แดนนิพพาน "โมทนาทุกดวงจิตถึงซึ่งแดนนิพพาน"

 

   

ค้นหา
เจ้าของ: tanavisut
go

เที่ยวชม ถ้ำหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่16-01-49(ต่อ) [คัดลอกลิงค์]

Rank: 8Rank: 8

20060122_180443[1].jpg
หินไทรย้อยสวยงาม ก่อนจะถึง เหวลึกใต้ถ้ำข้างหน้า!

ดอยหลวงเชียงดาวเป็นดอยสำคัญที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า ๑๔๐ ล้านองค์เศษในปัจจุบัน(ตามหลักฐานได้มีผู้รู้กล่าไว้เมื่อปี ๒๔๙๕) โดยมาจาก พม่า อินเดีย ชานสเตตและอินโดจีน เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ นายอุยอด ชาวบ้านป่ามานในเชียงตุงมาเล่าและและบอกว่า เจ้าหลวงคำแดงไปเข้าสิง คนเชียงตุงว่าเทพารักษ์ต่างศาลต่างๆทั่วไปได้มาประชุมกันที่ดอยหลวงเชียงดาวหมดแล้ว และเข้าใจว่าดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้จะเป็นสถานที่ชุมนุมของเทพเจ้าในอนาคต

การค้นพบในถ้ำเชียงดาวครั้งแรกในราว พ.ศ. ๒๒๐๐ หรือในราว ๓๐๐ กว่าปีที่ผ่านมาผู้ค้นพบได้สร้างระฆังไว้ใบหนึ่ง ซึ่งแขวนไว้ใต้ปล่องสว่างมีน้ำหนักประมาณ ๒๐๐ กิโล ตัวระฆังทั้งหมดคงจะเป็นทองสัมฤทธิ์ แล้วสลักชื่อไว้ข้างระฆังว่า "พ่อแสน ปีระตำนาน กับพระประธรรมะปัญโญ ๑ องค์ร่วมกันสร้างไว้เป็นสมบัต้ของถ้ำเชียงดาว" นอกจากสลักชื่อของท่านทั้งสองไว้แล้ว ยังมีข้อความอยางอื่นอีกด้วย แต่ก็อ่านยากเต็มทีเพราะมีรอยตีระฆังด้วยเหล็กและฆ้อนมานานหลายปีแล้วตัวอักษรที่สลักไว้บนระฆังเป็นตัวหนังสือภาษาไทยเหนือปนไทยเขินโบราณ แต่ก็ดูเลือนลางลงไปมาก ทำให้ไม่ทราบว่าผู้ที่มาสร้างระฆังไว้นั้นเป็นคนชนชาติใดที่ไหน แต่เข้าใจว่าคงจะเป็นชาวบ้านแถวหน้าถ้ำไปทางตะวักออกประมาณ ๒ กิโลเมตรกว่า เพราะมีเห็นเป็นรากฐานการค้นพบ เห็นเป็นซากอิฐไว้หลายแห่งมันเป็นซากวัดและซากโบสถ์ของคนโบราณ และบางแห่งชาวไร่ก็ขุดพบวัตถุของใช้หลายอย่างอันเช่น ถ้วย โถ โอ ชามและกล้องยาสูบเป็นต้น ซึ่งของเหล่านั้นมีอายุผ่านมากว่า ๑๐๐ ปี



Rank: 8Rank: 8

20060122_183849[1].jpg
เจดีย์ปริศนา ๔ หลังที่ปั้นขึ้นโดยชาวพม่า...

อนึ่งเรื่องของคนที่หายเข้าไปในถ้ำแห่งนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่พอจะนำมาเล่าให้ฟังกันได้
เมื่อปี ๒๕๑๕ มีชาวบ้านอำเภอแจ้ห่ม เป็นคนจังหวัดลำปางอายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ ชื่อลุงจ๋อม(ไม่ทราบนามสกุล) ได้มาเที่ยวชมถ้ำเชียงดาว และเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปที่บริเวณปล่องแจ้ง(ใกล้ประตูถ้ำ) โดยได้ซื้อดอกไม้ธูปเทียน ติดมือเข้าไปด้วย พรอ้มกับเทียนไขชนิดยาวหนึ่งห่อมี ๘ เล่ม และได้นำร่มไปฝากกับแม่ค้าดอกไม้ไว้ที่ศาลาหน้าถ้ำ เวลาบ่ายประมาณ ๑๖ นาฬิกาซึ่งขณะนั้นผู้คนที่มาเที่ยวได้ทยอยออกจากปากถ้ำกันเกือบหมดแล้วรวมทั้งลุงจ๋อมก็ได้เดินออกมาด้วย แล้วจึงได้เดินกลับเข้าถ้ำไปอีกแต่เพียงผู้เดียว เป็นเวลานานใกล้มืดแม่ค้าขายดอกไม้ธูปเทียนจึงได้พากันกลับเพราะคิดว่าลุงจ๋อมคงจะเข้าไปนั่งภาวนาในถ้ำอีกไม่นานคงจะออกมา ครั้นวันรุ่งขึ้นบรรดาแม่ค้าดอกไม้มาเปิดร้านขายของอีก ก็ยังพบห่อผ้าและร่มที่ลุงจ๋อมฝากไว้อยู่ที่เดิม จึงพากันเข้าใจว่าลุงจ๋อมต้องหลงถ้ำอย่างแน่นอน จึงพากันไปกราบเรียนหลวงพ่อทองดำ เจ้าอาวาสวัดเชียงดาว พร้อมกับเล่าเรื่องของลุงจ๋อมให้ท่านเจ้าอาวาสฟัง และพร้อมกันนั้นท่านจึงให้คนไปตามผู้ใหญ่บ้านมา แล้วสั่งให้ผู้ใหญ่บ้านจุดตะเกียงเจ้าพายุนำชาวบ้าน ๗ - ๗ คนเข้าถ้ำไปค้นหาคณะของผู้ใหญ่บ้านเข้าไปยังถ้ำๆ หนึ่งชื่อถ้ำม้า แล้วพากันแยกย้ายดูตามซอกถ้ำต่างๆตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ชาวบ้านจึงยังค้นหาต่อไปอีกประมาณ ๕๐๐ เมตร(วัดจากปล่องแจ้งเข้ามาด้านใน) จึงพบตัว ลุงจ๋อมนอนหายใจแขม่วๆ ตรงซอกถ้ำแห่งหนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใสเปียกชุ่มไปหมด ร่างกายเย็นเฉียบ ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันประคองตัวออกมา เมื่อพาตัวออกมาแล้วจึงพากันปฐมพยาบาลหาน้ำและอาหารมาให้ พอหายจากอาการอ่อนเพลียผู้ใหญ่บ้านจึงสอบถามถึงสาเหตุที่เข้าไปหลงอยู่ในถ้ำม้า ลุงจ๋อมให้เล่าให้ทุกคนฟังว่า "ลุงทราบข่าวจากอำเภอเชียงดาวว่ามีถ้ำเป็นถ้ำที่สวยงามมาก พร้อมกับมีของโบราณเก่าแก่มากมาย อยากจะเห็นและมานมัสการกราบไหว้บูชา จึงตัดสินใจบอกลูกหลานออกจากบ้าน ตีตั๋วรถไฟมาลงเชียงใหม่ แล้วต่อรถยนต์จากเชียงใหม่มาลงปากทางเข้าถ้ำ เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง แวะซื้อดอกไม้ธูปเทียนที่หน้าถ้ำ พร้อมกับฝากผ้าห่มและร่มที่จะนำไปเป็นของฝาก แล้วก็เข้าไปกราบไหว้พระที่ปล่องแจ้ง หลังจากเดินลงบันไดมา ลุงก็พบกับทางแยกที่จะเข้าไปในถ้ำที่หลง ซึ่งเวลานั้นลุงเหลือเทียนเพียง ๖ เล่ม คิดว่าจะจะเข้าไปได้และกลับออกไปได้ก่อนที่เทียนจะหมด เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงเดินเข้าไป ยิ่งเดินก็ยิ่งมีทางเข้าไปเรื่อยๆ และเป็นทางที่ไปอย่างสะดวกสบายไม่ขรุขระ หรือลำบากดังเช่นขากลับ! ที่ลูกหลานเข้าไปนำตัวลุงออกมา ขณะที่เดินไปถึงที่แห่งหนึ่ง จำได้ว่าเป็นเสียงน้ำไหลอยู่ข้างล่าง และลุงคิดจะกลับเหลือเทียนไขในมืออยู่แค่ ๒ เล่ม จึงเดินกลับออกมา เมื่อถึงกลางทางลุงเห็นมีสองทางข้างหน้า จึงทำให้ลุงสงสัยว่าทางไหนหนอที่จะเป็นทางออกไปข้างนอกได้จึงพวหกลับออกมาทางเดิม พอเดินมาถึงครึ่งทางเทียนไขก็ดับลง เมื่อเทียนไขดับหมดก็คลำทางหาทางออก พยายามเท่าไหร่ก็หาไม่พบทางที่จะออกมาได้ เพราะมันมืดไปหมด จนกระทั่งรู้สึกหิวและอ่อนเพลียมาก เมื่อกระหายน้ำลุงก็เอาลิ้นไปเลียกินน้ำตามที่มันหยดลงมาจากหินย้อย เมื่อหมดแรงลุงก็นอนอยู่ตรงนั้นและนอนรอความตายหรือเผื่อจะมีคนเดินเข้าไปทางนั้นบ้าง เพื่อจะได้นำลุงออกมา จนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง รู้สึกตัวอีกทีได้ยินเสียงลูกหลานพูดกัน พร้อมกับเห็นแสงสว่างของตะเกียงเจ้าพายุ ๓ - ๔ ดวงที่ลูกหลานทั้งหลายตามไปนำตัวลุงออกมาได้..สาธุ" แกพูดพร้อมกับยกมือไว้ท่วมหัว.. หลังจากแกเล่าจบแล้ว แกก็ขอตัวไปกราบนมัสการหลวงพ่อทองคำยังกุฏิของท่าน และหลวงพ่อท่านก็นำมาฝากกับเจ้าของรถยนต์ที่นำคณะทัศนาจรไปเที่ยวถ้ำ เพื่อให้ไปลงยังลานจอดรถในเมืองเชียงใหม่ให้แกได้กลับบ้าน....



Rank: 8Rank: 8

20060122_185211[1].jpg
บริเวณ ปล่องเหวลึก...คนสามารถโรยตัวด้วยเชือก ลงไปได้เพียง ๓๐๐ เมตรเท่านั้น ต่อจากนั้นเป็นน้ำลึกมาก ที่คนธรรมดาไม่สามารถจะลงไปต่อได้...เหมือนดังเป็นปะตูเข้าออกปริศนาที่ไม่มีใครสามารถคาดได้ว่าเมื่อเข้าไปแล้วจะไปทะลุถึงที่ไหน...

บุคคลใดที่คิดโดยมีจิตอกุศลในสิ่งไม่ดีและคิดอยากจะได้นั่นได้นี่ในถ้ำ บางคนขณะเดินภายในถ้ำแสดงอาการไม่สำรวม เช่น หยอกล้อเกี๊ยวพากันกับเพศตรงข้าม ไม่มีความเกรงใจต่อเจ้าของสถานที่ หรือบางคนมาเที่ยวแล้วยังไปทำลายของ เช่นเอาหินไปทุบตีเอาหินงอก หินย้อยที่อยู่ในถ้ำ แต่ละรายที่นำออกไปก็ไม่แคล้วที่จะต้องมีอันเป็นไปต่างๆนาๆ ตามที่ทราบและเห็นมาหลายรายที่นำเอาสิ่งของในถ้ำนี้ออกไป แล้วเกิดอาการ ปวดหัว ปวดท้อง เป็นไข้ แม้จะให้แพทย์มารักษาเท่าใด้ก็ไม่หาย จนถึงกับต้องเหมารถยนต์จากบ้านมาที่ถ้ำ เพื่อนนำสิ่งของที่ติดมือไปมาคืน และขอขมายังที่อยู่เดิมของสิ่งของเหล่านั้น อาการต่างๆจึงจะหาย ความศักดิ์สิทธิของถ้ำย่อยต่างๆ ภายในภ้ำเชียงดาว ในสมัยก่อนมีความศักดิ์สิทธิ๋อย่างไร ปัจจุบันก็มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่เช่นเดิม....




Rank: 8Rank: 8

20060122_190343[1].jpg
รูปปั้น "ฤาษีอุคันธะ" เป็นที่เคารพสักการะภายในถ้ำลึก ก่อนที่จะถึงปล่องเหวลึกด้านหลัง...

พระฤาษีอุคันธะ ได้เคยทำนายก่อนที่จะออกไปจากถ้ำเชียงดาวว่า " ต่อไปข้างหน้าจะมีผู้ทรงธรรมมายังถ้ำหลวงเชียงดาว เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ซึ่งกิ่วคอด เหมือนคอสาก(ยังไม่เจริญ) ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปต่อ ฤาษีอุคันธะได้ทำนายไว้กับบรรดาศิษย์ของท่าน และบอกว่าบรรดาศิษย์ปฏิบัติศีลธรรมให้จงดี อย่ามีความประมาท จะได้พบกับผู้ทรงธรรมหลังจากคำทำนายนี้ล่วงไปแล้วหลายสิบปี.."



Rank: 8Rank: 8

20060122_190745[1].jpg
พระพุทธรูปที่สลักด้วยไม้ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้นำเข้ามาภายในถ้ำ เพราะได้พบตั้งแต่มีคนมาสำรวจถ้ำอยู่ก่อนแล้ว...



Rank: 8Rank: 8

20060122_191747[1].jpg
อันนี้เป็นถ้ำน้ำ เพราะเป็นถ้ำเดียวที่ลึกที่สุด อากาศหายใจน้อยมาก.. ปกติถ้ำนี้แทบจะไม่ค่อยมีคณะท่องเที่ยวใด เดินเข้ามาบ่อยนัก สัปดานึงจะมีนักท่องเที่ยวกล้าเดินเข้ามาสักคณะก็หายาก เพราะอากาศน้อย และเป็นทางเดินที่ขรุขระพอสมควร และส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกันหลายๆคน..

บริเวณถ้ำน้ำจะเดินไปลึกพอสมควรที่เรียกว่าถ้ำน้ำก็เพราะว่าเดินไปเจอน้ำพอดี ถ้าจะเดินต่อก็ต้องเดินลุยน้ำเข้าไปต่ออีก ซึ่งสามารถเดินลุยน้ำเข้าได้ต่ออีกประมาณไม่ถึง ๑๐๐ เมตร ก็จะพบทางตัน แต่ว่าถ้าก้มดูจากใต้น้ำจะพบทางเล็กๆ เป็นทางน้ำไหลผ่านออกไปยังที่ต่างๆได้ แต่ทว่าขนาดความกว้างนั้น เล็กพอสมควร คนทั่วไปไม่สามารถจะเข้าต่อไปได้...


บรรยากาศโดยรวมภายในถ้ำหลวงเชียงดาวนี้ค่อนข้างจะอบอุ่นมาก ถ้าเทียบกับอากาศภายนอก ไม่พบอุจจาระค้างคาวให้เห็นบ่อยนัก มีกลิ่นสะอาดชื่นสด พอสมควร มีหินย้อยสวยงามหลายแห่ง เพียงแต่บางแห่งไม่สามารถบันทึกรูปได้ เพราะแสงไม่พอ การเดินชมถ้ำต้องอาศัยตะเกียงเจ้าพาเท่านั้น...



Rank: 8Rank: 8

20060122_191838[1].jpg
บริเวณภายในถ้ำน้ำ....


Rank: 8Rank: 8

20060122_192121[1].jpg
ตามพื้นที่เดินจะพบหินงอกที่กำลังต่อตัวขึ้นหลายแห่ง เรียกกันว่า ไข่ดาว


Rank: 8Rank: 8

20060122_192626[1].jpg
ทางเข้าสู่ถ้ำม้า.........

รวมระยะทางที่เดินสำรวจภายในถ้ำหลวงเชียงดาวโดยประมาณ ๒.๓ กิโลเมตร

***มีอีกหลายแห่งที่ไม่สามารถบันทึกภาพมาได้ เพราะmemory กล้องไม่พอ และทั้งแสงแฟลตน้อยเกินไป...ทำให้ต้องลบบางภาพทิ้งไป จึงต้องนำรูปจากหนังสือมาสแกนเสริมประกอบให้ทีหลัง (แต่ภาพก็ยังน้อยอยู่ดี)...จบครับ _/|\_




‹ ก่อนหน้า|ถัดไป

สมาชิกที่เพิ่งอ่านหัวข้อนี้

คุณต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

แดนนิพพาน ดอท คอม

GMT+7, 2024-11-28 05:35 , Processed in 0.056209 second(s), 15 queries .

Powered by Discuz! X1.5

© 2001-2010 Comsenz Inc. Thai Language by DiscuzThai! Team.