ประวัติเจ้าแม่นางแก้ว วัดพระเจ้าตนหลวง
๑. นางแก้ว เป็นลูกเต้าเหล่าใครไม่ปรากฏ มีฤาษีที่พำนักบนดอยอีหุยเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่เป็นสาวสคราญ เล่ากันว่า นางมีผิวที่งามงดถึงสามสี วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเพลินอยู่กับการเก็บผลไม้อยู่นั้น ได้มีพรานป่าผู้หนึ่งแอบดูอย่างตะลึงในความงาม
๒. โดยมิรอช้า พรานป่าก็รีบนำเรื่องที่พบนางงามกลางไพรไปบอกพญาจันทร์ เจ้าเมืองหนุ่มแห่งเวียงหวาย (ที่ตั้งวัดพระเจ้าสะเลียมหวานในปัจจุบันนี้)
๓. เมื่อข่าวความงามของนางกระจาย ดอยก็แทบพัง เพราะหนุ่มๆ ต่างขึ้นมาหมายปอง และเมื่อเห็นว่านางสมควรจะมีคู่ได้แล้ว ฤาษีจึงนัดหนุ่มๆ มาชี้แจงกติกาว่า แม้นผู้อยากได้นาง ก็จงวิ่งแข่งกันขึ้นดอยโดยอย่าอาการแสดงว่า หอบ หิว หุย เลย (เพื่อให้นางได้คู่ครองที่มีปัญญา ฉลาด)
๔. ผู้เข้าแข่งขันครั้งนั้นมี ๕ คน คือ ๑. ขุนหลวงมะลังก๊ะ ๒. พญาวีวอ ๓. พญาติดเอี่ยวจองวอง ๔. พญาล่องกองปากหวาก ๕. พญาจันทร์ ซึ่งต่างก็ไปไม่รอด ยกเว้นพญาจันทร์ ซึ่งวิ่งไปก็ตะโกนไปว่า “น้องบ่หื้อปี้หุย ปี้ก็บ่หุยๆ” เป็นการระบายความเหนื่อยอย่างฉลาด จึงเป็นผู้ชนะ ได้นางแก้วไปครองสมปอง และดอยลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า “ดอยอีหุย” ตราบทุกวันนี้ แล
๕. รางวัลของผู้ชนะ คือสาวงาม นามว่า นางแก้ว วันที่พญาจันทร์รับนางเข้าเวียงหวาย นับว่าเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่นัก
๖. ครั้งหนึ่ง ข้าศึกยกทัพมาประชิดเมืองเถิน พญาจันทร์ทราบข่าว จึงชวนสหายคือ พญากอก พญายี เจ้าเมืองหนองล่อง ยกทัพไปสกัด โดยหารู้ไม่ว่าสหายคิดไม่ซื่อ มีจิตปฏิในตัวนางแก้วอยู่ ดังนั้น พอเดินทัพมาถึง ณ ตำบลหนึ่ง ทั้ง ๒ จึงหนี “ป้อก” หรือกลับ ตำบลนั้นจึงชื่อว่า “แม่ป้อก” จนทุกวันนี้ แล
๗. แล้วพญาเจ้าเล่ห์ทั้งสองก็มาหลอกนางแก้วว่า พญาจันทร์ตายขณะที่รบแล้ว ข้าศึกกำลังมา ให้นางวิ่งหนีไปเวียงหนองล่องโดยเร็ว นางแก้วหลงเชื่อจึงตามไป จึงรู้ว่าถูกหลอก เมื่อพญากอกพยายามเกี้ยวพาราสีลวนลาม แต่พอจะถูกเนื้อนาง กลับร้อนรุ่มด้วยบุญฤทธิ์
๘. พอเสร็จการศึก พญาจันทร์ก็ยกทัพกลับเวียงหวาย จึงทราบเรื่องที่นางแก้วหนีไป จึงออกติดตาม ทราบแน่ชัดว่า นางอยู่กับพญากอกสหายรัก ก็โทมนัสยิ่ง จึงเดินทางกลับ ขณะถึง ณ แม่น้ำแห่งหนึ่ง ท่านยืนขมชะง่อนหินทอดสายตาลงไปในน้ำ ก็เห็นเงาตนเป็นบุรุษผู้งามงดหาที่ติมิได้ จึงเกิดขัตติมานะถึงอุทานว่า “โอ้หนอ อันตัวเรามีมีถึงแปดเหลี่ยม ซึ่งมิว่าจะพิศมองเหลี่ยมไหน ก็งามงดไปทุกส่วน ใยเราจักมาตามงอนง้อผู้หลายใจนางเดียว" ดังนี้ คนทั้งหลายจึงเรียกขานนามท่านว่า “เจ้าแปดเหลี่ยม” อีกนามหนึ่ง
๙. ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอุระ พญาจันทร์จึงขึ้นสู่ดอยศรีเมือง ยกเท้าถีบดอยพังด้วยพลังฤทธิ์ เพื่อกั้นเป็นเขตแดน บ้านนั้นจึงเรียก ดอยแดน แล้วถีบเซาะจนที่อีกแห่งจนเป็นร่องน้ำแบ่งเป็นละหล่าย(ฝ่าย) เชื่อมให้ชนทั้งสองเมืองไปมาหากัน ปัจจุบันเรียก บ้านหล่ายแก้ว บ้านหัวหล่าย ตามลำดับ ท่านอยู่ครองเวียงหวายจนจำเนียรกาลต่อมา แล้วเกิดเบื่อในสังสารวัฏฏ์ จึงออกบวชที่วัดดอยก้อม ตราบอายุขัย แล้วคนทั้งหลายจึงตั้งศาลเจ้าไว้เป็นที่เคารพสักการะ เรียก “ศาลเจ้าแปดเหลี่ยม” จนทุกวันนี้
๑๐. ฝ่ายนางแก้ว พอทราบข่าวว่า พญาจันทร์ยังไม่ตายและชนะศึกกลับมาแล้ว ก็ดีใจนักจึงรีบไปหาทันที เมื่อถึงหัวหล่าย ก็ถูกพญาหัวหล่ายทัดทานว่าพญาจันทร์ไม่ให้พบ ก็ดึงดันไปจนได้ และไปหา ณ ที่พญาจันทร์บวช ก็ห้ามเข้าพบเด็ดขาด แม้นางจะอ้อนวอนชี้แจงความจริงอย่างไร ท้าวเธอก็ไม่ฟัง
๑๑. เมื่อถูกคนที่รักยิ่งดังดวงใจไม่ให้พบ มิหนำซ้ำยังขับไล่ไสส่งอย่างสิ้นเยื่อใย หัวใจนางก็แทบสลาย กระเซอะกระเซิงกลับ หมายจะชวนเหล่านางสนมช่วยเป็นพยานแห่งความซื่อสัตย์ ระหว่างทางด้วยความเหนื่อยล้า คับแค้นทดท้อทรมานทรุดกายลงข้างบึงน้ำใส พอวักน้ำลูบพักตร์ นางก็อกแตกตาย น่าเวทนานัก ทิ้งไว้แต่วิญญาณรักอมตะ ให้เล่าขานสืบไป ตราบชั่วฟ้าดินสลาย แล
----------------------
(แหล่งที่มา : จิตรกรรมฝาผนังภาพประวัตินางแก้ว ภายในวิหารพระเจ้าตนหลวง วัดพระเจ้าตนหลวง)