พระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานด้านหลังวิหาร วัดรมณียาราม (กู่ละมัก) 
พระบรมธาตุเจดีย์ (พระธาตุกู่ละมัก) วัดรมณียาราม (กู่ละมัก)
ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ที่มีความสูงขนาดเท่ากับพระนางจามเทวีและลูกธนูเสี่ยงทางสถานที่ตั้งสร้างวัดรมณียาราม (กู่ละมัก) ๓ ดอกบรรจุไว้ด้วย
สร้างโดย พระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย (จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน) เมื่อประมาณ พ.ศ.๑๒๐๖ ใช้เวลาสร้างเกือบ ๒ เดือน แล้วทรงทำพิธีการสมโภช ๓ วัน ๓ คืน ทรงขนานนามว่า พระอารามรามัญ (สถานที่แห่งนี้ปัจจุบันคือ วัดรมณียาราม (วัดกู่ละมัก) จ.ลำพูน)
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้ทำการบูรณะและสร้างครอบเจดีย์องค์เดิมดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ใช้เวลาในการก่อสร้าง ๑ เดือน
คำนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์
(ว่านะโม ๓ จบ) วันทามิ เจติยัง สัพพัง สัพพัฏฐาเนสุ ปะติฏฐิตา สะรีระธาตุโย เกศาธาตุโย อะระหันตา ธาตุโย เจติยัง คันทะกุฏิง จะตุละสี ติสสะหัสเส ธัมมักขันเธ สัพเพสัง ปาทะเจติยัง อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ ทุระโส อะหังวันทามิ สัพพะทา อะหังวันทามิ สิระสาฯ
ประวัติวัดรมณียาราม (กู่ละมัก)
จาก ป้ายประวัติวัดรมณียาราม (กู่ละมัก) และตำนานมูลศาสนา
ในปีพุทธศักราช ๑๒๐๖ พระนางจามเทวี ได้เสด็จขึ้นเรือจากเมืองละโว้มาตามแม่น้ำปิงตามคำเชิญของพระฤาษีวาสุเทพหรือพระสุเทวฤาษี และสุกกทันตฤาษี เพื่อขึ้นครองเมืองหริภุญชัย ระหว่างที่พระนางเสด็จขึ้นมาตามแม่น้ำปิงได้ผ่านสถานที่ต่างๆ
เมื่อมาถึงท่าน้ำชื่อว่า เจียงตอง (ปัจจุบันอาจเป็นอำเภอจอมทอง) พระนางจึงหยุดพักไพร่พล ณ ที่นั่น และได้ตรัสกับนายธนูผู้ขมังเวทย์เป็นผู้จัดการคาดคะเนยิงธนูหาภูมิประเทศที่วิเศษที่จะสร้างวัด โดยที่พระนางเจ้าได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากลูกธนูไปตก ณ ที่แห่งใด จะให้สร้างองค์มหาเจดีย์และวัด ณ ที่แห่งนั้น
ดังนั้น นายธนูผู้มีพระเวทย์ก็ยิงลูกธนูหันหัวศรมุ่งตรงมาทางทิศเหนือ ๓ ครั้ง และเป็นที่ประหลาดอัศจรรย์ ในเมื่อลูกธนูพุ่งขึ้นสู่อากาศไปบนฟ้าทั้ง ๓ ดอก จากจุดที่ยิงจากเจียงตอง ลูกธนูพุ่งมาตามแรงอธิษฐานของพระนางเจ้า แล้วตกลงมาทั้งสามครั้ง
ซึ่งเมื่อนายธนูได้ติดตามค้นหาลูกธนูที่ยิงมานั้นก็ได้พบว่าตกมายัง ณ จุดที่สร้างองค์เจดีย์กู่ละมัก พระนางจึงโปรดฯ ให้มีการสร้างมหาเจดีย์ขึ้นบริเวณดังกล่าว พร้อมกับรับสั่งให้ช่างเอาธนูทั้ง ๓ ดอกนั้นบรรจุลงไปในองค์พระเจดีย์นั้นด้วย
อนึ่ง พระนางได้โปรดฯ ให้สร้างพระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ที่มีความสูงขนาดเท่ากับพระนางจามเทวี และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งนำมาจากเมืองละโว้บรรจุไว้ข้างในองค์มหาเจดีย์นี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ของพระนางจามเทวีองค์หนึ่ง
เพื่อให้เป็นที่กราบไหว้ของผู้คนทั้งหลาย เพื่อให้บังเกิดเป็นสิริมงคลและยังเป็นการนำมาซึ่งความผาสุก ความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้คนที่มาเคารพสักการบูชา หลังจากพระนางจามเทวีสร้างองค์มหาเจดีย์แล้ว พระนางก็ทรงโปรดให้สร้างวัดไว้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษาของพระสงฆ์องค์เจ้าและสามเณรที่ได้อาราธนามาจากกรุงละโว้ด้วย
สำหรับพระเจดีย์ได้ปรักหักพังไปตามกาลเวลา จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ พระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้ทำการบูรณะและสร้างครอบเจดีย์องค์เดิมดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ใช้เวลาในการก่อสร้าง ๑ เดือน
ซึ่งพระครูบาเจ้าศรีวิชัยได้สร้างพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะละโว้ เศียรพระพุทธรูป เศียรพระฤาษี ศิลปะละโว้ ธรรมาสน์หลวง ที่ใช้สำหรับแสดงพระธรรมเทศนาไว้ในคราวนั้นด้วย องค์เจดีย์กู่ละมักนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพกราบไหว้ของผู้คนทั้งหลาย
--------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : ป้ายประวัติวัดรมณียาราม (กู่ละมัก))
ประวัติวัดรมณียาราม (กู่ละมัก)
เรียบเรียงโดย พระชัยวัฒน์ อชิโต
หนังสือตามรอยพระพุทธบาท ฉบับรวมเล่ม ๑
ในสมัยพระนางจามเทวี เสด็จมาสร้างพระธาตุดอยน้อย แล้วจึงข้ามฝั่งแม่น้ำระมิงค์ เสด็จเลียบฝั่งด้านตะวันออกเรื่อยมากระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีบริเวณร่มรื่นอุดมสมบูรณ์ดี จึงได้ยับยั้งไพร่พลที่นี้
คืนนั้นก็ได้ทรงพระสุบินว่า มีดวงมณีขาวโชติช่วงได้ตกลงมายังภาคพื้นดิน ณ สถานที่ใกล้ๆ กับที่พักไพร่พล จึงวันรุ่งขึ้นเป็นวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็ง พุทธศก ๑๒๐๑ ก็ประชุมพระอาจารย์ แล้วทรงเล่าถึงพระสุบินจนจบสิ้น
พระอาจารย์ทั้งปวง ก็ทำนายพระสุบินว่า สถานที่นี้จักเป็นสถานที่สำคัญ จักเจริญด้วยศาสนาของพระตถาคต จึงถวายความเห็นว่า สมควรสร้างพระอาราม ณ ที่นี้
ดังนั้นในวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๕ นั้น ได้เริ่มสร้างพระอาราม ทรงสร้างพระเจดีย์ทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และทรงสร้างพระพุทธรูปเท่าพระองค์ หมู่เศรษฐีที่ติดตามมาได้สร้างพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมาก รวมเวลาสร้างเกือบ ๒ เดือน
แล้วทรงทำพิธีการสมโภช ๓ วัน ๓ คืน ทรงขนานนามว่า พระอารามรามัญ (สถานที่แห่งนี้ปัจจุบันคือ วัดกู่ละมัก จ.ลำพูน)
--------------------
(แหล่งอ้างอิงข้อมูล : พระชัยวัฒน์ อชิโต สำนักงานธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี. (๒๕๔๙, ๑ มกราคม). ตามรอยพระพุทธบาท ฉบับรวมเล่ม ๑ (พิมพ์ครั้งที่ ๑). กรุงเทพฯ: เยลโล่การพิมพ์, หน้า ๓๗๖.)