แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: pimnuttapa
go

นิทานกฎแห่งกรรมก่อนนอน [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๙

กรรมพัฒนาได้

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรต ซึ่งเป็นลูกของเศรษฐีคนหนึ่ง ดังนี้

ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นที่รักที่ชอบใจของท่านเศรษฐีมาก พอลูกรู้เดียงสา เศรษฐีและภรรยามีความคิดกันว่า แม้ว่าลูกของเราจะใช้จ่ายวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวัน เขาจะใช้จ่ายไปถึงร้อยปี ทรัพย์สมบัติของเราก็ไม่หมด ด้วยความคิดว่าถ้าลูกไปศึกษาศิลปวิทยาต่างๆ ก็จะทำให้ลูกลำบาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจจะใช้ทรัพย์ของเรานี้หมดอยู่แล้ว


เมื่อลูกชายโตพอที่จะมีภรรยาได้แล้ว เศรษฐีได้ไปสู่ขอหญิงที่มีสกุลคู่ควรกันมาให้ลูกชาย ทั้งสองครองคู่ด้วยความสุขในโลกีย์สุข โดยไม่ใส่ใจในการทำมาหากินประการใด อีกทั้งไม่ฝักใฝ่ในการทำบุญกุศลอีกด้วย และลุ่มหลงอยู่ด้วยกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส จนบิดามารดาได้ถึงแก่กรรมลง

เมื่อสิ้นผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เขาทั้งสองก็ยิ่งใช้จ่ายทรัพย์หนักมากยิ่งขึ้น มีการหานักร้อง นักรำ และนักเลงอบายมุขมาร่วมบันเทิงเริงรมย์สนุกสนานกันเต็มที่ทุกวัน ทรัพย์ก็เริ่มลดน้อยลงจนถึงหมดสิ้น ต้องไปกู้ยืมเขามาใช้จ่าย ในที่สุดแม้บ้านและที่ดินก็ถูกเจ้าหนี้ยึดไปหมด ต้องกลายเป็นคนอนาถาถือกระเบื้องเที่ยวขอทานเขากินไปวันๆ ทั้งผัวเมียอาศัยหลับนอนตามศาลาสาธารณะในกรุงราชคฤห์นั่นเอง


ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกมิจฉาชีพได้ชักชวนลูกอดีตเศรษฐีว่า รูปร่างแข็งแรงและหนุ่มแน่นอย่างนี้ จึงประโยชน์อะไรด้วยการขอเขากิน มาหากินกับพวกเราดีกว่า งานไม่หนักแต่ได้ทรัพย์มาก ลูกอดีตเศรษฐีก็เห็นดีด้วย จึงเข้าร่วมกับกลุ่มโจรเข้าปล้นบ้านครั้งแรก โดยให้เขาคอยเฝ้าที่หน้าด้านประตู ถ้าเห็นเจ้าทรัพย์วิ่งออกมาก็ให้เอาฆ้อนใหญ่ทุบให้ตาย

ส่วนลูกอดีตเศรษฐีได้ยืนรออยู่จนพวกเจ้าทรัพย์พบตัว จึงช่วยกันส่งไปให้พระราชาชำระโทษ พระราชาได้ตัดสินให้ประหารชีวิตในที่สาธารณะ แต่ก่อนที่จะประหารชีวิตก็ต้องมีการมัดมือไพล่หลัง คล้องพวกมาลัยสีแดง โรยศีรษะด้วยผงอิฐ ตีกลองประจานไปบนรถ เฆี่ยนด้วยหวายประจานไปทั่วเมืองจนไปสู่ที่ประหาร ประชาชนพากันมาดูโจรปล้นกันมาก

ในนครนั้นมีหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ชื่อว่า สุลสา เธอได้ยืนดูอยู่ที่หน้าต่างปราสาท เธอจำชายคนนั้นได้ว่า เคยเป็นผู้บำเรอของเขา เธอเกิดนึกสงสารในความทุกข์ของเขา ซึ่งครั้งนั้นเคยเป็นถึงลูกเศรษฐี บัดนี้ถึงความพินาศที่สุด แม้ชีวิตก็จะอยู่อีกไม่นาน จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูก และน้ำดื่มไปให้เขา ขอความกรุณารอให้นักโทษคนนี้กินขนมและดื่มน้ำก่อนจึงค่อยประหาร

ในระหว่างนั้นเอง พระมหาโมคคัลลานะ ท่านตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นนักโทษคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยแรงกรุณาเตือนจิตคิดว่า “ชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาปมาตลอด เพราะฉะนั้นชายคนนี้จะต้องไปเกิดในนรก ครั้นพอเราไปพบเขาถวายขนมและน้ำดื่มแล้วก็จะไปเกิดในภพเทวดา เราควรจะได้เป็นที่พึ่งของนักโทษผู้นี้


เมื่อคิดดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ไปปรากฏตัวข้างหน้าเขา ในขณะที่มีคนกำลังนำขนมต้มและน้ำดื่มไปให้เขา ครั้นเขาเห็นพระเถระก็มีจิตคิดยินดีเลื่อมใส คิดว่า “เราจะถูกฆ่าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยการกินขนมและดื่มน้ำ และด้วยผลแห่งทานนี้ ก็ย่อมจะเป็นเสบียงพาไปสู่โลกอื่น”

จึงสั่งให้เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่พระเถระ และเพื่อจะเจริญศรัทธาของนักโทษนั้น เมื่อนักโทษกำลังแลดูอยู่นั่นเอง ท่านพระเถระก็นั่งฉันขนมต้มและดื่มน้ำของนักโทษแล้วจากไป เจ้าหน้าที่ได้นำนักโทษไปตัดศีรษะยังที่ประหาร


ด้วยอานิสงส์ที่เขาได้ทำบุญไว้กับพระเถระ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ เขาควรที่จะได้ไปเกิดในเทวโลกชั้นสูง แต่เพราะจิตของเขาเศร้าหมองในเวลาจะดับจิต เพราะคิดถึงนางสุลสา ดังนั้นจึงไปเกิดเป็นเทพชั้นต่ำ คือเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันที่สนิทที่ภูเขา

ท่านผู้รู้ได้กล่าวถึงลูกอดีตเศรษฐีว่า
ในปฐมวัย ถ้าเขาดำรงรักษาสกุลดี เขาก็จะได้เป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐีอื่นๆ ในกรุงราชคฤห์นั่นเอง ในมัชฌิมวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีวัยกลางคน ในปัจฉิมวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีวัยสุดท้าย

แต่ถ้าในปฐมวัย เขาได้บวช ก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฌิมวัย ก็จะได้เป็นพระสกิทาคามีหรือพระอนาคามี ถ้าบวชในปัจฉิมวัย ก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่เพราะความที่คลุกคลีด้วยบาปมิตร เขาจึงกลายเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในการทุจริต เขาจึงต้องเสื่อมจากสมบัติทั้งปวงอย่างน่าสังเวชใจยิ่ง


ครั้นสมัยต่อมา เทพบุตรหรือรุกขเทวดานั้น เห็นนางสุลสาไปเที่ยวสวน เกิดความกำหนัด จึงเนรมิตให้เกิดความมืด แล้วนำนางไปยังภพของตน อยู่ร่วมกันนาน ๗ วัน และได้แนะนำตนแก่นาง ถึงสาเหตุที่เขาได้มาเกิดเป็นรุกขเทวดาในที่นี้ (เพราะขนมของนางเป็นเหตุ)

ฝ่ายมารดาของนาง เมื่อไม่เห็นนางสุลสากลับมา ก็ร้องไห้วิ่งพล่านไปข้างโน้นข้างนี้ ชาวบ้านจึงแนะนำว่าพระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก ท่านอาจจะทราบที่อยู่ของนางก็ได้ นางจึงรีบไปหาพระเถระ พระเถระบอกว่าในวันที่ ๗ นางสุลสาก็จะกลับมา
ในที่ประชุมท้ายพุทธบริษัทที่พระเวฬุวันนี้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม

ลำดับนั้น นางสุลสาได้กล่าวกะเทวบุตรว่า “การที่ดิฉันจะอยู่ในภพของท่าน เป็นการไม่สมควรเลย วันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้ว ที่ท่านพาดิฉันมา เมื่อแม่ดิฉันไม่เห็น ก็ย่อมจะเศร้าโศกเป็นห่วง ขอท่านจงพาดิฉันไปส่งไว้ที่ประชุมท้ายพุทธบริษัทเถิด”

ฝ่ายรุกขเทวดาจึงได้พานางสุลสาไปส่งไว้ที่ท้ายพุทธบริษัท ในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ โดยที่ประชุมไม่เห็นเทพบุตร เห็นแต่นางสุลสาคนเดียว ที่ประชุมได้ตื่นเต้น สอบถามนางเป็นการใหญ่ นางก็ได้เล่าให้ฟังโดยตลอด


ที่ประชุมต่างพากันสงสัยว่า อดีตลูกเศรษฐีตอนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่เคยทำบุญเลย ทำแต่บาปตลอด เหตุไฉนทำบุญเพียงขนมต้มและน้ำดื่มเพียงเล็กน้อย จึงได้เกิดเป็นเทพบุตรได้ ต่างพากันเลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วกัน ในเวลาจบพระธรรมเทศนา รุกขเทวดา นางสุลสา พุทธบริษัทต่างได้บรรลุธรรมแล้วแล


อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุ

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๐

เหตุที่เกิดเป็นทาส

L56.1.png


ในอดีตกาล ในสมัยที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนาในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ท่านได้ถวายผลมะม่วงแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อชิตะ ผู้ลงมาจากเขาคันธมาทน์มาเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้กระทำบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมาก


ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านได้เกิดในเรือนของทาสในบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และได้รับมอบหมายให้ท่านดูแลพระวิหาร ท่านก็เอาใจใส่ด้วยดีมีศรัทธา อีกทั้งได้เห็นพระพุทธเจ้า และได้ฟังพระสัทธรรมอยู่เนืองๆ จนมีศรัทธาแก่กล้าแล้ว จนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบวช ท่านเศรษฐีก็อนุโมทนาและอนุญาตให้บวชได้ด้วยความเป็นไท

ท่านพระทาสกเถระ ได้บำเพ็ญบารมีมามาก แต่ต้องไปเกิดในท้องของนางทาสี ก็ด้วยเศษกรรมที่ท่านทำไว้ในสมัยศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ในสมัยนั้นท่านเจริญวัยแล้ว ได้บำรุงพระอรหันต์รูปหนึ่ง แต่มีอยู่วันหนึ่งท่านได้บังคับให้พระอรหันต์รับใช้ท่าน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ท่านจึงต้องมาเกิดในท้องของนางทาสีในชาตินี้


พระอรรถกถาทาสกเถรคาถา  

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๐ หน้า ๑๔๓

L55.png



Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๑

วาจาใครคิดว่าไม่สำคัญ

L56.1.png


พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรตตนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าเหมือนหมูไว้ ดังนี้

ในอดีตกาล ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ครั้งนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้มีมารยาททางกายดีมาก คือ สำรวมกายน่าเลื่อมใส แต่ท่านไม่สำรวมวาจาคือปาก มักจะด่าว่าภิกษุทั้งหลายเป็นประจำ  ครั้นมรณภาพ (ตาย) แล้ว ท่านจึงไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นสิ้นพุทธันดรหนึ่ง


(ช่วงที่ว่างจากพระพุทธเจ้า) จึงพ้นจากนรกแล้วมาเกิดในยุคพระพุทธเจ้าของเรานี้ ในร่างของเปรตมีหัวเป็นหมู ด้วยเศษของบาปกรรมที่ด่าพระ อยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์ ร่างกายของเปรตตนนั้น มีสีเหมือนทอง ด้วยอำนาจของกุศลกรรมที่ได้บวชพระ แล้วมีการสำรวมทางกายดี แต่ต้องมีหัวเป็นหมูเพราะด่าพระ

เช้าวันหนึ่ง ท่านพระนารทะพักอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ได้ออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ แล้วได้พบกับเปรตในระหว่างทาง จึงได้ถามถึงบุพกรรม (กรรมเก่า) ของท่าน เปรตผู้มีรัศมีกายสว่างช่วงโชติ ดุจสีทองคำไปทั่วทิศ จึงได้เล่าให้ท่านฟัง พร้อมทั้งขอร้องให้ผู้ที่บวชอยู่ อย่าได้ใช้ปากด่าว่าภิกษุเหมือนตนเลย


เมื่อท่านพระนารทะกลับจากบิณฑบาต และฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงเข้าไปกราบทูลเนื้อความเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ ซึ่งประทับนั่งอยู่ท่ามกลางที่ประชุมพุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา)

พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนนารทะ! เมื่อก่อนเราก็ได้เคยเห็นเปรตนั้นเช่นกัน” ครั้นแล้วจึงยกโทษของวจีทุจริต (ทำความชั่วทางปาก) มาตรัสพร้อมทั้งแสดงอานิสงส์แห่งวจีสุจริตแก่พุทธบริษัทด้วย


อรรถกถาสูกรเปตวัตถุ

L55.png


Rank: 8Rank: 8

  ตอนที่ ๑๒

โลภมากลาภหาย

L56.1.png


ในอดีตกาล ในกัปที่ ๕ แต่ภัทรกัปนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพ่อค้าเร่ มีชื่อว่า เสรีวะ ในแคว้นเสริวรัฐ เสรีวะโพธิสัตว์มีเพื่อนเป็นพ่อค้าด้วยกันคนหนึ่ง มีชื่อว่า เสรีวะ เหมือนกัน แต่เป็นพ่อค้าเร่ขี้โกง

วันหนึ่ง พ่อค้าเร่ทั้งสองได้ไปค้าขายในพระนครอริฏฐปุระ โดยทั้งสองพ่อค้าต่างแยกกันไปคนละฟากถนน โดยพ่อค้าโกงเข้าไปก่อน ก็ไปในบ้านของตระกูลเศรษฐีเก่า แต่ภายหลังยากจน มีอยู่เพียงยายกับหลานสาวคนหนึ่งซึ่งยังเล็กอยู่


เมื่อพ่อค้าโกงเดินเร่เข้าไปถึงบ้านเศรษฐีเก่า ก็ได้ร้องขายเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ หลานสาวได้ยินก็ร้องให้ยายช่วยซื้อของประดับให้ แต่ยายก็บอกว่าไม่มีเงินจะซื้อ แต่เมื่อหลานสาวรบเร้าหนักเข้า ยายรำคาญก็เที่ยวมองหาของแลกเปลี่ยน ก็พอดีเห็นถาดเก่าอยู่ใบหนึ่ง จึงเรียกพ่อค้าเร่เข้ามา แล้วเอาถาดเก่ายื่นให้ ขอแลกเครื่องประดับเล็กน้อยให้แก่หลานสาว

เมื่อพ่อค้าโกงรับถาดมาพิจารณาดู พร้อมกับขีดดู ก็รู้ว่าเป็นถาดทองคำแท้ มีราคาแพงมาก ก็คิดจะได้เปล่าๆ จึงแกล้งทิ้งถาดลงแล้วว่า “ถาดนี้จะมีราคาอะไรกัน ไม่เอาหรอก” พูดแล้วก็ทำเป็นเล่นตัว เดินออกไป โดยคิดว่าจะได้ถาดทองคำเปล่าๆ

ฝ่ายยายก็คิดว่าเป็นถาดไม่มีค่า จึงปลอบหลานว่า “ถาดมันไม่มีราคาหรอกหลานเอ๋ย พ่อค้าเขาจึงไม่เอา นิ่งเสียเถอะหลาน ก็เรามันจนจะทำยังไงได้ล่ะ” เมื่อพ่อค้าโกงผ่านไปแล้ว พ่อค้าโพธิสัตว์ก็ผ่านมายังบ้านนั้น เมื่อหลานสาวเห็นก็ร้องให้ยายซื้อของประดับให้อีก เมื่อไม่มีเงินให้ก็ใช้ไม้เก่า คือเอาถาดใบนั้นให้พ่อค้า แล้วแต่พ่อค้าจะให้เท่าไรก็ได้

ฝ่ายพ่อค้าโพธิสัตว์รับถาดมาพิจารณา และขีดดูแล้ว ก็บอกยายว่า “ยายจ๋า ถาดนี้เป็นถาดทองคำแท้ ราคาหาค่ามิได้ สินค้าของฉันทั้งหมดยังไม่เท่าราคาถาดทองคำนี้เลย ฉันไม่มีของพอจะแลกถาดนี้หรอก”

ฝ่ายยายก็ว่า “โอ! คงเป็นบุญของพ่อแล้ว เมื่อครู่นี้เอง พ่อค้าเร่มาดูก็ว่าเป็นถาดไม่มีราคา เขาไม่ต้องการ นี่คงเป็นบุญของพ่อที่เห็นถาดใบเก่าเป็นทอง พ่อจงเอา ไปเถอะ แล้วให้ของตามสมควรเถิด”


พ่อค้าเร่ผู้มีใจเป็นธรรม จึงเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ๕๐๐ กหาปณะ พร้อมทั้งสิ่งของทั้งหมดมีมูลค่า ๕๐๐ กหาปณะ มอบให้แก่ยายหลานทั้งหมด ขอแต่ตาชั่งและถุงใส่ของพร้อมกับเงิน ๘ กหาปณะ เพื่อเป็นค่าเรือจ้างข้ามแม่น้ำเท่านั้น

ฝ่ายยายกับหลานก็สุดแสนจะดีใจ และนับถือพ่อค้าเร่ที่มีความยุติธรรม ฝ่ายพ่อค้าโกงคนนั้น เมื่อออกจากบ้านยายมาสักครู่ ก็คิดเสียดายถาดทองคำจึงหวนกลับมาอีก พอยายเห็นพ่อค้าโกงจึงบริภาษว่า “กลับมาทำไมอีกล่ะ แกตีราคาถาดทองอันมีค่าถึงแสนกหาปณะเพียงกึ่งกหาปณะเท่านั้น บัดนี้พ่อค้าเร่ใจดีได้เอาถาดทองคำนั้นแล้ว”


พ่อค้าโกงพอรู้ว่าพ่อค้าเพื่อนกันเอาถาดไปแล้ว ก็เกิดความเสียดายและเสียใจเป็นกำลังไม่อาจจะควบคุมสติไว้ได้ ถึงกับล้มฟุบสลบไปทันที พอฟื้นขึ้นมาก็สติแตก เพราะความโศกที่สูญเสียถาดทองไป ได้โปรยกหาปณะและสินค้าไว้ที่ประตูเรือนของยายนั่นเอง

ผ้าผ่อนก็หลุดลุ่ยหมด คว้าคันตาชั่งทำเป็นไม้ค้อน รีบตามพ่อค้าใจดีไปโดยเร็ว ไปทันกับพ่อค้าโพธิสัตว์ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเรือจ้างได้ออกเรือไปแล้ว เขาจึงได้ร้องเรียกว่า “เรือจ้างกลับมาก่อน นายเรือจงกลับมาก่อน” ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้บอกนายเรือจ้างว่า “นายเรือจ๋า อย่ากลับไปเลย”


ฝ่ายพ่อค้าโกงเห็นดังนั้น ก็เกิดความแค้นใจเป็นกำลัง ความร้อนก็เกิดขึ้นในอก เลือดได้พุ่งออกจากปาก หทัยแตกพร้อมกับการผูกอาฆาตในพระโพธิสัตว์ก่อนสิ้นชีพในนั้นเอง

นี่เป็นการอาฆาตในพระโพธิสัตว์ เป็นครั้งแรกของพระเทวทัตแล.



อรรถกถาเสรีววาณิชชาดก

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๕ หน้า ๑๗๙

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๓

กรรมของชายเจ้าชู้

L56.1.png


พระอิสิทาสีเถรีรูปนี้ เดิมทีท่านเป็นผู้ชายมาก่อน และได้สั่งสมบุญบารมีไว้ในชาติก่อนๆ แล้ว แต่ในชาติที่ ๗ จากชาติสุดท้าย เขาได้ไปเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น

จุติ (ตาย) จากชาตินั้นแล้ว ก็ต้องไปตกนรกอยู่หลายร้อยปี พ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก ๓ ชาติ ตายจากนั้นก็ไปเกิดเป็นกะเทยเป็นลูกทาส ตายจากลูกทาสก็ไปเกิดเป็น
ลูกสาวช่างทำเกวียนที่ยากจน เมื่อลูกชายนายเกวียนมาพบเข้าก็เอาไปเป็นเมีย แต่นายคิริทาสได้มีเมียอยู่ก่อนแล้ว

เมียเก่าของนายคิริทาสเป็นคนดีมีศีลธรรม เมียน้อยลูกสาวช่างทำเกวียนนั้น มีปกติเป็นคนขี้ริษยา เมื่อมาเป็นเมียน้อยเขา ก็พยายามยุยงให้สามีเกลียดเมียหลวง จนเมียหลวงอยู่ไม่ได้ นางเลยได้ครองความเป็นใหญ่ในบ้านไปจนตาย

ในพุทธกาลนี้ นางได้ไปเกิดเป็นธิดาของเศรษฐี ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสมบัติ ทั้งศีลาจารวัตรก็ดีงาม มีชื่อว่า อิสิทาสี พอนางโตเป็นสาวแล้ว บิดามารดาก็มอบให้กับบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ที่พรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ


อิสิทาสีได้ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างดี ปฏิบัติสามีดังเทวดา แต่นางก็ได้อยู่กับสามีได้เพียงเดือนเดียว ด้วยผลแห่งกรรมของนาง ก็ทำให้สามีเกิดความเบื่อหน่าย นำนางออกจากเรือนไป ทั้งที่นางมิได้มีความผิดอะไรเลย มาดูจากปากคำที่นางเล่าไว้เอง ดังนี้

“ข้าพเจ้าเกิดที่กรุงอุชเชนี ราชธานีของแคว้นอวันตี บิดาของข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีผู้มีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนเดียวของท่าน จึงเป็นที่รักและโปรดปรานและเอ็นดู ต่อมาเศรษฐีเมืองสาเกต มาขอข้าพเจ้าให้แก่บุตรของเขา บิดาจึงยกข้าพเจ้าให้ไปเป็นสะใภ้เขา


ข้าพเจ้าเข้าไปทำความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า ไหว้เท้าพ่อผัวและแม่ผัวทั้งเช้าและเย็นตามวิธีที่ถูกสั่งสอนมา ข้าพเจ้าเห็นพี่น้องคนใกล้เคียง หรือแม้แต่คนสนิทเพียงคนเดียวของสามี ข้าพเจ้าก็หวาดกลัว ต้องให้ที่นั่งเขา ต้องรับรองเขาด้วยข้าวน้ำอย่างเรียบร้อย

เมื่อเข้าเรือนไปที่ประตู จะต้องล้างมือและเท้าก่อน แล้วประนมมือเข้าไปหาสามี ต้องถือหวี เครื่องลูบไล้ ยาหยอดตาและกระจก แต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้ ต้องหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ต้องปฏิบัติสามีเหมือนอย่างมารดาปรนนิบัติบุตรคนเดียวฉะนั้น


ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดี ทำหน้าที่ภรรยาครบถ้วน เลิกมานะถือตัว ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีศีล แม้อย่างนี้สามีก็ยังมีเกลียด เขาบอกกะบิดามารดาว่าฉันจะลาไปละ ฉันไม่ขออยู่ร่วมกะอิสิทาสี ทั้งจะไม่ขออยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกันด้วย

บิดามารดาพูดกะเขาว่า อย่าพูดอย่างนี้สิลูก อิสิทาสีเป็นคนฉลาด มีความสามารถ ขยัน ไม่เกียจคร้าน ทำไมเจ้าไม่ชอบเขาละลูกเอ๋ย? เขาได้ตอบว่า อิสิทาสีไม่เบียดเบียนอะไรฉันดอกจ้ะ แต่ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับเขา ฉันเกลียดเขา ฉันอยู่กับเขามาพอแล้ว ฉันขอลาไปก่อนละ


แม่ผัวและพ่อผัวฟังคำของเขาแล้ว ได้ถามข้าพเจ้าว่า เจ้าได้ทำอะไรผิดต่อเขา จึงถูกเขาทอดทิ้ง? จงพูดไปตามความจริงซิ ข้าพเจ้าตอบว่า หนูไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้เบียดเบียนเขา ทั้งไม่ได้พูดคำหยาบคาย หนูหรือจะกล้าทำสิ่งที่สามีเกลียดได้

บิดาและมารดาของเขา มีความเสียใจเป็นทุกข์ หวังจะถนอมบุตร จึงนำข้าพเจ้าไปส่งที่บ้านบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลายเป็นแม่หม้ายอยู่ไม่นาน บิดาก็ได้ยกข้าพเจ้าให้กับชายคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะต่ำกว่าสามีคนแรก แต่เขาก็เป็นสามีข้าพเจ้าได้เพียงเดือนเดียว เขาก็ขับข้าพเจ้าผู้ปฏิบัติสามีดุจทาสีอีก


เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่บ้านไม่นานนัก บิดาเห็นขอทานคนหนึ่ง ก็เลยยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาของเขา เขาเป็นสามีข้าพเจ้าอยู่เพียงครึ่งเดือน เขาก็บอกเลิกกะข้าพเจ้า ขอกลับไปเป็นขอทานอย่างเดิม

เมื่ออยู่โดดเดี่ยวอีก ข้าพเจ้าก็คิดว่าจำจะขอลาบิดาและมารดาไปตาย หรือมิฉะนั้นก็บวชเสียดีกว่า ในขณะนั้น พระแม่เจ้าชินทัตตา ผู้ทรงพระวินัยเป็นพหูสูตสมบูรณ์ด้วยศีล กำลังเที่ยวบิณฑบาตมายังเรือนของบิดา


ข้าพเจ้าเห็นท่านแล้ว จึงลุกขึ้นไปจัดอาสนะของตนถวายท่าน เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็กราบเท้าและถวายโภชนะ เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว จึงเรียนท่านว่า “พระแม่เจ้า ดิฉันต้องการจะบวชเจ้าค่ะ”

ลำดับนั้น บิดาได้พูดกะข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย ลูงจงประพฤติธรรมอยู่ในเรือนนี้แล้วกัน จงเลี้ยงดูสมณะพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำไปเถิดลูก” ข้าพเจ้าร้องไห้ประนมมือพูดกะบิดาว่า “พ่อจ๋า ความจริงลูกได้ทำบาปมามากแล้ว ลูกจะขอชำระบาปนั้นให้เสร็จสิ้นกันไปเสียที”


บิดาจึงอวยพรข้าพเจ้าว่า “ขอลูกจงบรรลุโพธิญาณธรรมอันเลิศ และได้พระนิพพานมีพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุดแห่งสัตว์เท้า ทรงกระทำให้แจ้งแล้วเถิด” เมื่อนางบวชได้ ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหัต และระลึกชาติก่อนได้ ๗ ชาติ และท่านได้เล่าประวัติส่วนตัว ดังนี้

“เมื่อข้าพเจ้าเป็นชาย เกิดในนครเอรกัจฉะ เป็นช่างทองมีทรัพย์มาก มัวเมาในวัยหนุ่มได้เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ไปเกิดในนรกเป็นเวลาช้านาน ตายจากนรกแล้วมาเกิดเป็นลิง พอคลอดได้ ๗ วัน ลิงจ่าฝูงก็ได้กัดอวัยวะสืบพันธุ์ นี่เป็นผลกรรมที่เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น


ตายจากลิงแล้วก็ไปเกิดในท้องแม่แพะตาบอดและเป็นง่อย อยู่ในป่าแคว้นสินธพ พออายุได้ ๑๒ ปี พาเด็กขี่หลังไปกระแทกอวัยวะเพศ ป่วยเป็นโรคหนอนฟอน นี่เป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภรรยาผู้อื่น

จุติจากกำเนิดโคแล้ว ไปเกิดในเรือนทาสี ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย พออายุได้ ๓๐ ปีก็ตาย แล้วไปเกิดเป็นหญิงลูกช่างทำเกวียนที่ยากจนขั้นต้น ต้องถูกรุมทวงหนี้ เมื่อมีหนี้พอกพูนทับถมมากขึ้น นายกองเกวียนก็ริบสมบัติ และฉุดข้าพเจ้าไปบ้านของเขา บุตรนายกองเกวียนชื่อคิริทาสเห็นข้าพเจ้าแล้วก็มีจิตปฏิสัมพันธ์ขอไปเป็นภรรยา”



อิสิทาสีเถรี

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๔๖๖

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๔

กรรมของลิงพาล

L56.1.png


ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดกระบือ อยู่ในหิมวันตประเทศ เมื่อเจริญวัยแล้วมีร่างกายสมบูรณ์ ร่างใหญ่ประมาณช้างหนุ่ม เที่ยวหากินไปตลอดเชิงเขา ป่า และห้วย พบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งน่าสบาย จึงได้พักอยู่ประจำที่โคนต้นไม้นั้น


ครั้งนั้น มีลิงลามตัวหนึ่ง ได้ลงมาจากต้นไม้ ขึ้นบนหลังของกระบือ มันถ่ายอุจจาระและปัสสาวะรด จับเขากระบือโหนตัวเล่น จับหางห้อยโหน ส่วนฝ่ายพระโพธิสัตว์ไม่สนใจในการกระทำอนาจารของลิงนั้น เพราะมีความอดทน มีเมตตา และมีความเอ็นดู เจ้าลิงเห็นกระบือสงบอยู่ ก็ยิ่งกำเริบใจ ได้ทำอย่างนั้นบ่อยๆ

ในครั้งนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้เห็นความลามกของลิงนั้น จึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า “เพราะเหตุไร ท่านจึงอดทนความดูแคลนของลิงผู้ชั่วช้านี้อยู่ได้ ท่านจงทำลิงนี้ให้ฉิบหายด้วยเขาและกีบเสียเถิด”


พระโพธิสัตว์ได้กล่าวตอบเทวดาว่า “ท่านเทวดา เหตุใดท่านจึงจะให้เราทำในสิ่งที่ไม่เจริญแก่ลิงผู้ชั่วช้า จะให้เราเปื้อนซากศพอันลามก ถ้าเราพึงโกรธต่อลิงนั้น เราก็จะพึงเป็นผู้ที่เลวกว่าลิง

ศีลของเราก็ย่อมจะขาด และวิญญูชนทั้งหลายก็ย่อมจะติเตียนเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายด้วยความบริสุทธิ์ ยังดีเสียกว่าความเป็นอยู่อย่างน่าละอายเสียอีก ทำไมเราจะต้องเบียดเบียนผู้อื่น แม้เพราะเหตุชีวิตเล่า

บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมอดกลั้นคำดูหมิ่นของคนเลว คนปานกลางและคนชั้นสูง ย่อมได้อย่างนี้ตามใจปรารถนา เจ้าลิงนี้ย่อมสำคัญสัตว์อื่นว่าเป็นเหมือนเรา มันจักทำอนาจารอย่างนี้ แต่นั้นกระบือที่ดุร้าย ก็จะฆ่าลิงนั้นเสีย การตายของลิงนี้ด้วยสัตว์อื่น ย่อมจะเป็นการพ้นทุกข์จากการฆ่าของเรา”

พระโพธิสัตว์ได้ประกาศอัธยาศัยของตนอย่างนี้แก่เทวดา กระบือนั้นล่วงไป ๒-๓ วัน ก็ได้ไปอยู่ในที่อื่น แล้วก็มีกระบือผู้ดุร้ายมาอยู่ที่นั้นแทน ลิงผู้ชั่วช้าสำคัญว่า กระบือตัวนี้คงเหมือนกับกระบือตัวก่อน


มันเห็นกระบือตัวใหม่มาอยู่ใต้ต้นไม้ มันก็ได้ขึ้นบนหลังกระบือแล้วกระทำลามกอนาจารเหมือนเช่นเคย กระบือดุร้ายตัวนั้นจึงได้สลัดลิงตกจากหลังลงมาบนพื้นดิน เอาเขาขวิดที่หัวใจ เอาเท้าเหยียบจนแหลกเหลวไป


อรรถกถามหิสราชจริยา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๗๔ หน้า ๒๙๓

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๕

ทุกขลาภ

L56.1.png


พระปฏาจาราเถรี เป็นภิกษุณีรูปเดียวในศาสนานี้ ที่มีความทุกข์มากที่สุด แต่ในที่สุดท่านก็ได้พบลาภอันประเสริฐ เรื่องในอดีตชาติมีเพียงเล็กน้อย ดังนี้

ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ นางเกิดในเรือนครอบครัว ในกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของภิกษุณีผู้ทรงพระวินัย นางได้กระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง


นางกระทำกุศลจนตลอดชีวิต แล้วเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางได้ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกิ เป็นพระธิดาองค์หนึ่ง ในบรรดาพระพี่น้องนาง ๗ องค์ ทรงประพฤติโกมาริพรหมจรรย์มาตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี ทรงสร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์

นางจุติจากภพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในครอบครัวเศรษฐี พอโตเป็นสาวแล้วได้ทำความสนิทเสน่หากับคนงานคนหนึ่งในเรือนของตน บิดามารดาได้กำหนดวันที่จะมอบธิดาของตนให้แก่ชายหนุ่มซึ่งมีฐานะเสมอกัน นางรู้เรื่องนั้นแล้ว ก็ได้นัดกับชายคนรัก เก็บข้าวของหลบหนีไปอยู่ด้วยกันที่ป่าแห่งหนึ่ง

เมื่ออยู่ด้วยกันไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ ครั้นตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด นางก็คิดถึงบ้าน เพราะที่ป่าดงนี้ไม่มีใครพอจะช่วยได้เลย จึงพูดกับสามีว่า “นายจ๋า ประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ในที่นี้อย่างคนอนาถา ฉันจะกลับไปเรือนของครอบครัวละ” ฝ่ายสามีก็ไม่อยากไปเกรงว่าจะถูกทำโทษ จึงพูดผัดเพี้ยนว่า “วันนี้อย่าไป พรุ่งนี้ค่อยไปต่อเถอะ”


นางคิดว่าสามีคงไม่กล้าพานางไป พอสามีออกไปทำงานนอกบ้านแล้ว นางก็ได้เก็บข้าวของไว้ในเรือน แล้วสั่งบ้านใกล้เคียงว่า นางกลับไปบ้านเก่าของพ่อแม่ แล้วนางก็ออกเดินทางมาคนเดียว มุ่งหน้าไปสู่บ้านของพ่อแม่

ฝ่ายสามีกลับมาบ้านไม่พบภรรยา ถามคนบ้านใกล้เคียงรู้ว่านางกลับไปบ้านแล้ว ก็คิดว่าเพราะตัวเอง นางจึงเป็นคนอนาถา จึงเดินสะกดรอยตามไปทันกัน ในขณะนั้นนางก็เจ็บครรภ์อีก แล้วก็คิดจะกลับไปคลอดที่บ้านเก่าอีก สามีก็ไม่ยอมพากลับเช่นเดิม
นางก็ต้องใช้อุบายเดิม พอสามีออกไปทำงาน นางก็บอกเพื่อนบ้าน แล้วออกเดินทางมุ่งไปสู่บ้านของพ่อแม่

ฝ่ายสามีก็ตามมาทันในกลางป่าเป็นเวลาใกล้ค่ำ พอดีในขณะนั้นลมกัมมัชวาตเกิดปั่นป่วน มีอาการว่าจะคลอดบุตร เมฆฝนอันมิใช่ฤดูกาลลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้ามีหยาดฝนตกลงมาไม่ขาดสาย เสียงฟ้าคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบไปรอบๆ นางจึงพูดกะสามีว่า “นายจ๋า ช่วยสร้างที่กำบังฝนให้หน่อยสิจ้ะ”

ฝ่ายสามีก็รีบสำรวจดูที่โน่นที่นี่ ทราบว่าที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งมีหญ้าปกคลุมอยู่ จึงไปที่นั้นประสงค์จะตัดท่อนไม้ที่พุ่มไม้นั้น ด้วยมีดที่ถืออยู่ในมือ จึงตัดไม้ซึ่งอยู่ที่พุ่มไม้นั้น ท้ายจอมปลวกที่หญ้าปกคลุม ในทันใดนั้นเอง งูพิษร้ายตัวหนึ่งก็เลื้อยออกมาจากจอมปลวก แล้วกัดสามีล้มลงตายอยู่ในที่นั้นเอง

ฝ่ายนางได้รอสามีอยู่ ฝนก็เปียกทั้งตัว ครรภ์ก็ปวดใกล้คลอด มองหาสามีจนมืดค่ำแล้วก็คลอดบุตร นางต้องโอบลูกน้อยทั้งสอง ซึ่งทนฝนและลมไม่ไหวร้องจ้าไว้กับอก สองเท้าและสองมือคร่อมลูกน้อยทั้งสองไว้ตลอดคืนแสนจะทรมาน

พอราตรีผ่านไปสว่างแล้ว เอาลูกที่คลอดใหม่คล้ายชิ้นเนื้อ นอนบนผ้าเบาะเก่าๆ โอบด้วยมือกกด้วยอก แล้วพูดกะลูกคนโตว่า “มานี่ลูก พ่อเจ้าไปทางนี้” แล้วพาลูกไปตามหาสามี พบว่าสามีนอนตายอยู่ใกล้ๆ จอมปลวก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่า “เพราะตัวเราทีเดียว สามีเราจึงตาย” เมื่อหาเศษไม้มารวมกันเผาศพสามีแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป

ในระหว่างทางก็ถึงแม่น้ำ จะต้องข้ามแม่น้ำนั้นไป แม่น้ำนั่นลึกประมาณแค่อก แต่ก็ไหลเชี่ยวมาก เพราะฝนตกหนักมาทั้งคืน จึงจำเป็นจะต้องเอาลูกข้ามแม่น้ำไปทีละคน เพราะร่างกายอ่อนแอเนื่องจากการคลอดบุตร จึงบอกให้ลูกคนโตรออยู่ที่ฝั่งนี้ แล้วนางก็อุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำไปวางไว้ที่ริมฝั่งข้างโน้น ครั้นแล้วก็จะกลับมารับลูกคนโต

พอนางข้ามมาถึงกลางแม่น้ำ ในขณะนั้นก็มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินผ่านมา พอเห็นเด็กทารกที่ริมฝั่ง ก็เข้าใจว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงโผบินลงมาจากอากาศ นางเห็นเหยี่ยวนั้นจึงยกสองมือขึ้นไล่ร้องเสียงดังว่า “สุ สุ สุ” ฝ่ายเหยี่ยวก็ไม่สนใจอาการไล่ของนาง เพราะอยู่ไกลมาก จึงเฉี่ยวเอาเด็กน้อยบินขึ้นอากาศไป

ฝ่ายลูกคนโตยินเสียงแม่ร้อง ก็เข้าใจว่าแม่เรียกตัว จึงกระโดดลงน้ำโดยเร็ว กระแสน้ำเชี่ยวจึงพัดลูกคนโตจมน้ำไป นางเสียใจร้องไห้คร่ำครวญว่า “ลูกเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป อีกคนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดไป สามีของเราก็ตายที่กลางป่า”

นางเดินไปร้องไห้ไปบ่นไป พบชายคนหนึ่งจึงถามว่า “พ่อท่าน เป็นชาวเมืองไหนจ้ะ” ชายผู้นั้นตอบว่า “เป็นชาวเมืองสาวัตถีจ้ะ แม่คุณ” นางได้ถามถึงตระกูลเศรษฐี อันเป็นพ่อแม่ของนางว่า “พ่อท่านรู้จักเศรษฐีชื่อนั้นหรือไม่”

ชายเดินทางตอบว่า “รู้จักดีจ้ะ แม่คุณ แต่อย่าถามข้าเลย ไปถามคนอื่นเถิดจ้ะ” นางจึงถามอีกว่า “คนอื่นฉันไม่ต้องการดอกจ้ะ จะขอถามพ่อท่านนี่แหละ ขอจงช่วยบอกฉันด้วยเถิด” ชายนั้นจึงได้ตอบว่า “แม่คุณเอ๋ย โปรดไม่ให้บอกไม่ได้หรือ? วันนี้แม่นางก็เห็นอยู่ว่าเมื่อคืนฝนตกทั้งคืน”

นางได้ตอบชายนั้นว่า “เห็นอยู่จ้ะพ่อท่าน ฝนนั้นตกตลอดคืนยันรุ่ง สำหรับเรื่องส่วนตัวฉันจะเล่าภายหลัง ขอพ่อท่านโปรดเล่าเรื่องของเศรษฐีและภรรยาให้ฉันฟังก่อนเถิดจ้ะ”

ชายนั้นจึงเล่าว่า “แม่คุณเอ๋ย เมื่อคืนนี้เรือนของเศรษฐีถูกฝนและพายุหนัก เรือนพังทับเศรษฐี ภรรยาและบุตรชายเศรษฐีทั้งสามคนตาย ขณะนี้กำลังถูกเผาอยู่ที่เชิงตะกอนเดียวกัน ควันไฟยังเห็นอยู่ข้างหน้าโน่นแน่ะจ้ะ” เล่าพลางก็ชี้มือให้ดูควันไฟข้างหน้า

บัดนั้นเอง นางก็หมดสติล้มฟุบลง พอรู้สึกตัวนางก็จำไม่ได้ว่าตนได้ปราศจากผ้านุ่งห่ม เพราะเป็นบ้าและความโศกเศร้า จึงเดินวนเวียนเพ้อรำพันว่า “สามีเราก็ตายที่กลางป่า ลูกทั้งสองก็ตาย บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน”

นับแต่นั้นมา นางก็มีชื่อว่า “ปฏาจารา” เพราะมีอาจาระตกไป เป็นผู้เปลือยกายเที่ยวไปอยู่ คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็โยนขยะลงบนศีรษะ บางพวกก็โปรยฝุ่นใส่ บางพวกก็ขับไล่ว่าอีบ้าไปให้พ้น บางพวกก็ขว้างด้วยท่อนไม้ด้วยก้อนดิน


ขณะนั้นนางปฏาจาราได้เดินเปะปะบ่ายหน้าไปทางพระเชตวันวิหาร ซึ่งในขณะนั้นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม ในท่ามกลางพุทธบริษัทหมู่ใหญ่อยู่ มหาชนเห็นนางแล้ว พากันห้ามว่าอย่าให้นางเข้ามา

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำรวจดูความแก่กล้าแห่งญาณ จึงตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย” เมื่อนางถึงที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า “แม่นาง จงกลับได้สติเถิด” ในทันใดนั้นเอง นางก็กลับได้สติเพราะพุทธานุภาพ รู้ตัวว่าผ้าที่นุ่งอยู่หลุดหมดแล้ว เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นมา จึงนั่งคุกเข่าลง ชายผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มให้ นางนุ่งผ้าห่มนั้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระศาสดา


นางกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วย สามีก็ได้ตายที่กลางป่า ลูกคนเล็กถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป ลูกคนโตถูกน้ำพัดไป บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเรือนล้มทับตาย เขาเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน” นางกราบทูลด้วยความโศกเศร้า น้ำตานองหน้า

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนปฏาจารา! เจ้าอย่าคิดมากไปเลย เจ้ามาหาเรา ซึ่งสามารถจะเป็นที่พึ่งของเจ้าได้ ก็บัดนี้เจ้าหลั่งน้ำตา เพราะความตายของลูกและญาติเป็นเหตุฉันใด ในสังสารวัฏที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้วก็ฉันนั้น น้ำตาที่เธอหลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นนั้น ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก”


เมื่อพระศาสดาบรรยายธรรมกถาเรื่องสังสารวัฏ ที่หาเงื่อนต้นและเงื่อนปลายไม่สิ้นอยู่ ความโศกเศร้าของนางก็บรรเทาลง จึงทรงแสดงธรรมกถาต่อว่า


“ดูก่อนปฏาจารา! ขึ้นชื่อว่าปิยชน (คนที่รัก) มีบุตร เป็นต้น ก็ไม่อาจจะช่วย จะซ่อนเร้น หรือเป็นที่พึ่งของคนที่ไปสู่ปรโลกได้  ปิยชนเหล่านั้นแม้มีอยู่ ก็ชื่อว่าไม่ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงชำระศีลของตนแล้ว ทำทางที่จะไปพระนิพพานให้สำเร็จ ดังนี้”

จบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา พระศาสดาทรงนำนางไปสำนักภิกษุณีให้บรรพชา นางได้อุปสมบทแล้วไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์


อรรถกถาปฏาจาราเถรีคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๔ หน้า ๑๘๔

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๖

โทษของคนตระหนี่

L56.1.png



พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานนทเศรษฐี ผู้เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียวจัด แม้ว่าจะมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ก็มีชีวิตเป็นอยู่ยาจก ดังนี้

ในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐีชื่ออานนท์ มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่มาก เขาจะประชุมพวกญาติทุกครึ่งเดือน แล้วให้โอวาทแก่บุตรของตนชื่อมูลศิริว่า “เจ้าอย่าได้ทำความสำคัญว่า ทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้มา เจ้าไม่ควรให้ทรัพย์ที่มีอยู่หมดไป แต่ควรจะทำทรัพย์ให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราทำทรัพย์แม้เพียงกหาปณะหนึ่งหมดไป ทรัพย์ทั้งสิ้นก็ย่อมจะหมดไปได้”


อานนทเศรษฐีได้ยกตัวอย่างว่า พึงดูยาหยอดตา ที่ใช้ไปทีละหยดๆ ใช้นานไปมันก็หมดขวดได้ นี้ในทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ พึงดูการก่อรังของจอมปลวกทั้งหลาย มันได้ก่อขึ้นเพียงวันละเล็กวันละน้อย จอมปลวกก็ใหญ่ขึ้นมาได้ นี่เป็นทางเจริญแห่งโภคทรัพย์

ท่านเศรษฐีอานนท์ ได้ฝังขุมทรัพย์ไว้ ๕ แห่ง แต่ไม่ได้บอกให้บุตรรู้ ด้วยความตระหนี่และหวงทรัพย์ เมื่อเขาตายแล้ว ก็ยังมีความผูกพันในทรัพย์นั้น จึงไปเกิดในท้องของหญิงจัณฑาลยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้ประตูแห่งหนึ่ง ใกล้พระนครนั่นเอง


พระราชาทรงทราบว่าอานนทเศรษฐีทำกาละแล้ว จึงได้ทรงตั้งมูลศิริเป็นบุตรแทนตำแหน่งเศรษฐีต่อไป ตระกูลแห่งคนจัณฑาล ที่อานนทเศรษฐีไปเกิดนั้น ต้องทำงานรับจ้างมีอยู่ประมาณพันคน พากันออกรับจ้างเป็นกลุ่มอยู่ นับแต่ที่เขาไปเกิดอยู่ในท้องมารดาแล้ว ก็ทำให้มารดาไปรับจ้างไม่ได้ค่าจ้างเลย ไปรับจ้างกับพวกไหนก็ทำให้คนพวกนั้นพลอยอดไปด้วย

พวกจัณฑาลเหล่านั้น ได้กล่าวกันว่า “บัดนี้ พวกเราแม้ทำงานก็ไม่ได้ค่าจ้าง ไม่ได้แม้แต่ก้อนข้าว ในหมู่พวกนี้ เห็นจะมีคนกาลกิณีอยู่เป็นแน่” ครั้นแล้วจึงแยกพวกจัณฑาลออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่อานนทเศรษฐีไปเกิดอยู่ในท้องมารดา พอเข้าไปกับฝ่ายไหน ก็ทำให้ฝ่ายนั้นอดอยาก ในที่สุดนางก็ถูกเขาคัดนางออกมาอยู่คนเดียว ก็ทำให้นางต้องอดอยากตลอดไป


เมื่อนางคลอดบุตรแล้ว เอาบุตรไปหากินด้วย ก็ไม่มีใครจ้าง ต้องพาอดกลั้นทั้งแม่และลูก จึงต้องให้ลูกอยู่ในที่พัก นางจึงพอหากินได้บ้าง และทารกนั้นเมื่อเกิดมาก็วิกล มีมือ เท้า นัยน์ตา หู จมูก และปากไม่เหมือนคนปกติ คือมีรูปร่างน่าเกลียด ดุจปีศาจคลุกฝุ่น

แม้กระนั้นมารดาก็ยังไม่ทิ้งบุตร นางทนเลี้ยงดูด้วยความอดอยากฝืดเคืองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทารกโตพอจะหากินได้เองแล้ว นางก็เอากระเบื้องใส่มือ แล้วกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย แม่ลำบากเพราะเจ้ามามากแล้ว บัดนี้แม่ไม่อาจจะเลี้ยงเจ้าต่อไปอีกแล้ว อาหารที่เขาจัดไว้ตามโรงทานมีอยู่ เจ้าจงไปหาเลี้ยงปากท้องเอาเองเถิด”


เมื่อกล่าวแล้ว นางก็ได้ปล่อยทารกไว้ ทารกนั้นก็ได้เดินไปจนถึงบ้านของตน เพราะระลึกชาติก่อนได้ จึงเข้าไปสู่เรือนของตน โดยที่ไม่มีใครเห็น เขาผ่านซุ้มประตูไปถึง ๓ แห่ง พอมาถึงซุ้มที่ ๔ บุตรของมูลศิริเศรษฐีเห็นเข้า ก็เกิดความหวาดกลัวร้องไห้จ้า

ลำดับนั้น พวกบริวารของเศรษฐีกล่าวกะทารกว่า “เฮ้ย! เอ็งจงออกไป ไอ้คนกาลกิณี” ว่าพลางก็โบยตีจนบอบช้ำ แล้วจับเอาไปโยนไว้ที่กองขยะ ครั้นนั้นแล พระศาสดามีพระอานนท์ติดตาม ได้เสด็จบิณฑบาตมาถึงที่นั้นแล้ว ทอดพระเนตรดูพระเถระ เมื่อพระอานนท์ถูกถามแล้ว จึงทำให้เชิญมูลศิริเศรษฐีออกมา พร้อมด้วยมหาชนประชุมกันแล้ว


พระศาสดาได้ตรัสถามเศรษฐีว่า “ท่านรู้จักทารกนั่นไหม?” มูลศิริเศรษฐีทูลตอบว่า “ไม่รู้จัก พระเจ้าข้า” พระศาสดาจึงตรัสว่า “ทารกนั้น คืออานนทเศรษฐีผู้เป็นบิดาของท่าน” ครั้นแล้ว พระศาสดาได้ตรัสกะทารกว่า “อานนทเศรษฐี ท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่  ๕ แห่ง ที่ท่านฝังไว้แก่บุตรของท่านเถิด”

พระศาสดาทรงยังมูลศิริเศรษฐี ผู้ไม่เชื่อด้วยการพาไปขุดขุมทรัพย์ แล้วมูลศิริ
เศรษฐีจึงเลื่อมใส ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมแก่มูลศิริเศรษฐี โดยตรัสเป็นคาถาว่า

“คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่ ตนแลย่อมไม่มีแก่ตน ส่วนบุตรและทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน ?”

ในกาลจบพระธรรมเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สรรพสัตว์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล้วแล.


อรรถกถาอานนทเศรษฐี

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๐ หน้า ๑๘๒

L55.png


Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๗

ปลาปากเหม็น

L56.1.png



เมื่อครั้นศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ เสด็จปรินิพพานแล้ว ตระกูลหนึ่งมีแม่ชื่อว่า สาธนี ลูกชายคนโตชื่อ โสธนะ น้องชายชื่อ กปิละ และมีน้องสาวชื่อ ตาปนา

ต่อมาทั้งสี่คนก็ออกบวชหมด ลูกชายทั้งสองบวชเป็นภิกษุ ส่วนแม่และน้องสาวบวชในสำนักของภิกษุณี พระโสธนะพี่ชายบวชแล้ว ก็เรียนวาสธุระคือวิปัสสนาธุระ ต่อมาไม่นานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์


ส่วนน้องชายถือว่าตนยังหนุ่มอยู่ จึงสมัครเรียนทางคันถธุระ หรือปริยัติก่อน ต่อมาเมื่อชราแล้วจึงจะเรียนวิปัสสนาธุระ เมื่อท่านพระกปิละเรียนปริยัติจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็มีบริวารมาก ลาภก็เกิดขึ้นมาก เกิดความมัวเมาในความที่ตนเป็นพหูสูต สำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต

เมื่อกปิละหลงตนอยู่ ก็ได้กล่าวคำสอนผิดๆ อันตรงข้ามกับคำสอนของพระกัสสปพุทธเจ้า แม้เหล่าภิกษุผู้มีศีลจะกล่าวตักเตือนก็หาฟังไม่ กลับขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายว่า “พวกท่านเหมือนคนมีกำมือเปล่า จะรู้อะไร!” พวกภิกษุเหล่านั้นได้บอกเรื่องนี้แก่พระโสธนะพี่ชาย


พระพี่ชายก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนพระน้องชายว่า อย่าได้กระทำบาปกรรมอย่างนั้นเลย พระกปิละก็ไม่สนใจ ท่านยังคงประพฤติตนเป็นเสี้ยนหนามพระศาสนาต่อไป พระพี่ชายก็ได้บ่นว่า คุณจะปรากฏกรรมของคุณเอง แล้วท่านก็ไม่ใส่ใจอีก

กาลต่อมา พระโสธนเถระก็ได้ปรินิพพาน พระกปิละทำพระศาสนาได้เสื่อมแล้ว ตายไปก็ได้ไปเกิดในอเวจีมหานรก ส่วนพระภิกษุณีมารดาและน้องสาว เมื่อพระกปิละลูกชายถูกภิกษุว่ากล่าว ทั้งภิกษุณีมารดาและภิกษุณีน้องสาว ต่างก็เข้าข้างพระกปิละด่าว่าภิกษุผู้มีศีลเหล่านั้น เมื่อตายไปก็ได้ไปบังเกิดในนรก


ครั้งนี้แล บุรุษประมาณ ๕๐๐ คน ทำบาปกรรมเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นโจรปล้นฆ่าชาวบ้านอยู่ กลางวันได้เข้าไปในป่า พบพระภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง ไหว้แล้วกล่าวว่า

“ท่านขอรับ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกกระผมด้วย” พระเถระกล่าวว่า “อุบาสก ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มี ขอพวกท่านจงสมาทานเบญจศีลเถิด” พวกโจรพากันรับศีล ๕ แล้ว พระเถระได้กล่าวว่า “บัดนี้พวกท่านเป็นผู้มีศีลแล้ว เมื่อพวกท่านถูกเขาทำร้ายก็จงอย่าได้ประทุษร้ายตอบแม้ด้วยใจ” พวกโจรเหล่านั้นรับคำของพระเถระแล้ว


ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นต่างตามหาโจรอยู่ ได้ตามมาถึงที่โจรอยู่ ต่างพากันทำร้ายพวกโจรจนตายหมดทุกคน เพราะพวกโจรมิได้ต่อสู้ ต่างพากันรักษาศีลนั่นอยู่ พวกโจรเหล่านั้นเมื่อตายแล้ว ต่างก็ไปเกิดในเทวโลก หัวหน้าโจรได้เป็นหัวหน้าเทพบุตร ได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกอยู่พุทธันดรหนึ่ง

ครั้นเคลื่อนจากเทวโลกในกาลแห่งพระศาสนานี้ เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า ได้มาเกิดในท้องของภรรยาชาวประมง ผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในบ้านของชาวประมงใกล้ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรบริวารก็ได้พากันมาเกิดในครรภ์ของภรรยาชาวประมง และได้เกิดในวันเดียวกันนั่นแล ต่อมาเด็กเหล่านั้นก็ได้ทำการประมงแทนตระกูล โดยหัวหน้าอดีตโจรมีชื่อว่า ยโสชะ เป็นหัวหน้าเด็กเหล่านั้น และถืออาชีพเป็นชาวประมงต่อมาด้วยกัน

ครั้งนั้นภิกษุชื่อว่า กปิละ ก็ได้มาเกิดเป็นปลาสีเหมือนทอง แต่มีกลิ่นปากเหม็นยิ่งนัก อยู่ในแม่น้ำอจิรวดี ด้วยเศษกรรมที่เหลือในนรก จึงได้มาเกิดเป็นปลาปากเหม็น ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชาวประมงเหล่านั้น ถือแห (อวน) แล้วคิดว่าเราจักจับปลาทั้งหลาย จึงได้เหวี่ยงแหลงแม่น้ำไป จับปลาครั้งแรกก็ได้ปลาทอง พวกชาวประมงต่างพากันจับปลาใส่เรือ แล้วยกเรือไปสู่พระราชวัง

พระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า “นั่นอะไรสหาย?” พวกเด็กชาวประมงทูลตอบว่า “ปลาพิเศษ พระเจ้าข้า” พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลามีสีทอง ก็ทรงดำริว่า พระผู้มีภาคเจ้า จักทรงทราบเหตุที่ตัวนี้มีสีทอง จึงรับสั่งให้นำปลาตามไป แล้วเสด็จไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาที่ปลาอ้าปากขึ้น ทั่วพระวิหารเชตวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง

พระราชาทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไรปลาจึงเกิดเป็นปลาสีทอง และเพราะเหตุใดกลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้นพระเจ้าข้า?”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้เป็นพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่า กปิละ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป

เพราะกรรมนั้นของเธอ จึงไปบังเกิดในอเวจีมหานรก และด้วยเศษกรรมนั้นได้มาเกิดเป็นปลาและมีปากเหม็นยิ่งนัก แต่ด้วยเศษแห่งวิบากกรรม ที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์สรรเสริญพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานาน เธอจึงมีสีเป็นทองมหาบพิตร ตถาคตจะให้ปลานั่นพูดเอง

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามปลาทองว่า “เจ้าคือกปิละหรือ?”

ปลาทองทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกแล้วพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ซื่อว่า กปิละ”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “เธอมาจากไหนเล่า?”

“ข้าพระองค์มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วพระโสธนเถระ พี่ชายของเธอไปไหน?”
ปลาทองทูลตอบว่า “หลวงพี่โสธนะปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วแม่ของเธอนางสาธนีไปไหน”
ปลาทองทูลตอบว่า “แม่สาธนีเกิดในนรก พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “แล้วนางตาปนาน้องสาวเธอไปไหน”
ปลาทองทูลตอบว่า “นางตาปนาเกิดในมหานรก พระเจ้าข้า”


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “บัดนี้เธอจักไปไหนอีก”
ปลาทองทูลตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จักไปสู่มหานรกพระเจ้าข้า”


ในทันใดนั้นเอง ปลาทองอันความวิปฏิสาร (ร้อนใจ) ครอบงำแล้ว ได้ใช้ศีรษะฟาดเรือ แล้วก็ได้ตายไปเกิดในมหานรก มหาชนที่ได้ดูอยู่เกิดความสังเวช ขนลุกชูชัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันสมควรแก่ขณะนั้น ซึ่งมีคฤหัสถ์และบรรพชิตที่มาประชุมพร้อมกัน ได้ตรัสพระสูตรนี้แล้วแล



อรรถกถากปิลสูตร

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๔๗ หน้า ๒๑๒

L55.png

Rank: 8Rank: 8

ตอนที่ ๑๘

คนปากเสีย

L56.1.png


พระเถระองค์นี้ ท่านก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ในศาสนาแห่งศาสนาพระพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ ท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล พอถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีความเชื่อในพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระศาสดา ไหว้ต้นโพธิ์พฤกษ์แล้วบูชาด้วยการพัดวี

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาเกิดในเรือนมีตระกูล เมื่อรู้เดียงสาแล้วได้บวชในศาสนา ได้เป็นเจ้าสำนักอยู่ในอารามที่อุบาสกตนหนึ่งสร้างไว้ให้ และให้ความอุปัฏฐากอยู่ประจำ


ครั้นวันหนึ่ง มีพระอรหันต์เถระรูปหนึ่ง ผู้ครองจีวรปอนๆ มาจากป่ามุ่งหน้ามาบ้านโยมเพื่อจะปลงผมและหนวดแล้ว ให้ท่านบริโภคโภชนะอันประณีต พร้อมทั้งถวายจีวรเนื้อดีๆ แก่ท่าน และนิมนต์ให้พักอยู่ในสำนักนั้น ฝ่ายภิกษุเจ้าสำนักเห็นดังนั้น ก็มีความริษยาเพราะมีความตระหนี่เป็นนิสัย ได้กล่าวกะพระเถระนั้นว่า

“ดูก่อนภิกษุ การที่ท่านเอานิ้วมือถอนผมเป็นอเจลก เลี้ยงชีพด้วยคูถ (อุจจาระ) และมูตร (ปัสสาวะ) ยังจะประเสริฐกว่า การอยู่ด้วยการอุปถัมภ์ของอุบาสกที่บำรุงท่านอยู่”


ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ตนเองก็เข้าไปในเวจกุฎี (ส้วม) ในขณะนั้นเองเอามือกอบคูถกินและดื่มมูตร เหมือนคนข้าวปายาส และได้ทำตนอย่างนี้อยู่จนตลอดอายุ ทำกาละแล้วก็ไปหมกไหม้อยู่ในนรก มีคูถและมูตรเป็นอาหารอีกและด้วยเศษแห่งวิบากกรรมนั้นแล แม้ว่าเขาจะมาเกิดเป็นคน ก็เป็นนิครนถ์ มีคูถและมูตรเป็นอาหารอยู่ถึง ๕๐๐ ชาติ

ในพุทธกาลนี้ เขาได้มาเกิดในตระกูลของคนทุกข์ยาก เพราะด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม ที่ไปกล่าวร้ายต่อพระอรหันต์ เขาได้ดื่มนมสดหรือเนยใส ก็ทิ้งสิ่งนั้นเสียมาดื่มเฉพาะมูตรเท่านั้น เขาเอาข้าวสุกให้ก็ทิ้งเสีย มากินแต่คูถเท่านั้น เขาจึงต้องเติบโตมาด้วยอาหารที่เป็นคูถและมูตรเท่านั้น


ใครๆ ก็ไม่อาจจะห้ามเขาได้ ฝ่ายญาติๆ ทั้งหลายจึงขับไล่เขาไป เขาจึงไปบวชเป็นคนเปลือย ไม่อาบน้ำ ครองผ้าเปื้อนด้วยธุลีและฝุ่น ถอนผมและหนวด ห้ามอิริยาบถอื่น ยืนด้วยเท้าเดียว ไม่รับนิมนต์ ถ้ามีผู้เลื่อมใสต้องการบุญ เขาจะฉลองศรัทธาด้วยการเอาปลายหญ้าคาแตะที่อาหารแล้วเลียด้วยปลายลิ้นเท่านั้น

ส่วนเวลากลางคืนไม่เคี้ยวกินคูถสด ด้วยคิดว่าคูถสดมีตัวสัตว์ จึงกินแต่คูถแห้งเท่านั้น เมื่อเขาดำรงชีพอยู่อย่างนี้ถึง ๕๕ ปี มหาชนก็สำคัญเขาว่าเป็นผู้มีตบะมาก มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงมีความเลื่อมใสในตัวเขา


ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นด้วยญาณอันแก่รอบของเขา จึงเสด็จไปโปรดในที่นั่น ให้เขาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล และให้บวชอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ขวนขวายในวิปัสสนา และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง

เมื่อท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้กล่าวว่า


“เราเอาฝุ่นและธุลีทาตัวอยู่ตลอด ๕๕ ปี บริโภคอาหารเดือนละครั้ง ถอนผมและหนวด ยืนด้วยเท้าข้างเดียว งดเว้นการนั่ง กินคูถแห้ง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชิญ เราได้ทำบาปกรรม อันเป็นเหตุไปสู่ทุคติไว้มากเช่นนั้น ถูกโอฆะพัดไปอยู่ ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอท่านจงดูสรณคมน์และความที่พระธรรมเป็นธรรมดีเลิศ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว เราได้ทำกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว”


อรรถกถาชัมพุกเถรคาถา

พระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม ๕๒ หน้า ๒๕

L55.png


‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-5-13 08:53 , Processed in 0.080343 second(s), 16 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.