ตำนานพระธาตุดอยปางม่วง นครลำปาง
(แหล่งที่มา : ประชุม ดวงแก้วมูล ถวายโดย อาจารย์ศรีเนตร ทิพยมณี. (๒๕๔๙). ตำนานพระธาตุดอยปางม่วง นครลำปาง. หน้า ๑-๑๐.)
บัดนี้ จักได้กล่าวอุปัติเหตุที่พระบรมธาตุแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาประดิษฐานอยู่บนม่อนนี้ มีเนื้อความว่า ในอดีตกาลสมัยหนึ่ง เมื่อสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตะวันมหาวิหาร อันเป็นของนายอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถีพระมหานคร ในครั้งนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา หลังจากตรัสรู้แล้ว ๒๕ พรรษา ในราตรีวันหนึ่งพระองค์ทรงรำพึงในพระหฤทัยว่า บัดนี้เรามีพระชนมายุนับได้ ๖๐ ปีเข้ามานี้แล้ว ครั้นพระชนมายุได้ ๘๐ ปี เราก็จักเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เราควรอธิษฐานพระบรมธาตุออกเป็น ๓ ส่วนแจกให้แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์แล้วสักการบูชา
อนึ่งประเทศใดที่ยังไม่มีเราควรไปอธิษฐานบรรจุไว้ ณ ประเทศนั้น และทรงรำพึงต่อไปว่าอีกประการหนึ่ง เราควรเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายและประดิษฐานพระศาสนาไว้ในประเทศต่างๆ ดังนั้น ครั้นออกพรรษาแล้วพระองค์ทรงเสด็จออกจากพระเชตวันไปในวันเดือนยี่เหนือแรม ๑ ค่ำ (เดือน ๑๒ ได้) พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๓ รูป คือ พระโสณเถระ พระรัตนเถระ และพระอุตระเถระ และพระอานนท์เถระผู้เป็นเสกขบุคคลและท้าวสักกะเทวราชและสมเด็จพระเจ้าอโศกราชผู้ครองเมืองกุสินารายเสด็จไปเป็นพระพุทธอุปปะฐากพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ใคร่รื้อสัตว์ออกจากสงสารวัฏฏะทุกข์ ไม่เลือกหน้ามนุษย์บุคคลชนิดใด ถึงแม้ว่าจะอยู่ทิศหนตำบลใดไม่ว่าไกลหรือใกล้ พระองค์ก็จำเป็นจะไปเมตตาสัตว์นาๆ น้อยใหญ่
ในห้วงจตุทิศ อัฐทิสาโดยลำดับมาถึงเขาแห่งหนึ่งอันอยู่ใกล้แม่น้ำชื่อว่าแม่ตาล อันอยู่ทางทิศพายัพของโยนกนคร พอเสด็จมาถึงที่นั้นยังมีมหายักษ์ ๒ ตนอยู่และหลาน มีชื่อว่านายมหันตยศ ซึ่งอยู่อาศัยบนเขาลูกนี้ ได้อดอาหารมาได้ ๗ วันแล้ว ได้แลเห็นพระองค์มาจึงอยากจะกินพระองค์ แต่พระองค์กลัวมหายักษ์นั้นก็หาไม่ แต่พระองค์อยากจะให้มันไล่พระองค์ ให้มันอิดหิวก่อนแล้วค่อยเรียกมันมาสั่งสอน คิดดังนั้นแล้วมหายักษ์จึงไล่พระองค์มาทางทิศใต้ และทิศตะวันออกเฉียงใต้แห่งเขาลูกนั้น แล้วมหายักษ์จึงเนรมิตให้เป็นฝนเป็นลมใส่พระองค์ ท้าวมหาพรหมจึงเอาฉัตรมากั้นกางฝนให้พระองค์ มหายักษ์ไล่ตามพระองค์ไปๆมาๆก็ไม่ทันพระองค์ พระองค์เห็นมันอ่อนเพลียเต็มที่แล้วจึงร้องบอกว่าท่านไม่รู้จักกูหรือ มหายักษ์ตอบว่า กูไม่รู้ และแล้วพระองค์จึงบอกว่ากูเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาและมนุษย์อินทร์พรหมยักษ์ทั้งหลาย
มหายักษ์ได้ยินดังนั้นแล้วจึงเข้าใจทัน แล้วจึงเข้ามานมัสการกราบไหว้พระองค์ พระองค์แม้รู้จึงแกล้งถามว่า ท่านเป็นใคร มีชื่ออย่างไร มหายักษ์ตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้านี้ชื่อว่านายมหายักษ์ ได้อยู่รักษาป่าเขานี้มาตั้งแต่ก่อนเนิ่นนานนักหนาแล้ว เมื่อนั้นพระองค์จึงเทศนาอกุศลกรรมอันเป็นบาปให้มหายักษ์ฟัง แล้วจึงปันศีล ๕ ประการให้มหายักษ์ว่า (๑.) ปาณา ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์เดรัจฉานและมนุษย์ (๒.) อทินนา ห้ามไม่ให้ถือเอาสิ่งของไม่อนุญาต (๓.) กาเม ห้ามไม่ให้ประพฤติผิดในกาม (๔.) มุสา ห้ามไม่ให้พูดเท็จ (๕.) สุรา ห้ามไม่ให้ดื่มสุราหรือเมรัยอันเป็นมูลของอกุศลทุกอย่าง ท่านมหายักษ์จงรับเอาศีลแห่งพระตถาคตไปจนตลอดชีวิต มหายักษ์จึงรับเอาศีล ๕ ประการจากพระพุทธเจ้า แล้วจึงมีใจโสมนัสยินดียิ่งนัก
แล้วพระพุทธเจ้าจึงรำพึงต่อไปว่า สถานะที่นี้ภายหน้าจักเป็นบ้านเมืองอันใหญ่ เราควรให้เกศาแก่มหายักษ์ให้เอาบรรจุไว้บนเขาที่มหายักษ์อาศัยอยู่นั้น เมื่อเราให้เกศาแก่มหายักษ์ให้เอาบรรจุไว้ในสถานที่นั้นให้เป็นที่กราบไหว้และบูชาแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คนและเทวดาทั้งหลายจักได้ถึงธรรมวิเศษมากนัก คิดดังนั้นแล้วพระองค์จึงยกพระหัตถ์เบื้องขวาลูบพระเศียร ได้พระเกศาติดพระหัตถ์ออกมาหนึ่งเส้น พระองค์ก็เอามอบให้พระอานนท์เถระ พระอานนท์เถระก็เอามอบให้มหายักษ์
แล้วมหายักษ์ก็ถามว่า จักให้ข้าเอาไปบรรจุไว้ที่ใด พระองค์จึงกล่าวว่า ให้เอาบรรจุไว้ที่ม่อนดอยที่มหายักษ์อาศัยอยู่ที่นั้น แล้วพระองค์เถระทั้งหลาย ท้าวสักเทวราช พระเจ้าอโศกราชจึงพร้อมกับเอาพระเกษาของพระพุทธเจ้าไปบรรจุไว้ที่นั้น และท้าวสักเทวราชจึงอธิษฐานแยกแผ่นดินให้เป็นช่องลึกประมาณ ๒๐ วา แล้วจึงเนรมิตผะอบทองคำใส่เกษาธาตุพระพุทธเจ้า แล้วเนรมิตผอบเงินใส่ผอบทองคำ แล้วเนรมิตผะอบทองเหลืองใส่ผอบเงิน แล้วเอาลงบรรจุไว้ที่นั้น ท้าวสักเทวราชก็ให้มหายักษ์อยู่รักษาพระเกษาธาตุไปจนตลอด ๕๐๐๐ พระพรรษา
แล้วพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ดูก่อนอานนท์ สถานที่นี้ภายหน้าจักเป็นบ้านเมืองอันหนึ่ง และในที่มหายักษ์เนรมิตให้เป็นฝนเป็นลมใส่พระตถาคตนั้น ภายหน้าชนทั้งหลายจักเรียกว่า เวียงลม และในที่พระตถาคตเรียกมหายักษ์มาสั่งสอน และให้ศีลห้าแก่มหายักษ์นั้น ภายหน้าจักเป็นเวียง ชนทั้งหลายจะเรียกว่า เวียงต้าน เหตุพระตถาคตได้ปากต้านเจรจา สั่งสอนยักษ์ที่นั้น ภายหน้าต่อไปชนทั้งหลายจักเรียกชื่อว่า เวียงตาล อีก และที่มหาพรหมเอาฉัตรมากั้นกลางฝนให้พระตถาคตนั้นภายหน้าชนทั้งหลายจะเรียกว่า ห้างฉัตร และในดอยม่อนน้อยที่มหายักษ์เอาเกษาพระตถาคตบรรจุไว้นี้ ภายหน้าชนทั้งหลาย จักเรียกว่า ดอยนาย เหตุเป็นที่อยู่ของมหายักษ์นั้น
และในน้ำห้วยที่ไหลมาแต่ทิศเหนือลงมาตะวันตกดอยที่นั้นยังมีผาลาดก้อนหนึ่ง มหายักษ์เอาให้พระพุทธเจ้าซักผ้าและนั่งอาบน้ำ แล้วพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ดูก่อนอานนท์ สถานที่นี้ภายหน้าชนทั้งหลายจะเรียกว่า มะหินซักผ้า เพราะมหายักษ์เอาผ้ามาให้พระตถาคตนั่งอาบน้ำและซักผ้านั้น และในเมื่อพระตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๓๐๐ ปี ยังจักมีพญาองค์หนึ่งมีชื่อว่า ศรีธรรมมาอโศกราช เป็นบุตรของพระเจ้าพินทุสารของพระตถาคต แล้วจักมีพระราชอาญาไปสร้างพระเจดีย์แปดหมื่นสี่พันหลังทั่วไปในชมพูทวีป ลังก๋าทวีปทั้งมวล แล้วจักมีพระราชอาญาให้มาสร้างพระมหาธาตุเจ้าที่นี้แล้วด้วยอิฐทั้งมวล แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาจากที่ต่างๆ มาสมโภชน์อบรมทำการฉลองอยู่ ๗ วัน ๗ คืน เหล่าชนทั้งหลายก็มีใจเลื่อมใสศรัทธาในพระธาตุเจ้ามากนัก แล้วจักอยู่ไปนานไปได้ ๓๐๐ ปี
แล้วจักร้างห่างไปนานได้ ๒๐๐ ปี แล้วจักมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า นางจามเทวี อยู่เมืองลัวะปุ่งคือ เมืองหริภุญชัย (คือเมืองลำพูนเดี๋ยวนี้) ได้นำเงินและทองคำมาบริจาคสร้างพระเจดีย์ที่นี้ด้วยดินและอิฐทั้งมวล แล้วสร้างศาลาบันไดขึ้นไปไหว้พระธาตุเจ้าให้รุ่งเรืองมากนัก แล้วทำการมหกรรมฉลอง แล้วอธิษฐานมะนาวลูกหนึ่งจ่อมลงวังแม่น้ำที่นี้ให้ผุดออกน้ำบ่อเลี้ยงวัดพระธาตุลำปางหลวง เพราะนางได้สร้างวัดพระธาตุลำปางหลวง แล้วก็ได้มาสร้างพระธาตุเจ้าที่นี้ ด้วยเดชอำนาจบุญของนาง มะนาวลูกนั้นจึงผุดออกน้ำบ่อเลี้ยงลำปางหลวง เมื่อนั้นชนทั้งหลายจึงเรียกสถานที่นั้นว่า วังมะนาว มาจนถึงทุกวันนี้
แล้วพระธาตุเจ้าจักรุ่งเรืองไปได้ ๕๐๐ ปี แล้วจักร้างห่างไปได้อีก ๕๐๐ ปี แล้วจักมีผู้มีบุญสมภารบารมีทั้งหลายได้มาเกิดในบ้านเมืองนี้ แล้วได้มารู้มาเห็นยังพระธาตุเจ้า แล้วจักมีศรัทธาเลื่อมใสในพระธาตุ แล้วจักพากันมาสร้างตกแต่งยังพระธาตุเจ้าและสร้างศาลาบาตรและสร้างบันไดที่ขึ้นไปไหว้พระธาตุเจ้า แล้วพากันมาสมโภชน์อบรมยังพระธาตุเจ้าในที่นี้เป็นอันประเสริฐยิ่งนัก เป็นที่คนและเทวดาทั้งหลายได้ถึงธรรมวิเศษมากนัก และเหตุดังนั้นบุคคลผู้ใดได้มากระทำอนารัทธะ (สกปรก บ้วนน้ำลาย คายเสมหะอาจมทั้งหลาย) ในสถานที่นี้ ย่อมจักเป็นอันตรายแก่บุคคลนั้น และบุคคลผู้จักมาไหว้นมัสการพระธาตุเจ้าที่นี้ให้ได้บูชาที่แผ่นหินลาดที่พระตถาคตซักผ้าและอาบน้ำก่อน แล้วจึงได้ขึ้นไปไหว้และบูชาพระธาตุเจ้าก็จักพ้นจากอันตรายต่างๆ และบุคคลผู้ใดได้มาสักการบูชาพระธาตุเจ้าที่นี้ อย่าได้กระทำอนารัทธะ คือว่าเสียมุตตะอาจ๋มใส่หน้าผาและบนดอยพระธาตุเจ้าอยู่นี้ไม่ดี จักเป็นอันตรายต่างๆ นาๆ แก่บุคคลผู้นั้น และเหตุเทวดาและมหายักษ์อันอยู่รักษาสถานที่นี้ไม่ถูกใจ
และดูก่อนอานนท์ บุคคลใดได้มาแผ้วมาถางมาสร้างแปงสถานที่นี้ และมาก่อพระเจดีย์ก๋วมพระธาตุเจ้า และได้มาสร้างถนนหนทางขึ้นไปไหว้พระพุทธเจ้า และมาสร้างพระวิหารและศาลาบาตรไว้ให้เป็นที่อาศัยแก่สมณะพราหมและอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายที่ได้มาไหว้สาสักการบูชาพระธาตุเจ้าที่นี้ ก็จักมีผลานิสงส์กว้างขวางมากนักในภพนี้และภพหน้าตลอดถึงพระนิพพาน แม้จักปรารถนาเป็นพระเจ้าก็ดี จักปรารถนาเป็นพระสมเด็จพุทธเจ้าและอรหันตาสาวกก็ดี แม้จักปรารถนาเป็นพญาจักรวัติราชก็ดี แม้นจักปรารถนาเป็นเศรษฐีก็ดี แม้จักปรารถนาเอาเงินและทองคำสมบัติอันใดก็ดี ก็จักสมดังมโนปนิธานปรารถนาทุกประการ ครั้นแตกก๋ายทำลายขันธ์จุติโลกนี้ไปแล้ว ก็จักได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองคำสูงได้ร้อยโยชน์ มีนางฟ้าได้แสนโกฏิเป็นบริวาร แม้นจุติจากสวรรค์ที่นั้นแล้ว ก็จักลงมาเกิดในตระกูลท้าวพญามหากษัตริย์ พราหมณะ คหบดีเศรษฐี ประกอบด้วยโภคทรัพย์สมบัติมากนัก เมื่อภายหน้าก็จักได้เป็นอัครสาวกของพระศรีอริยะเมตไตรย ตนจักลงมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า
และประการหนึ่งบุคคลผู้ใด คือว่าเจ้านาย ท้าวพญา ประชานาราช เศรษฐี พราหมณะ คหบดี และนักบวชผู้ใดก็ดี ได้มาเมตตาภาวนาในสถานที่นี้ ก็จักมีอานิสงส์อันมากนักนับไม่ได้ ครั้นแตกกายทำลายขันธ์จากโลกนี้แล้วก็จะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานคำสูงได้ ๖๐ โยชน์ มีนางฟ้าได้แสนโกฏิเป็นบริวาร บุคคลผู้ใดมีจิตศรัทธาได้มากวาดแผ้วขยะมูลฝอย ออกแล้งขนทรายมาเรี่ยไรใส่สถานที่นี้ให้รับราบรื่นก็ดี ก็จักมีอานิสงส์อันมากนัก ครั้นแตกกายทำลายขันธ์จากโลกนี้แล้ว ก็จักได้ไปเกิดในชั้นฟ้าวิมานคำสูงได้ ๕๐ โยชน์ มีนางฟ้าได้สามหมื่นเป็นบริวารประการหนึ่ง
บุคคลผู้ใดได้มาสักการบูชาพระธาตุเจ้าที่นี้แล้วได้ให้ไทยะวัตถุทานแก่พระธาตุเจ้าที่นี้แล้ว จักแผ่ผายกุศลนำบุญไปหาวงศาคนญาติทั้งหลายที่เป็นเปรตอยู่ในอบายทั้งสี่มีนรก เป็นต้น ถ้าหากพ่อแม่พี่น้องวงศาคณาญาติทั้งหลายได้มาสักการบูชาและได้ให้ไทยะวัตถุทาน แด่พระธาตุเจ้าที่นี้แล้วอุทิศส่วนกุศลไปหาเขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็จักได้พ้นจากอบายทั้งสี่นรก เป็นต้น ก็จักได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้าจะแล
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงเนื้อความนี้แก่พระอานนท์แล้ว ท้าวสักเทวราชและสมเด็จพระเจ้าอโศกราชเป็นต้น ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ทรงพาบริวารเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายต่อไป แล้วก็กลับไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร แขวงเมืองสาวัตถีมหานครตามเดิมวันนั้น และในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับไปสู่ป่าเชตวันอารามแล้ว ส่วนมหายักษ์ทั้งสองก็อยู่รักษาพระธาตุเจ้าไปตลอดชีวิต แล้วในเมื่อเลี้ยงสิ้นอายุจุติแล้วก็ได้บังเกิดเป็นเทพารักษ์อยู่รักษาพระธาตุเจ้าต่อไปเหตุท้าวสักเทวราชได้บัญญัติไว้ให้อยู่รักษาพระธาตุเจ้าไปตลอด ๕๐๐๐ พระพรรษา
เหตุนั้นสาธุชนทั้งหลายทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตผู้ใดได้ไปกราบไหว้สักการบูชาด้วยอามิสสะบูชา เป็นต้นว่าข้าวตอกดอกไม้สุคนธ์ของหอมก็ดี ด้วยข้าวน้ำโภชนาหารก็ดี ด้วยเงินทองเสื้อผ้าก็ดี ชั้นที่สุดเพียงกราบไหว้ด้วยมือสิบนิ้วก็ดี จงระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธคุณว่า “อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ” เป็นต้น ย่อมได้ชื่อว่าเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน อาจสำเร็จมะโนปณิธิความปรารถนาทุกประการ กล่าววัดพระธาตุดอยปางม่วงก็ยุติลงเท่านี้