แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4503|ตอบ: 8
go

เปลี่ยนชื่อแล้วทำไมจึงไม่สุข ไม่รวยเสียที [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

          พอดีไปเจอบทความนี้จาก http://torthammarak.wordpress.com    เลยคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนที่คิดจะเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลอยู่...ส่วนตัวเองไม่เคยคิดเลยค่ะ ทั้งๆที่รู้ว่าชื่อตัวเองนั้นตามหลักการตั้งชื่อนั้นผิดล้วนๆ  เพราะตัวเองเกิดวันจันทร์ ห้ามสระทุกๆ ตัวแต่ชื่อเรามีเพียบ.....แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนชื่อตัวเลยค่ะเพราะคิดว่าชื่อของตัวเองก็ไพเราะเพราะพริ้งดีอยู่แล้ว...แถมแม่เป็นคนตั้งให้เองโดยไม่ได้พึ่งตำราใดๆทั้งสิ้น ตำราคุณนายแม่นี่แหละศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้วว...แอบบอกชื่อตัวเองนิดนึงนะคะ...“ทิพนารินทร์”...และที่สำคัญไม่รู้ความหมายอีกต่างหากแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วก็ดีบ้างร้ายบ้างลุ่มๆดอนๆ  ไปตามโชคชะตากำหนด....เคยมีคนบอกว่าถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วรวยเค้าจะเปลี่ยนชื่อเหมือนกับเศรษฐีระดับโลกกันไปเลย  เปลี่ยนได้แต่ชื่อแต่ดวงเปลี่ยนไม่ได้ ชะตากรรมเปลี่ยนไม่ได้ก็คงไร้ความหมาย  เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม   ตามบทความเค้าว่าไว้อย่างนี้ค่ะ

                คนในยุคนี้หรือแม้แต่ยุคไหนก็ตามเมื่อชีวิตไม่พบกับความสุขหรือได้ในสิ่งที่ปรารถนาก็มักจะพยายามที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตน เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลกหนึ่งในการที่พยายามเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของตนให้ดีขึ้นนั้นคือการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเพื่อให้ชีวิตของตนนั้นเป็นมงคลมากขึ้น

หลายคนมีความชื่อว่าหากเปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตจะดีขึ้นทันตาเห็น เปลี่ยนชื่อแล้วจะรวยทันที ซึ่งก็อาจจะเป็นจริงได้ถ้ารู้จักวิธีที่ถูกต้อง


" }1 Z. X, m1 ~, t7 y& D

เรื่องของความต้องการแรงปรารถนาใดๆ ที่อยากจะได้ในการเปลี่ยนชื่อเรื่องของชื่อที่เปลี่ยนมาแล้วนั้นจะไม่ขอพูดถึงเป็นเรื่องของจริตความชอบความต้องการของแต่ละคนแต่จะแนะนำว่าถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วทำอย่างไรถึงจะสุขและรวยได้จริง

1. เมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วให้หมั่นสร้างบุญขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอ


6 t! ~& [/ r6 ^% [2 n3 s" i8 a  I

เหตุผลที่ต้องบอกในเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเพราะหลายคนเข้าใจกันผิดๆ ว่าหากไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแล้วจะทำให้เจ้ากรรมนายเวรเขาจำไม่ได้จะได้ตามหาตัวไม่เจอแล้วจะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปเหมือนกับบางคนที่พยายามจะหลอกเจ้ากรรมนายเวรหรือดวงวิญญาณประเภทไปตัดสติกเกอร์ติดรถว่า “รถคันนี้สีขาว” ทั้งๆ ที่เป็นรถสีดำ

เรื่องเล่านี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เจ้ากรรมนายเวรนั้นเขาตามที่จิต ไม่ได้ตามที่รูปร่างหน้าตาหรือชื่อที่ต่อให้ไปเปลี่ยนอีกร้อยชื่อเขาก็ตามเจอไม่มีพลาด

เพราะกรรมที่เราทำกับเขานั้นถูกบันทึกไว้ในจิต ไม่ว่าจะตายแล้วเกิดใหม่กี่ชาติ ตายไปเกิดเป็นสัตว์อะไรรูปร่างอะไร  เกิดเป็นคนสัญชาติไหน ทวีปไหน เจ้ากรรมนายเวรเขาตามเจอทุกชาติภพแน่นอนคนที่เปลี่ยนชื่อต้องเข้าใจในเรื่องนี้เสียก่อน   ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอนไว้ว่าเมื่อเราจะเปลี่ยนชื่อให้เกิดมงคลกับตัวนั้นเราต้องทำบุญเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองเสียก่อน โดยเริ่มจาก

- วันก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อหนึ่งวัน ให้ใส่บาตรหรือทำสังฆทานแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร (จะใส่กี่รูปก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีให้เท่ากับอายุของตนบวกอีกหนึ่ง เช่น อายุ 25 ปี ก็ใส่ 26 รูป ถ้าไม่มีปัจจัยให้ใส่ตามกำลังอย่าไปยืมเงินใครมาทำเป็นอันขาด เพราะจะติดหนี้กรรมเขาอีก)

ตอนสำคัญคือการอุทิศบุญแผ่เมตตา ต้องแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน

- j% a0 T# z" g/ b5 I

เพราะถ้าเราไม่มีกำลังแล้วเราจะไปช่วยใครเขาได้คนที่กำลังจมน้ำนั้น ต้องช่วยตัวเองก่อนไม่ใช่ไปช่วยคนอื่น ตัวเองจะพาลจมน้ำตายเอาต้องเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตใหม่ชื่อใหม่ได้ด้วยในการที่จะช่วยเหลือใครต้องดูกำลังของตนด้วย

หลังจากนั้นให้อุทิศบุญแผ่เมตตาเจ้ากรรมนายเวรต้องเอ่ยแบบเจาะจงด้วยว่าอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรโดยเฉพาะที่ทำให้ตนเองพบกับความลำบากขัดสนหรือเจอกับอุปสรรคในเรื่องใดก็ว่าไป

แล้วบอกว่าตอนนี้ตนเองนั้นสำนึกผิดแล้วขอส่งบุญที่ทำนั้นเพื่อชดใช้ในสิ่งที่เคยทำกับท่านทั้งหลายถ้าท่านมารับบุญแล้วยินดีในบุญนี้ โปรดถอนตัวจากอุปสรรคกรรมที่ท่านทำให้เกิดขึ้นและขอให้อโหสิกรรมต่อท่าน เลิกจองเวรจองกรรมกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปและอุทิศบุญนี้ให้กับเทวดาประจำตัวของตน เพื่อให้ท่านได้รับบุญทุกครั้ง

- วันที่เปลี่ยนชื่อ ในตอนเช้าเมื่อตื่นมาให้ไหว้พระ สวดมนต์(ทำในบทแรกที่กล่าวไปแล้วทั้งหมดในเรื่องทำให้ชีวิตดีขึ้นสุขขึ้นร่ำรวยขึ้นทันตาเห็นขอให้ย้อนกลับไปดูเพราะสำคัญมาก) และไปเปลี่ยนชื่อในวันนี้พยามทำให้ตัวเองมีความสุขใจมากที่สุด อย่าไปโกรธแค้นเคืองอะไรตั้งใจให้อโหสิกรรมทุกเรื่อง


9 V, d7 F8 ^) V& N9 t

ในวันนี้ให้รีบไปทำสังฆทานเสียจะวัดไหนก็ได้ ตอนกล่าวอุทิศบุญให้ใช้ชื่อใหม่ทันทีและหลังจานี้พยายามบอกถึงชื่อใหม่ให้กับคนที่รู้จักได้รู้ ไปเปลี่ยนหลักฐานต่างๆเสีย ทั้งชื่อบัญชี ชื่อในบัตรประชาชนทำอะไรได้ก็ให้รีบทำเสียให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ให้เอาชื่อใหม่เขียนลงกระดาษขอเมตตาพระสงฆ์เอาชื่อของเราไปวางที่ฐานพระพุทธรูปในวัดหรือไม่สะดวกให้เอาชื่อใหม่นี้มาวางที่ฐานพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้ที่บ้านที่ทำงานเพื่อให้เกิดความเป็นมงคล

- หลังจากนั้นให้เปลี่ยนกรรมปัจจุบันของตนเสีย โดยต้องตั้งมั่นในศีล 5 อย่างมั่นคงพยายามรักษาศีล 5ให้ได้ในทุกวัน สมาทานศีลทุกวันทั้งในตอนเช้าและอีกครั้งในก่อนเข้านอน พิจารณาว่าในระหว่างวันเราผิดศีลหรือไม่ถ้ายังพลาดยังผิดอยู่ไม่เป็นไรตั้งใจในวันรุ่งขึ้น จะทำให้ดีที่สุด

- ต้องลด ละ เลิกในการทำกรรมชั่วทั้งปวงทันที อะไรที่เคยทำผิดพลาดมาแล้วในตอนที่เป็นชื่อเดิมต้องเลิกให้หมดดูง่ายๆ ว่าถ้าเราทำแล้วเราเดือดร้อน คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นแหละคือกรรมชั่ว

- หมั่นสร้างบุญอย่าหยุด แล้วอธิษฐานจิตขอให้บุญที่สำเร็จแล้วนั้นเป็นพลังส่งให้ชีวิตพบแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมทำไมต้องอธิษฐานให้ดีทั้ง 2 ทางก็เพราะว่าในทางโลกเรามีความสุขในชาตินี้แต่ในทางธรรมจะเป็นเสบียงติดตัวเราไปในทุกชาติ ทุกภพ

- หมั่นสงเคราะห์สัตว์ปล่อยสัตว์ เพื่อให้ชีวิตเขาเหล่านั้นพบสุขบุญที่ทำตรงแบบนี้จะส่งผลให้อุปสรรคกรรมแม้จะเข้ามาในชีวิตที่ไม่มีทางเลี่ยงได้เพราะมาจากกรรมเก่า จะมีคนช่วยเหลือให้รอดได้

- หมั่นทำทานบ่อยๆเท่าที่จะทำได้ ทานที่ทำนั้นจะทำให้เกิดโภคทรัพย์การเงิน ไม่ขัดข้อง ไม่ฝืดเคือง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ทุกท่านพบกับความสุขความเจริญตามที่ท่านปรารถนา

การเปลี่ยนชื่อนั้นมีหลักง่ายๆ อยู่อย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านให้สังเกตเมื่อเราไปหาผู้รู้ให้ตั้งชื่อให้ ขอให้ลองดูว่าชื่อใหม่ที่ได้นั้นเราชอบหรือไม่เพราะถ้าเราชอบก็แสดงว่าเรามีบุญเชื่อมกับชื่อใหม่ที่เป็นมงคลนี้ เพราะแม้แต่เรายังไม่ชอบชื่อใหม่รับรองว่าชื่อนั้นอาจจะไม่ใช่ชื่อที่จะทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้นก็ได้

6 A) Z) S$ D9 d, z4 ]8 R

และครูบาอาจารย์ท่านยังฝากมาบอกกับคนที่เปลี่ยนชื่อทุกคนหากยังสร้างกรรมชั่วไม่ลด ละเลิก ถึงจะเปลี่ยนร้อยชื่อ พันชื่อจะกี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีทางพบกับความเจริญแน่นอน

Rank: 1

ขอบคุณที่ร่วมกระทู้ครับ น่าสนใจมากครับ

Rank: 1

เห็นด้วยค่ะ  ชื่อดีแต่ยังก่ออกุศลกรรมอยู่ก้อจะไม่พบสุข1 x1 o) L8 X& q- O

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เปลี่ยนชื่อแล้ว อย่าลืมโอนบุญ จากชื่อเดิมมาเป็นชื่อใหม่นะ อธิษฐานว่า "ข้าพเจ้า(ชื่อนามสกุลใหม่) ขอโอนบุญที่จะส่งไปยังสัมปรายภพหน้าที่ทำในนาม (ชื่อเดิม นามสกุลเดิม) มายังชาติปัจจุบัน ในนาม (ชื่อนามสกุลใหม่) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอผลบุญทั้งหมดรวมตัวส่งผลให้ข้าพเจ้า มีความคล่องตัวทั้งทางโลกทางธรรม คิดหวังสิ่งใดสมความปราถนา"
+ F/ v% {; |/ ]: m3 u
3 t4 ]% k$ l. v& K$ B" N  T
แล้วกล่าวคำเบิกบุญว่า "เอหิ เอหิ เอหิ ปุญญานิ กะตะมะยัง โอโนชะยามะ" แล้วอธิษฐานจิตในสิ่งที่ปราถนา แล้วทำจิตให้นิ่ง จนรู้สึกมีลมเย็นๆ พัดมากระทบหน้าผากและกาย แล้วกล่าว สาธุๆ สามครั้ง; c, V9 o9 N  C' C

5 Y+ n7 y0 K+ @3 l" ^( i
1 J4 Z" Z% Q$ U3 T5 [
ปล.เปลี่ยนชื่อและนามสกุลมากี่ครั้งก็กล่าวชื่อนั้น นามสกุลนั้นให้หมด เพื่อไม่ให้บุญตกค้างอยู่ชื่อเดิม ให้โอนมาชื่อใหม่ให้หมด บุญจะได้รวมตัวโดยเร็ว2 `4 {4 x( v  U3 p' N) g
# j. `  y& \9 y8 p! z* \
; i( O' C* j! V. d% \7 X
อันนี้แนวทางของผู้ฝึกด้านจิตอภิญญาจะใช้แนวนี้
6 o' V1 d1 y* u5 ~  J

Rank: 1

สาธุค่ะ

Rank: 1


% s/ r: u0 [# x4 n4 u* o% D"พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
  g  g) `' U9 i: ]- I- ?  R$ K- K+ B6 Q# w
พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุคราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพานตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า + L, E! ~- q5 N" a& h* Z

  L* g$ |3 e* @8 }. h2 v- e“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาแก่ข้าและหมู่สัตว์จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย“
- X1 q+ _; g, ]5 V; E6 e# |6 T' B# ]1 b' t$ l, e7 s
อานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไปเบื้องหน้าอย่างสุดไกลลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์ “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้งแล้วว่าคนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้ แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลยเราตั้งใจไว้ว่าในคราวก่อนๆนั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสองครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก” . a/ M" N2 i3 B5 }$ y

  \( v# ]8 a4 H. y3 [6 N# H“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่วิสัยแห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดาจะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ” . g  @/ x4 m0 n9 h: m9 Y/ N$ d
  o3 n. \1 q& q
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบายมีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ”
8 U( K; c3 i3 Y0 m: `) @" x! m6 x# \
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลม แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลม แดดและฝนกล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้เบาบางและหมดสิ้นไป ” 7 {0 R+ V% q, g) P0 c& c' X

* o; j  `' _; c- T6 k' u! D' C) O“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีลสมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ” ' C2 \  g. n& `1 ?" @
# R3 B# u$ Z! Y
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุดบรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไปตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร ! @1 j  e% Q) W! n; Z7 _
' g! A* S) W& m4 N+ b
”--------------------------------------------
* W' v6 i# S! m8 r8 s  N* s$ A" l* B9 Q5 u0 G  }
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นเรื่องของตนเสีย ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม ”
3 E& H( {7 E! F9 T6 l- }0 O; k( b% i8 H) Z2 w. o9 }- C
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง” ; }0 l0 k3 ^5 w( u7 k, \! u
; [3 S( u0 j  f& @( m! A
“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบายแต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วยคนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ” 9 c& ~- }. A8 P
+ X  y. d8 M! p+ Y  s
“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ”
8 [5 a0 k' b0 K! Z1 ^# z% x& W4 p' {" f- {8 [% p" i" ~1 P
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ”
- q# \5 L( x, d3 D- p- P. Y8 q' u% H/ A
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจดูแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์ยังสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือเรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกินนักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียวแต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ มิได้กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริงร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้นแต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำเป็นต้องทำ เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถแต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ”   w( \3 y: J3 J* N- ^3 P' X

& K: V. u, Q, }/ s6 E' P7 M! n------------------------------------------ - f6 r1 p# y1 Z) s& o

% p- f+ A2 f7 M7 @' {  L: T“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะเป็นเหยื่อของโลกเมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ”
4 I2 P# s+ y# o8 B( I( c, s) l* B
; V+ @7 t8 o" o% p“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ” 1 J0 I9 T& |( \4 H$ F# e
. s8 E& |/ }4 p/ C! j) y. u! r
“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ” 1 q: t% a4 ?/ _, F1 j! ~! f

" a0 |; O/ o. }& r) R: K1 }“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย ” * ?& G3 Y( k6 S* n% a" h4 g

, W) z& u/ J8 j' L% R7 G) k8 E“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ” 7 W0 x% Y) E8 ^7 P3 g

% [) j! _: ^, @1 N1 ?“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ” 3 k7 A$ v! A4 @# E% p8 S

* k6 `4 O0 G" m0 V“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ”
! A( e# C$ L9 H' `) p/ ?
1 d3 [5 Q( K: b- a3 w“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ”
/ m  b0 F+ T* ?- ~: @3 Q% R
) ?# A9 P" u" M“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล คนดีมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุขบำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ” 5 a/ B; C, C8 d0 b
2 p4 \  U; H' w: d! G5 _2 P4 M& i
“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ” # u' K. }8 {7 ]" E

* a8 l& @5 [. f8 C( K“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ”
  b! Y6 l- X6 ?% R% O  U7 S7 z/ w3 ?# Q+ T  j+ L
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอๆเจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ”
5 t1 \' A4 N  q. c  M
/ Z6 ?# \; E1 O3 v9 H9 N7 N3 H$ F3 ]“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่ ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสียอาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ” $ B2 R! |+ N3 X/ Z6 S( k* u

* T3 b* r' o) A' L: K# r# s“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”
9 F6 I( t1 f* x8 ^6 [  a  A4 {& X( @$ q
% m4 v! v4 ]; w* x* \9 C. ?2 A“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”
! Q# i* @% l: C4 J9 n( T, _: M8 j; F3 [: w2 ~
ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่งพร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑลทอดไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง / V) ^7 ?% G/ u; k& n; @

Rank: 1

ตัวอย่างคำสุภาพ พอดีเข้าไปอ่านพบเลยนำมาให้อ่านเพื่อเราจะหลงลืมกันไปบ้าง คำบางคำเราก็เป็นคำสุภาพ  แต่ก็มีบางคำที่ยังคงใช้ คำเดิมกันอยู่ เช่น  ดอกมะลิ = ดอกมัลลิกา  ถึงแม้ชื่อเปลี่ยนเมื่อเอ่ยขึ้นมาเราก็นึกกันได้ว่าหน้าตามันเป็นเช่นไร มีตัวอย่างให้ดูกัน 9 v/ b1 z# p. M+ t& j. k
คำสามัญ               คำสุภาพ
3 W! u2 V; O  ]ผักบุ้ง                ผักทอดยอด
1 J# ?2 n* {+ O. @2 K+ k( a" Mผักกระเฉด        ผักรู้นอน8 q4 D" ]1 P* S5 W- d. j! i. t  O5 R
ผักตบ              ผักสามหาว
4 V& A" R% m, Z# fผักอีริ้น             ผักนางริ้น8 S) |" e" e$ U  g2 o
ต้นสลิด            ต้นขจร
% G3 K7 U3 c& d8 J: F1 z' }ดอกสลิด           ดอกขจร( Q7 W* Y7 D8 u0 `& P. ]6 S
ดอกซ่อนชู้        ดอกซ่อนกลิ่น
. c) K- `# g* G" x) d* Dดอกนมแมว       ดอกถันวิฬาร์
+ T8 k: M: u9 m# F1 Rดอกยี่หุบ           ดอกมณฑาขาว
! v, Q. [' g- ^% t/ Qดอกขี้เหล็ก       ดอกเหล็ก6 v0 l9 s9 s0 _
ดอกมะลิ           ดอกมัลลิกา7 b  U" f7 |% k# m
ถั่วงอก            ถั่วเพาะ4 H. `' b8 _0 x& ]# [! A
เห็ดโคน          เห็ดปลวก
6 a# r6 X% j6 Z: f: Y( [; Xฟักทอง            ฟักเหลือง! z$ D* K( x6 c- K7 Y, ]# X
ต้นตำแย          ต้นอเนกคุณ8 R0 {2 f+ Q2 z6 e2 H+ L, ?$ \+ r
หมอตำแย         หมอผดุงครรภ์
$ G1 U. |" `. o1 e0 _ต้นเหงือกปลาหมอ     ต้นจะเกรง) `0 W! P' h: {9 S: u
ต้นทองกวาว, ต้นทองหลาง        ต้นปาริชาติ
: _3 `, t3 K) _3 V4 d9 k% f ต้นพุงดอ              ต้นหนามรอบข้อ2 t$ W' j) C0 `1 B& k" u, \2 R
กล้วยไข่ กล้วยกระ,  กล้วยเปลือกบาง    กล้วยสั้น    กล้วยกุ
, W4 U7 i2 O7 J9 r9 Z. G4 l เถาตูดหมูตูดหมา        เถากระพังโหม. l- ?  h, x% X
เถาหมามุ้ย                 เถามุ้ย& K( X0 [" D3 T
แตงโม                      ผลอุลิด
2 q& F8 ~9 Q6 b7 `( f0 \หัวปลี                         ปลีกล้วย- u8 n* W1 \& R+ N
กล้วยบวชชี                 นารีจำศีล

Rank: 1

อนุโมทนาสาธุครับ กระผมอ่านพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานแล้ว อิ่มใจ สุขใจมากครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ อนุโมทนาสาธุครับ

Rank: 1

ผมขอคัดลอก พุทธโอวาทไว้อ่านเตือนใจนะครับ สาธุครับ
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-7-7 12:24 , Processed in 0.100566 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.