แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4095|ตอบ: 4
go

ตอบคุณจิดาภา [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

ดิฉันอยากรบกวนถามคุณมารน้อยเกี่ยวกับการอุทิศบุญถวายสังฆทานหลังเที่ยงค่ะ ดิฉันจะถวายสังฆทานให้หมา แมว พ่อ พี่ หลาน ฯ เมื่อก่อนพอทำแล้ว(ซึ่งคิดว่าหลังเที่ยงตลอด) ก็เห็นทุกคนไปสวรรค์หมด บ้างก็ไปดาวดึงส์ บ้างก็ชั้นจาตุมหาราช และตอนนี้ก็เห็นพวกเขายังอยู่ มีวิมาร มีเสื้อผ้า การถวายสังฆทานหลังเที่ยงจะมีผลกับพวกเขาอย่างไรคะ เพราะถ้าไปถวายสังฆทานที่ซอยสายลม ก็หลังเที่ยงทุกที(ไม่แน่ใจว่าเคยมีก่อนเที่ยงไหม) รอจนฝึกมโนมยิทธิเสร็จจึงถวาย ถวายช่วงเช้าไม่ได้ค่ะอยู่ต่างจังหวัดไปไม่ทัน จะถามพวกเขาโดยตรงก็ทำไม่ได้ค่ะ เพราะมโนมยิทธิไม่แจ่มใส ไม่เคยได้ยินเสียงสักครั้งค่ะ แล้วถ้าไม่ควรอุทิศบุญถวายสังฆทานหลังเที่ยง ควรใช้เบิกบุญอุทิศให้ในภายหลังหรือเปล่าคะ

Rank: 1

2#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-13 09:59 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
จากคำถาม ของคุณจิดาภา ผมหาข้อมูลมาให้แล้วครับ เรื่องการถวายสังฆทาน หลังเวลาเที่ยง มีผลอย่างไร จากข้อมุลนี้ผมขอตอบแบบนี้ครับ การถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานคือ การทำทานให้แก่หมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปโดยไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่งเป็นพิเศษ หรือมีการตั้งองค์แทนคณะสงฆ์เพื่อรับ ทานนั้นๆ ก็ได้ สังฆทานไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารอย่างเดียว จะเป็นสิ่งของอื่นที่หมู่สงฆ์สามารถใช้ประโยชน์ก็ได้ จะเป็นสิ่งอื่นก็ไม่ผิด  ผมเองก็เคยถวายเครื่องมือช่างให้กับพระในวัด เพื่อที่ท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในวัดต่อไป  ทีนี้ประเด็นที่ว่าเราถวายสังฆทานในตอนหลังเทียงได้ไหม  เรื่องนี้ตอบได้ทันทีเลยว่าได้ครับ แต่(มีแต่)สังฆทานนั้นต้องไม่มีอาหาร เพราะหากเป็นอาหารพระท่านไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารนั้นได้ มันผิดวินัย  หากจะถามว่าสังฆทานที่ดี(ผีหรือวิญญาณชอบ) ต้องเป็นอย่างไร ต้องประกอบด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และ พระพุทธรูป สิ่งเหล่านี้วิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วชอบ เพราะนำไปใช้ได้เลย แต่ทีนี้มีเรื่องอาหารเข้ามาเกี่ยวข้อง เราควรถวายพระท่านก่อนเที่ยงจึงจะดี พระท่านจะไม่ผิดวินัย  ผมต้องขอโมทนากับคุณจิดาภาด้วยที่ได้มโน แล้วรู้ว่าผู้ที่ตายไปแล้วเขาสะบายกันหมด  มีเรื่องหนึ่งที่เกิดกับตัวผมเองขอเล่าแบบย่อๆ ว่า ครั้งที่คุณตาของผมตายใหม่ๆ ผมได้ถวายเงินพระ พร้อมกับอุทิศบุญ ผลปรากฎว่า ผลบุญนั้นเป็นวิมานสวยงาม แต่ตาผมใช้ไม่ได้ เข้าไปก็ปรากฏเป็นไฟลุกท่วมเลย  จากการสอบถามผลบุญนั้นปนบาปด้วเลยไม่สามารถใช้ได้ ทุกวันนี้วิมานนั้นก้ยังอยู่แต่ไม่สามารถใช้ได้  แต่สังฆทานนี่พระท่านไม่ได้ใช้อาหารผลเลยไม่มากนัก แต่ผลบุญก็น้อยกว่าเมื่อเปรียบกับเราถวายก่อนเพลครับ

Rank: 1

3#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-13 19:48 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณ คุณธนาด้วยที่ร่วมวงสนทนาด้วยครับ ที่แรกผมว่าจะเงียบเพราะผมไม่รู้ว่าจะนำมะพร้าวห้าวมาขายสวนไหม พอดีอย่างนี้ครับจากที่ผมพอมีความรู้ที่ได้ศึกษามาปัญญาก็เท่าหางอึ่งตลอด๔ปีที่ได้มีกลุ่มญาติธรรมที่ได้ทิพย์ญาณเหมือนกันจำนวนหนึ่ง   พวกเราก็อยากรู้ว่าให้เงินพระบุญหรือบาป เลยพิสูจน์ด้วยหลากหลายวิธีด้วยกัน เอาอย่างนี้ก่อนอื่นอธิบายอย่างนี้ก่อนว่าการถวายเงินให้แก่พระภิกษุ เป็นบุญหรือบาปนั้น มีอยู่สองกรณี 8 O+ v% Y8 X* F" L3 F! V
๑. เราถวายเงินให้แก่พระภิกษุโดยให้เป็นสินส่วนตัว ของท่าน แบบนี้บาปอันนี้เนื่องจากสาเหตุเพราะมีวินัยบัญญัติไว้ว่า "ห้ามภิกษุเก็บเงินไว้แม้แต่ ๑ มาสก" สิ่งนี้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ดังนั้นการถวายเงินพระจึงเป็นการสนับสนุนให้พระผิดศีล หรือวินัยสงฆ์ ในทางโลกหากเราสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมายเรายังต้องรับโทษทางคดีความเหมือนกัน นั้นก็เช่นกันในทางธรรมหากเราสนับสนุนพระให้ทำผิดศีลหรือข้อปฏิบัติจะไม่ผิดได้อย่างไร งั้นเราถวายเงินพระไม่ได้หรืออย่างไร แต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าโลกปัจจุบันนี้เงินเป็นสิ่งสำคัญ (ผมเองก็ยังต้องการ) ดังนั้นเวลาถวายเงินพระก็ถวายไปเลยไม่ต้องคิดว่าเป้นอย่างไรต่อ ไม่ต้องอุทิศให้กับใครทั้งนั้น  เพราะเป็นเรื่องของ มนุษยธรรม ไม่ต้องคิดอะไรมาก
) a# q& F4 V0 |: B/ R๒. เราจะถวายเงินให้พระอย่างไรไม่บาป พระบางวัดท่านจะตั้งเงินกองกลางสำหรับสงฆ์(ไม่ได้เป็นส่วนตัวใครคนใดคนหนึ่ง) พระรูปใดจะเดินทางก็มาเบิกไป เราก็ถวายเป็นเงินกองกลางก็ได้ หรือตามตู้บริจาค ก็ได้เพราะตู้ไม่หลอก ส่วนใครจะไปใช้อย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของเขา" Z+ o; g' T; R+ Z
พระที่ท่านเคร่งครัดวินัยท่านจะไม่ยอมให้ตัวท่านมีสิ่งใดผิดเลย, U+ b3 A- P2 p3 W3 L/ Z' l! `
อีกเรื่องหนึ่ง การทำบุญด้วยอาหารแห้ง สิ่งนี้ก็ไม่ดีเช่นกัน ถามว่าทำไม มีบัญญัติเช่นกันสำหรับเรื่องนี้ว่า "ภิกษุห้ามเก็บอาหารไว้ค้างคืน" การถวายอาหารแห้งเลยไม่สมควร งั้นทำอย่างไร ก็นำไปให้ที่โรงครัว ให้แม่ครัวเขาดำเนินการ จะได้ไม่ผิดวินัย ควรถวายของที่สามารถฉันท์ได้ทันที เช่น นม น้ำผลไม้ หรือในเวลาเย็น นมถั่วเหลืองยังไม่สมควรเลย เพราะถั่วเหลืองถือเป็นอาหาร  ผมอาจจะผิดมาตลอดก็ได้  ก็ลองพิจารณาก็แล้วกันว่า สิ่งใดเหมาะสิ่งใดควร ส่วนเรื่องทำบุญไม่ว่าคุณจะอุทิศให้ใครหรือไม่ผลบุญนั้นก็ตอบแทนคุณทันทีอยู่แล้ว  ไม่ต้องเชื่อผมให้พิสูจน์เอง พุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้ อย่าเชื่อในสิ่งที่ทำสืบต่อๆกันมา อย่าเชื่อในหนังสือ อย่าเชื่อสิ่งที่ครูสอน% s1 y  X: Y; g2 q$ M

Rank: 1

4#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-14 12:56 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ตอบกระทู้ visutti ตั้งกระทู้6 f8 Q# _; j2 p3 d! \: S
# N" M( y$ `! q

การสังคายนาครั้งที่ ๒
  B, l5 F0 N- X& I% @: Wเมื่อพุทธศักราช ๑๐๐: y1 z7 B/ n5 ?! e6 S
ณ วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี

          การสังคายนาครั้งที่ ๒ ปรารถพวกภิกษุวัชชีบุตรกแสดงวัตถุ ๑๐ ประการนอกธรรมนอกวินัย พระยศกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้สิสัชนาประชุมทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เมื่อุทธศักราช ๑๐๐ โดยพระกาลาโศกราชเป็นศาสนูปภัมภก์ สิ้นเวลา ๘ เดือนจึงเสร็จ; s4 I$ r/ `: |: z, G5 a9 t
          หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานผ่านไปได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุที่จำพรรษาในเมืองเวสาลี ได้ประพฤติผิดวินัย ๑๐ ประการเรียกว่าวัตถุ ๑๐ ประการคือ
; r3 p6 x' R8 x+ U1 Y          ๑. ภิกษุจะเก็บเกลือไว้ในเขนง (ภาชนะที่ทำด้วยเขาสัตว์) แล้วนำไปฉันปนกับอาหารได้% M- _3 U& j9 e% V  B6 a+ ?; k! q
          ๒. ภิกษุจะฉันอาหารหลังจากตะวันบ่ายผ่านไปเพียง ๒ องคุลี 2 Q& s0 U( u% m& B( [! i' U0 h
          ๓. ภิกษุฉันภัตตาหารในวัดเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้วเข้าไปสู่บ้านจะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนและไม่ได้ทำวันัยกรรมตามพระวินัยได้2 ^1 b# ~1 S' z. [0 C& k6 |
          ๔. ในอาวาสเดียวมีสีมาใหญ่ ภิกษุจะแยกกันทำอุโบสถได้1 U0 m$ K1 B- Q- G) J, Y
          ๕. ในเวลาทำอุโบสถ แม้ว่าพระจะเข้าประชุมยังไม่พร้อมกันจะทำอุโบสถไปก่อนได้ โดยให้ผู้มาทีหลังขออนุมัติเอาเองได้
1 f6 g7 o3 R+ {: O& H! w8 o: c          ๖. การประพฤติปฏิบัติตามพระอุปัชฌายะอาจารย์ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพระวินัยก็ตาม ย่อมเป็นการกระทำที่สมควรเสมอ7 U! s4 r5 x) {
          ๗. นมส้มที่แปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ(นมเปรี้ยว)ภิกษุฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้ว จะฉันนมนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำวินัยกรรม หรือทำให้เดนตามพระวินัยก็ได้1 ?3 [, B, u7 \) K4 T
          ๘. สุราที่ทำใหม่ ๆ ยังมีสีแดง เหมือนสีเท้านกพิราบ ยังไม่เป็นสุราเต็มที่ ภิกษุจะฉันก็ได้
0 Q/ b; D0 w% E' i8 @2 ~          ๙. ผ้าปูนั่งคือนิสีทนะอันไม่มีชาย ภิกษุจะบริโภค ใช้สอยก็ได้
7 v! M9 Z" \* {# _: l* g8 V  F          ๑๐. ภิกษุรับและยินดีในทองเงินที่เขาถวายหาเป็นอาบัติไม่
% F, K, h* A7 g* a7 f9 H/ K# H          ต่อมาพระเถระอรหันต์ รูปหนึ่งชื่อพระยสกากัณฑกบุตร จากเมืองโกสัมพีได้ไปที่เมืองเวสาลี ได้พบเห็นพระภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี นำถาดทองสำริดเต็มด้วยน้ำ นำมาวางไว้ที่โรงอุโบสถ แล้วประกาศเชิญชวนให้ชาวบ้านบริจาคเงินใส่ลงในถาดนั้น โดยบอกว่าพระมีความต้องการด้วยเงินทอง แม้พระยสเถระจะห้ามปรามไม่ให้มีการถวายเงินทองในทำนองนั้น พระภิกษุวัชชีบุตรก็ไม่เชื่อฟังชาวบ้านเองก็คงถวายตามที่เคยปฏิบัติมา พระเถระจึงตำหนิทั้งพระวัชชีบุตรและชาวบ้าน ที่ถวายเงินทองและรับเงินทองในลักษณะนั้นเมื่อพระภิกษุวัชชีบุตรได้รับเงินแล้ว นำมาแจกกันตามลำดับพรรษานำส่วนของพระยสการัณฑบุตรมาถวายท่าน พระเถระไม่ยอมรับและตำหนิอีก
) H# V7 x7 P3 h# x          ภิกษุวัชชีบุตรไม่พอในที่พระเถระไม่ยอมรับตำหนิ จึงประชุมกันฉวยโอกาสลงปฏสาราณียกรรม คือการลงโทษให้ไปขอขมาคฤหัสถ์โดยกล่าวว่าพระเถระรุกรานชาวบ้าน ซึ่งพระเถระก็ยิยยอมไปขอขมาโดยนำภิกษุอนุฑูตไปเป็นพยานด้วย เมื่อไปถึงสำนักของอุบาสก พระเถระได้ชี้แจงพระวินัยให้ฟัง และบอกให้ชาวบ้านเหล่านั้นทราบว่า การกระทำของพระภิกษุวัชชีบุตรเป็นความผิด โดยยกเอาพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงไว้ความว่า
  Q8 l' z% H! t/ E! U! a          "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วย เวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"7 P% f  _# @' E' \' _7 k
          เมื่อพระยสกากัณฑกบุตรชี้แจง ให้อุบาสกอุบาสิกาเข้าใจแล้ว คนเหล่านั้นเกิดความเลื่อมใสพระเถระ อาราธนาให้ท่านอยู่จำพรรษา ณ วาลการาม โดยพวกเขาจะอุปฐากบำรุงและได้อาศัยท่านบำเพ็ญกุศลต่อไป ฝ่ายภิกษุที่เป็นอนุฑูตไปกับพระเถระ ได้กลับมาแจ้งเรื่องทั้งปวงให้ภิกษุวัชชีบุตรทราบ ภิกษุวัชชีบุตรจะใช้พวกมากบีบบังคับพระเถระด้วยการลงอุปเขปนียกรรม (ตัดสิทธิแห่งภิกษุชั่วคราว) แก่ท่านได้พากันยกพวกไปล้อมกุฏิของพระเถระ แต่พระเถระทราบล่วงหน้าเสียก่อนจึงได้หลบออกไปจากที่นั้น( T$ ~9 k5 y) W+ G2 ~! l/ O
          พระยาสกากัณฑกบุตรพิจารณาเห็นว่า เรื่องนี้หากปล่อยไว้เนิ่นนานไป พระธรรมวินัยจะเสื่อมถอยลง พวกอธรรมวาทีอวินัยวาทีได้พวกแล้วจักเจริญขึ้น จึงได้ไปเมองปาฐา เมืองอวันตี และทักขิณาบถแจ้งให้พระที่อยู่ในเมืองนั้น ๆ ทราบ เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไข และได้ไปเรียนให้พระสาณสัมภูตวาสี ซึ่งพำนักอยู่ ณ อโหคังคบบรรพตทราบและขอการวินิจฉัยจากพระเถระ พระสาณสัมภูตวาสีมีความเห็นเช่นเดียวกับพระยาสกากัณฑกบุตรทุกประการ' Q) p4 Q7 M- O: p5 p& ?
          ในที่สุดพระเถระอรหันต์จากเมืองปาฐา ๖๐ รูป จากแคว้นอวัตีและทักขิณาบถ ๘๐ รูป ได้ประชุมร่วมกับพระสาณสัมภูตวาสีและพระยสกากัณฑกบุตร ณ อโหคังคบพรรพต มติของที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าเรื่องนี้จะต้องมีการชำระกันให้เรียบร้อย โดยตกลงให้ไปอาราธนาพระเรวตเถระ ซึ่งเป้นพระอรหันต์ที่เป็นพหูสูตร ชำนาญในพระวินัยทรงธรรมวินัยมาติกาฉลาดเฉียบแหลม มีความละอายบาปรังเกียจบาปใคร่ต่อสิขาและเป็นนักปราชญ์ ให้เป็นประธานในการวินิจฉัยตัดสินเรื่องวัตถุ ทั้ง ๑๐ ประการนี้
. j8 q9 t+ L7 d" F% C, B3 j          พระสาณสัมภูตวาสีได้นำเรื่องวัตถุ ๑๐ ประการ เรียนถวายให้พระเรวตเถระทราบ และขอให้ท่านวินิจฉันทีละข้อ ปรากฏว่าทุกข้อที่ภิกษุวัชชีบุตรกระทำนั้น เป็นความผิดทางวินัยทั้งหมด จึงตกลงร่วมกันที่จะชำระเรื่องนี้ และจัดการสังคายนาพระธรรมวินัยทั้งหมด จึงตกลงร่วมกันที่จะชำระเรื่องนี้ และจัดการสังคายนาพระธรรมวินัยตามที่พระสังคีติกาจารย์ได้กระทำมาแล้วในคราวสังคายนา) p  Q5 p) _: h; X; T
          ในที่สุดที่ประชุมของพระอรหันต์ทั้งหลายได้ตกลงกันว่า อธิกรณ์ (เรื่องที่สงฆ์ต้องดำเนินการ) เกิดขึ้นในที่ใด ควรไปจัดการระงับในที่นั้นโดยพระเรวตเถระได้ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ขอให้สงฆ์ระงับอธิกรณ์ด้วยอพุพาหิกา คือ การยกอธิกรณ์ไปชำระในที่เกิดอธิกรณ์ สงฆได้คัดเลือกพระเถระ ๘ รูปคือ
* ~# c, N- g5 U% R) a$ Z, K          - พระสัพพากามีเถระ พระสาฬหเถระ พระขุชชโสภิตเถระ พระวาสภคามีเถระทำหน้าที่แทนฝ่ายปราจีนคือพวกวัชชีบุตร ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยอธิกรณ์. _9 e9 L$ m8 `/ a$ n
          - พระเรวตเถระ พระสาณสัมภูตวาสี พระยสกากัณฑกบุตร เถระพระสุมนเถระเป็นตัวแทนฝ่ายเมืองปาฐา ทำหน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายเมืองปาฐา ทำน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายสงฆ์ธรรมวาที มีหน้าที่ในการเสนออธิกรณ์ต่อสงฆ์
5 t) L8 G# z; m2 @$ T          สงฆ์ได้มอบหมายการสวดปาติโมกข์ การจัดแจงเสนาเสนะให้เป็นหน้าที่ของพระอชิตะ ซึ่งพรรษาได้ ๑๐ พรรษา และตกลงเลือกเอาวาลิการามหรือวาลุการาม เมืองเวสาลี อันเป้นที่เกิดเรื่องวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธเถระ อีก ๖ รูป เป้นศิษย์ของพระอานนท์เถระซึ่งเป็นสังคีติกาจารย์สำคัญในราวปฐมสังคายนา
  }5 P2 {! ]- U2 \          เมื่อพระเจ้ากาลาโศกราชรับสั่งให้พระสงฆ์ทัเง ๒ ฝ่ายประชุมร่วมกัน และขอให้แต่ละฝ่ายแถลงเหตุผลให้ทราบ ทรงโปรดในเหตุผลของฝ่ายพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงปวารณาพระองค์ที่จะให้การอุปถัมภ์ฝ่ายอาณาจักรทุกประการ และโปรดให้ชำระมลทินพระศาสนา พร้อมด้วยการทำทุติยสังคายนา (การร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒) ที่วาลุการาม เมืองเวสาลี พระอรหันต์เข้าร่วม ๗๐๐ รูปโดยมีการทำตามลำดับดังนี้
3 X  A5 B; s! x          ๑. พระเถระที่ได้กำหนดหน้าที่กันฝ่ายละ ๔ รูปนั้น พระเรวตเถระเอาวัตถุ ๑๐ ประการขึ้นมาถามทีละข้อ พระสัพพากามีเถระได้ตอบไปตามลำดัสว่า
' n# T  E- k4 j1 u1 E7 C- |7 z# b          ๑.๑ การเก็บเกลือไว้ในแขนง โดยตั้งใจว่าจะใส่ลงในอาหารที่จืดฉันเป้นอาบัติปาจิตตีย์ (จัดไว้ในจำพวกอาบัติเบา พ้นได้ด้วยการแสดง) เพราะการสะสมอาหารตามโภชนสิกขาบท
; b) u: n3 Z2 v8 Y          ๑.๒ การฉันโภชนะในเวลาวิกาลเมื่อตะวันบ่ายคล้อยไปแล้ว ถึง ๒ องคุลี ผิดต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันโภชนะในยามวิกาล& J' D' m7 I: c7 }) M! g5 U
          ๑.๓ ภิกษุฉันอาหารเสร็จแล้วคิดว่าจักฉันอาหารเข้าไปในบ้านแล้วฉันโภชนะที่เป็นอนติริตตะ (อาหารซึ่งไม่เป็นเดน ที่ว่าเป็นเดนมี ๒ คือ เป็นเดนภิกษุไข้ ๑ เป็นของที่ภิกษุทำให้เป็นเดน ๑) ผิดเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ และไม่ได้ทำวินัยกรรมก่อน
. |2 s: J# |+ ~/ z          ๑.๔ สงฆ์ทำสังฆกรรมด้วยคิดว่าให้พวกมาทีหลังอนุมัติทั่งที่ยังประชุมไม่พร้อมหน้ากัน ผิดหลักที่ทรงบัญญัติไว้ในจัมเปยขันธกะ ใครทำต้องอาบัติทุกกฏ) z6 P# r- g6 z1 t
          ๑.๕ อาวาสแห่งเดียวมีสีมาเดียวเท่านั้น ภิกษุจะแยกกันทำอุโบสถสังฆกรรมไม่ได้ ผิดหลักที่สรงบัญญัติไว้ในอุปโบสถขันธกะ ใครขืนทำต้องอาบัติทุกกฏ. ?9 P! X# T! |; O9 g
          ๑.๖ การประพฤติปฏิบัติด้วยความเข้าใจว่าอุปัชฌาย์อาจจารย์ของเราเคยประพฤติมาอย่างนี้ ไม่ถูกต้องนัก เพราะท่านเหล่านั้นอาจจะประพฤติผิดหรือถูก ก็ได้ ต้องยึดหลักพระวินัยจึงจะสมควร
8 H" ^* X: @7 S0 h! ?          ๑.๗ นมส้มที่ละความเป็นนมสดไปแล้ว แต่ยังไม่กลายเป็นทธิภิกษุฉันภัตตาหารส้มห้ามภัตรแล้ว จะดื่มนมนั้นอันไม่เป็นเดนภิกษุไข้หรือยังไม่ทำวินัยกรรมไม่ควรต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหารที่เป็นอนติริตตะ
4 c- o+ {/ ?" o* r. V8 p4 N$ B/ |          ๑.๘ การดื่มสุราอย่างอ่อนที่มีสีเหมือนเท้านกพิราบ ซึ่งยังไม่ถึงความเป็นน้ำเมาไม่ควร เป็นปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย$ H4 M( v9 g$ C2 ?) H: t: @
          ๑.๙ ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชายภิกษุจะใช้ไม่ควร ต้องอาบัติปาจิตตีย์ซึงต้องตัดเสียจึงแสดงอาบัติตก3 C1 w: _/ i( s
          ๑.๑๐ การรับเงินทองหรือยินดีทองเงินที่เขาเก็ไว้เพื่อตนไม่ควรต้องอาบัตินิสสัคคียะ ปาจิตติยะ เพราะรับทองและเงินซึ่งจะต้องสละจึงแสดงอาบัติตก
: b/ t5 u  e! `9 ]) V; `) u" l          ทุกข้อที่พระสัพพกามีวิสัชชนา ฝ่ายพระเรวตเถระได้เสนอให้สงฆ์ทราบทุกข้อและขอมติจากสงฆ์เพื่อให้ยอมรับว่า) k/ l  W6 b$ {# u
          "วัตถุเหล่านี้ผิดธรรม ผิดวินัย เป็นการหลีกเลี่ยงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า" และได้ขอให้สงฆ์ลงมติทุกครั้นที่พระสัพพากมีเถระตอบ มติของสงฆ์จึงเห็นว่าวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ผิดธรรม ผิดวินัย โดยเสียงเอกฉันท์" G8 T+ ]* |% s4 J* X% A
          ๒. จากนั้นพระเถระทั้งหลายจึงเริ่มสังคายนาพระธรรมวินัยตามแบบที่พระมหากัสสปเถระ เป็นต้น ได้กระทำในคราวปฐมสังคายนากระทำสังคายนาคราวนี้ใช้เวลา ๘ เดือนจึงสำเร็จ# p" P7 F" w+ Z6 p! B

Rank: 1

5#
มารน้อย โพสต์เมื่อ 2013-8-14 13:15 |แสดงโพสต์ทั้งหมด
ต้นฉบับโพสต์โดย visutti เมื่อ 2013-8-13 23:51 0 U: w$ Y7 b$ N" L4 k
ที่คุณมารน้อยอธิบายก็ถูกนะ แต่ก็ถูกในสมัยพุทธกาลนะ  ...

  D4 s5 E, s- S* ]7 ]/ `& ~0 t6 G5 @

ตามที่คุณvisutti+ Z1 i8 j) e7 O& u8 B
ให้ความเห็นเรื่องวัดท่าซุงที่ปฏิบัติมา หากเป็นเรื่องนี้ ผมเองไปวัดท่าซุงเกือบทุกเดือน ไปที่ศาลา ๑๐๐ เมตร ก่อนเพล ก่อนเวลาที่จะมีสอนปฏิบัติกัน จากนั้นผมจะถวายสังฆทาน ชุดละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๕ ชุด แล้วอุทิศบุญให้กับนายเวรที่มาถึงตัว ญาติที่ตายไปแล้ว กับคนที่ญาติธรรมฝากมาให้ช่วยเหลือ
  {" n/ g% z4 @% |3 ~ต่อจากนั้นผมจะทำบุญเหรียญทอง อีก ๕๐๐ บาท โดยแลกเหรียญทอง ต่อจากนั้นมานั่งบริเวณ หน้าสมเด็จองค์ปฐม เพื่อตรวจสอบว่าผู้ที่เราช่วยเหลือเขามาสู่สุขติภพ หรือยัง ถ้าอยู่แล้วผมก็จะไปไหวยังจุดต่างๆ แต่ถ้ายังผมก็จะมาทำที่เหรียญทองอีก จนเขาสบายขึ้น ทำเช่นนี้เป็นประจำ ด้วยความชาญฉลาด ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฤาษี ลิงดำ ท่านจัดสังฆทานไว้ดีแล้วจนครบ ซึ่งประกอบด้วย อาหาร ผ้าอาบน้ำฝน เครื่องเวชภัณฑ์ และพระพุทธรูป
% J8 [2 ?7 y, u& L7 h* P  j1 K3 Bเมื่อผมมีโอกาส ได้เขียนหนังสือเรื่อง “ประสบการณ์วิญญาณกับการอุทิศบุญ” ก็ได้นำเรื่องของวัดท่าซุงมาเขียนไว้ในบางส่วนบางตอน ด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับกฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้กระทั้งตัวเรา

‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-5-24 05:07 , Processed in 0.048245 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.