แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4209|ตอบ: 8
go

เปลี่ยนชื่อแล้วทำไมจึงไม่สุข ไม่รวยเสียที [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

          พอดีไปเจอบทความนี้จาก http://torthammarak.wordpress.com    เลยคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนที่คิดจะเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลอยู่...ส่วนตัวเองไม่เคยคิดเลยค่ะ ทั้งๆที่รู้ว่าชื่อตัวเองนั้นตามหลักการตั้งชื่อนั้นผิดล้วนๆ  เพราะตัวเองเกิดวันจันทร์ ห้ามสระทุกๆ ตัวแต่ชื่อเรามีเพียบ.....แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนชื่อตัวเลยค่ะเพราะคิดว่าชื่อของตัวเองก็ไพเราะเพราะพริ้งดีอยู่แล้ว...แถมแม่เป็นคนตั้งให้เองโดยไม่ได้พึ่งตำราใดๆทั้งสิ้น ตำราคุณนายแม่นี่แหละศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้วว...แอบบอกชื่อตัวเองนิดนึงนะคะ...“ทิพนารินทร์”...และที่สำคัญไม่รู้ความหมายอีกต่างหากแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วก็ดีบ้างร้ายบ้างลุ่มๆดอนๆ  ไปตามโชคชะตากำหนด....เคยมีคนบอกว่าถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วรวยเค้าจะเปลี่ยนชื่อเหมือนกับเศรษฐีระดับโลกกันไปเลย  เปลี่ยนได้แต่ชื่อแต่ดวงเปลี่ยนไม่ได้ ชะตากรรมเปลี่ยนไม่ได้ก็คงไร้ความหมาย  เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม   ตามบทความเค้าว่าไว้อย่างนี้ค่ะ

                คนในยุคนี้หรือแม้แต่ยุคไหนก็ตามเมื่อชีวิตไม่พบกับความสุขหรือได้ในสิ่งที่ปรารถนาก็มักจะพยายามที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตน เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลกหนึ่งในการที่พยายามเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของตนให้ดีขึ้นนั้นคือการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเพื่อให้ชีวิตของตนนั้นเป็นมงคลมากขึ้น

หลายคนมีความชื่อว่าหากเปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตจะดีขึ้นทันตาเห็น เปลี่ยนชื่อแล้วจะรวยทันที ซึ่งก็อาจจะเป็นจริงได้ถ้ารู้จักวิธีที่ถูกต้อง

. V% n; V' D1 |( S4 Z. }) S) p

เรื่องของความต้องการแรงปรารถนาใดๆ ที่อยากจะได้ในการเปลี่ยนชื่อเรื่องของชื่อที่เปลี่ยนมาแล้วนั้นจะไม่ขอพูดถึงเป็นเรื่องของจริตความชอบความต้องการของแต่ละคนแต่จะแนะนำว่าถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วทำอย่างไรถึงจะสุขและรวยได้จริง

1. เมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วให้หมั่นสร้างบุญขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอ

- z; Z9 ^3 a8 L, c1 _7 t+ T; n* S

เหตุผลที่ต้องบอกในเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเพราะหลายคนเข้าใจกันผิดๆ ว่าหากไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแล้วจะทำให้เจ้ากรรมนายเวรเขาจำไม่ได้จะได้ตามหาตัวไม่เจอแล้วจะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปเหมือนกับบางคนที่พยายามจะหลอกเจ้ากรรมนายเวรหรือดวงวิญญาณประเภทไปตัดสติกเกอร์ติดรถว่า “รถคันนี้สีขาว” ทั้งๆ ที่เป็นรถสีดำ

เรื่องเล่านี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เจ้ากรรมนายเวรนั้นเขาตามที่จิต ไม่ได้ตามที่รูปร่างหน้าตาหรือชื่อที่ต่อให้ไปเปลี่ยนอีกร้อยชื่อเขาก็ตามเจอไม่มีพลาด

เพราะกรรมที่เราทำกับเขานั้นถูกบันทึกไว้ในจิต ไม่ว่าจะตายแล้วเกิดใหม่กี่ชาติ ตายไปเกิดเป็นสัตว์อะไรรูปร่างอะไร  เกิดเป็นคนสัญชาติไหน ทวีปไหน เจ้ากรรมนายเวรเขาตามเจอทุกชาติภพแน่นอนคนที่เปลี่ยนชื่อต้องเข้าใจในเรื่องนี้เสียก่อน   ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอนไว้ว่าเมื่อเราจะเปลี่ยนชื่อให้เกิดมงคลกับตัวนั้นเราต้องทำบุญเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองเสียก่อน โดยเริ่มจาก

- วันก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อหนึ่งวัน ให้ใส่บาตรหรือทำสังฆทานแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร (จะใส่กี่รูปก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีให้เท่ากับอายุของตนบวกอีกหนึ่ง เช่น อายุ 25 ปี ก็ใส่ 26 รูป ถ้าไม่มีปัจจัยให้ใส่ตามกำลังอย่าไปยืมเงินใครมาทำเป็นอันขาด เพราะจะติดหนี้กรรมเขาอีก)

ตอนสำคัญคือการอุทิศบุญแผ่เมตตา ต้องแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน

9 a8 S7 c4 z: M' u1 f% t  K

เพราะถ้าเราไม่มีกำลังแล้วเราจะไปช่วยใครเขาได้คนที่กำลังจมน้ำนั้น ต้องช่วยตัวเองก่อนไม่ใช่ไปช่วยคนอื่น ตัวเองจะพาลจมน้ำตายเอาต้องเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตใหม่ชื่อใหม่ได้ด้วยในการที่จะช่วยเหลือใครต้องดูกำลังของตนด้วย

หลังจากนั้นให้อุทิศบุญแผ่เมตตาเจ้ากรรมนายเวรต้องเอ่ยแบบเจาะจงด้วยว่าอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรโดยเฉพาะที่ทำให้ตนเองพบกับความลำบากขัดสนหรือเจอกับอุปสรรคในเรื่องใดก็ว่าไป

แล้วบอกว่าตอนนี้ตนเองนั้นสำนึกผิดแล้วขอส่งบุญที่ทำนั้นเพื่อชดใช้ในสิ่งที่เคยทำกับท่านทั้งหลายถ้าท่านมารับบุญแล้วยินดีในบุญนี้ โปรดถอนตัวจากอุปสรรคกรรมที่ท่านทำให้เกิดขึ้นและขอให้อโหสิกรรมต่อท่าน เลิกจองเวรจองกรรมกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปและอุทิศบุญนี้ให้กับเทวดาประจำตัวของตน เพื่อให้ท่านได้รับบุญทุกครั้ง

- วันที่เปลี่ยนชื่อ ในตอนเช้าเมื่อตื่นมาให้ไหว้พระ สวดมนต์(ทำในบทแรกที่กล่าวไปแล้วทั้งหมดในเรื่องทำให้ชีวิตดีขึ้นสุขขึ้นร่ำรวยขึ้นทันตาเห็นขอให้ย้อนกลับไปดูเพราะสำคัญมาก) และไปเปลี่ยนชื่อในวันนี้พยามทำให้ตัวเองมีความสุขใจมากที่สุด อย่าไปโกรธแค้นเคืองอะไรตั้งใจให้อโหสิกรรมทุกเรื่อง

6 T9 B* `4 g1 f2 T1 f4 _

ในวันนี้ให้รีบไปทำสังฆทานเสียจะวัดไหนก็ได้ ตอนกล่าวอุทิศบุญให้ใช้ชื่อใหม่ทันทีและหลังจานี้พยายามบอกถึงชื่อใหม่ให้กับคนที่รู้จักได้รู้ ไปเปลี่ยนหลักฐานต่างๆเสีย ทั้งชื่อบัญชี ชื่อในบัตรประชาชนทำอะไรได้ก็ให้รีบทำเสียให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ให้เอาชื่อใหม่เขียนลงกระดาษขอเมตตาพระสงฆ์เอาชื่อของเราไปวางที่ฐานพระพุทธรูปในวัดหรือไม่สะดวกให้เอาชื่อใหม่นี้มาวางที่ฐานพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้ที่บ้านที่ทำงานเพื่อให้เกิดความเป็นมงคล

- หลังจากนั้นให้เปลี่ยนกรรมปัจจุบันของตนเสีย โดยต้องตั้งมั่นในศีล 5 อย่างมั่นคงพยายามรักษาศีล 5ให้ได้ในทุกวัน สมาทานศีลทุกวันทั้งในตอนเช้าและอีกครั้งในก่อนเข้านอน พิจารณาว่าในระหว่างวันเราผิดศีลหรือไม่ถ้ายังพลาดยังผิดอยู่ไม่เป็นไรตั้งใจในวันรุ่งขึ้น จะทำให้ดีที่สุด

- ต้องลด ละ เลิกในการทำกรรมชั่วทั้งปวงทันที อะไรที่เคยทำผิดพลาดมาแล้วในตอนที่เป็นชื่อเดิมต้องเลิกให้หมดดูง่ายๆ ว่าถ้าเราทำแล้วเราเดือดร้อน คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นแหละคือกรรมชั่ว

- หมั่นสร้างบุญอย่าหยุด แล้วอธิษฐานจิตขอให้บุญที่สำเร็จแล้วนั้นเป็นพลังส่งให้ชีวิตพบแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมทำไมต้องอธิษฐานให้ดีทั้ง 2 ทางก็เพราะว่าในทางโลกเรามีความสุขในชาตินี้แต่ในทางธรรมจะเป็นเสบียงติดตัวเราไปในทุกชาติ ทุกภพ

- หมั่นสงเคราะห์สัตว์ปล่อยสัตว์ เพื่อให้ชีวิตเขาเหล่านั้นพบสุขบุญที่ทำตรงแบบนี้จะส่งผลให้อุปสรรคกรรมแม้จะเข้ามาในชีวิตที่ไม่มีทางเลี่ยงได้เพราะมาจากกรรมเก่า จะมีคนช่วยเหลือให้รอดได้

- หมั่นทำทานบ่อยๆเท่าที่จะทำได้ ทานที่ทำนั้นจะทำให้เกิดโภคทรัพย์การเงิน ไม่ขัดข้อง ไม่ฝืดเคือง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ทุกท่านพบกับความสุขความเจริญตามที่ท่านปรารถนา

การเปลี่ยนชื่อนั้นมีหลักง่ายๆ อยู่อย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านให้สังเกตเมื่อเราไปหาผู้รู้ให้ตั้งชื่อให้ ขอให้ลองดูว่าชื่อใหม่ที่ได้นั้นเราชอบหรือไม่เพราะถ้าเราชอบก็แสดงว่าเรามีบุญเชื่อมกับชื่อใหม่ที่เป็นมงคลนี้ เพราะแม้แต่เรายังไม่ชอบชื่อใหม่รับรองว่าชื่อนั้นอาจจะไม่ใช่ชื่อที่จะทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้นก็ได้


' L" x% T- ^, R; a

และครูบาอาจารย์ท่านยังฝากมาบอกกับคนที่เปลี่ยนชื่อทุกคนหากยังสร้างกรรมชั่วไม่ลด ละเลิก ถึงจะเปลี่ยนร้อยชื่อ พันชื่อจะกี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีทางพบกับความเจริญแน่นอน

Rank: 1

ขอบคุณที่ร่วมกระทู้ครับ น่าสนใจมากครับ

Rank: 1

เห็นด้วยค่ะ  ชื่อดีแต่ยังก่ออกุศลกรรมอยู่ก้อจะไม่พบสุข1 r% ]; G. N7 p$ c* a

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เปลี่ยนชื่อแล้ว อย่าลืมโอนบุญ จากชื่อเดิมมาเป็นชื่อใหม่นะ อธิษฐานว่า "ข้าพเจ้า(ชื่อนามสกุลใหม่) ขอโอนบุญที่จะส่งไปยังสัมปรายภพหน้าที่ทำในนาม (ชื่อเดิม นามสกุลเดิม) มายังชาติปัจจุบัน ในนาม (ชื่อนามสกุลใหม่) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอผลบุญทั้งหมดรวมตัวส่งผลให้ข้าพเจ้า มีความคล่องตัวทั้งทางโลกทางธรรม คิดหวังสิ่งใดสมความปราถนา"
8 A1 p7 K# [$ l( _; ~# j) j
; O, R4 z% @: |* \5 p" U
แล้วกล่าวคำเบิกบุญว่า "เอหิ เอหิ เอหิ ปุญญานิ กะตะมะยัง โอโนชะยามะ" แล้วอธิษฐานจิตในสิ่งที่ปราถนา แล้วทำจิตให้นิ่ง จนรู้สึกมีลมเย็นๆ พัดมากระทบหน้าผากและกาย แล้วกล่าว สาธุๆ สามครั้ง: }, ]9 O8 S( X. [2 V  A
% y# A- ~8 b! v& R% F( T

' k* M- G! q; A2 G7 Yปล.เปลี่ยนชื่อและนามสกุลมากี่ครั้งก็กล่าวชื่อนั้น นามสกุลนั้นให้หมด เพื่อไม่ให้บุญตกค้างอยู่ชื่อเดิม ให้โอนมาชื่อใหม่ให้หมด บุญจะได้รวมตัวโดยเร็ว8 _- n, F- F* g  G0 ]

  v3 O8 f4 x: [9 X; I; e8 R8 G! m

+ U/ h& @% V4 b, P6 T" @" Y, @อันนี้แนวทางของผู้ฝึกด้านจิตอภิญญาจะใช้แนวนี้+ g6 n' a2 O2 b( C, o4 b  I9 Z& p

Rank: 1

สาธุค่ะ

Rank: 1

9 T- o* B2 m0 I) {2 Y3 O
"พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
) X2 p' i) t7 b! B' S4 `, U- V
พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุคราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพานตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า
, T) H. I- t) v7 X$ N
; r+ Y( h7 Q: e. F, M“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาแก่ข้าและหมู่สัตว์จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย“
. M: ^; o* t3 p" m& @
" h3 M; [/ N/ v$ O' N( rอานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไปเบื้องหน้าอย่างสุดไกลลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์ “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้งแล้วว่าคนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้ แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลยเราตั้งใจไว้ว่าในคราวก่อนๆนั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสองครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก” % \+ u1 Y5 M! M0 v) K" O4 w" W
% }  X* H( J) Z1 b! a1 \! Y
“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่วิสัยแห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดาจะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ”
( A- f* I- _# p( d: g9 H% h% T! Q1 @! d' ?' R! q+ u: _7 I
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบายมีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ” 7 r# Y. L6 G- Z9 e( u2 r5 z
, W6 J3 E; {' L6 D+ A
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลม แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลม แดดและฝนกล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้เบาบางและหมดสิ้นไป ”
3 u/ q& r$ x' I9 x3 s; X5 D& v! o1 o
“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีลสมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ”
) t% M7 G( n" K% S; a, X+ j/ z* N; Z* u0 X
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุดบรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไปตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร
9 M8 B5 Q& a2 X$ f2 ]" E! t! I
2 _8 G/ Z8 t. R9 i) J4 o/ v”-------------------------------------------- . H5 |. q: P1 I- i3 }8 e& Z
4 g8 o) A: \% i
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นเรื่องของตนเสีย ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม ” * r& F; \$ }1 j2 W

' f. m$ g- L9 P) m3 U5 k2 v, r“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง” & |: ^. U8 A& i' L) H
% [5 N; I8 T; v# j6 X4 Q
“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบายแต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วยคนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ” ' g0 U( q+ J! ?" G% ~  S
4 I" l- v; `0 k+ M; Z6 w
“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ” ' |7 J5 m) H3 q" d* U6 k
0 O$ z0 a2 U1 q: V# v4 Q, M7 f+ o
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ” % W7 f, c/ r0 d+ U8 q4 v4 {6 n) V- {

* I. ?6 S7 }# I( o* x1 V+ u3 W3 ~“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจดูแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์ยังสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือเรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกินนักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียวแต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ มิได้กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริงร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้นแต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำเป็นต้องทำ เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถแต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ” , H8 m; o, D1 k9 q: t
. e4 y! Y' Y* P4 }
------------------------------------------
) e7 c4 I2 c2 @" N: d' z% y2 C
( |8 ]! {8 c: V& `1 W0 h! R“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะเป็นเหยื่อของโลกเมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ”
7 @) u  k# Z. e4 Z9 K+ c. E2 z: s# e
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ” 6 b, M: v! x0 k: V
& q) n* l  n2 A
“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ”
, y9 j4 _( I$ O# D4 q' `4 J9 X3 _
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย ” ; p9 t1 Z, `. [1 d  q3 c) }
# G  E9 ^" S$ p6 J+ s  A  w* y! k
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ” # e0 n, v( k& k* K) Q; [" ]
3 t( x+ \4 h0 Z7 \. R# E6 h
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ” 3 T! \& [8 i8 A6 j, R; g- y  |: u
# x: X% |6 _7 E! O5 `- c
“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ” + }; K% y( e: J7 q
% n" h" A- {: X5 X. |- H; n( v
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ” 0 M3 R2 b# T: @! U3 v. P+ e% R+ \4 F
0 I' R8 {; C9 M5 y8 w- f& M
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล คนดีมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุขบำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ” 3 g- y; B6 q; @6 \) H  m

+ W! o7 q  s) {" S' w2 i“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ”
- V1 }  f6 E6 D/ v* ^% K
: u& {& ?, u& h0 h“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ” : A7 l; l) ~: O3 K9 S

& ^; F  G+ I; E$ Y& q! b“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอๆเจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ”
2 `& S- W: X9 l: T7 W. T2 T! j
1 @# M3 d. N2 T% h“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่ ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสียอาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ” , g8 Y- y% L% i& |% Y

, n% ?* n) g) `% ?/ i“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”
8 ~$ [5 C  A! E! w. Y. h) b' j1 O) l) {6 T# o4 J
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ” % e2 c+ H. a# L: ~0 D
- D9 ~" x2 z2 X- C5 t% E1 W8 ~
ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่งพร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑลทอดไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง
* e/ s3 y! C* T2 B

Rank: 1

ตัวอย่างคำสุภาพ พอดีเข้าไปอ่านพบเลยนำมาให้อ่านเพื่อเราจะหลงลืมกันไปบ้าง คำบางคำเราก็เป็นคำสุภาพ  แต่ก็มีบางคำที่ยังคงใช้ คำเดิมกันอยู่ เช่น  ดอกมะลิ = ดอกมัลลิกา  ถึงแม้ชื่อเปลี่ยนเมื่อเอ่ยขึ้นมาเราก็นึกกันได้ว่าหน้าตามันเป็นเช่นไร มีตัวอย่างให้ดูกัน + P  I2 T3 F" `: j
คำสามัญ               คำสุภาพ# W( g: U0 N/ a$ M0 Q! m
ผักบุ้ง                ผักทอดยอด1 `' _; y" `: X3 y( W
ผักกระเฉด        ผักรู้นอน
8 I0 p- [1 O: H: O& U$ e* ?# ^ผักตบ              ผักสามหาว' t' x) s1 b, ]0 T7 q% Y! D
ผักอีริ้น             ผักนางริ้น$ ^7 n( i4 X1 P. R
ต้นสลิด            ต้นขจร# h2 w" B  `! V: [  x" V
ดอกสลิด           ดอกขจร
9 C: ?* o, P% @$ K& r2 N+ k  _ดอกซ่อนชู้        ดอกซ่อนกลิ่น5 N" [% e, P, j, h6 D/ p' b7 G
ดอกนมแมว       ดอกถันวิฬาร์6 ?& Y, _2 r. S5 V
ดอกยี่หุบ           ดอกมณฑาขาว
* T, K9 f8 f4 F4 y% y: jดอกขี้เหล็ก       ดอกเหล็ก, h  h$ O4 b- K: b) s
ดอกมะลิ           ดอกมัลลิกา
  G; C7 O8 \! Q0 U  k ถั่วงอก            ถั่วเพาะ
- ]2 z& C8 g, y; s9 R* C- L2 i9 P/ e เห็ดโคน          เห็ดปลวก
/ f* Y7 S& P. i( L4 k* u; kฟักทอง            ฟักเหลือง* N0 Z- V$ c. m8 C/ @
ต้นตำแย          ต้นอเนกคุณ  G* f2 |% P6 M- ^
หมอตำแย         หมอผดุงครรภ์
; `1 u. W, O/ r4 S: w' L# S! mต้นเหงือกปลาหมอ     ต้นจะเกรง
3 E) ?# d1 B% l7 X. T) c ต้นทองกวาว, ต้นทองหลาง        ต้นปาริชาติ
- n/ M) l9 E& D) G3 n2 l ต้นพุงดอ              ต้นหนามรอบข้อ
0 `  H8 c. N4 j, L กล้วยไข่ กล้วยกระ,  กล้วยเปลือกบาง    กล้วยสั้น    กล้วยกุ
& J1 Q" T- g0 `% G" h0 U. @- J เถาตูดหมูตูดหมา        เถากระพังโหม
6 F5 n: ]8 x! P8 j" L( ` เถาหมามุ้ย                 เถามุ้ย* v- }) D' e6 g1 Z! N* I
แตงโม                      ผลอุลิด
' L: \! u0 m8 t3 A' R+ Vหัวปลี                         ปลีกล้วย
; L3 O1 J) W2 R% R$ r" v$ rกล้วยบวชชี                 นารีจำศีล

Rank: 1

อนุโมทนาสาธุครับ กระผมอ่านพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานแล้ว อิ่มใจ สุขใจมากครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ อนุโมทนาสาธุครับ

Rank: 1

ผมขอคัดลอก พุทธโอวาทไว้อ่านเตือนใจนะครับ สาธุครับ
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-4-10 18:50 , Processed in 0.060712 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.