่องแต่งกาย


การแต่งกายของโลกวิญญาณนั้น เสื้อผ้าที่แต่งนั้นเป็นของทิพย์ พอใจก็นุ่งชุดนี้ตลอดกาล ทีนี้การแต่งตัวของท้าวมหาพรหมชินนะ เขาเรียกว่า แต่งแบบครึ่งกึ่งพระกึ่งพรหม คือ ทั้งชุดที่นุ่งนั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เพราะว่ากายเนื้อทิพย์ของพระพรหมชินนะเป็นเนื้อหยกขาว ชุดที่นุ่งนั้นก็เป็นชุดขาวละเอียด พระวรกายเป็นสีที่เรียกว่า ขาวอย่างมีสีนวล เปล่งรัศมีไกลถึง ๕๐๐ เส้น

pngegg.5.3.4.png



คทา


มือขวาถือคทา เรียกว่า “คทาพรหม” เป็นจามจุรีทิพย์ หัวคทามีแสงพุ่งออกมา เป็นรัศมีเป็นรุ้ง ๓ สี


pngegg.5.3.5.png



วิมาน


วิมานท่านอยู่พรหมโลกชั้นที่ ๑๓ วิมานนั้นเนรมิตสร้างขึ้นด้วยแก้วมรกต พื้นวิมานปูด้วยทองคำบริสุทธิ์ รอบในหลังคามุงด้วยเพชร บรรทมด้วยสิงห์ ไม่มีคนใช้ ไม่มีบริวาร ส่วนมากอยู่เอกเทศเพียงองค์เดียว ไม่ชอบพูดกับใคร ไม่มีใครกล้าเหยียบวิมานโดยพลการ

พรหมเอกเทศ หมายความว่า ไม่ขึ้นกับพรหมโลก จะอยู่ในพรหมโลกก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้ แล้วแต่ความพอใจ วิมานมีหลายแห่ง

pngegg.5.3.6.png



ลัทธิชินโตโนะ


ในประเทศญี่ปุ่นนับถือท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระมาก เขานับถือเป็นพระอรหันต์ในตำราของเขา แล้วชินนะปัญจะระศีเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะฉะนั้น ในญี่ปุ่นเขานับถือท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระมาก แต่เขาเรียกเป็น “ชินโตโนะ” หรือ ศาสนาชินโตโนะ


คือ บูชาพระอาทิตย์ ที่เขาบูชาพระอาทิตย์ เพราะว่าท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระก่อนจะปรากฏร่าง จะต้องเป็นแสงอาทิตย์ต่างๆ เข้ามาก่อน แล้วจึงปรากฏร่างในกลางแสงอาทิตย์ เรียกว่า รัศมีพุ่งเป็นรุ้ง ฉะนั้นในญี่ปุ่น เขานับถือเป็นลัทธิหนึ่ง คือ ลัทธิชินโตโนะ

pngegg.5.3.7.png



ผู้พิชิตมารทั่วพิภพ


ท้าวมหาพรหมชินนะ ท่านเป็นพระพรหมที่มีฤทธิ์เดช ที่เรียกว่า พญามารหรือมารทั้งหลายกลัว ในด้านของมารโลก โลกของมารของพวกวิญญาณ ดังนั้นก็เรียกว่า ท่านมีรูปของท้าวมหาพรหมชินนะอยู่ในบ้าน  ก็คือว่าอุปสรรคในการกลั่นแกล้งของวิญญาณ พวกที่เรียกว่า รุกขเทวดาก็ดี พวกอมรมนุษย์ก็ดี พวกผีเปรต อสุรกายก็ดี คิดว่าไม่กล้าย่างกรายไป

คนเราเก่งย่อมมีเก่งกว่าเรา แม้แต่เทพพรหมถ้าพูดในภาวการณ์ทั้งหลายแล้วไซร้ ดั่งเช่นท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ผู้พิชิตมารทั่วพิภพ ยังเป็นพระพรหมที่เต็มไปด้วยมหาเมตตาที่จะช่วยมนุษย์ แต่ไม่เคยทะนงตนเลยว่า ตนนั้นแลเป็นผู้ที่วิญญาณทั้งสามแดนโลกเกรงขาม


ถ้าท่านเดินไปในที่เปลี่ยว เดินไปในที่ป่าช้า เกิดความกลัวของท่าน จงท่อง “ชินนะปัญจะระ” ผีจะไม่เข้าใกล้ท่าน เพราะว่านามแห่งท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนี้ เป็นพรหมเอกเทศ เป็นพรหมที่เรียกว่า บำเพ็ญในด้านฤทธิ์เดชมาโดยตรงสำหรับปราบมาร เขาเรียกว่า ขจัดคนชั่ว อภิบาลคนดี

สิ่งเหล่านี้ท่านทั้งหลาย ท่านจะเห็นว่า ท้าวมหาพรหมยังไม่ใช้พลังฤทธิ์เดช ทำลายวิญญาณทั้งหลายที่มาแฝงในร่างมนุษย์ ถ้าพระพรหมชินนะจะใช้พลังแห่งฤทธิ์เดชแล้ว ไม่ต้องใช้ขนาดหนักหรอก เพียงแต่เอาไม้คทาตีก็ตายแล้ว แต่ว่าด้วยความเมตตาก็มาทรมานให้รู้ว่า เมื่อท่านได้มาทำลายมนุษย์เช่นนี้ ท่านรู้สึกทรมานอย่างไร เมื่อถูกเราทรมานกลับบ้าง

ท้าวมหาพรหมชินนะไม่กล้าใช้พลังอย่างเด็ดขาดนั้น (ขณะอาบน้ำมนต์รักษาโรค) เพราะกลัวร่างมนุษย์วิญญาณมนุษย์จะต้านทานไม่ไหว ก็จะกลายเป็นโทษ จึงใช้พลังค่อยๆ ตีกลับ จนกว่าวาระบุคคลผู้นั้นจะต้องสิ้นกรรมที่เขาสร้าง ท่านอย่าลืม ศีลธรรม มนุษยธรรม กุศลจิต ย่อมที่จะเหนือเหล่ามิจฉาทิฐิ เหล่าอัตตา หรือว่าเหล่าเดรัจฉานวิชา


เพราะฉะนั้น คำสาปของผู้ไม่มีศีลย่อมไม่เหนือบารมีพรหมที่ทรงไว้ด้วยพรหมวิหาร ๔...พระพรหมชินนะนี่ ถ้าเหยียบบ้านใครแล้ว บ้านนั้นก็สบาย

pngegg.5.3.8.png



การเข้าเฝ้า


ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระอยู่บนพรหมโลก ผู้ที่จะเข้าเฝ้า ไม่ใช่จะเข้าเฝ้าง่ายๆ ถ้าเฝ้าในหลักกายทิพย์จิตวิญญาณ ถือเป็นพระพรหมอาวุโส เวลาอยู่ในพรหมโลกนี่ใหญ่มาก เทวดาอื่นชิดซ้าย ไม่มีใครเจอ

เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องหาวิธีการว่า เมื่อท้าวมหาพรหมผู้นี้ลงมาช่วยในโลกมนุษย์ ก็มาในสภาวะของกายเนื้อ โดยอาศัยร่างมนุษย์บางคน จึงได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด

เมื่อเขาอยู่ในด้านกายทิพย์จิตวิญญาณแล้ว พลังที่ท้าวมหาพรหมท่านมีอยู่ในรอบกายทิพย์เคลื่อนไหวเหมือนพระอาทิตย์นั้น เขาไม่สามารถที่จะเข้าใกล้รัศมีที่แตกต่างออกมา

เพราฉะนั้น การเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ถ้าจะเปรียบเทียบแบบนักวิทยาศาสตร์ก็คล้ายๆ ว่า แสงที่จ้าถูกผ้ากำมะหยี่ผืนน้อยๆ บัง แล้วแสงที่จ้ากลายเป็นแสงนวล เพราะฉะนั้นถือว่าได้ผ่านในการกรองแสง คือ เฝ้าในกายเนื้อของมนุษย์ได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด

pngegg.5.3.9.png



การรดน้ำมนต์


การรดน้ำมนต์ ต้องเข้าใจว่าท้าวมหาพรหมใช้พลังของท่านเข้าไปช็อต พูดแบบภาษาไฟฟ้า...การที่ท้าวมหาพรหมชินนะต้องทำเช่นนั้น เพราะต้องการให้วิญญาณรู้ว่า การที่มาเบียดเบียนเขานี่ เขาเจ็บปวดขนาดไหน ก็เสมือนหนึ่งที่ท่านถูกเราใช้พลัง ทำให้ท่านเจ็บปวดอย่างนี้


เพราะฉะนั้นควรจะกลับไปเสีย เป็นวิธีการสอนไปในตัว ไม่ใช่ไปทำลายอะไร คนไม่รู้นึกว่าท่านทำลาย ท่านไม่เคยทำร้ายวิญญาณ นอกจากวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณที่เลวจริงๆ ถึงจะจัดการ ส่วนมากท่านจะให้ไปบำเพ็ญ หรือไม่ก็ไปเกิด วิธีการของมหาพรหมที่มีเมตตา ก็คล้ายๆ ถูกไฟฟ้าจี้ ก็ต้องดิ้นเป็นธรรมดา

อาตมาก็ได้เทศน์ไว้แล้วว่า จะทำประวัติท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ถ้าท่านเอาประวัติศาสตร์ในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านจะเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าพระพรหมชินนะสำเร็จจิตแห่งอารมณ์เข้าซึ้งถึงอรหันต์ของกระแสอาสวฌาน เมื่ออายุ ๗ ขวบ และเป็นลูกศิษย์พระโมคคัลลาน์ใน ๕๐๐ คน


ท้าวมหาพรหมชินนะคือหนึ่งในห้าร้อยอรหันต์ของพระโมคคัลลาน์ และเป็นพระสงฆ์บวชสมัยพุทธกาล สมัยพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมมีสังขาร และเป็นผู้ที่ชอบฝึกในด้านฤทธิ์ตั้งแต่สมัยสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พวกที่ศึกษาพระไตรปิฎกคงจะได้ยิน มีชื่อว่า “อรหันต์ชินนะตะ”

เมื่ออายุ ๒๓ ปี กับ ๖ เดือน บังเอิญบุพเพสันนิวาสแห่งกรรมของอดีต ได้มีสตรีหนึ่งมาหลงรักและกระโดดเข้ากอดท่านทางด้านหลัง ด้วยความหลงใหลในความงามของรูปร่างท่าน ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระด้วยการรักษาพรหมจรรย์ จึงถอดกายทิพย์ออกสู่พรหมโลก ทิ้งร่างที่กรุงสาวัตถี

ในกฎของโลกวิญญาณถือว่าท่านนี้ไม่ใช่ผู้เก่งกาจ ตายก่อนอายุขัย จึงไม่ได้เข้าแดนอรหันต์ ก็อยู่ในรูปพรหมและได้เริ่มบำเพ็ญในด้านอำนาจฤทธิ์เดชเหนือพลังทั้งหลายขึ้นในพรหมโลก จนสามารถพิชิตมารทั้งหลายได้ และเป็นพระพรหมเอกเทศที่ไม่ขึ้นกับโลกวิญญาณ

พระพรหมชินนะไม่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะพระพรหมชินนะไม่ปรารถนาสู่การเป็นพระอนาคา อนาคามี หรือว่าเป็นอรหันต์สำเร็จในโลกวิญญาณ ปรารถนาการเป็นพรหมที่บำเพ็ญฤทธิ์เดชเพื่อปราบมาร

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ




พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ

= วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔ =



   คำขวัญในการทำงาน


ยามศึกต้องการผู้กล้าหาญ

ยามปรึกษาไม่ต้องการคนพูดพล่าม

ยามทำงานต้องการผู้มีปัญญา

ถ้าท่านปรับตัวเข้ากับหลักนี้ได้ ก็จงมา

ถ้าปรับไม่ได้จงหลีกไป


                                       ชินนะ


pngegg.5.3.1.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ

= วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๕ =



เรื่องการทำงานโปรดอย่าชาตินิยมจัด

อย่าลืมว่าขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม

ชมพูทวีปที่ฉันสำเร็จ ยังเป็นเมืองขึ้นเขาได้


pngegg.5.3.5.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๙ =



มนุษย์ที่ชอบพูดมาก  ชอบคิดอกุศลต่อคนอื่น

ชอบนั่งนินทา  เขาย่อมจะมีพลังจิตที่ดีไม่ได้

ถ้ามนุษย์มีพลังจิตที่เข้มแข็ง  ต้องรู้จักประมาณตน

ต้องรู้หน้าที่ขอบเขตที่ตนมีอยู่  เรื่องในไม่ออก เรื่องนอกไม่เข้า

ต้องรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำด้วย


pngegg.5.3.8.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ =



ถ้าจะทำงานใหญ่ ยังมีพวกมนุษย์ที่จิตไม่ถึงธรรม

โดยเฉพาะสตรีงาม ย่อมที่จะถึงการพินาศ

*****

ท่านรู้จักคำว่าหน้าที่ขอบเขตความรับผิดชอบ ฐานะไหม

*****

ขอให้ท่านปรับปรุงความคิด ปรับปรุงการทำงาน

ตั้งแต่บัดนี้ให้ปากกับใจมันตรงกันก่อน แล้วจึงมาคุย


pngegg.5.3.7.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๙ =



ได้มาบูชาเราสักการะเราแล้ว ก็กล่าวคำขอขมานั้นด้วย เราก็รับทราบรับฟัง แต่ว่าเราไม่สะทกสะท้านต่อ เพราะการเป็นมนุษย์ จิตใจมนุษย์เปลี่ยนทุกนาที อารมณ์คล้อยตามอายตนะ วันนี้ท่านก็ขอขมา เมื่อวานนี้ท่านก็ขอขมา ท่านก็ขอขมาหลายครั้งแล้ว แต่สันดานพวกท่านไม่เปลี่ยนสักที


เพียงพิธีการชั่วอารมณ์หนึ่งและชั่วอายตนะที่ท่านคิดสบายใจก็เข้ามาขอขมา ถ้าท่านเกิดไม่สบายใจท่านก็ด่าเรา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่คล้อยตามโวหาร และอารมณ์ของท่านทั้งหลาย เราไม่เหมือนเทพพรหมองค์อื่น

แต่สิ่งที่การเป็นมนุษย์นั้น ต้องเข้าใจว่าชีวิตนั้นแสนสั้นหนอ ท่านจะทำยังไงจึงเป็นมนุษย์ที่ดี ท่านจะทำยังไงให้จิตของท่านมีความมั่น และอย่าวิจิกิจฉาในใจ โดยเฉพาะการร่วมทำงานศาสนานั้น เป็นงานที่ยาก ข้อสำคัญคือ ท่านต้องรู้จักตัวท่าน ต้องประมาณตัวท่าน ต้องรู้วาสนาท่าน ต้องรู้ความสามารถ


pngegg.5.3.6.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๙ =



คำขอขมาจากพวกท่าน  และคำว่าตัดสินใจเด็ดขาด

ทุกอย่างเรียบร้อย  เราฟังแล้วรู้สึกเฉยเสียแล้ว

*****

ผู้รู้เขาจะทำก่อนพูด
ผู้มีความสามารถจะไม่อวดตัว

*****

การทำงานใหญ่ไม่มีแผนที่ดีและเด็ดเดี่ยว
ย่อมได้งานที่เลว


pngegg.5.3.9.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ =



คนเราทะนงตนว่าเป็นศิลปิน
ชีวิตก็ไม่พ้นการเจ็บตาย


pngegg.5.10.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐ =



ท่านก็ได้มาละทิฐิในการบูชาอีกวาระหนึ่งและนำดอกไม้ธูปเทียนมาสักการะ และขอขมาแบบการปฏิบัติระหว่างครูกับศิษย์ ซึ่งสำนักปู่สวรรค์ก็ตั้งในโลกมนุษย์ ท่านจึงมีโอกาสมาสักการะและขอขมาเรา ปีที่แล้วก็ขอขมา ปีนี้ท่านก็ขอขมาเสร็จก็คงจะลืมกันอีก แน่นอนเราก็ไม่ถือท่าน เพราะว่ามันเป็นสิ่งธรรมดาของมนุษย์ แต่ฟังแล้วรำคาญ วันนี้ท่านศรัทธาเราก็ขอขมา พรุ่งนี้ท่านไม่ศรัทธาเรา ท่านก็อาจจะด่าเรา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราเฉยๆ

ถึงอย่างไรก็ดี เป็นการแสดงออกของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม และเป็นพิธีการอันหนึ่งที่เรียกว่า ทำให้ท่านทั้งหลายได้มาพบปะสังสรรค์กันในที่นี้ เพื่อปรับทุกข์ และให้เกิดสุขขึ้นตามอารมณ์ของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจสำหรับมนุษย์ที่จะต้องการมีความสุข แต่ภาวะแห่งความสุขอันแท้จริงนั้น อยู่ที่การปฏิบัติของจิตวิญญาณของท่าน


จิตวิญญาณของท่านปฏิบัติในทางที่ดี ท่านก็ได้สุข จิตวิญญาณท่านปฏิบัติในทางที่ชั่ว ท่านก็ได้ทุกข์ และทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดความสุขหรือความทุกข์ อยู่ที่การกระทำของท่านเอง ไม่ใช่อยู่ที่ท่านมาขอขมาเรา แล้วท่านก็มีสุข ท่านมาขอพรเรา แล้วท่านก็จะมีสุข ต้องอยู่ที่ท่านเป็นคนเริ่มต้นก่อน

การที่โลกทุกวันนี้ไม่สงบ ไม่มีสุข เพราะมนุษย์ตกอยู่ในห้วงกิเลสตัณหา ที่ยึดมั่นสำคัญตน ตกอยู่ในภาวะที่ไม่มาจับความผิดของตัว เที่ยวจับความผิดของคนอื่น และเที่ยวกล่าวร้ายป้ายสีซึ่งกันและกัน โลกจึงเกิดความวุ่นวาย

9.1.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐ =



การทำงานนั้นย่อมมีมาร เป็นสิ่งธรรมดาของโลกมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว แต่มารเขาก็ย่อมมีเหตุผลของมาร การงานที่จะสำเร็จอยู่ที่สัจจะและการกระทำ มิใช่อยู่ที่พูด ท่านจะทำงานศาสนา ท่านต้องมีสติและคอยจับผิดตัวเอง ไม่กลัวคำครหานินทา ไม่ยินดีในคำสรรเสริญ เด็ดเดี่ยว มั่นคง จดจ่อ สัจจะก็สำเร็จได้

9.2.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๐ =



การถือศีลไม่พูดเป็นสิ่งที่ดี  โลกนี้จะได้กว้างขึ้น
แต่ถ้าไม่พูด  มโนกรรมเป็นสิ่งสำคัญ ควรระวังยิ่ง


9.3.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๑ =



พระที่ปฏิบัติย่อมไม่ติดในสิ่งของ
*****


  ความจริงของโลกมีอยู่ว่า
  การทำงานคือบำเพ็ญทุกขบารมี

ผู้ทำงานมักไม่มีเวลาพูด

ผู้มีเวลาพูดมักไม่มีเวลาทำงาน


p1.5.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ =



จงจำเอาไว้ว่า
ศัตรูของนักบวชก็คือสตรี
ในโลกนี้ สตรีเป็นผู้ให้กำเนิดศาสดาจารย์ของโลก

ขณะเดียวกันสตรีก็คือ
ผู้ทำลายพรหมจรรย์ของนักบวช
และรัฐบุรุษของโลก เอกบุรุษของโลกพินาศเพราะสตรี

p1.6.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ =



วันนี้พวกท่านได้มาจัดพิธีชุมนุมกันในที่นี้ เพื่อเป็นพิธีการแห่งการบูชาครูในความกตัญญู ณ สำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ เสร็จแล้วท่านก็ได้ถวายเทียนชัย ดอกไม้ ธูปเทียน และก็ขอขมาแบบปีที่แล้วน่ารำคาญ เป็นเรื่องของมารยาทหรือเรื่องของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ขอขมากันไปแล้วก็เลิกกันไป

ไม่เหมือนเทพพรหม เขาไม่ต้องมาทำพิธีขอขมากันทุกปี เขาทำอะไรลงไปแล้ว เขาจะมีความจำ ความมั่น ความจริง และความจดจ่อ พวกท่านก็มีการขอขมา แล้วเราก็บอกให้อภัย ท่านก็ดีใจ แต่พอไปถึงบ้านก็ลืมกันไป และเป็นเรื่องที่แปลกดีของมนุษย์ มันต้องเวียนว่ายตายเกิดตามกฎของกรรม เรียกว่า สังสารวัฏ

ปีที่แล้วก็พูดอย่างนี้ ปีนี้เราก็ได้ฟังอย่างนี้ เราก็รู้สึกเฉยๆ และรำคาญจริง อันความจริงพวกท่านมีเพชรอยู่ในมือ แต่ท่านก็ไม่รู้จักเพชร พวกท่านอยู่ใกล้ธรรมะ ท่านก็ยังไม่ถึงธรรมะ พวกท่านอยู่ใกล้เรา ท่านก็ยังไม่ถึงเรา เราชอบความจริงจัง เด็ดเดี่ยว จดจ่อ ไม่รู้ลืม ไม่ใช่ไม่จริงจัง ไม่จดจ่อ และก็พูดเป็นโวหาร แค่นี้แล้วก็เลิกกันไป

ถึงอย่างไรก็ดี ก็ยังเป็นพิธีการหนึ่งของโลกมนุษย์ และก็เป็นฉากหนึ่งของโลกมนุษย์ที่ท่านได้มาแสดงให้มนุษย์และเทวดาดูกัน เราก็บ้ากับท่านต่อไป ก็แสดงกันไปให้มนุษย์และเทวดาดูเหมือนกัน และเสร็จแล้ว เราขอพูดล่วงหน้า ประเดี๋ยวพิธีเสร็จกลับ เรากลับ พวกท่านก็กลับ เด็กที่อยู่ในนี้ก็จงเหนื่อยต่อไป และมันเป็นเรื่องคิดที่สนุกมันก็สนุกทุกปี

ครั้งหนึ่งท่านกับเราก็มาแสดงกันอย่างนี้ปีหนึ่ง เสร็จแล้วท่านก็กลับบ้าน และก็ปล่อยสิ่งที่เลอะเทอะสกปรกของมนุษย์ไว้ที่นี้ ให้เด็กทั้งหลายที่อยู่ที่นี้เก็บกวาดกันต่อไป และเราก็มาแสดงกันที่สำนักปู่สวรรค์นี้หลายครั้งแล้ว และเราขอให้ท่านจงตั้งใจว่า ปีนี้เราแสดง ปีหน้าเราไม่รู้จะมีโอกาสมาแสดงกับท่านอีกหรือไม่

p1.1.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๑ =



คติต้องท่องขึ้นใจ
(ประทานแก่สานุศิษย์ที่จะไปศึกษาต่างประเทศ)


๑. เราเดินทางไปเพื่อศึกษาหาความรู้ให้สำเร็จมาประกอบอาชีพ มีเวลาสั้นนัก ต้องใช้เวลาให้มีคุณค่าต่อชีวิตให้มากที่สุด

๒. เราอยู่ต่างแดนไม่ใช่บ้านของเรา โดยเฉพาะเป็นผู้หญิง ขอให้มองทุกคนเป็นศัตรู โดยเฉพาะผู้ชาย

๓. เราเดินทางข้ามแม่น้ำข้ามทะเลไปเพื่อเอาสิ่งที่ดีของเขากลับมา อย่าเอาสิ่งที่เลวกลับมา


p1.2.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๒ =



โบราณเขามีหลักว่า กองทหารที่ดีต้องมีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามคำสั่งแม่ทัพ กองทหารนั้นก็จะรอดและเข้มแข็ง ลูกศิษย์ที่ดี เขาจะต้องคราวะครูบาอาจารย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

สมัยเรามีสังขารชีพอยู่ หน้าหนาวทุกปี อาจารย์โมคคัลลานะให้ออกมายืนตากลมสิบวัน ในขณะนั้นเรายังไม่สำเร็จ ก็คิดว่าอาจารย์อยู่ในใจว่า ช่างไม่มีเหตุผล หารู้ไม่ว่า ท่านฝึกความอดทนให้เรา แต่คนสมัยนี้ จะให้ครูบาอาจารย์คล้อยตามลูกศิษย์ คือเป็นยุคลูกศิษย์จะสั่งสอนอาจารย์กันเสียแล้ว น่าเศร้า


เป็นเณรเป็นพระต้องรู้จักว่า เราเป็นลูกตถาคตต้องช่วยตัวเองได้ เรื่องทางโลกไม่ควรยุ่ง โดยเฉพาะไม่ใช่ไปไหนต้องมีแม่อยู่อย่างกับจะไปเล่นลิเก

ท้องหิวมากให้พยายามนั่งสมาธิ จิตฟุ้งซ่านให้เดินจงกรม

การจะเป็นนักบวชครองเพศสมณะอยู่ได้นั้น ต้องมีคติว่า ตาผู้หญิงคืออสรพิษร้ายที่จะฉกพรหมจรรย์ของเราไป ถ้านักบวชมีคตินี้อยู่ประจำใจก็อยู่ได้ตลอด ถ้าไม่มีคตินี้ ร้อยทั้งร้อยก็ไป เพราะมารยาหญิงห้าร้อยเล่มเกวียนเรียนไม่จบ จำเอาไว้


10.1.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ =



การเป็นลูกตถาคตจะต้องช่วยตัวเองและจะต้องเดินได้
ไม่ใช่จะต้องมีรถจึงจะไปโปรดสัตว์ได้
สมัยพุทธกาลเค้าเดินกันเป็นแคว้นๆ ไม่เห็นตาย

*****


เมื่อท่านทำงานให้โลกวิญญาณด้วยความบริสุทธิ์

เรายังไม่ปล่อยให้ท่านตามกรรม ถ้าไม่เหนือบ่าฝ่าแรง


งานนี้เป็นงานดุลกรรมมนุษยชาติย่อมจะพบมารใหญ่

แม้ว่าเงินไม่พร้อม แต่ถ้าทุกคนทำงานอย่างจริงจัง จดจ่อ บริสุทธิ์

ก็คงจะได้รับความช่วยเหลือจากโลกวิญญาณ

(เรื่องสร้างหอประชุมสันติภาพ)

*****


ท่านโตว่าสตรีเป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย

แต่เราว่าสตรีเป็นผู้ทำลายมากกว่า


10.2.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒ =



การจะอุทิศตนเพื่อส่วนรวมนั้น

จำเป็นต้องมีจิตเด็ดเดี่ยว
และต้องถือว่าอุปสรรคคือยาบำรุงกำลัง
ต้องอดทนและทนอด และรู้เฉพาะหน้าที่ตนรับผิดชอบ
ไม่ต้องพูดมาก ทำผลงานชี้คุณค่าตนเอง


10.3.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๒ =



มนุษย์เราต้องมีหิริโอตตัปปะ
และบุคคลที่จะทำงานถือเมียเป็นใหญ่
ย่อมทำงานใหญ่ไม่ได้

*****


มนุษย์เราถ้ากิเลสตัณหาเข้าครอบงำแล้ว

ยิ่งกว่ามารแทรก


10.4.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๒ =



พยายามระงับจิตด้วยการภาวนาหรือเดินจงกรมให้มาก เพื่อระงับความฟุ้งซ่านของจิต การดำรงชีวิตในโลกมนุษย์ย่อมมีมาร เราอย่าคล้อยตาม การห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นลูกตถาคตนั้น เป็นผู้เหนือกามเหนือเกียรติ มิควรคิดสึกออกไปนุ่งกางเกง

จงพยายามทำจิตอยู่เหนืออารมณ์ อย่าให้อารมณ์เหนือจิตมนุษย์ ตามใจอารมณ์ย่อมไม่มีทางสำเร็จในการงาน

อย่าไปเชื่อพวกที่นุ่งกางเกงว่าดีกว่านุ่งผ้าเหลือง เพราะเขาเหล่านั้นไม่สามารถชนะกามตัณหา จึงพูดเข้าข้างตัวเอง และจะหลอกเราออกไปเป็นพวกนั่นเอง

10.5.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๓ =



ในยุคกลียุคเช่นนี้

การโปรดสัตว์จำเป็นจะต้องอาศัยสติพร้อม

อย่าให้อารมณ์ฟุ้งซ่านครอบ ก็มีทางอยู่ได้

เราต้องวางการเป็นอยู่ของชีวิตประจำวันให้เป็นระเบียบด้วย


10.6.png



พระโอวาทท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
= วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓ =



การบำเพ็ญจิตเป็นสิ่งที่ดี
และหน้าที่ของลูกตถาคตจะต้องถือเป็นวิชาเอก
จิตจะหลุดพ้นจากกิเลสต้องอาศัยขันธ์ที่สมบูรณ์
การสำนึกในบาปเป็นการตั้งตนไม่ประมาท
สิ่งที่จะให้จิตนิ่งต้องไม่มีวจีกรรม
ทางที่ดีคือเดินทางสายกลาง
หมั่นดับกิเลสด้วยการตามทันมัน
ขจัดมาร ขจัดเขา ขจัดเรา ความจริงเกิด

10.7.png



คติท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ

= วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ =



ฝ่ายทำลายเขาถือคติ กัดไม่ปล่อย เราถือคติ สู้ไม่ถอย
ขอให้ท่านเอาจริง ไม่ต้องเกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น พระอยู่กับท่าน
และถือคติว่า ถึงนาทีสุดท้าย ฝ่ายธรรมะจะต้องชนะอธรรม
เพราะพระอยู่กับเรา

ถึงนาทีสุดท้ายแล้ว ฝ่ายอธรรมชนะ
ต้องถือว่าเป็นวิบากกรรมของโลกมนุษย์
จะให้เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ว่า บัดนี้อธรรมชนะธรรมะแล้ว


10.8.png



Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๒

พระโองการท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ



คติประจำใจสำหรับผู้ร่วมทำงานสำนักฯ



๑. การกระทำงานทุกอย่าง เมื่อเราพิจารณาแล้วว่า ไม่ผิดต่อศีลธรรมและมนุษยธรรมของการเป็นมนุษย์ จะต้องดำเนินอย่างเด็ดเดี่ยว

๒. ผู้ร่วมทำงานจะต้องมีหลักแห่งการสามัคคีและจะต้องมีธรรมะประจำใจที่จะต้องปฏิบัติได้คือ มี เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

เมตตา นั้นจะต้องมีกับสรรพสัตว์ทั้งหลายแม้แต่ศัตรู

กรุณา เหมือนกับเมตตา ทางพรหมโลกถือว่าเป็นอันเดียวกัน

มุทิตา ตามหลักของมนุษยโลก จะต้องมีความมุมานะในทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่ดี

อุเบกขา ต้องวางเฉย ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ จิตจะต้องเป็นเอกัคตา ไม่เกรงกลัวต่อคำนินทาและนิ่งเฉยต่อคำสรรเสริญ

๓. ทำก่อนพูด ไม่ใช่พูดก่อนทำ เพราะผู้ปฏิบัติพึงรู้ ปฏิบัติไม่ถึงห้ามพูดเรื่องธรรมะ ผู้คุยเรื่องโลกุตระก็ดี เรื่องนิพพานก็ดี สานุศิษย์ปฏิบัติไม่ถึงห้ามคุย ถ้าคุยกับเขาบอกว่า “มาฟังหลวงพ่อเทศน์เอาไว้มี ฉันปฏิบัติไม่ถึงยังไม่พูด”

๔. ในหลักการแต่งกายเข้าสังคม ให้ยึดในหลักของความฉันทะของเราเป็นใหญ่ ถ้าไม่ผิดศีลธรรมแล้ว ไม่ต้องเกรงกลัว ถ้าใครพูดติเตียน ท่านแนะนำให้บอกเขาว่า “เมื่อถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้ว ทุกคนเหมือนกันตามธรรมชาติ และทุกอย่างเคลื่อนไปตามธรรมชาติตามกาลและเวลาแห่งการสลาย”

๕. ให้สานุศิษย์ทุกคนที่ทำงาน จงพยายามฝึกจิตให้รู้ การตายระหว่างเป็น สังขารนี้เป็นสิ่งไม่เที่ยง ทุกคนจะต้องตาย ให้รู้ว่าตัวจะต้องตาย การตายระหว่างเป็นจะพ้นทุกข์ และจงพยายามใช้ชีวิตทำลาย โลภะ โทสะ โมหะ ของโลกให้เบาบางลง ใครเป็นผู้กุมบังเหียนของโลก ต้องแก้พวกนี้ เพราะพวกนี้ลืมการเป็นคน ทุกคนจะต้องฝึกและทำให้ได้


11.png




k2.7.2.jpg



พระลิขิตของท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ



การผูกพันกับมนุษย์มากเกินไป

มีแต่ทางขาดทุน เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพอ

อาศัยพรหมวิหารสี่ จึงไม่หลงมนุษย์
คือมนุษย์จะให้เทพพรหมช่วย แต่มนุษย์ไม่ช่วยตัวเอง



IMG_8289-removebg-preview.3-removebg-preview.png



.....จบเนื้อหาหนังสือ “ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ และ ยอดพระคาถาชินปัญชร” แล้ว

สวัสดีค่ะ

Rank: 1

สาธุ.....
ขอกราบพระอริยสงฆ์
ด้วยจิต ด้วยใจที่นอบน้อม

Rank: 1

กราบโมทนาด้วยครับ

Rank: 1

โมทนาสาธุครับ

Rank: 1

โมทนาครับ โดนใจ จริงใจ สำนึกในใจ เป็นที่สุด

Rank: 1

ขอบคุณมากๆๆ ค่ะ

Rank: 1

โมทนาสาธุในธรรมทานค่ะ  เมื่อสิบกว่าปีก่อน เก้าได้หนังสือเล่มหนึ่งเก่าคร่ำคร่า ปกหลุดหายเนื้อกระดาษด้านในเหลืองมุมกรอบขาดตามธรรมชาติ  เนื้อหามีตรงกันกับที่ท่านเจ้าของกระทู้เขียนมาค่ะ  ก่อนได้รับหนังสือเล่มนี้  เก้าฝันว่ามีพระรูปงาม องค์ท่านสง่ามาก  เหาะลอยมาในท่ายืน เยื้องอยู่เบื้องบนด้านหน้า  สุรเสียงท่านกังวานใสโดยมิต้ิองขยับปากพูด  คือถามทางจิตนั่นเอง  ในฝัน ท่านถามเก้าว่า รู้ไหมว่าคาถาชินบัญชร ขึ้นต้นบทแรกได้สองแบบ  รู้ไหมว่า ขึ้นต้นด้วยบทใดและแปลว่าอย่างไร  ในฝันนั้นเก้าสอบผ่านทั้งสองบทตอบแบบไม่ต้องขยับปากพูด แต่จิตรู้ว่าตอบถูกค่ะ   ( ซึ่งในชีวิตจริงตอนนั้นยังไม่รู้จักพระคาถาและสวดไม่เป็นค่ะ ตื่นมาจำความฝันได้ชัดเจน ก้อ งง งง ว่าตอบถูกได้ไง ) ที่แปลกคือ  หลังจากนั้นไม่กี่วัน  ก็ได้มีโอกาสได้รับหนังสือเล่นนี้ค่ะ  พอเปิดมาดูก็ตะลึง เพราะ รูปที่ปรากฏในหนังสือตรงกับท่านที่มาสอบในฝัน  ใต้ภาพเขียนว่า ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เจ้าแห่งพิธีการ หัวหน้ารูปพรหม 16 ชั้น ตำแหน่งผู้พิชิตมาร พระคาถาบูชา "ชินนะปัญจะระ"  
จากวันนั้นจนปัจจุบันนี้ เก้าก็ท่องบทสวดชินบัญชรได้แล้วค่ะ  และ หมายเหตุ ที่ท่านสอบในฝันนั้นคือ บทขึ้นต้น สองแบบคือ
1. ถ้าขึ้นต้นว่า "ชิยาสะรากะตา" แปลว่า  ผู้ไม่ต้องทำลายสายธนูและลูกศร หรือ
2. ถ้าขึ้นต้นว่า "ชะยาสะนากะตา" แปลว่า  ผู้ประทับเหนืออาสนะแห่งชัยชนะ
ท่านว่า จะภาวนาอย่างไรก็ได้ผลเหมือนกันค่ะ
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-27 20:44 , Processed in 0.065303 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.