ประวัติสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม
ประวัติสมเด็จองค์ปฐม
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี”แต่พระพุทธ เจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “พระพุทธสิกขีที่ ๑” พระองค์จึงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู” อย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้ฟังหลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒ หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ ๒ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพานหลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษดังนี้
อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม
หลวงพ่อ : “...ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกัน เขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า
ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชีกับลุงพุฒิ (หมายถึงท่านพระยายม) ท่านบอกว่าการสร้างองค์ปฐมนี่ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่...บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ต้องเป็นคนมีบุญมาก...หรือไง? แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกถึงพระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม เพราะว่าการสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมดและการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดีสถานที่ก็ดีไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึงพระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรก
ก็คุยกันแล้วท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่า เป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตามอย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปที่เขามีน้อยๆ บาทสองบาท สิบสตางค์ยี่สิบสตางค์พวกนี้เอาไปใส่แท่นอย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่า บัญชีสีทอง หมายถึงอะไร ท่านบอกมันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด
การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทองไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม...เหมือนกัน ลงบัญชีเล่มเดียวกัน..”
(แหล่งที่มาข้อมูล อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม นำมาจากหนังสือ “ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม
โดยพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี รวบรวมโดยพระชัยวัฒน์ อชิโต เรียบเรียงและคัดลอกโดยคณะผู้จัดทำ คุณอิฏฐพงศ์ ขันธ์เครือ และคุณเกศราทิพย์ สุทธิ์วรรณ)
อานิสงส์การสร้างวิหารทาน
การสร้างวิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญว่า เป็นทานอันเลิศ เป็นทานที่มีผล
มากมีอานิสงส์มากเช่นกัน ตามข้อความที่ปรากฏในพระวินัยปิฎกมหาขันธกะ จุลวรรคว่า พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ ได้ทูลถามสมเด็จพระบรมศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาธุชนทั้งหลายมีใจศรัทธาปสันนาการ เลื่อมใสมาก่อสร้างกุฏิ วิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น จะมีผลผลานิสงส์เป็นประการใด" พระศาสดาทรงตรัสว่า " ดูกรมหาบพิตร ผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสพระรัตนตรัยแล้วก่อสร้างกุฏิ วิหาร ศาลา คูหาน้อยใหญ่ ถวายเป็นทานจะประกอบด้วยผลอานิสงส์มากเป็นอเนกประการนับได้ถึง ๔๐ กัป
พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาเทศนาต่อไปว่า ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว พระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติบังเกิดในโลก ในระหว่างนั้นพระปัจเจกโพธิเจ้าทั้งหลาย ก็ได้บังเกิดตรัสรู้ในโลกนี้ และอาศัยในป่าหิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งมีความปรารถนาเพื่อจะมาใกล้หมู่บ้านอันเป็นแว่นแคว้นกาสิกราช ได้อาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งแถบใกล้บ้านนั้นมีนายช้างคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ไปป่ากับลูกชายของตน เพื่อจะตัดไม้มาขายกินเลี้ยงชีพตามปกติ ก็แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พ่อลูกสองคนก็เข้าไปใกล้น้อมกายถวายนมัสการแล้ว ทูลถามว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน จึงมาอยู่ในสถานที่นี้" พระปัจเจกโพธิจึงตอบว่า "ดูกรอาวุโส บัดนี้จวนจะเข้าพรรษาแล้ว อาตมาเที่ยวแสวงหากุฏิวิหารที่จะจำพรรษา" นายช่างก็อาราธนาให้อยู่จำพรรษาในที่นี้ พระปัจเจกโพธิทรงรับด้วยการดุษณีภาพ สองคนพ่อลูกดีใจ จึงขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในเรือน ถวายบิณฑบาตทานแก่พระปัจเจกโพธิ สองคนพ่อลูกเที่ยวตัดไม้แก่นมาสร้างกุฏิวิหารที่ริมสระโบกขรณีใหญ่ ได้ทำที่จงกรมเสร็จแล้ว ได้อาราธนาว่า"พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ให้สุขเถิดพระเจ้าข้า"
ครั้นพระปัจเจกโพธิได้รับนิมนต์แล้ว สองคนพ่อลูกตั้งปณิธานความปรารถนาว่า "ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ยากไร้เข็ญใจ และขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้ประเสริฐองค์หนึ่งเถิด" พระปัจเจกโพธิก็รับอนุโมทนาซึ่งบุญ นายช่างสองคนพ่อลูกอยู่สิ้นอายุขัยแล้วก็ทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองเป็นที่รองรับ และเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร เสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์สิ้นกาลนาน จุติจากสวรรค์นั้นแล้ว ก็ไปบังเกิดเป็นราชบุตรของพระเจ้าสุโรธิบรมกษัตริย์ในเมืองมิถิลามหานคร ทรงพระนามว่า มหาปนาทกุมาร เมื่อเจริญวัยขึ้นได้เสวยราชสมบัติ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างกุฏิวิหารถวายเป็นทานแก่พระปัจเจกโพธิ ครั้นตายจากชาติเป็นพระยามหาปนาทแล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
แล้วก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิอยู่ในภัททิยนคร ชื่อว่า ภัททชิกได้ปราสาท ๓ หลัง อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้นเจริญวัยได้บวชในศาสนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในศาสนาของตถาคต ส่วนเทพบุตรองค์พ่อนั้น ยังเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ช้านานจนถึงศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ได้จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีสมเด็จพระเจ้ากรุงเกตุมวดี ทรงพระนามว่า สังขกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วก็ขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมกษัตริย์ มีทวีปน้อยใหญ่เป็นบริวาร พระองค์จึงได้สละราชสมบัติบ้านเมืองออกไปบรรพชา ในสำนักพระศรีอริยเมตไตรย์กับทั้งบริวาร ๑ โกฎิ บรรลุอรหันต์ได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา นามว่าอโสกเถระ ก็ด้วยอานิสงส์ได้สร้างกุฏิให้เป็นทานนั้นแล อันเป็นบุญให้ถึงความสุข ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ