แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
ดู: 4315|ตอบ: 8
go

เปลี่ยนชื่อแล้วทำไมจึงไม่สุข ไม่รวยเสียที [คัดลอกลิงค์]

Rank: 1

          พอดีไปเจอบทความนี้จาก http://torthammarak.wordpress.com    เลยคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางคนที่คิดจะเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลอยู่...ส่วนตัวเองไม่เคยคิดเลยค่ะ ทั้งๆที่รู้ว่าชื่อตัวเองนั้นตามหลักการตั้งชื่อนั้นผิดล้วนๆ  เพราะตัวเองเกิดวันจันทร์ ห้ามสระทุกๆ ตัวแต่ชื่อเรามีเพียบ.....แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนชื่อตัวเลยค่ะเพราะคิดว่าชื่อของตัวเองก็ไพเราะเพราะพริ้งดีอยู่แล้ว...แถมแม่เป็นคนตั้งให้เองโดยไม่ได้พึ่งตำราใดๆทั้งสิ้น ตำราคุณนายแม่นี่แหละศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้วว...แอบบอกชื่อตัวเองนิดนึงนะคะ...“ทิพนารินทร์”...และที่สำคัญไม่รู้ความหมายอีกต่างหากแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วก็ดีบ้างร้ายบ้างลุ่มๆดอนๆ  ไปตามโชคชะตากำหนด....เคยมีคนบอกว่าถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วรวยเค้าจะเปลี่ยนชื่อเหมือนกับเศรษฐีระดับโลกกันไปเลย  เปลี่ยนได้แต่ชื่อแต่ดวงเปลี่ยนไม่ได้ ชะตากรรมเปลี่ยนไม่ได้ก็คงไร้ความหมาย  เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม   ตามบทความเค้าว่าไว้อย่างนี้ค่ะ

                คนในยุคนี้หรือแม้แต่ยุคไหนก็ตามเมื่อชีวิตไม่พบกับความสุขหรือได้ในสิ่งที่ปรารถนาก็มักจะพยายามที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตน เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลกหนึ่งในการที่พยายามเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของตนให้ดีขึ้นนั้นคือการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเพื่อให้ชีวิตของตนนั้นเป็นมงคลมากขึ้น

หลายคนมีความชื่อว่าหากเปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตจะดีขึ้นทันตาเห็น เปลี่ยนชื่อแล้วจะรวยทันที ซึ่งก็อาจจะเป็นจริงได้ถ้ารู้จักวิธีที่ถูกต้อง

, v+ |$ Q5 [0 g/ P; T% i5 e

เรื่องของความต้องการแรงปรารถนาใดๆ ที่อยากจะได้ในการเปลี่ยนชื่อเรื่องของชื่อที่เปลี่ยนมาแล้วนั้นจะไม่ขอพูดถึงเป็นเรื่องของจริตความชอบความต้องการของแต่ละคนแต่จะแนะนำว่าถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วทำอย่างไรถึงจะสุขและรวยได้จริง

1. เมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วให้หมั่นสร้างบุญขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอ


5 w0 n, T4 f8 i2 j9 {! o0 J

เหตุผลที่ต้องบอกในเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเพราะหลายคนเข้าใจกันผิดๆ ว่าหากไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแล้วจะทำให้เจ้ากรรมนายเวรเขาจำไม่ได้จะได้ตามหาตัวไม่เจอแล้วจะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปเหมือนกับบางคนที่พยายามจะหลอกเจ้ากรรมนายเวรหรือดวงวิญญาณประเภทไปตัดสติกเกอร์ติดรถว่า “รถคันนี้สีขาว” ทั้งๆ ที่เป็นรถสีดำ

เรื่องเล่านี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เจ้ากรรมนายเวรนั้นเขาตามที่จิต ไม่ได้ตามที่รูปร่างหน้าตาหรือชื่อที่ต่อให้ไปเปลี่ยนอีกร้อยชื่อเขาก็ตามเจอไม่มีพลาด

เพราะกรรมที่เราทำกับเขานั้นถูกบันทึกไว้ในจิต ไม่ว่าจะตายแล้วเกิดใหม่กี่ชาติ ตายไปเกิดเป็นสัตว์อะไรรูปร่างอะไร  เกิดเป็นคนสัญชาติไหน ทวีปไหน เจ้ากรรมนายเวรเขาตามเจอทุกชาติภพแน่นอนคนที่เปลี่ยนชื่อต้องเข้าใจในเรื่องนี้เสียก่อน   ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอนไว้ว่าเมื่อเราจะเปลี่ยนชื่อให้เกิดมงคลกับตัวนั้นเราต้องทำบุญเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองเสียก่อน โดยเริ่มจาก

- วันก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อหนึ่งวัน ให้ใส่บาตรหรือทำสังฆทานแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร (จะใส่กี่รูปก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีให้เท่ากับอายุของตนบวกอีกหนึ่ง เช่น อายุ 25 ปี ก็ใส่ 26 รูป ถ้าไม่มีปัจจัยให้ใส่ตามกำลังอย่าไปยืมเงินใครมาทำเป็นอันขาด เพราะจะติดหนี้กรรมเขาอีก)

ตอนสำคัญคือการอุทิศบุญแผ่เมตตา ต้องแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน


0 l$ ~) |0 M/ Z1 b

เพราะถ้าเราไม่มีกำลังแล้วเราจะไปช่วยใครเขาได้คนที่กำลังจมน้ำนั้น ต้องช่วยตัวเองก่อนไม่ใช่ไปช่วยคนอื่น ตัวเองจะพาลจมน้ำตายเอาต้องเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตใหม่ชื่อใหม่ได้ด้วยในการที่จะช่วยเหลือใครต้องดูกำลังของตนด้วย

หลังจากนั้นให้อุทิศบุญแผ่เมตตาเจ้ากรรมนายเวรต้องเอ่ยแบบเจาะจงด้วยว่าอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรโดยเฉพาะที่ทำให้ตนเองพบกับความลำบากขัดสนหรือเจอกับอุปสรรคในเรื่องใดก็ว่าไป

แล้วบอกว่าตอนนี้ตนเองนั้นสำนึกผิดแล้วขอส่งบุญที่ทำนั้นเพื่อชดใช้ในสิ่งที่เคยทำกับท่านทั้งหลายถ้าท่านมารับบุญแล้วยินดีในบุญนี้ โปรดถอนตัวจากอุปสรรคกรรมที่ท่านทำให้เกิดขึ้นและขอให้อโหสิกรรมต่อท่าน เลิกจองเวรจองกรรมกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปและอุทิศบุญนี้ให้กับเทวดาประจำตัวของตน เพื่อให้ท่านได้รับบุญทุกครั้ง

- วันที่เปลี่ยนชื่อ ในตอนเช้าเมื่อตื่นมาให้ไหว้พระ สวดมนต์(ทำในบทแรกที่กล่าวไปแล้วทั้งหมดในเรื่องทำให้ชีวิตดีขึ้นสุขขึ้นร่ำรวยขึ้นทันตาเห็นขอให้ย้อนกลับไปดูเพราะสำคัญมาก) และไปเปลี่ยนชื่อในวันนี้พยามทำให้ตัวเองมีความสุขใจมากที่สุด อย่าไปโกรธแค้นเคืองอะไรตั้งใจให้อโหสิกรรมทุกเรื่อง


0 P0 j2 [; i2 ~0 t, Q6 v5 f

ในวันนี้ให้รีบไปทำสังฆทานเสียจะวัดไหนก็ได้ ตอนกล่าวอุทิศบุญให้ใช้ชื่อใหม่ทันทีและหลังจานี้พยายามบอกถึงชื่อใหม่ให้กับคนที่รู้จักได้รู้ ไปเปลี่ยนหลักฐานต่างๆเสีย ทั้งชื่อบัญชี ชื่อในบัตรประชาชนทำอะไรได้ก็ให้รีบทำเสียให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ให้เอาชื่อใหม่เขียนลงกระดาษขอเมตตาพระสงฆ์เอาชื่อของเราไปวางที่ฐานพระพุทธรูปในวัดหรือไม่สะดวกให้เอาชื่อใหม่นี้มาวางที่ฐานพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้ที่บ้านที่ทำงานเพื่อให้เกิดความเป็นมงคล

- หลังจากนั้นให้เปลี่ยนกรรมปัจจุบันของตนเสีย โดยต้องตั้งมั่นในศีล 5 อย่างมั่นคงพยายามรักษาศีล 5ให้ได้ในทุกวัน สมาทานศีลทุกวันทั้งในตอนเช้าและอีกครั้งในก่อนเข้านอน พิจารณาว่าในระหว่างวันเราผิดศีลหรือไม่ถ้ายังพลาดยังผิดอยู่ไม่เป็นไรตั้งใจในวันรุ่งขึ้น จะทำให้ดีที่สุด

- ต้องลด ละ เลิกในการทำกรรมชั่วทั้งปวงทันที อะไรที่เคยทำผิดพลาดมาแล้วในตอนที่เป็นชื่อเดิมต้องเลิกให้หมดดูง่ายๆ ว่าถ้าเราทำแล้วเราเดือดร้อน คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นแหละคือกรรมชั่ว

- หมั่นสร้างบุญอย่าหยุด แล้วอธิษฐานจิตขอให้บุญที่สำเร็จแล้วนั้นเป็นพลังส่งให้ชีวิตพบแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมทำไมต้องอธิษฐานให้ดีทั้ง 2 ทางก็เพราะว่าในทางโลกเรามีความสุขในชาตินี้แต่ในทางธรรมจะเป็นเสบียงติดตัวเราไปในทุกชาติ ทุกภพ

- หมั่นสงเคราะห์สัตว์ปล่อยสัตว์ เพื่อให้ชีวิตเขาเหล่านั้นพบสุขบุญที่ทำตรงแบบนี้จะส่งผลให้อุปสรรคกรรมแม้จะเข้ามาในชีวิตที่ไม่มีทางเลี่ยงได้เพราะมาจากกรรมเก่า จะมีคนช่วยเหลือให้รอดได้

- หมั่นทำทานบ่อยๆเท่าที่จะทำได้ ทานที่ทำนั้นจะทำให้เกิดโภคทรัพย์การเงิน ไม่ขัดข้อง ไม่ฝืดเคือง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ทุกท่านพบกับความสุขความเจริญตามที่ท่านปรารถนา

การเปลี่ยนชื่อนั้นมีหลักง่ายๆ อยู่อย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านให้สังเกตเมื่อเราไปหาผู้รู้ให้ตั้งชื่อให้ ขอให้ลองดูว่าชื่อใหม่ที่ได้นั้นเราชอบหรือไม่เพราะถ้าเราชอบก็แสดงว่าเรามีบุญเชื่อมกับชื่อใหม่ที่เป็นมงคลนี้ เพราะแม้แต่เรายังไม่ชอบชื่อใหม่รับรองว่าชื่อนั้นอาจจะไม่ใช่ชื่อที่จะทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้นก็ได้


% c' O: u. O2 X+ H  }( n  N

และครูบาอาจารย์ท่านยังฝากมาบอกกับคนที่เปลี่ยนชื่อทุกคนหากยังสร้างกรรมชั่วไม่ลด ละเลิก ถึงจะเปลี่ยนร้อยชื่อ พันชื่อจะกี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีทางพบกับความเจริญแน่นอน

Rank: 1

ขอบคุณที่ร่วมกระทู้ครับ น่าสนใจมากครับ

Rank: 1

เห็นด้วยค่ะ  ชื่อดีแต่ยังก่ออกุศลกรรมอยู่ก้อจะไม่พบสุข6 e6 X2 \% [* y9 T3 X% O

Rank: 9Rank: 9Rank: 9

เปลี่ยนชื่อแล้ว อย่าลืมโอนบุญ จากชื่อเดิมมาเป็นชื่อใหม่นะ อธิษฐานว่า "ข้าพเจ้า(ชื่อนามสกุลใหม่) ขอโอนบุญที่จะส่งไปยังสัมปรายภพหน้าที่ทำในนาม (ชื่อเดิม นามสกุลเดิม) มายังชาติปัจจุบัน ในนาม (ชื่อนามสกุลใหม่) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอผลบุญทั้งหมดรวมตัวส่งผลให้ข้าพเจ้า มีความคล่องตัวทั้งทางโลกทางธรรม คิดหวังสิ่งใดสมความปราถนา"
' @; L8 [. ~+ @* l) a

$ F. S% ^0 m' l0 @3 Aแล้วกล่าวคำเบิกบุญว่า "เอหิ เอหิ เอหิ ปุญญานิ กะตะมะยัง โอโนชะยามะ" แล้วอธิษฐานจิตในสิ่งที่ปราถนา แล้วทำจิตให้นิ่ง จนรู้สึกมีลมเย็นๆ พัดมากระทบหน้าผากและกาย แล้วกล่าว สาธุๆ สามครั้ง
  a- u6 X% {; L) U6 m0 z
' u2 o& t# `- ]

  U) c+ q+ Q; i& Cปล.เปลี่ยนชื่อและนามสกุลมากี่ครั้งก็กล่าวชื่อนั้น นามสกุลนั้นให้หมด เพื่อไม่ให้บุญตกค้างอยู่ชื่อเดิม ให้โอนมาชื่อใหม่ให้หมด บุญจะได้รวมตัวโดยเร็ว
5 ~- s: N+ B# \+ H$ |1 L  H" M3 M
/ d+ Y) [% k  W4 k! F7 M- K. Z

1 i8 L% k# d5 `. b- j: i3 ?อันนี้แนวทางของผู้ฝึกด้านจิตอภิญญาจะใช้แนวนี้
3 i" G. t& p: S# f8 v2 D( I

Rank: 1

สาธุค่ะ

Rank: 1


& w. i2 n2 t" C/ S1 Q+ a"พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
, Y9 n- f) B* ~: L" _7 ?" C/ U. w6 F; ?
พุทธโอวาทก่อนปรินิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานแก่พระอานนท์ผู้เป็นพระอุปัฏฐากและพระภิกษุคราที่ทรงปรงพระชนมายุสังขารออกเดินทางด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาลเจดีย์ไปยังกรุงกุสินาราสถานที่ปรินิพพานตลอดพระชนมชีพ พระพุทธเจ้าหาได้ทรงท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยต่อการเผยแพร่ธรรมไม่ยังทรงประกาศพระธรรมอันประเสริฐที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแก่พุทธบริษัท 4ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้คราเมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ ได้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีเงาครึ้มต้นหนึ่งโดยมีพระอานนท์หมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า 4 d+ S7 Q3 D0 c" s

" z" C. Y) G7 ^6 c4 B“ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์อาศัยความกรุณาแก่ข้าและหมู่สัตว์จงดำรงพระชนมชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย ”กราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่ทูลอะไรต่อไปอีกเพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย“
# f5 U% @) R: ^1 E5 ^6 \8 T5 `9 E3 j' W; Y; s0 o7 {3 \) z
อานนท์เอ๋ย ” พระศาสดาตรัสพร้อมทอดทัศนาการไปเบื้องหน้าอย่างสุดไกลลีลาอันเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์ “เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ อีกสามเดือนข้างหน้านี้ อานนท์เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้งแล้วว่าคนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้ แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ได้ทูลอะไรเราเลยเราตั้งใจไว้ว่าในคราวก่อนๆนั้นถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไปเราจะห้ามเสียสองครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก” 3 M! W1 M: P$ v- G  W
) s. L) b3 ~  Q- \1 {4 D1 w
“ อานนท์เอ๋ย ” บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ใช่วิสัยแห่งตถาคต....บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดาจะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ ” 3 M* D) B) h+ N

- ^2 j6 |7 B- W; T“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นสิ่งที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบายมีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน ”
' F' y6 b( O: K& `1 M0 l& \9 R
8 N1 w/ n( k  B0 C, u1 E“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดเรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลม แดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลม แดดและฝนกล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะให้เบาบางและหมดสิ้นไป ”
  s3 c# d$ @! H( C$ ?5 O3 u( K, U1 H+ P4 D* j
“ อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีลสมาธิและปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญาย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ” / r  ~1 |  I7 Z

4 U2 F$ r! x4 c% [2 T“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด บรรดาบททั้งหลายบท 4 คืออริยสัจประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุดบรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้ เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไปตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร
3 o. A/ C. U! S: Y) ?; V
0 N# J6 a! f( l1 L! w”--------------------------------------------
+ N! |3 ?5 d' a8 H; j. B2 G1 n2 \! z& m5 F7 F# j: x
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฐิ คือความยึดมั่นเรื่องของตนเสีย ด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม ”
8 ~1 p0 Q7 a3 u- v
) y# p! ~9 [! L“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ด้วยตัวเรานี้เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทันการแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ่ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา เรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง”
: B1 _0 H$ ~7 r& C" B' J  A$ W  Z" m$ @& ^2 k
“ ภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบายแต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุไปด้วยคนที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบที่อยู่โคนไม้ได้อย่างไร ”
" J* P* r3 B, b( g1 s- `
; V, i  P5 @, x; ^“ ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ”
0 i% L" Y$ C7 Z5 p' m
0 D+ y$ {4 W8 G- y3 p  A( ^“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละละวางได้ จึงแย่งลาภและยศกันอยู่เสมอเหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอ คือ ลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ”
2 @: o/ M/ t; k9 `% ~% v
3 ^# q% P# q% r' }/ m% |“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ยิ่งเจริญก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจดูแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์ยังสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่น ฝูงวิหกนกกา มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่จะที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติ สัตว์เดรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือเรื่องเกียรติ คงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกินนักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียวแต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกียวิสัย บริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินให้มีเกียรติกินให้สมเกียรติ มิได้กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริงร่างกายคนเราไม่ได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิวก็ต้องการอาหารบำบัดความหิวเท่านั้นแต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วย จึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำเป็นต้องทำ เหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถแต่จำใจต้องลากมันไป อนิจจา ”
7 C+ R! {- Y* ]3 t9 |
7 c8 g5 D- N& [+ O* j' U------------------------------------------ % t9 O8 ^3 E2 a
% [% g, O. |- H1 y2 M
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำ คือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงมัดรัดผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆคือ บุตร ภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะเป็นเหยื่อของโลกเมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย ” & ?" G! ^9 z7 |  X0 g
. K1 f% }- }; N
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กลิ่นดอกไม้กลิ่นจันทน์ไม่สามารถหอมหวนทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแล สามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทุกทิศ กลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบล กลิ่นดอกมะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอม แต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้ กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด ”
0 e& U) K+ N4 P# c* j0 X* A/ x  J' y- T& S% ~, R
“ สัตว์โลกเมื่อเกิดมาย่อมนำความทุกข์ติดตัวมาด้วย ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอ เหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว ” 8 i6 m$ v! [/ k) D- X. K9 b

! T& ?' f) u) K$ V8 B“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันพวกเธอจงเอาสติเป็นขอเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะตนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถเอาชนะตนเองได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย ” 0 t$ T. i' v  w. I

$ ]! P1 U8 T: h) s! Y& a4 s3 S/ ]“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้ เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด ผู้มีความอดทน มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ” . @& t/ |5 T+ y2 a& N9 D7 v
/ X) ^- ~$ p. I/ r9 x7 O
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้พร้อมกำมือไว้แน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย ”
7 h6 R- H% R+ V! M  _- B0 y$ d1 S! L+ G$ v; k: S+ D
“ เมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังก็จะรอเราอยู่ ”
9 u3 F7 \" E7 g% V6 W; E0 @- C* a3 Z. q* Y. H1 u) C/ p
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่าไม้จันทน์แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น อัศวินก้าวลงสู่สนามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน บัณฑิตแม้ประสบความทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม ”
9 J/ L* x4 @+ |* A! V3 R9 G& m" @
& X) W  q9 C$ d9 }“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาที่ตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้นย่อมมีผลมากผลไพศาล คนดีมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุขบำรุงสมณะพรหมาจารย์ให้เป็นสุข เปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่ ” ) b' I: V8 p; [* s4 e
) ^/ G' q6 ~  r" D
“ การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ”
2 _- C- @" S; S6 Y; ]& M8 ~4 `' w: X; x5 @
“ บุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป ”
' B% ~* E. {' Z; ~( Y5 {* y% ?$ \
1 l1 E1 g/ Y. ~' c& C“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆเข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอๆเจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง ขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ เป็นของน่าขยะแขยง ” ! `7 c( Q. g% R: F) I+ [$ W
3 t# T) R& J# @
“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธ-นิพพาน คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่ ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสียอาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ” - F/ B" l0 _. {3 {' ^
9 s- N8 F/ ^) ^* k, Z7 [
“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ” 3 ~/ e! u& X  E$ i

3 h. W3 g9 @% J; g" J; M“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”
6 \; Z" V8 w2 o. f
" V, |3 ^' V% X* F+ bย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่งพร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑลทอดไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง
0 }3 g' T" ]3 c- n4 s

Rank: 1

ตัวอย่างคำสุภาพ พอดีเข้าไปอ่านพบเลยนำมาให้อ่านเพื่อเราจะหลงลืมกันไปบ้าง คำบางคำเราก็เป็นคำสุภาพ  แต่ก็มีบางคำที่ยังคงใช้ คำเดิมกันอยู่ เช่น  ดอกมะลิ = ดอกมัลลิกา  ถึงแม้ชื่อเปลี่ยนเมื่อเอ่ยขึ้นมาเราก็นึกกันได้ว่าหน้าตามันเป็นเช่นไร มีตัวอย่างให้ดูกัน - Q  d! o! t8 f+ {6 E
คำสามัญ               คำสุภาพ
: k* W2 z. o8 t7 tผักบุ้ง                ผักทอดยอด
$ Y1 x9 W! T: s6 y$ A! S( B3 Zผักกระเฉด        ผักรู้นอน6 @( h( F0 w  E+ G  h
ผักตบ              ผักสามหาว
. c: ~+ C, \; G9 H! Y' s/ Wผักอีริ้น             ผักนางริ้น( G8 A% ~4 u" {# I2 y
ต้นสลิด            ต้นขจร
/ `+ E& R( C# \. Y( H; i* ^ดอกสลิด           ดอกขจร
( W' C1 j4 f2 O/ X8 |, O# vดอกซ่อนชู้        ดอกซ่อนกลิ่น1 k/ C5 v/ k3 M  J4 O
ดอกนมแมว       ดอกถันวิฬาร์9 M: L) ?) g, Q5 y6 U
ดอกยี่หุบ           ดอกมณฑาขาว
8 n; `( f& a0 a* v! a; wดอกขี้เหล็ก       ดอกเหล็ก/ N9 _  @# Z/ h# J) t& r% k4 D" `
ดอกมะลิ           ดอกมัลลิกา
& H! M0 X1 x3 W$ h) `# q. h ถั่วงอก            ถั่วเพาะ
* V8 }1 Q( n8 F# a9 O$ o- f: D เห็ดโคน          เห็ดปลวก- r; M$ c7 J) }# u
ฟักทอง            ฟักเหลือง
' F  p6 F2 Z8 \' {ต้นตำแย          ต้นอเนกคุณ
, r+ b: ]4 u( i1 s0 fหมอตำแย         หมอผดุงครรภ์
$ r! O, N: l/ Nต้นเหงือกปลาหมอ     ต้นจะเกรง
" X9 \! O7 V2 C! m$ K ต้นทองกวาว, ต้นทองหลาง        ต้นปาริชาติ2 f' e( u, `3 Z5 o* e
ต้นพุงดอ              ต้นหนามรอบข้อ
* D. J1 X0 n  O+ K5 n+ F8 b& V กล้วยไข่ กล้วยกระ,  กล้วยเปลือกบาง    กล้วยสั้น    กล้วยกุ( e* `0 K3 C# q$ F+ m; R
เถาตูดหมูตูดหมา        เถากระพังโหม/ K+ J; i  z* @1 m# X7 s2 v
เถาหมามุ้ย                 เถามุ้ย
8 K$ ~. T; H% i" u' ?! K แตงโม                      ผลอุลิด: C' x& S) X! u! t8 i) e* y
หัวปลี                         ปลีกล้วย7 n/ E1 s3 K( U; ^$ x1 t  O
กล้วยบวชชี                 นารีจำศีล

Rank: 1

อนุโมทนาสาธุครับ กระผมอ่านพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานแล้ว อิ่มใจ สุขใจมากครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ อนุโมทนาสาธุครับ

Rank: 1

ผมขอคัดลอก พุทธโอวาทไว้อ่านเตือนใจนะครับ สาธุครับ
‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2025-5-2 13:27 , Processed in 0.040838 second(s), 14 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.