แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 46664|ตอบ: 6
go

อานิสงส์ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

อานิสงส์ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ

     เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง ได้มาทำความดีในมนุษยโลก มาพบพระพุทธศาสนา และตัวเราก็เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล นับว่าเป็นสิ่งที่ได้มายากแสนยาก เพราะคุณสมบัติ ๓ ประการนี้ เป็นคุณสมบัติของผู้มีบุญที่จะใช้โอกาสที่ดีเช่นนี้สร้างบารมีตักตวงบุญกุศลได้เต็มที่ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมทำใจให้ผ่องใสเป็นบุญใหญ่ และเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของเราอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเราและชาวโลก ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตคือช่วงเวลาที่ใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ(Meditation) มีใจสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส ได้พบกับพระรัตนตรัยภายใน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาทิตตสูตร ว่า
                              “นีหเรเถว ทาเนน      ทินฺนํ โหติ สุนิพฺภตํ
                               ทินฺนํ สุขผลํ โหติ     นาทินฺนํ โหติ ตํ ตถา

     บุคคลควรนำสมบัติออกด้วยการให้ทาน เพราะสิ่งที่ให้แล้วได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้วนั้น ย่อมมีสุขเป็นผล ส่วนที่ยังไม่ได้ให้  ย่อมไม่เป็นเหมือนอย่างนั้น”

     เรื่องของบุญเป็นเรื่องอจินไตย สามารถรู้ได้เห็นได้ด้วยธรรมจักขุและญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ของธรรมกาย บุญที่เราทำหรือกรรมที่เราสร้าง ไม่ได้สูญหายไปไหน เมื่อถึงคราวบุญส่งผลจะทำให้เราสมบูรณ์พร้อมในทุกสิ่ง ไม่มีขาดตกบกพร่อง มีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในทุกด้าน ยิ่งถ้าได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ถูกทักขิไณยบุคคล กำลังบุญก็จะยิ่งเพิ่มพูนเป็นทับทวีเกินกว่าจะนับจะประมาณได้ ที่เรียกว่าเป็นอจินไตยนั้น คือเกินกว่าการคาดคิดด้นเดาด้วยปัญญาของมนุษย์ หากว่าถวายทานโดยตัดขาดจากใจ ไม่คิดเสียดายในภายหลัง ใจไม่ติดในวัตถุสิ่งของที่ให้ไปแล้ว จิตเป็นกุศลตั้งมั่นอยู่ในบุญเพียงอย่างเดียว อานิสงส์ผลบุญนั้นก็จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย วัตถุทานจะมากหรือน้อยนั้นไม่สำคัญ เพราะเมื่อจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว วัตถุทานนั้นชื่อว่ามีผลน้อยก็หาไม่


     บุญกุศลเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่จะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จากยากจนเข็ญใจให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ หรือจากสามัญชนคนธรรมดากลายเป็นกัลยาณชนผู้มียศฐานบรรดาศักดิ์ กระทั่งเป็นอริยชนหมดกิเลสอาสวะเป็นพระอริยเจ้า ดังเรื่องของหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ที่อานุภาพแห่งบุญได้เปลี่ยนแปลงชีวิตจากสามัญชนให้ได้เป็นถึงอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล ด้วยบุญที่เกิดจากการถวายทานถูกเนื้อนาบุญนั่นเอง


     * เรื่องมีอยู่ว่า ในเมืองสาวัตถี มีธิดาของหัวหน้านายมาลาการคนหนึ่งชื่อว่า มัลลิกา เป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม มีผิวพรรณวรรณะผ่องใส แถมยังเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี วันหนึ่งขณะที่นางกำลังจะไปสวนดอกไม้พร้อมกับเพื่อนๆ นางได้นำขนมกุมมาส ๓ ก้อนไปด้วย ด้วยตั้งใจว่าจะเอาไปรับประทานในระหว่างทาง ขณะที่กำลังจะออกจากเมืองได้มองเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ กำลังจะเสด็จเข้าสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต


     พอนางเห็นเท่านั้น ก็เกิดจิตเลื่อมใสอย่างเต็มเปี่ยม มีความประสงค์จะถวายทาน จึงนำขนมกุมมาสทั้ง ๓ ก้อน เข้าไปถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อถวายเสร็จนางได้ก้มกราบลงแทบพระบาทของพระพุทธองค์ด้วยความร่าเริงเบิกบาน เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรก็ได้ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เห็นพระอาการนั้น จึงทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการแย้มของพระโอษฐ์” พระองค์จึงตรัสว่า “อานนท์ กุมาริกาคนนี้มีจิตเลื่อมใสในเราและหมู่สงฆ์ ได้ถวายทานด้วยใจที่ผ่องใส วันนี้นางจะได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลทีเดียว เพราะผลแห่งบุญที่ถวายทานถูกทักขิไณยบุคคล”


     และในวันนั้นนั่นเอง พระเจ้าโกศลได้ทำการรบกับพระเจ้าอชาตศัตรูแล้วทรงปราชัย ได้ทรงม้าต้นเสด็จมาถึงสวนดอกไม้ที่ธิดาของนายมาลาการกำลังร้องเพลงพร้อมกับเก็บดอกไม้อย่างมีความสุข เมื่อพระเจ้าโกศลได้สดับเสียงของนาง ทรงเกิดจิตปฏิพัทธ์ได้ควบม้าไปตามเสียงนั้น นางกุมาริกาซึ่งมีจิตเป็นกุศลเพราะใจเบิกบานอยู่ในบุญ แม้จะเห็นพระราชาเสด็จมาก็ไม่ตกใจวิ่งหนี กลับเดินมาจับเชือกที่บังเหียนม้าทรง พระองค์จึงตรัสว่า  "เสียงของเธอช่างไพเราะจับใจ เธอมีสามีแล้วหรือยัง" เมื่อทรงทราบว่ายังไม่มี จึงเสด็จลงจากม้าต้น และด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการรบ  จึงทรงงีบหลับไปบนตักของนางนั้นเอง เมื่อทรงตื่นจากบรรทมก็ให้นางนั่งบนหลังม้า ทรงแวดล้อมด้วยกำลังพลเสด็จเข้าสู่พระนคร แล้วทรงส่งนางไปที่เรือนของญาติผู้ใหญ่ของพระองค์


     ในเวลาเย็นทรงส่งราชรถไปรับนางมาสู่พระราชมณเฑียรด้วยเครื่องสักการะและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ แล้วทรงอภิเษกนางไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี พระนางทรงเป็นดังเทพธิดาของพระสวามี และทรงคุ้นเคยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องที่นางถวายขนมกุมมาส ๓ ก้อน แล้วได้เป็นอัครมเหสีนั้นได้ระบือไปทั่วพระนคร แม้พระภิกษุสงฆ์ก็สนทนาเรื่องของพระนาง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงนำเรื่องในอดีตที่พระองค์เองก็เคยถวายขนมกุมมาสแล้วได้สมบัติมากมายให้ฟังว่า


     พระโพธิสัตว์ได้เกิดอยู่ในตระกูลของคนเข็ญใจ เมื่อเติบโตแล้วได้อาศัยเศรษฐีท่านหนึ่งทำงานรับจ้างเลี้ยงชีพ ต่อมาวันหนึ่งท่านได้ซื้อขนมกุมมาส ๔ ก้อนเพื่อเป็นอาหารเช้า ในระหว่างทางได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ พระองค์กำลังเสด็จบิณฑบาตผ่านมาจึงคิดว่า เราก็มีขนมกุมมาสอยู่ ๔ ก้อนพอดี พอที่จะถวายพระได้ทั้ง ๔ องค์ เมื่อก่อนเราปรารถนาจะให้ทาน แต่ด้วยความยากจนจึงไม่มีไทยธรรม บัดนี้ไทยธรรมก็มีแล้ว ปฏิคาหกก็มีพร้อมแล้ว เราควรจะให้ทานในตอนนี้ แล้วตกแต่งอาสนะ ๔ ที่โดยพูนทรายขึ้น ปูลาดด้วยกิ่งไม้และเอาผ้าเปลือกไม้ของตนที่ห่มอยู่ปูทับลงไปอีกที นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ประทับนั่ง แล้ววางขนมกุมมาส ๔ ก้อนลงในบาตรทั้ง ๔ ใบ พร้อมกับขอพรว่า “ด้วยผลแห่งการถวายขนมกุมมาสนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดคนเป็นยากจน ขออย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าเลย และขอให้การถวายทานครั้งนี้ จงเป็นพลวปัจจัยแห่งการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณด้วยเถิด” เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเสวยเสร็จแล้ว ก็ทรงทำอนุโมทนาให้สมปรารถนาดังที่ขอพร แล้วท่านก็เหาะไปเขานันทมูลกทันที


     ส่วนพระโพธิสัตว์ยืนประคองอัญชลีส่งเสด็จ ได้ยึดพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ พอพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นละสายตาไป ท่านก็ตั้งปณิธานว่า จะทำจิตให้เลื่อมใสอย่างนี้ตลอดไป แม้ทานน้อยนิดแต่ถวายถูกเนื้อนาบุญ และตามรำลึกถึงทานนั้นอยู่ตลอดเวลาจนหมดอายุขัย ละโลกไปแล้วท่านก็ถือกำเนิดเป็นพรหมทัตกุมาร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี  เมื่อเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาทก็ทรงสามารถระลึกชาติหนหลัง ได้ปรากฏชัดเหมือนเห็นเงาหน้าของพระองค์อยู่ในกระจกเงาอย่างนั้น ทรงรู้ว่าได้เคยเป็นลูกจ้างในนครนี้มาก่อน มีชีวิตอยู่อย่างลำบาก แต่โชคดีที่ได้ทำบุญถวายทานถูกทักขิไณยบุคคลจึงได้ถือกำเนิดในตระกูลสูง เมื่อพระราชบิดาได้สวรรคตลงก็เสด็จขึ้นครองราชย์แทน


     ในวันฉัตรมงคล เหล่าเสนาอำมาตย์ได้นำพระราชธิดาผู้เลอโฉมของพระเจ้าโกศลมาถวาย พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี แล้วเสด็จขึ้นปราสาทประทับนั่งบนราชบัลลังก์ แวดล้อมด้วยข้าราชบริพาร พราหมณ์คหบดี เศรษฐีมหาศาล และประชาชน พร้อมทั้งสตรีนักฟ้อนรำจำนวน ๑๖,๐๐๐ นาง ประหนึ่งเทพอัปสรในสวรรค์ ทรงพอพระทัยในสิริราชสมบัตินั้น


     เมื่อทอดพระเนตรดูสิ่งที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ก็ทรงหวนรำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้บำเพ็ญไว้ในชาติปางก่อน พระสรีระทั้งสิ้นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมหาปีติ ถึงกับขับเพลงท่ามกลางมหาชนด้วยเนื้อความว่า “การปรนนิบัติพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีผลหาน้อยกว่านี้ไม่ เชิญท่านทั้งหลายมาดูผลของการถวายขนมกุมมาสเถิด แม้จะไม่ประณีต มีรสจืดสนิท ยังมีอานิสงส์ใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นเหตุให้เราได้ราชสมบัติ ครอบครองทั้งแผ่นดินในชมพูทวีป”  พระองค์ทรงเบิกบานพระทัย และได้ให้โอวาทแก่พสกนิกรทั้งหลายให้ขวนขวายในบุญกุศล อย่าได้ประมาทในชีวิต ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีกันให้เต็มที่ จะได้ถึงพร้อมด้วยสมบัติทั้งหลายเช่นเดียวกับพระองค์


     เราจะเห็นว่า บุญกุศลนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องอจินไตยที่บันดาลทุกสิ่งให้สมปรารถนาได้ เพราะบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จทั้งมวล อุปสรรคต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นก็จะมลายหายสูญไปหมด ด้วยกระแสธารแห่งบุญที่เราได้สั่งสมเอาไว้อย่างดีแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในเพศภาวะใด หรืออยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม อย่าขาดการทำบุญกุศล ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือตกต่ำ ฝนจะตกรถจะติด ก็อย่าขาดในการสั่งสมบุญ  ให้หมั่นขวนขวายสร้างบุญบารมีกันทุกอนุวินาที เป็นนักสร้างบารมีที่ไม่ว่างเว้นจากการสร้างบารมี ทำความดีกันตลอดเวลา เมื่อถึงคราวบุญส่งผล ความอัศจรรย์ที่เป็นเรื่องอจินไตยก็จะเกิดขึ้นกับตัวของเราเอง เมื่อนั้นเราจะเกิดความปีติและภาคภูมิใจ ฉะนั้นให้รักในการแสวงหาบุญกุศลกันยิ่งชีวิต


พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Rank: 1

สาธุค่า

Rank: 1

สาธุ สาธุ สาธุ

Rank: 1

อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

Rank: 1

ส่วนแบตสมัยเก่าที่ตอนนี้น่าจะเลิกใช้ไปแล้ว คือ เมทัลไฮดรายด์ ซึ่ง "จำเป็น" จะต้องใช้ให้หมดเกลี้ยงก่อนแล้วจึงชาร์จ ถ้าไม่หมดจะต้องมีการ Discharge ให้มันหมดก่อน เพราะแบตชนิดนี้ สมมุติว่าเหลือ 30% แล้วนำไปชาร์จ (โดยไม่ discharge) มันจะจำว่า 30% คือตำแหน่งที่แบตหมด (บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ใช้แบตแบบนี้นะครับ ไม่ต้องกังวล) บุหรี่ อีกทั้งยังมีบริษัทหลากแบบเพื่อรอ ให้คำชี้แนะท่าน ในพท.ทั่วกรุงเทพ และทั่วทุกภาค ovale สารกัมมันตรังสี ควันบุหรี่มีสารโพโลเนียม 210 ที่มีรังสีอัลฟาอยู่ เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด บุหรี่ นอกจากนิโครติน บุหรี่ไฟฟ้ามีโทษอย่างอื่นหรือไม่ คำตอบคือไม่มีครับเพราะ ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วย PG กับ VG ซึ่งมีในพวกยาสีฟัน ครีมล้างหน้า เยลลี่ ลิปมันทาปาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราใช้ในชีวิตเป็นประจำวัน  กระเพาะปัสสาวะ และอื่นๆ ร้อยละ 50 ของน้ำมันดิน จะไปจับที่ปอด เกิดระคายเคือง ทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะ บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งใช้แบต Lithium-ion มีจำนวนครั้งในการชาร์จประมาณ 300 ครั้ง (จำนวนครั้งอาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นแต่ละโรงงาน) ไม่ว่าจะทะนุถนอมดีเพียงใด ในที่สุดมันก็ต้องจากไปเพราะหมดอายุการใช้งาน  ถ้าผมสูบบุหรี่ไฟฟ้าอีก 20 ปี แล้วผมไม่เป็นมะเร็งถือว่าผมได้ผลกำไร แต่ถ้าผมเป็นมะเร็ง

Rank: 1

อนุโมทนาบุญครับ

Rank: 1

สาธุด้วยครับ

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-12-31 02:41 , Processed in 0.030181 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.